โอตาคุวันสิ้นโลก
重生宅男的末世守则
暖荷 หน่วนเหอ เขียน
เมิ่งเหวิน เเปล
นิยาย 7 เล่มจบ
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
____________________________________
บทที่ 47 เพื่อนบ้านคนใหม่
หนุ่มหล่อมาแล้ว…อยู่ข้างบ้านเรานี่เอง
เมื่อตื่นนอน ล้างหน้าแปรงฟันแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้า
จู่ๆ เหยียนเฟยก็คิดว่าเขาควรเปิดอกคุยเรื่องนี้กับหลัวซวินให้กระจ่างตั้งแต่แรก เพราะถึงหลัวซวินจะหน้าบาง แต่ไม่ใช่คนกระบิดกระบวน เมื่อทั้งคู่ได้พูดคุยตกลงกันเรื่องความสัมพันธ์อย่างชัดเจนแล้ว หลัวซวินก็ไม่ปฏิเสธการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างการจูบ ลูบไล้ หรือแตะเนื้อต้องตัวของเหยียนเฟย
สรุปคือ เวลาเหยียนเฟยเข้าไปคลอเคลียใกล้ๆ อย่างมากหลัวซวินก็แค่อยู่นิ่งๆ ไม่จงใจหลีกเลี่ยงเบี่ยงตัวหลบเหมือนแต่ก่อน แถมไม่ถือสาเวลาที่เขาจับมือหรือจูบนิดจูบหน่อย
ดังนั้นเหยียนเฟยจึงรู้สึกเสียดายอย่างมากที่เคลียร์ใจกันช้าไป แต่ยังดีที่ทั้งคู่ไม่ได้ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปนานนัก เหยียนเฟยคิดว่าถ้าได้คลอเคลียใกล้ชิดแบบนี้อีกไม่กี่วัน ก็น่าจะจับอีกฝ่ายกินได้อย่างราบรื่นแล้ว
อืม คงต้องเร่งมือหน่อย เมื่อคืนเปิดเรื่องนี้ด้วยบรรยากาศที่ดีมากไว้แล้ว จะมัวโอ้เอ้อีกไม่ได้
หลัวซวินไม่ได้รู้เนื้อรู้ตัวเลยว่ามีคนกำลังเล็งบั้นท้ายตัวเองอยู่ หลังกินข้าวเสร็จเขาก็ไปเคาะประตูห้อง 1601 เพื่อบอกพวกนักศึกษา “พวกเราจะเอาแผ่นเหล็กออกไปก่อน รอเพื่อนบ้านคนใหม่มาแล้วค่อยดูสถานการณ์อีกทีว่าจะปิดต่อไหม ทุกคนก็คอยระวังๆ กันด้วย อย่าปล่อยให้คนอื่นมาเอาของตรงทางเดินไปได้”
“ได้ครับ ไม่มีปัญหา”
“พี่หลัววางใจได้ พวกเรามีกันหลายคน ช่วยกันดูได้ตั้งหลายตา”
ตรงทางเดินยังมีข้าวของกองอยู่ไม่น้อย แต่โชคดีที่ล้วนเป็นของชิ้นใหญ่ ใช่ว่าใครนึกจะมาขโมยก็ขโมยไปได้ง่ายๆ แค่พวกเขาออกมาคอยดูคอยมองบ้างก็พอ
เหยียนเฟยนำแผ่นเหล็กที่ปิดทางเข้าออกทั้งสามจุดย้ายไปพิงกองไว้ข้างกำแพงชั่วคราว ส่วนหลังจากนี้จะเอามันมาไว้ที่เดิมหรือไม่ ก็ต้องดูก่อนว่าผู้มาใหม่วันนี้เป็นใคร มีนิสัยใจคออย่างไร แล้วค่อยตัดสินใจกันอีกที ถ้าเพื่อนบ้านคนใหม่ต้องออกไปทำธุระข้างนอกเป็นประจำ พวกเขาจะดึงดันปิดทางเข้าออกก็คงไม่ได้ ห้องพวกเขามีประตูทางเข้าออกสามบาน เหยียนเฟยตัดสินใจไว้ว่าค่อยนำมาเสริมความแข็งแรงให้ประตูบ้านตัวเองเอาก็ได้ หลัวซวินเองก็มีประสบการณ์สูงมาก ไว้พวกเขาค่อยกลับไปหารือกันอีกที
ผนังในบ้านยังต้องทิ้งเอาไว้อีกสักพัก รอให้แห้งสนิทก่อนถึงค่อยลงมือต่อได้ พวกหลัวซวินตัดสินใจว่าระหว่างนี้จะปูกระเบื้องในห้องน้ำและส่วนครัวไปพลางๆ ก่อน
ในห้องน้ำมีชักโครกที่ทางโครงการติดตั้งไว้แล้ว แม้คุณภาพจะไม่ได้ดีมากแต่ก็ใช้งานได้ พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน
ทว่าระบบท่อต้องเดินและเก็บความเรียบร้อยใหม่ จากนั้นต้องปูกระเบื้องทับให้เรียบร้อย
หลัวซวินพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจรื้อและปิดตายท่อส่งแก๊ส ถึงอย่างไรหลังจากนี้ก็ไม่ได้ใช้เจ้าสิ่งนี้แล้ว เก็บไว้ก็รังแต่จะกินพื้นที่เปล่าๆ แต่จุดวางเตาแก๊สยังจำเป็นต้องคงไว้
คนทั้งเจ็ดสำรวจในครัวกันอยู่พักใหญ่ ในที่สุดเมื่อวางแผนได้แล้วว่าจะปูกระเบื้องอย่างไร พวกหลี่เถี่ยก็กลับไปลงมือทำงานที่บ้านตัวเอง พวกเขามีกันหลายคน ดังนั้นงานน่าจะคืบหน้าได้เร็ว เดี๋ยวพอพวกเขาทำเสร็จก็จะมาช่วยพวกหลัวซวินอีกแรง
ทุกคนต่างเป็นมือใหม่หัดทำ จึงไม่กล้าผสมปูนกาวเยอะเกินไป และยิ่งไม่กล้าปูผนังและพื้นทุกด้านพร้อมกันรวดเดียว จึงเลือกทำทีละด้านก่อนเพื่อคำนวณปริมาณกระเบื้องและจำนวนที่ต้องใช้ให้ดี แล้วจึงเริ่มลงมือทำกันอย่างรวดเร็ว
คนที่มือไม้คล่องแคล่วย่อมมีข้อได้เปรียบ เวลาเพียงยี่สิบนาที ผนังด้านหนึ่งก็ถูกปูด้วยกระเบื้องสีขาวสะอาดตาทั้งแถบแล้ว ในขณะที่หลัวซวินกำลังตรวจดูว่าปูกระเบื้องเรียบร้อยหรือไม่ มีจุดที่ต้องแก้ไขหรือเปล่าด้วยความรู้สึกพึงพอใจอยู่นั้น จู่ ๆ เหยียนเฟยก็ส่งสัญญาณ
“มีคนขึ้นมาแล้ว”
พวกเขารีบวางงานในมือแล้วออกไปนอกห้อง ได้ยินเสียงคนคุยกันตรงบันไดดังแว่วมาจริงๆ
วันนี้ห้อง 1601 และ 1603 เปิดประตูค้างไว้ขณะทำงาน ข้อแรกเป็นเพราะวันนี้ทุกคนเพิ่งหัดปูกระเบื้อง จึงต้องเดินเข้าเดินออกไถ่ถามกันเป็นระยะ ข้อสองก็เพื่อจะคอยฟังเสียงจากโถงทางเดินได้ตลอดเวลา
ดูเหมือนพวกคนที่ไม่ประสงค์ดีต่างรู้กันว่าชั้นสิบหกถูกปิดกั้นทางเข้าออกนานแล้ว ดังนั้นช่วงหลายวันนี้จึงไม่มีพวกเจตนาร้ายขึ้นมาสอดแนมบนนี้แล้ว ถึงต่อให้มา ใครเขาจะมาในช่วงกลางวันแสกๆ กัน
ไม่เพียงแค่เหยียนเฟยที่ได้ยินเสียงและสังเกตการณ์ด้านนอกอยู่ตลอดเวลา นักศึกษาห้าคนที่อยู่ในห้องติดบันไดพอดีก็ได้ยินเสียงเช่นกัน
พวกหลี่เถี่ยรีบวางมือจากงานแล้ววิ่งออกมา เพียงไม่นานก็เห็นว่ามีคนเดินขึ้นบันไดมาใกล้ถึงชั้นของพวกเขา
“โอ้ ไม่มีแผ่นเหล็กแล้วจริงๆ ด้วย”
“อยู่กันครบเชียว พอดีเลย นี่เพื่อนบ้านคนใหม่ของพวกคุณ” เมื่อเจ้าหน้าที่ที่เคยมาตรวจบ้านก่อนหน้านี้เห็นพวกหลัวซวินและคนอื่นๆ ก็ยิ้มให้
“ยินดีต้อนรับครับ ยินดีต้อนรับ..เอ๊ะ” หลี่เถี่ยที่ยืนอยู่หน้าสุดพลันตกใจตาโต
“อ้าว?” เหอเฉียนคุนร้องอุทานอ้าปากค้าง
หลัวซวินหันไปมองด้วยความอยากรู้ก็อ้าปากค้างโดยไม่รู้ตัวไปด้วยอีกคน ก่อนเหลือบมองเหยียนเฟยที่อยู่ข้างๆ
ส่วนอู๋ซินชี้ไปที่ชายคนนั้นพลางเอ่ยว่า “เอ่อ…นั่น นั่นใครนะ” เขาจำหน้าคนได้แม่นยำ แต่กลับนึกไม่ออกว่าคนคนนั้นชื่ออะไร
เหยียนเฟยตอบเสียงเรียบ “จางซู่”
จางซู่ก็มองคนที่อยู่บนชั้นนี้ด้วยสีหน้าประหลาดใจไม่แพ้กัน จะบังเอิญอะไรขนาดนี้
“อ้าว รู้จักกันอยู่แล้วเหรอ” ทหารคนนี้เป็นคนละคนกับที่เจอเมื่อวาน แต่พวกเขาก็เคยเจอกันมาก่อน หลัวซวินจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าอีกฝ่ายแซ่ติง
หลัวซวินพยักหน้าพลางกล่าวว่า “เคยเจอกันตอนที่พวกเราออกไปนอกฐานที่มั่นคราวก่อนน่ะครับ”
ผู้หมวดติงรีบพูด “ที่แท้ก็พวกคุณนี่เองที่พาเขากลับมายังฐานที่มั่น แบบนี้ก็ดีเลย” ยอดเยี่ยมสุดๆ ไปเลย ในที่สุดก็สลัดภาระออกไปได้เสียที
พวกหลัวซวินไม่เข้าใจว่าเหตุใดพอพวกทหารที่มาด้วยกันได้ยินเรื่องนี้แล้วถึงทำสีหน้าตื่นเต้นดีใจและรีบเร่งฝีเท้าพาจางซู่มาส่งชั้นบนโดยเร็ว จางซู่พยักหน้าให้พวกหลัวซวินด้วยสีหน้านิ่งๆ แขนข้างหนึ่งของเขาพันผ้าพันแผลจนปูดโต
ผู้หมวดติงเดินนำมา จากนั้นให้ทหารชั้นผู้น้อยคนหนึ่งเปิดประตู เขาเห็นของกองระเกะระกะตรงทางเดินก็เอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “ของเยอะแยะขนาดนี้เชียว นี่เอาไว้ใช้ทำอะไรบ้างเนี่ย”
หลี่เถี่ยหัวเราะคิกคัก “คราวก่อนพวกเราไปศูนย์อุปกรณ์แต่งบ้านมาครับ ได้ของตกแต่งบ้านมาเพียบเลย เพิ่งจะฉาบโป๊ผนังไปแค่ด้านเดียว ส่วนวันนี้พวกเรากำลังปูกระเบื้องกันอยู่ครับ”
ผู้หมวดติงกวาดตามองคนกลุ่มนี้ด้วยสายตาสุดจะเชื่อ ก่อนพูดขึ้น “พวกคุณนี่สุดยอดเลย ได้ออกไปข้างนอกก็ไม่ใช่แค่ไปหาของกินของใช้ แต่ไปขนข้าวของพวกนี้กลับมาด้วย”
เหอเฉียนคุนทำหน้าเซ็ง “จะทำยังไงได้ล่ะครับ พื้นห้องเป็นปูนเปลือย นอนกับพื้นทรมานสุดๆ เลย พวกเราต้องอดทนกันตั้งหลายวันกว่าจะหาโอกาสออกไปขนของพวกนี้กลับมาได้ เสียดายก็แต่เตียงที่ได้มาเล็กไปหน่อย เมื่อคืนผมเกือบกลิ้งตกเตียงแน่ะ”
หวังตั๋วยกมือ “ผมตกเตียงมาสามหนแล้ว”
หลัวซวินกลั้นขำ เขาคิดไว้อยู่แล้วว่าของพวกนั้นจะเอาไว้ใช้นอนถาวรได้หรือ เอนนอนลงไปแค่พลิกตัวก็ไม่เหลือที่แล้ว จะไม่ให้กลิ้งตกเตียงได้อย่างไร
ผู้หมวดติงและทหารคนอื่นมองพวกเขาด้วยสายตาทึ่ง “พวกคุณนอนเตียงอะไรกัน” เตียงแบบไหนที่นอนแล้วกลิ้งตกตั้งสามหน
“เตียงจากคลินิกเสริมความงามครับ มันเล็กมาก แถมข้างบนยังมีรูใหญ่ๆ รูนึงด้วย” เหอเฉียนคุนรีบแถลงไข
อู๋ซินตบกะโหลกเขา “ไอ้เบื๊อก มันไม่ใช่รูเฟ้ย มันเป็นช่องให้วางหน้าลงไปต่างหาก อีกอย่าง ฉันบอกให้นายเอาแผ่นกระดานปิดช่องนั้นไว้แล้วไม่ใช่เหรอ”
“ทำอย่างกับนายไม่รู้จักฉัน ตัวฉันหนักขนาดนี้ เมื่อคืนแค่บิดก้นนิดเดียว ไม้กระดานนั่นก็หักแล้ว เสียวก้นแทบแย่” เหอเฉียนคุนพูดขึ้นอย่างมีเหตุมีผล
ทหารชั้นผู้น้อยพากันหัวเราะขำ ระหว่างที่กำลังเปิดประตู มือไม้ก็สั่นหงึกๆ อยู่นานกว่าจะมีแรงเปิดออก
“พวกคุณนี่จริงๆ เลย จริงสิ คุณหมอจาง นี่ครับห้องคุณ คุณลองดูว่าพอใจหรือเปล่า”
ตั้งแต่จางซู่เดินขึ้นมาบนชั้นนี้ นอกจากพยักหน้าทักทายพวกหลัวซวินเมื่อกี้ก็ไม่พูดอะไรสักคำ เมื่อได้ยินคำพูดของผู้หมวดติงก็แค่พยักหน้าเล็กน้อย จะมีอะไรให้ไม่พอใจเล่า ห้องใหญ่ขนาดนี้ แถมยังรับแสงได้ไม่เลว ดีมากๆ แล้ว ถึงจะไม่สะดวกสบายเหมือนเมื่อก่อน แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าระหกระเหินเร่ร่อนหนีตายอยู่ข้างนอกเป็นไหนๆ
หลี่เถี่ยร้องอุทานออกมา “ให้เขาอยู่ห้องนี้คนเดียวเลยเหรอครับ”
ที่พักอาศัยในฐานที่มั่นมีจำกัดอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดตั้งแต่ตอนที่หลี่เถี่ยและเพื่อนมาถึงแล้ว ขนาดพวกเขาห้าคนยังถูกจัดให้มาอยู่ที่ห้องชุดขนาดสามห้องนอนด้วยกัน เมื่อวานตอนออกไปข้างนอกพวกเขาลองสืบมาถึงรู้ว่า ตอนนี้ห้องขนาดสองห้องนอนอยู่กันนับสิบคนนั้นถือว่าปกติมาก
เหอเฉียนคุนเผยอาการอิจฉาไม่แพ้กัน “มีพลังพิเศษนี่มันดีจริงหนอ”
ผู้หมวดติงและทหารคนอื่นๆ ได้ยินเช่นนั้นต่างก็หน้าเสียพูดอะไรไม่ออก
ผู้หมวดติงกระแอมทีหนึ่ง “…เป็นข้อยกเว้นน่ะ” ยิ่งกรณีนี้เป็นเพราะพวกเขาไม่อยากให้เกิดเรื่องเกิดเหตุร้ายตามมาด้วย
ทันใดนั้นจางซู่ก็หันขวับ ดวงตาดอกท้อโค้งขึ้นด้วยรอยแย้มยิ้มสดใสดั่งแสงตะวันในฤดูใบไม้ผลิ “พวกเขาแค่กลัวว่าจะมีคนตายในฐานที่มั่นบ่อยๆ น่ะ”
“หือ?”
“คนตาย? ใครตาย” พวกหลี่เถี่ยต่างงงงันไม่เข้าใจ
หลัวซวินขยับถอยหลังไปครึ่งก้าวอย่างเงียบเชียบ รอยยิ้มนี้สดใสเกินไป สดใสเสียจนชวนให้เขารู้สึกขนลุกซู่ ฉะนั้นหลบไปอยู่ห่างๆ หน่อยอาจปลอดภัยกว่า ทว่าเพิ่งขยับได้เพียงครึ่งก้าวก็ชนเข้ากับเหยียนเฟยที่ยืนเยื้องอยู่ข้างๆ เขา เหยียนเฟยโอบเอวเขาไว้อย่างเป็นธรรมชาติ ปกป้องเขาให้อยู่ในอ้อมกอด หลัวซวินพลันรู้สึกอุ่นใจขึ้นทันที ที่จริงมีแฟนก็ดีเหมือนกันแฮะ โดยเฉพาะแฟนที่มีพลังพิเศษแข็งแกร่งพลังทำลายล้างสูง
ผู้หมวดติงและผู้ติดตามแอบขยับออกห่างจากจางซู่เช่นกัน พวกทหารรีบวางสัมภาระที่หอบหิ้วแบกหามกันมากองในห้องรับแขกทันที เตรียมพร้อมจะเผ่นทุกเมื่อ
“ไม่มีอะไรหรอก ตอนฉันรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลของฐานที่มั่นเผลอทำคนบาดเจ็บไปหลายคน” จางซู่ยังยิ้มเย็นเยียบ
พวกหลี่เถี่ยยังคงไม่เข้าใจ “ทำคนอื่นบาดเจ็บ? มีคนชั่วคิดจะรังแกพี่อีกงั้นเหรอ”
“อ๋อ!” หานลี่ตบมือฉาด “พวกที่ทำร้ายพี่ก่อนหน้านี้ก็เข้ามาอยู่ในฐานที่มั่นด้วยใช่ไหม”
รอยยิ้มบนหน้าจางซู่พลันแข็งค้าง ก่อนค่อยๆ หุบยิ้มลง
เหอเฉียนคุนตบอกผาง “ไม่ต้องห่วงนะ อยู่ที่นี่กับพวกเราปลอดภัยแน่นอน พี่เหยียนปิดทางเข้าออกไม่ให้คนนอกผ่านได้ด้วย เว้นแต่ว่าพวกเราจะออกไปข้างนอก ไม่อย่างนั้นไม่ว่าใครก็เข้ามาไม่ได้”
“ใช่ๆ แถมลูกพี่เหยียนยังเสริมประตูหน้าต่างให้แข็งแรงทนทานขึ้นได้ด้วยนะ” หลี่เถี่ยรีบพยักหน้ารัวๆ “พวกเราทำชั้นปลูกผักไว้ด้วย ถึงพี่หลัวจะทำได้ดีกว่าพวกเราเยอะ แต่พวกเราสอนพี่ได้นะ พี่จะได้ปลูกผักไว้กินเองไงล่ะ” ไม่มีสิ่งใดปลอดภัยไปกว่าการเก็บตัวปลูกผักอยู่บ้านไม่ออกไปไหนในยุควันสิ้นโลกอีกแล้ว
เมื่อผู้หมวดติงได้ยินก็รีบถามขึ้น “พวกคุณปลูกผักในบ้านได้ด้วยเหรอ”
“ใช่ครับ ตอนนี้กำลังเพาะทั้งถั่วงอก ถั่วงอกหัวโต ถั่วลิสง และอื่นๆ อีกเพียบ ไว้รอให้ตกแต่งห้องเสร็จก่อน และอากาศอุ่นขึ้นกว่านี้อีกหน่อย ก็น่าจะปลูกได้เต็มที่ครับ” หลี่เถี่ยรีบยืดอกสาธยาย
ผู้หมวดติงรีบพูดต่อ “ถ้าทำสำเร็จแล้วรีบแจ้งพวกเรานะ ในอนาคตถ้าปลูกได้มากจนเหลือกิน ทางฐานที่มั่นยินดีรับซื้อ” ทางการก็กำลังศึกษาวิจัยเรื่องการปลูกพืชอยู่เช่นกัน พวกเขาดูแลรับผิดชอบเรื่องอาหารการกินของทุกคนในฐานที่มั่น แต่ระหว่างขั้นตอนการเพาะพันธุ์กลับพบว่าพืชผลจำนวนไม่น้อยต่างกลายพันธุ์ และอัตราการกลายพันธุ์ก็สูงมากด้วย พืชผลที่กลายพันธุ์พวกนั้นกินได้หรือไม่ก็ยังเป็นที่สงสัย ดังนั้นพวกเขาจึงกำลังศึกษาว่าจะส่งเสริมให้ประชาชนปลูกผักในครัวเรือนได้หรือไม่ ถ้าเด็กหนุ่มพวกนี้มีความสนใจ ทั้งยังสามารถปลูกได้สำเร็จ ก็จะนำไปเป็นตัวอย่างในการทดลองเพื่อต่อยอดได้อย่างสมบูรณ์
ผู้หมวดติงรีบซักถามรายละเอียด ฝ่ายจางซู่กลับหันไปมองพวกหลี่เถี่ยด้วยแววตาซับซ้อน…ยังเป็นคนดีในโลกเส็งเคร็งแบบนี้ได้อยู่อีกเหรอ
จางซู่กวาดสายตาไปทางหลัวซวินและเหยียนเฟย เห็นทั้งสองคนยืนอยู่ตรงมุมประตู แม้จะไม่ได้เข้าไปใกล้ แต่ดูจากท่าทางการยืนของทั้งคู่แล้ว…
จางซู่มองมือเหยียนเฟยที่โอบเอวหลัวซวินอยู่ ก่อนจะแค่นเสียงออกจมูกเบาๆ ทีหนึ่ง ฮึ คิดไว้อยู่แล้วเชียวว่าเจ้าหมอนี่คิดไม่ซื่อ ดูท่า คงจับเจ้าทึ่มนั่นอยู่ในเงื้อมมือได้แล้วสินะ เพิ่งผ่านไปไม่กี่วันแท้ๆ
คนที่มีสายตาแหลมคมมองปราดเดียวย่อมรู้ว่าก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองยังไม่ได้มาถึงขั้นนี้ เห็นได้ชัดว่าพอทั้งคู่กลับมาถึงฐานที่มั่นคราวนี้ ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็คืบหน้าไปไกล คงตกลงคบหากันอย่างเป็นทางการแล้ว
เมื่อผู้หมวดติงได้ยินเรื่องที่พวกหลี่เถี่ยปลูกถั่วและเพาะพันธุ์พืชอื่นๆ ไว้ก็เกิดความสนใจเป็นอย่างมาก จึงตามเข้าไปดูพืชไฮโดรโปนิกส์เหล่านั้นในบ้านพวกเขา ครั้นเห็นต้นอ่อนเริ่มงอกแล้วก็ยิ้มระรื่นพลางตบบ่าพวกเขา “ปลูกให้ดีล่ะ นี่เป็นความหวังแห่งอนาคตเชียวนะ”
ถ้าการปลูกพืชในบ้านสำเร็จได้จริงก็จะช่วยลดความตึงเครียดของฐานที่มั่นไปได้มาก ต่อไปเมื่อประชาชนปลูกพืชผักสวนครัวเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการและวิตามินที่จำเป็นเองได้ แบบนั้นขอแค่เพียงฐานที่มั่นสามารถปลูกข้าวปลูกธัญพืชต่างๆ เป็นเสบียงได้ในปริมาณมากๆ ฐานที่มั่นก็จะขับเคลื่อนได้ตามปกติ
ผู้หมวดติงไม่ค่อยรู้สถานการณ์ของโลกภายนอกมากนัก เพราะช่วงนี้เขารับหน้าที่ดูแลงานภายในฐานที่มั่นมาตลอด เขารู้แค่ว่าข้างนอกนั้นไม่ค่อยดีนัก กระทั่งได้ยินมาว่าพวกซอมบี้ที่ร้ายกาจขึ้นประเภทนั้นมีจำนวนเพิ่มขึ้นเยอะมาก แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ผู้รับผิดชอบระดับสูง แต่ก็เข้าใจว่าถ้าโลกภายนอกมีซอมบี้ที่วิวัฒนาการจนแข็งแกร่งมากเกินไป สภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตของมนุษย์ก็จะถูกจำกัดวงให้แคบเข้าอีก ถึงในฐานที่มั่นจะมีเรือกสวนไร่นาล้อมรอบ แต่ไร่นาเหล่านี้มีเนื้อที่จำกัด ผลผลิตที่ได้จึงมีจำกัดเช่นกัน ด้วยเหตุนี้หลังจากทางฐานที่มั่นมีแนวคิดให้พวกเขาช่วยรณรงค์ส่งเสริมการปลูกผักในครัวเรือน คนที่มีพื้นเพมาจากครอบครัวเกษตรกรอย่างผู้หมวดติงจึงเข้าใจความหมายของเบื้องบนได้เป็นอย่างดี
ในบ้านพวกหลี่เถี่ยใช้ท่อพีวีซีทำเป็นรางปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ ใส่น้ำปุ๋ยที่ผสมเองลงไป โดยหลี่เถี่ยจดส่วนผสมมาจากกระทู้ที่หลัวซวินโพสต์ไว้ในอินเทอร์เน็ตตั้งแต่ก่อนยุควันสิ้นโลก ไม่อย่างนั้นต่อให้เพาะผักพวกนี้ออกมาได้ก็เจริญเติบโตได้ไม่ดีเพราะขาดธาตุอาหาร
หลังจากเห็นชั้นปลูกผัก ผู้หมวดติงก็ตบบ่าพวกเขา “ปลูกเก่งดีนี่ ถ้าได้ผลดีอย่าลืมบอกพวกเราด้วยล่ะ นี่เป็นวิธีที่ดีมากทีเดียว กลับไปผมจะไปประชาสัมพันธ์ทั่วฐานที่มั่นเลย”
พวกหลี่เถี่ยยิ้มหน้าบานเมื่อได้รับคำชมจากนายทหาร
ก่อนออกไปมีทหารชั้นผู้น้อยหลายคนมองผนังที่ฉาบโป๊เสร็จแล้วด้วยความอยากรู้อยากเห็น พลันมีคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “ถึงจะไม่ค่อยเรียบเท่าไร แต่พอแห้งแล้วคงจะใช้งานได้เลย”
หวังตั๋วพูดกลั้วหัวเราะ “เพิ่งโป๊ไปรอบเดียว ต้องรอให้แห้งก่อนค่อยเริ่มรอบสองอีกทีครับ”
คนถามอึ้งไปเล็กน้อย “ทำไมต้องทำสองรอบล่ะ”
“เอ๊ะ? พวกเราอ่านมาจากคู่มือแต่งเติมบ้าน เขาบอกว่าต้องฉาบสามรอบ” หวังตั๋วหันไปมองหานลี่ที่อยู่ข้างๆ เพื่อยืนยันความมั่นใจ อีกฝ่ายรีบพยักหน้าเห็นด้วย
ทหารหลายคนต่างหัวเราะขัน “รอบเดียวก็ใช้ได้แล้ว ฉาบทำไมหลายรอบ ลำพังแค่รอให้แห้งต้องรอไปถึงชาติไหนเล่า นี่ไม่ใช่ยุคก่อนวันสิ้นโลกสักหน่อย ไม่จำเป็นต้องประณีตขนาดนั้นหรอก แค่ไม่รั่วไม่ร้าวก็พอ หลังฉาบโป๊เสร็จก็ทาสีน้ำอะคริลิกทับอีกรอบ ผนังก็คงทนไปได้อีกนานแล้ว”
เหอเฉียนคุนตบไหล่อู๋ซิน “ฉันบอกแล้วว่าไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้น พวกนายก็ไม่ฟัง ยืนกรานว่าต้องทำตามตำราท่าเดียว”
หลี่เถี่ยพยักหน้าอย่างดีใจ “ดีเลย แบบนี้ง่ายกว่าเยอะ รอให้ผนังแห้งสนิทแล้วค่อยทาสี จากนั้นก็ปูพื้นได้เลย” เขาพูดพลางหันไปมองด้านข้าง “ของยังเหลืออีกเพียบ ถ้าใช้ไม่หมดเรายกให้พี่จางไปก็ได้”
กับพี่ชายสุดหล่อคนนั้นที่ถูกเพื่อนหลอกไปทำร้ายจนแขนบาดเจ็บเพื่อเป็นเหยื่อล่อให้ซอมบี้ไล่ตาม หากตัดเรื่องหน้าตาที่หล่อเสียจนน่าอิจฉาออกไป พวกหลี่เถี่ยทั้งห้าคนก็รู้สึกสงสารเห็นใจเขาเป็นอย่างมาก ยิ่งตอนนี้ได้มาเป็นเพื่อนบ้านกันแล้ว ยังต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอีกนาน อย่างไรก็ต้องถ้อยทีถ้อยอาศัยต่อกัน
คำพูดของหลี่เถี่ยทำให้เพื่อนอีกสี่คนต่างพากันพยักหน้า ผู้หมวดติงถามด้วยสีหน้าทึ่ง “พวกคุณ…ดูสนิทกันจังเลยเนาะ”
พวกเขามองหน้ากันไปมา หลี่เถี่ยคิดเล็กน้อยก่อนพูดว่า “ก็ทำนองนั้นแหละครับ ระหว่างทางกลับมาที่ฐานที่มั่นด้วยกัน พวกเราคุยกันถูกคอดีครับ”
ทหารชั้นผู้น้อยคนหนึ่งถามขึ้นด้วยความอยากรู้ “เขาไม่เกรี้ยวกราดใส่พวกคุณ ไม่ได้ปล่อย…พลังพิเศษใส่เหรอ”
เหอเฉียนคุนเอ่ยถามด้วยความฉงน “เกรี้ยวกราดเรื่องอะไร แล้วทำไมต้องใช้พลังด้วยล่ะ”
พวกนักศึกษากับพวกทหารพูดคุยกันไปพลางระหว่างเดินออกมาจากห้อง พอมาถึงโถงทางเดินก็เห็นจางซู่ยืนอยู่ตรงประตูหน้าห้อง 1602 กับหลัวซวินและเหยียนเฟย ไม่รู้ว่ากำลังคุยอะไรกันอยู่
หานลี่นึกถึงเรื่องที่คุยค้างไว้ขึ้นได้ จึงรีบถามจางซู่ “จริงสิ เมื่อกี้ยังคุยกันไม่จบเลย พี่ได้เจอคนที่ทำร้ายพี่แล้วใช่ไหม” ถึงได้ทำร้ายคนตอนอยู่ที่โรงพยาบาลสินะ
สายตาจางซู่มีเลศนัย ก่อนเลิกคิ้วขึ้นตอบ “เปล่า ยังไม่เจอ”
“อ้าว?”
“ถ้าอย่างนั้นคงมีคนจะมารังแกพี่แหงๆ เลย” อู๋ซินพูดอย่างมั่นใจ ถ้าไม่มีคนหาเรื่องเขาตอนนอนโรงพยาบาลแล้วเขาจะทำร้ายคนอื่นทำไม ระหว่างทางกลับฐานที่มั่นมาด้วยกันกับพวกของตนก็ไม่เห็นจะทำร้ายใครเลยนี่นา ไม่ใช่พวกคนบ้าสักหน่อย
จางซู่กลับมาตีหน้านิ่งตามเดิม เพียงแค่กะพริบตาแต่ไม่ตอบอะไร
ผู้หมวดติงกระแอมขึ้นทีหนึ่งก่อนหันไปมองทุกคนแล้วพูดขึ้นว่า “เอาเป็นว่า ฝากพวกคุณดูแลจางซู่ รวมถึงเรื่องปลูกผักด้วยนะ ถ้ารู้ผลก็แจ้งพวกเราหน่อย แล้วก็ถ้ามีเมล็ดพันธุ์ที่เพาะออกมาเปลี่ยนสี ของพวกนั้นส่วนใหญ่มีพิษกินไม่ได้ ให้รีบกำจัดทิ้งทันทีล่ะ วันนี้พวกเราขอตัวกลับก่อน”
พูดจบเขาก็ตั้งใจหันไปมองจางซู่โดยเฉพาะ แม้เขาจะไม่รู้ชัดเจนนักว่าทำไมก่อนหน้านี้จางซู่ถึงมีเรื่องขัดแย้งกับคนอื่นที่โรงพยาบาลตั้งหลายครั้ง แต่ละครั้งล้วนวุ่นวายใหญ่โตทั้งสิ้น ถึงขนาดที่ข้าวของมากมายในห้องยังโดนพลังพิเศษของเขาทำลายจนพังเละ ส่วนคนพวกนั้นก็บาดเจ็บเลือดอาบเต็มตัว ถ้าไปเจอไม่ทันคงเลือดไหลหมดตัวตายกันหมดแล้ว
หลังจากเกิดเหตุจางซู่ก็ไม่พูดอะไร พอไปถามคนที่ถูกทำร้าย คนพวกนั้นกลับพูดจาไม่รู้เรื่อง
ครั้นเห็นพวกผู้หมวดติงกำลังจะเดินลงบันได เหอเฉียนคุนก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย “ทำไมไม่ลงลิฟต์ล่ะครับ”
ผู้หมวดติงโบกมือปัด “วันนี้มีคนใช้ลิฟต์ขนของ อีกอย่าง พวกเราก็แข็งแรงกันดี เลยไม่แย่งใช้ลิฟต์ดีกว่า” เมื่อพูดจบเขาก็หันหลังเดินลงบันไดไป
รอจนกระทั่งไม่ได้ยินเสียงของพวกผู้หมวดติงแล้ว หานลี่จึงหันมามองเหยียนเฟย และเลื่อนสายตามองไปทางจางซู่ด้วย “จะปิดทางเข้าออกไหมครับ”
จางซู่ไม่เข้าใจ ดวงตาดอกท้อกวาดมองทุกคนที่กำลังมองเหยียนเฟยด้วยสายตารอฟังคำตอบ