[ทดลองอ่าน] โอตาคุวันสิ้นโลก เล่ม 6 บทที่ 219 : ดิจิทัลมอลล์

โอตาคุวันสิ้นโลก
重生宅男的末世守则

 

暖荷 หน่วนเหอ เขียน
เมิ่งเหวิน เเปล

 

— โปรย —

การย้ายบ้านออกมานอกเขตกำแพงแกร่งกร้าวของฐานที่มั่น
ตะวันตกเฉียงใต้ ทำให้ทีมโอตาคุต้องผจญกับโลกกว้างใหญ่
ที่ถึงจะมีอิสรภาพ แต่ก็มีอุปสรรค และบททดสอบมากมายรออยู่
ไหนจะสัตว์กลายพันธุ์แปลกๆ ที่สื่อสารกันไม่เข้าใจ
ไหนจะกลุ่มคนที่จ้องจะหาประโยชน์เอารัดเอาเปรียบ
ไหนจะความหลงระเริงส่วนตัว พากันเล่นสนุกกันอย่างเมามัน…
เอ๋ มันเกิดอะไรกันขึ้นกับทีมโอตาคุกันล่ะเนี่ย!

ชาติที่แล้วหลัวซวินใช้เวลาร่วมสิบปี เก็บเกี่ยวประสบการณ์
ในยุควันสิ้นโลกมาพลิกชะตาชีวิตของชาตินี้ได้ใหม่
แต่ความเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบต่อๆไป ทำให้หลายเหตุการณ์
ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง แต่การฝ่าฟันอุปสรรคร่วมกับทีมโอตาคุ
หลายต่อหลายครั้งได้พิสูจน์ให้เขามั่นใจแล้วว่า
อนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร… ก็มาดิค้าบ~

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 219 ดิจิทัลมอลล์

 

ศูนย์รวมสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในวันวาน

 

อาจเป็นเพราะมีคนตายอยู่บนถนนข้างนอกเมื่อวานนี้ ดังนั้นตั้งแต่พวกหลัวซวินตื่นมาช่วงกลางดึกจนถึงเช้าตรู่จึงพบว่ามีซอมบี้มาเดินป้วนเปี้ยนอยู่ตามท้องถนนเป็นจำนวนมาก

พวกเขาออกไปฆ่าซอมบี้ที่อยู่ในละแวกใกล้เคียง จากนั้นหลัวซวินก็รอให้เหยียนเฟยซ่อมแซม ‘รถปลอม’ ที่ได้รับความเสียหายเมื่อวานนี้เสร็จก่อน ค่อยเรียกทุกคนขึ้นรถออกเดินทางกันต่อ

ระหว่างทางยังเจอซอมบี้เป็นระยะๆ โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่เขตใจกลางเมือง ซอมบี้ยิ่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

ตอนนั้นทางฐานที่มั่นเลือกระเบิดอาคารต่างๆ ทางเขตตัวเมืองฝั่งใต้ ดังนั้นคนในฐานส่วนใหญ่จึงมองข้ามพื้นที่ฝั่งใต้ไปโดยปริยาย และเลือกมายังพื้นที่ใจกลางและฝั่งเหนือของเขตตัวเมืองแทน การเคลื่อนไหวของมนุษย์จำนวนมากขึ้นจึงดึงดูดพวกซอมบี้มาได้มากกว่า ดังนั้นยิ่งเดินทางขึ้นเหนือและเข้าไปในเขตตัวเมืองลึกมากเท่าไรก็ยิ่งเห็นซอมบี้เยอะมากขึ้นเท่านั้น

พวกหลัวซวินดวงดีมาก เส้นทางที่เขาเลือกใช้ค่อนข้างเงียบสงบ แต่ต่อให้เป็นแบบนี้ก็ยังมีซอมบี้กระโดดออกมาจากริมถนนด้วยท่าทาง ‘ถนนนี้เป็นของข้า’ เหมือนพวกโจรเจ้าถิ่นดักปล้นคนกลางทาง แน่นอนว่าโจรสมัยก่อนปล้นเพื่อเอาทรัพย์สินของมีค่า อย่างชั่วช้าหน่อยก็ปล้นสวาทกระทำชำเรา แต่ซอมบี้เหล่านี้หมายเอาชีวิตอย่างเดียวเท่านั้น

ทีมโอตาคุเดินทางมุ่งหน้าขึ้นเหนือพร้อมกับ ‘ตบแมลงสาบ’ ที่มาเกะกะขวางทางไปด้วย ระหว่างทางก็ไม่ลืมที่จะแสดงความนับถือชื่นชมหลัวซวินไม่หยุด… โชคดีที่ออกมาคราวนี้พวกเขาเอาพิษเห็ดมาเยอะมาก และที่โชคดียิ่งกว่าก็คือ เหยียนเฟยช่วยปรับปรุงอาวุธของทุกคนใหม่หมด ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะสามารถจัดการเหล่าซอมบี้ที่มีพลังพิเศษแถมยังมีวิวัฒนาการรอบสองได้อย่างไร ถ้าใช้อาวุธรุ่นเก่ามาจัดการซอมบี้ตอนนี้ อย่างมากก็แค่สร้างแผลขีดข่วนเล็กๆ น้อยๆ ให้พวกมันเท่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะเหยียนเฟยนำหน้าไม้ของทุกคนมาดัดแปลงใหม่ตามที่หลัวซวินออกแบบให้ละก็ ต่อให้พวกเขาเจอซอมบี้แค่ไม่กี่ตัวก็คงสู้พวกมันได้ยากอยู่ดี

สิ่งที่น่ายินดียิ่งกว่านั้นก็คือ… ก่อนหน้านี้พวกเขาเจอคริสตัลพลังน้ำขั้นห้าจากในดงเถาปีศาจ ก่อนออกมาซ่งหลิงหลิงจึงได้เพิ่มขั้นพลังเป็นขั้นห้าได้สำเร็จ

พลังพิเศษขั้นห้าของซ่งหลิงหลิงสามารถควบคุมของเหลวที่ไม่ใช่น้ำบริสุทธิ์ได้อย่างน่าทึ่ง แม้ว่าเป้าหมายจะไม่มีปากแผลหรือช่องเปิดอะไรเลย ซ่งหลิงหลิงก็สามารถดึงของเหลวออกมาจากเป้าหมายได้ทั้งหมดในเสี้ยววินาที

ความสามารถนี้นอกจากใช้คั้นพิษเห็ดออกมาและควบคุมพิษเห็ดได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ตอนที่ต้องเผชิญหน้ากับซอมบี้ ซ่งหลิงหลิงก็ใช้เทคนิคนี้จัดการพวกมันได้อย่างยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน แม้ซอมบี้จะผ่านการตายมาแล้วรอบหนึ่ง อีกทั้งของเหลวในตัวพวกมันก็เป็นสิ่งที่ไม่มีใครรู้จัก แต่ถึงอย่างไรก็ยังคงเป็นของเหลว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรู เธอจึงดึงของเหลวออกจากหัวของพวกมันได้โดยตรง หลังจากนั้นก็ให้ใครสักคนโจมตีด้วยของหนักๆ ตรงบริเวณคอขึ้นไป คอของซอมบี้ก็จะหักดังกร๊อบราวกับกิ่งไม้แห้ง

และเรื่องที่ทำให้ทุกคนชื่นชอบยิ่งกว่าก็คือ… ถ้าเธอดึงของเหลวในตัวซอมบี้ออกมาได้จนเกือบหมด แล้วให้สวีเหมยโยนลูกไฟใส่ ก็จะสามารถเผาซอมบี้ตัวนั้นทิ้งได้ทันที

แม้พลังทำลายล้างด้วยวิธีนี้จะไม่เฉียบขาดรุนแรงนัก แต่ก็เป็นวิธีการโจมตีอย่างหนึ่ง พลังพิเศษของซ่งหลิงหลิงที่พัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัดทำให้พวกหลัวซวินยิ่งเฝ้ารอให้ผู้มีพลังพิเศษคนอื่นๆ เพิ่มขั้นพลังเป็นขั้นห้ามากขึ้นไปอีก

หลังจากเหยียนเฟยดูดซับคริสตัลพลังโลหะขั้นห้าหมดแล้วก็เพิ่มขั้นพลังสำเร็จเช่นกัน แต่ตอนนี้เพิ่งขึ้นสู่ขั้นห้ามาหมาดๆ นอกจากขอบเขตการควบคุมที่กว้างไกลขึ้น และสามารถสำรวจโลหะได้ละเอียดขึ้นแล้ว ก็ยังไม่พบคุณประโยชน์และความสามารถอย่างอื่นเพิ่มเติม ต้องค่อยๆ ศึกษาและฝึกฝนให้เชี่ยวชาญต่อไป

 

ขบวนรถของพวกเขาออกเดินทางกันอีกครั้ง มีรถจี๊ปปลอมซึ่งทำจากโลหะตันๆ อยู่ในขบวนด้วยสองคัน นอกจากนี้ยังมีโลหะสำรองที่เก็บรวบรวมเพิ่มมาไว้บนรถแต่ละคันอีกไม่น้อย แต่หลัวซวินกลับอยากให้เหยียนเฟยสร้างรถปลอมเพิ่มขึ้นอีกสองสามคัน เวลาคับขันจะได้ใช้เป็นโล่กำบังเหมือนอย่างเมื่อวาน ทว่าน่าเสียดายที่สภาพท้องถนนในเวลานี้ทุลักทุเลมากจริงๆ บนถนนเต็มไปด้วยสิ่งกีดขวางมากมาย ถ้าขบวนรถยาวเกินไปแล้วเกิดเจออันตรายขึ้นกะทันหัน อาจตั้งรับไม่ทัน

ตั้งแต่เข้าสู่เขตตัวเมืองพวกหลัวซวินก็ขับรถมุ่งหน้าสู่ทิศเหนือ ใช้เวลาถึงสามวันเต็มกว่าจะมาถึงที่หมาย ในสามวันนี้ ก่อนนอนตอนกลางคืนและหลังตื่นขึ้นมาตอนเช้า ทุกคนต้องฆ่าซอมบี้ให้เกลี้ยงก่อนถึงจะนอนหลับได้อย่างสบายใจ และออกเดินทางต่อได้อย่างมั่นใจ

สิ่งที่ทำให้หลายคนรู้สึกโล่งอกก็คือ ตั้งแต่พวกเขาเข้าสู่ถนนที่มุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของเขตตัวเมืองก็เจอซอมบี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่พอยิ่งเข้าใกล้เขตตัวเมืองฝั่งเหนือมากขึ้นเท่าไร ปริมาณซอมบี้กลับยิ่งน้อยลงเท่านั้น เพียงแต่บนถนนหนทางกลับพบร่องรอยถูกกองทัพซอมบี้ทำลายเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม

ดูเหมือนว่าเป็นเพราะคลื่นซอมบี้ที่บุกมาคราวก่อนผ่านมาเส้นทางนี้ แล้วเรียกซอมบี้ตัวอื่นๆ ตามรายทางไปร่วมขบวนเป็นสมุนของพวกมัน ซอมบี้ละแวกนี้ส่วนใหญ่จึงติดตามคลื่นซอมบี้มุ่งหน้าขึ้นเหนือไปจนเกือบหมด

พวกหลัวซวินยกกล้องส่องทางไกลขึ้นสำรวจอาคารที่อยู่ไกลออกไป พวกเขาสังเกตดูด้วยความรอบคอบระมัดระวังสักพักจึงตัดสินใจขับรถเข้าไปใกล้สถานที่เป้าหมาย

“ประตูฝั่งตะวันออกถูกตึกพังถล่มลงมาขวางทาง แต่ตึกนั่นน่าจะมีอีกสามประตู ดูเหมือนประตูฝั่งตรงข้ามจะไม่มีอะไรกีดขวาง ด้านหลังก็ยังมีตึกอีกสองตึก…” สถานที่เป้าหมายของพวกหลัวซวินเป็นแหล่งขายสินค้าประเภทอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์โดยเฉพาะ ในอดีตตอนที่ธุรกิจร้านค้าออนไลน์ยังไม่เฟื่องฟู ที่นี่เป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงมากในเมืองเอ กระทั่งเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศ

ย่านนี้เต็มไปด้วยห้างร้านอาคารพาณิชย์ตั้งตระหง่าน เวลานี้บนทางเดินลอยฟ้าไม่มีแม้แต่เงาคน แถมหักพังเสียเป็นส่วนใหญ่

วัชพืชงอกขึ้นมาตามร่องถนน แม้แต่อาคารใหญ่ๆ และสะพานเชื่อมทางเดินซึ่งเคยทันสมัยก็กลับมีหญ้าเขียวขึ้นรกปกคลุมเต็มไปหมดจนดูรกร้างทรุดโทรม

พวกหลัวซวินขับรถเข้าไปจอดในสถานที่ที่ค่อนข้างปลอดภัย… สถานที่ที่ว่านั้นหมายถึงไม่มีอิฐหรือหน้าต่างกระจกที่อาจตกลงมาใส่ได้ทุกเมื่อ และไม่ได้อยู่ตรงทางแยกที่อาจมีรถพุ่งออกมาชนรถพวกเขาแบบกะทันหัน

หลังจากคนทั้งกลุ่มขนของลงจากรถและล็อกประตู ก็เตรียมเข้าไปในตึกหลังหนึ่ง ทว่าจู่ๆ เหยียนเฟยก็ชะงักเท้า เลิกคิ้วเอ่ยขึ้นว่า “ที่นี่มีโลหะอยู่เยอะมากจริงๆ”

จะไม่เยอะได้อย่างไรล่ะ เห็นๆ อยู่ว่าที่นี่ขายสินค้าอะไร แค่นี้ก็รู้แล้วว่าข้างในจะมีโลหะอยู่มากน้อยแค่ไหน เพียงแต่ก่อนหน้านี้เหยียนเฟยก็สัมผัสได้ถึงโลหะที่อยู่ตามอาคารสิ่งปลูกสร้างอยู่แล้วเช่นกัน ทว่ากลับไม่ชัดเจนเท่าตอนที่ขั้นพลังเพิ่มขึ้นเป็นขั้นห้าแบบนี้ ยิ่งเข้าใกล้อาคารเหล่านี้มากขึ้นเท่าไร เขายิ่งสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของโลหะที่พุ่งปะทะใส่หน้าได้อย่างแรงกล้า… รู้สึกได้อย่างชัดเจนมากจริงๆ แม้พูดแบบนี้คนอื่นอาจไม่เข้าใจ แต่สามารถจินตนาการตามได้ เหมือนเวลาเดินไปถึงหน้าห้องน้ำสาธารณะ กลิ่นไม่พึงประสงค์ก็จะโชยออกมาต้อนรับก่อนเลย ความรู้สึกของเหยียนเฟยในเวลานี้ก็ไม่ต่างจากนั้นนัก

สิ่งแรกที่ปรากฏแก่สายตาหลังจากเดินเข้าประตูมาก็คือ… เศษกระจกแตกเกลื่อนพื้น มิหนำซ้ำไม่ใช่แค่ผนังกระจกเท่านั้น แต่เคาน์เตอร์ที่ไว้โชว์สินค้าก็ถูกทุบแตกทั้งหมด ของที่เคยวางโชว์ไว้ในตู้พวกนั้นล้วนตกกระจายอยู่ตามพื้น ถูกทำลายเสียหายไปจำนวนมาก

แต่โชคดีที่ของเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นสินค้าตัวอย่าง หรือต่อให้เป็นสินค้าจริงก็จะมีแค่ชิ้นสองชิ้นเท่านั้น

พวกหลัวซวินค่อยๆ ย่องเข้าไปในส่วนลึกของอาคาร พลังพิเศษธาตุลมของจางซู่พัดพาไปทุกทิศทางและม้วนวนไปทั่วพื้นที่ภายในอาคารอย่างรวดเร็ว “ไม่เจออะไรผิดปกตินะ”

“เอาไงต่อดี ไปข้างบนหรือข้างล่าง” ในชีวิตสองชาติภพของหลัวซวินไม่เคยมาที่นี่มาก่อน จึงไม่คุ้นเคยกับสถานที่นี้ แต่ในเมืองเล็กๆ ที่เขาเคยอาศัยอยู่เมื่อชาติที่แล้วก็มีแหล่งขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบนี้เหมือนกัน จากความทรงจำของเขา ในห้างลักษณะนี้ล้วนมีร้านขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งชั้นบนและชั้นใต้ดิน

ตรงกันข้าม พวกหลี่เถี่ยเสียอีกที่คุ้นเคยกับแถวนี้ดี พอได้ยินคำถามนี้ก็ต่างตื่นเต้นกระตือรือร้น

“ชั้นใต้ดินของตึกนี้ส่วนใหญ่ขายโทรศัพท์มือถือเป็นหลัก”

“แล้วก็มีเครื่องเล่นเกมต่างๆ ด้วยครับ”

“แบบนี้ก็ขนกลับไปได้หลายๆ เครื่องเลย จำได้ว่าคราวก่อนเราขนโทรทัศน์มาจากโกดังด้วยใช่ไหม ที่นี่น่าจะยังมีแผ่นเกมกับการ์ดไฟล์เกมอยู่นะ ขนกลับไปเถอะ เอากลับไปหมดเลย!”

“จัดการภารกิจหลักก่อนสิ ชั้นบนน่าจะขายพวกเครื่องมืออุปกรณ์กล้องวงจรปิดและฮาร์ดดิสก์อะไรพวกนี้ วันนี้เราต้องขนกลับไปให้ได้มากที่สุด”

“กล้องเว็บแคม เอากล้องเว็บแคม”

“อย่าลืมสายดาต้าด้วยนะ”

“หัวหน้าครับ พี่เหยียน พี่จางคนสวย ไปกันเร็ว!”

ครั้นเห็นห้าหนุ่มคึกคักบ้าพลังเหมือนฉีดเลือดไก่กันมา ผู้ที่ถูกขานเรียกทั้งสามคน บวกกับสวีเหมยและซ่งหลิงหลิงซึ่งยืนอยู่ตรงมุมหนึ่งต่างก็สะท้านเยือกไปตามๆ กัน

สวีเหมยอุ้มอวี๋ซินหรันไว้ในอ้อมแขน พยายามให้หนูน้อยอยู่ห่างจากพวกเด็กหนุ่มที่ท่าทางพลุ่งพล่านผิดปกติพวกนั้นให้มากที่สุด

สุดท้ายแล้วทุกคนก็ยังคงเลือกจัดการภารกิจสำคัญก่อน คนทั้งกลุ่มจึงเดินขึ้นชั้นสองไปอย่างฮึกเหิม

ทว่าสิ่งที่ทำให้ทุกคนคาดไม่ถึงแต่กลับไม่ประหลาดใจเลยสักนิดก็คือ… เคยมีคนมากอบโกยข้าวของที่นี่แล้ว

บางทีช่วงแรกของยุควันสิ้นโลก คนที่อาศัยอยู่ละแวกนี้คงเคยมาที่นี่กันแล้ว หรือบางทีอาจเป็นคนที่มาเก็บรวบรวมทรัพยากรในภายหลัง และยิ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นคนที่เคยเดินทางผ่านมาแถวนี้แล้วแวะมาเก็บตกของบางอย่าง ที่พูดแบบนี้เพราะมีเหตุผล ประการแรก เวลานี้สินค้าในบู๊ธเล็กๆ บนชั้นสองไม่มีเหลือเลยสักชิ้น ประการที่สอง มีเคาน์เตอร์สินค้าจำนวนมากถูกเปิดไว้ ประการที่สาม เคาน์เตอร์ที่ถูก ‘เปิด’ ล้วนไม่ได้ถูกเปิดด้วยวิธีปกติทั่วไป แต่ถูกคนใช้กำลังพังจนเศษกระจกเกลื่อนเต็มพื้น สินค้าหล่นกระจัดกระจายไปทั่ว บ้างก็ถูกเหยียบเสียหายไปไม่น้อย บ้างก็ตกอยู่ตามซอก

เมื่อมองสภาพเละเทะระเนระนาดพวกนี้แล้ว คนทั้งกลุ่มที่อุตส่าห์ดั้นด้นเดินทางกันมาไกลต่างโมโหจนควันออกหู… เห็นได้ชัดว่าที่นี่ถูกคนพังราบ ซึ่งดูแล้วคนที่เคยมาที่นี่พวกนั้นไม่ได้ตั้งใจจะมาเสาะหาสิ่งของอะไร เพียงแค่เจออะไรก็ทุบก็พังเอาไว้ก่อน

“เราช่วยกันหาดูให้ดีๆ ต้องมีอันที่ยังใช้ได้อยู่บ้างละน่า” หลี่เถี่ยจ้องสิ่งของที่เกลื่อนกลาดตาเขม็งด้วยความเจ็บใจ มีกล่องใส่การ์ดจอสุมๆ อยู่กองใหญ่ เวลานี้กล่องสินค้าบางส่วนถูกทุบพังเสียหายกองทิ้งไว้ข้างๆ ทว่าข้างในนั้นต้องมีอุปกรณ์ที่ยังไม่ชำรุดเสียหายปนอยู่ด้วยแน่

“ไม่เป็นไร ยังมีอีกสองตึกอยู่ใกล้ๆ เป็นไปไม่ได้ที่คนพวกนั้นจะไปทำลายข้าวของหมดทุกตึกหรอก” หลัวซวินตบบ่าปลอบหลี่เถี่ย

หลัวซวินพูดถูก คนที่มาทำลายล้างที่นี่เป็นพวกที่ออกหาเสบียงอาหารแต่กลับคว้าน้ำเหลวไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไป พอมาถึงที่นี่ก็เอาความคับแค้นขัดเคืองใจมาระบายใส่สิ่งของที่กินไม่ได้ และตนเองก็ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เหล่านี้

แม้พวกเขาจะทำลายข้าวของไปไม่น้อย และเห็นได้ว่าชั้นหนึ่งกับชั้นสองของอาคารได้รับความเสียหายอย่างหนัก แต่ชั้นสามขึ้นไปไม่ได้เสียหายมากนัก

ทว่าน่าเสียดายที่ชั้นบนสุดของอาคารนี้เคยถูกบางอย่างกระแทกจนพังถล่มไปกว่าครึ่ง สิ่งของต่างๆ ที่เคยเก็บไว้ชั้นบนจึงเปียกชุ่มไปหมดแล้ว

ที่ชั้นใต้ดินของอาคารนี้ก็มีสภาพไม่ต่างกัน ดูเหมือนจะเป็นเพราะหิมะละลาย ตอนนี้ชั้นใต้ดินชั้นสองจึงแช่อยู่ในน้ำ สิ่งของที่อยู่ในนั้นพังเสียหายไปเกือบหมด

พวกหลัวซวินเจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ยังมีสภาพสมบูรณ์ดีบางส่วนที่ชั้นสองและชั้นสาม รวมทั้งสายดาต้าต่างๆ เป็นจำนวนมาก

เมื่อมาถึงอีกสองอาคารที่อยู่ด้านหลัง ทุกคนซึ่งหน้าตาบูดบึ้งค่อยมีสีหน้าดีขึ้นมาก เนื่องจากอาคารก่อนหน้านี้ตั้งอยู่ด้านนอกสุดติดริมถนนและทางเข้าสถานีรถไฟใต้ดินซึ่งมีผู้คนพลุกพล่านมากที่สุด ดังนั้นสิ่งของที่อยู่ข้างในจึงถูกทำลายได้รับความเสียหายมากที่สุด ส่วนสิ่งของที่อยู่ในอาคารด้านหลังเหล่านี้ นอกจากส่วนที่ขายของกินแล้ว ส่วนอื่นแทบไม่มีใครไปแตะต้องเลย

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า