โอตาคุวันสิ้นโลก
重生宅男的末世守则
暖荷 หน่วนเหอ เขียน
เมิ่งเหวิน เเปล
นิยาย 7 เล่มจบ
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
____________________________________
บทที่ 49 ความร่วมมือในหมู่เพื่อนบ้าน
ดังนั้นเหยียนเฟยจึงไม่ต้องกังวลเลยว่าคนรักของตนจะถูกคนฉกไป
เมื่อได้ยินคำประท้วงจากหลัวซวิน เหยียนเฟยก็ซุกหน้ากับต้นคอเขาแล้วหัวเราะเบาๆ “นายจะให้ฉันทำตัวดีๆ แบบไหนล่ะ” พูดพลางดุนดันเจ้าตัวป่วนแนบชิดติดท้องน้อยของหลัวซวิน
ตรงส่วนนั้นรู้สึกเหมือนถูกน้ำร้อนลวกอย่างไรอย่างนั้น หลัวซวินสั่นสะท้านจนไม่กล้าขยับตัวอีก เขาเองก็เริ่มตื่นตัวขึ้นมาเล็กน้อยแล้วเหมือนกัน ถ้าหมอนี่รู้เข้าต้องทำเรื่องหน้าไม่อายกับเขาแน่ หากเขายังไม่ได้เตรียมตัวให้ดีและยังไม่อาจมั่นใจได้ว่าตนจะเป็นฝ่ายรุกได้ ก็ควรหลีกเลี่ยงเรื่องพรรค์นี้ไปก่อนชั่วคราวถึงจะดีที่สุด
ยิ่งอุณหภูมิในกายสูงขึ้นเท่าไร ความคิดที่เตลิดไปไกลก็ยิ่งคาดหวังเฝ้าคอยให้บางอย่างเกิดขึ้น
จู่ๆ เหยียนเฟยก็เสนอออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมจริงจัง “พวกเรามาช่วยกันดีกว่า” เมื่อยังจับกินทันทีไม่ได้ แต่ก็ควรรีบชิงผลประโยชน์มาให้เร็วที่สุด เขาอุตส่าห์อดทนมาตั้งนานก็เพื่อสิ่งนี้ไม่ใช่หรือ
ต่างฝ่ายต่างช่วยเหลือกัน ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์… ไม่มีใครเสียเปรียบ ได้ปลดปล่อยด้วยกันทั้งคู่
ทันทีที่สายตาสบประสาน เหยียนเฟยก็โน้มตัวลงบรรจงจูบอย่างช้าๆ ก่อนที่หลัวซวินจะเผลอไผลกลับมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัวรางๆ… เมื่อคืนยังคิดอยู่เลยว่าไม่ควรใจเร็วด่วนได้ ต้องรักนวลสงวนตัวนี่นา แล้วความคิดนั้นหลุดลอยไปไหนแล้ว แต่ตัวเขาก็ไม่ใช่ผู้หญิงสักหน่อย จะหวงเนื้อหวงตัวไปทำไม คว้าประโยชน์ไว้ก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันก็ได้มั้ง
เมื่อคิดได้แบบนั้นหลัวซวินก็เริ่มออกตัวเป็นฝ่ายรุกก่อนบ้าง เขาลูบไล้ฝ่ามือไปตามแนวสันหลังของอีกฝ่าย จากนั้นเกี่ยวกางเกงที่เกะกะขวางตามานานตัวนั้นออก…
เช้าตรู่อันแสนสดชื่น หลัวซวินแปรงฟันเร็วกว่าปกติหลายเท่า เขาชำเลืองมองไปทางเหยียนเฟยที่กำลังเดินไปเดินมาอยู่ในห้องรับแขก พยายามสลัดเจ้าตัวเล็กที่ตามไล่งับรองเท้าสลิปเปอร์ออกไป จู่ๆ หลัวซวินก็รู้สึกว่าการที่ตนไม่บอกเรื่องรสนิยมของตัวเองกับเหยียนเฟยตั้งแต่ทีแรกเป็นเรื่องขาดทุนอยู่ไม่น้อย แต่พอลองคิดดูอีกที ถ้าเขาบอกเร็วเกินไป แล้วตอนนั้นเหยียนเฟยยังไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขา ไม่แน่อาจแย่กว่าเดิมก็ได้
ในใจหลัวซวินคิดไม่ถึงว่าตัวเองจะได้แฟนหนุ่มหน้าตาดี แถมยังเป็นผู้มีพลังพิเศษสุดแข็งแกร่งอีก เขาดีใจได้ไม่กี่วินาที พลันนึกถึงใบหน้าสวยงดงามที่อาจนำภัยมาของอีกฝ่าย
จริงสิ!
หลัวซวินรีบวางแปรงสีฟัน บ้วนน้ำกลั้วปากแบบลวกๆ แล้วซอยเท้าวิ่งออกจากห้องน้ำขึ้นบันไดไปที่ชั้นลอย
เหยียนเฟยที่ยังยื้อยุดแสดงอำนาจความเป็นเจ้าของรองเท้าสลิปเปอร์อยู่กับเจ้าตัวเล็กเห็นท่าทางรีบร้อนของคนรัก เครื่องหมายคำถามก็โผล่ขึ้นมาในหัวเต็มไปหมด ยังไม่ทันเอ่ยปากเรียกชื่อหลัวซวิน ก็ได้ยินเสียงเปิดประตูห้องนอนดังมาจากด้านบน นี่เขานึกอะไรขึ้นได้งั้นเหรอ
หลัวซวินหายเข้าไปรื้อกล่องค้นตู้ในห้องนอน เปิดลิ้นชักคุ้ยหาจนเจอหน้ากากปิดปากสีขาวห่อใหญ่ เขารีบหอบมันลงมายังชั้นล่างแล้วยื่นส่งให้เหยียนเฟย “ให้นาย”
“หือ?” เหยียนเฟยรับหน้ากากผ้ามาอย่างไม่เข้าใจ มองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย
หลัวซวินสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย ก่อนกระแอมเสียงเข้มทีหนึ่งแล้วพูดอย่างเด็ดขาดชอบธรรม “นายชอบคาดหน้ากากปิดปากเวลาออกไปนอกบ้านไม่ใช่เหรอ ของพวกนี้ให้นายเก็บไว้ใช้ ข้างบนยังมีอีกเพียบ อันเก่าของนายใช้มานานแล้ว”
หน้ากากผ้าที่เหยียนเฟยใช้ก่อนหน้านี้เปื้อนคราบเลือดตั้งแต่ตอนถูกลอบทำร้าย เมื่อซักไม่ออกก็ต้องโยนทิ้ง แต่ดูเหมือนเหยียนเฟยจะชินกับการคาดหน้ากากปิดปากเวลาออกไปข้างนอกเอามากๆ เขาจึงมีสำรองไว้อีกชิ้น ช่วงหลังมานี้เวลาออกไปข้างนอกจึงใช้อันที่สำรองติดตัวมาแต่แรก แต่นั่นก็เป็นชิ้นสุดท้ายที่เขามี วันหนึ่งถ้าใช้ไม่ได้อีกก็ไม่มีเหลือแล้ว
เมื่อคิดถึงใบหน้านำภัยของหมอนี่ หากออกไปเดินเตร่ข้างนอกแล้วเกิดตกคนมาคอยตามตื๊อเป็นพรวนเข้าจะทำอย่างไร ต่อให้เจ้าตัวไม่คิดนอกใจ แต่เขาเห็นแล้วก็คงไม่สบายใจ ดังนั้นกันไว้ดีกว่าแก้ ต้องตัดไฟเสียแต่ต้นลม แบบนี้เป็นไปได้มากกว่า
ครั้นมีเสียงตะโกนดังมาจากโถงทางเดิน หลัวซวินจึงรีบยัดหน้ากากผ้าห่อใหญ่ใส่อ้อมแขนเหยียนเฟย มองข้ามใบหน้าที่เลิกคิ้วยิ้มกรุ้มกริ่มของอีกฝ่าย แล้วรีบวิ่งไปส่องดูตรงช่องตาแมว… พวกหลี่เถี่ยมากันแล้ว
นักศึกษาห้าคนรีบแจ้นไปช่วยจางซู่ด้วยท่าทางกระตือรือร้นมีน้ำจิตน้ำใจเป็นพิเศษ ทำเอาเจ้าของห้องหนุ่มหล่อที่ยังงัวเงียไม่ตื่นดีหน้าเกร็งกระตุก แต่ก็ยอมเปิดทางให้ทั้งห้าคนเข้าไป ว่ากันตามตรง ถ้าไม่ใช่เพราะเด็กหนุ่มห้าคนนี้ท่าทางดูซื่อตรง นัยน์ตาใสซื่อบริสุทธิ์ดูไม่มีแผนการละก็ เขาไม่มีทางยอมรับความช่วยเหลือจากพวกเขาแน่
สิ่งที่เขาประสบมาใกล้เคียงกับเหยียนเฟย ตั้งแต่ก่อนยุควันสิ้นโลกจางซู่ก็มีรูปลักษณ์โดดเด่นดึงดูดผู้คนมากหน้าหลายตาทั้งชายหญิง ทั้งเด็กและคนแก่ ต่างก็คิดจะเข้าหาเขาแบบมีเจตนาไม่ซื่อ แต่เขาโชคร้ายกว่าเหยียนเฟยตรงที่ไม่ได้มีฐานะและอำนาจขนาดนั้น และยิ่งไม่ได้มีบุคลิกน่าเกรงขามอย่างเหยียนเฟย ดังนั้นจึงต้องเผชิญกับเหตุการณ์น่าอึดอัดที่ไม่อาจสลัดพ้นมาสารพัดรูปแบบ
หลังวันสิ้นโลกก็เป็นอย่างที่เห็น พรรคพวกหันมาทำร้ายและปล้นชิงกันเองบ่อยครั้งจนกลายเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นถ้าเขายังเชื่อใจคนอื่นได้อีกนั่นก็แปลกแล้ว
เมื่อคืนก่อนเข้านอน หลี่เถี่ยกับเพื่อนจัดการฉาบโป๊ผนังห้องนอนเสร็จไปแล้วหนึ่งห้อง วันนี้พวกเขาเลยแบ่งงานสองคนทำห้องนอนห้องที่สอง ส่วนสามคนที่เหลือทำห้องรับแขก
เมื่อพวกหลัวซวินกินข้าวเช้าเสร็จก็แวะมาดูสถานการณ์ทางด้านนี้ พวกเขาช่วยแบ่งวัสดุซ่อมแซมตกแต่งจำนวนหนึ่งมาให้จางซู่บ้างก็พอแล้ว แต่จะให้ลงแรงช่วยด้วยน่ะเหรอ เหอะๆ พวกเขาไม่ใช่คนดีมีจิตอาสาชอบช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทนขนาดนั้น
อีกอย่าง พวกเขาก็ดูออกว่าจางซู่เป็นคนระแวดระวังตัวสูงมาก หากไม่ใช่เพราะนักศึกษาห้าคนนี้กระตือรือร้นเป็นพิเศษ ฝ่ายนั้นคงไม่ยอมรับการช่วยเหลือ
เวลานี้จางซู่กำลังสำรวจดูปูนโป๊ถังหนึ่งอยู่ในห้องรับแขก เห็นทั้งคู่เดินเข้ามาก็หันไปพยักหน้าให้พวกเขา
หลัวซวินเดินวนดูรอบๆ เห็นที่นอนพับไว้อย่างเป็นระเบียบอยู่ตรงมุมห้อง ทั้งยังมีขวดน้ำแร่ที่เต็มขวดบ้าง เหลือเพียงครึ่งขวดบ้างตั้งอยู่ใกล้ๆ จางซู่ใช้น้ำอย่างระมัดระวังมาก เพราะเขาเพิ่งเข้ามาจากนอกฐานที่มั่นจึงรู้ว่าข้างนอกนั้นหาน้ำยากแค่ไหน อีกอย่างก็กังวลเรื่องน้ำประปาจะปนเปื้อนจึงไม่กล้าใช้น้ำจากก๊อกโดยตรง
ครั้นหลัวซวินเห็นอุปกรณ์กรองน้ำแบบง่ายชุดนั้นในครัว ก็เอ่ยเตือนด้วยความหวังดี “ใช้แค่อุปกรณ์กรองน้ำอย่างเดียวรับประกันความปลอดภัยไม่ได้หรอก ถ้าให้ดีพักน้ำที่กรองแล้วทิ้งไว้สักครึ่งวัน แล้วค่อยตักเอาแต่น้ำช่วงบนๆ ขึ้นมาใส่เม็ดยาฆ่าเชื้อในน้ำลงไป จากนั้นก็นำมากลั่นอีกรอบถึงจะใช้ได้”
“กลั่นน้ำงั้นเหรอ” จางซู่เดินไปข้างๆ ห้องครัว แล้วมองห้องว่างเปล่าที่มีแต่ก๊อกน้ำ “กลั่นยังไง”
หลี่เถี่ยโบกเกรียงพร้อมกับตะโกนตอบกลับมา “เดี๋ยวผมสอนพี่เอง ในกระทู้ที่เปิดให้พี่ดูเมื่อวานมีบอกไว้ ทำง่ายสุดๆ”
หลัวซวินไม่อยากแย่งโอกาสในการเป็นครูให้คนอื่นของหลี่เถี่ย จึงพูดขึ้นยิ้มๆ ว่า “ขนาดน้ำที่ผ่านการกลั่นมาแล้วก็ยังไม่ปลอดภัยเต็มร้อย ทางที่ดีต้มก่อนอีกทีแล้วค่อยใช้ จะได้ไม่มีอะไรต้องเสี่ยง”
จางซู่พยักหน้า “คนที่รอดชีวิตข้างนอกกล้าดื่มก็แต่น้ำแร่ที่ยังไม่เปิดขวดเท่านั้น เพราะพวกเราได้ยินว่ามีคนเคยเห็นคนที่ดื่มน้ำก๊อกกลายเป็นซอมบี้”
เหยียนเฟยเลิกคิ้วเล็กน้อย “เชื้อปนเปื้อนในน้ำจริงๆ เหรอ”
ฐานที่มั่นให้คำแนะนำเรื่องการดื่มน้ำอย่างปลอดภัยก็เพื่อป้องกันไว้ก่อน แต่ไม่เคยได้ข่าวว่ามีคนกลายเป็นซอมบี้เพราะดื่มน้ำประปามาก่อน ดังนั้นทุกคนจึงแค่ป้องกันไว้ก่อนเท่านั้น
“ฉันก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า แต่มีคนบอกมาแบบนี้ ทุกคนเลยค่อนข้างระวังกัน” จางซู่ยักไหล่พร้อมกับหัวเราะเสียงเย็น “ตอนนี้ผู้รอดชีวิตนอกฐานที่มั่นปล้นหมดทุกอย่างนั่นแหละ ไม่ว่าน้ำแร่นั่นจะยังดื่มได้ไหมก็ตาม เวลานี้ผู้คนปล้นน้ำสะอาดเยอะยิ่งกว่าปล้นอาหารอีก เพราะถึงไม่กินข้าวก็ยังมีชีวิตอยู่ได้สองสามวัน แต่ถ้าไม่ดื่มน้ำ ไม่นานก็ตาย”
ก่อนจางซู่มาถึงฐานที่มั่นไม่มีอะไรติดตัวเลยสักชิ้น ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเป็นแพทย์ฝึกหัด แค่มีพลังพิเศษธาตุลมที่แข็งแกร่งเพียงอย่างเดียว ฐานที่มั่นคงไม่ดูแลเขาดีถึงขนาดจัดเตรียมที่พักอาศัยให้เขาอยู่คนเดียวทั้งที่ทำร้ายคนอื่นไปถึงสามครั้งติดต่อกันหรอก
หลัวซวินเดินวนดูจนทั่วจึงรู้ว่าปริมาณอาหารที่ฐานที่มั่นจัดให้จางซู่พอให้เขากินได้หนึ่งอาทิตย์ ถ้าประหยัดก็อาจกินได้นานเกือบสองอาทิตย์ แถมยังให้อุปกรณ์กรองน้ำมาหนึ่งชุด หม้อเล็กหนึ่งใบ ชามสเตนเลสหนึ่งใบ นอกจากนี้ยังมีผ้านวมและถุงนอน รวมทั้งข้าวของเครื่องใช้อื่นๆ อีกเล็กน้อย
จุดนี้เห็นได้ว่า ถึงฐานที่มั่นจะดูแลบุคลากรผู้มีความสามารถพิเศษเป็นอย่างดี แต่ก็ไม่ได้จัดสรรข้าวของให้เขามากนัก ดังนั้นเมื่อจางซู่รักษาแผลจนหายดีแล้วก็ยังต้องไปรายงานตัวกับฐานที่มั่นเพื่อเริ่มงาน ไม่อย่างนั้นคงต้องกินลมแทนอาหาร
“ฉันจำได้ว่าแผลที่แขนนายลึกมากเลยนี่ ไปโดนอะไรฟันมา” ปากแผลของจางซู่เรียบและลึกมาก เห็นได้ชัดว่าถูกของมีคม เหยียนเฟยตวัดตาเหลือบมองแขนจางซู่ ในเมื่อภรรยาของเขาไม่ได้จ้องหมอนี่ตาเป็นมัน ก็ไม่จำเป็นต้องแสดงท่าทีเป็นศัตรูต่ออีกฝ่ายรุนแรงนัก
จางซู่เหยียดยิ้มมุมปากข้างหนึ่ง ดวงตาดอกท้อฉายแววเย็นเยียบ “มีดผ่าตัด” ก่อนเสริมต่ออีกคำ “ของฉันเอง”
แย่งมีดผ่าตัดเขาไป แถมยังใช้มันทำร้ายเขาอีกอย่างนั้นหรือ เหยียนเฟยเลิกคิ้วเล็กน้อย ดูท่าชีวิตข้างนอกจะ ‘ตื่นเต้นเร้าใจ’ ไม่เบา
“ฉันบอกแล้วว่าคนพวกนั้นไม่ใช่คนดีแน่ๆ” เหอเฉียนคุนได้ยินบทสนทนาของคนทั้งสองก็ถูจมูกฮึดฮัด ทำให้เปื้อนสีขาวปื้นใหญ่
“ใช่ พี่จาง ถ้าคนพวกนั้นมาอยู่ที่ฐานที่มั่นแล้วพี่เจอเข้าให้รีบบอกพวกเรานะ พวกเราจะช่วยพี่ีหากระสอบไปคลุมหัวพวกนั้นแล้วอัดพวกมันเอง” อู๋ซินอาสาเป็นกำลังหนุนอีกคน
จางซู่กลับยิ้มพราย ดวงตาดอกท้อโค้งขึ้นเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว “ไม่ต้องหรอก ถ้าฉันเจอพวกมันจริงๆ ฉันจะจัดการด้วยตัวเอง”
หลัวซวินที่เพิ่งเดินสำรวจรอบห้องเสร็จกลับมาเห็นรอยยิ้มนี้ของอีกฝ่ายเข้าพอดี จึงขนลุกซู่อย่างห้ามไม่อยู่
หลัวซวินบอกกับพวกหลี่เถี่ยว่าตนกับเหยียนเฟยจะเปลี่ยนประตูบ้านของตัวเองกันใหม่ นั่นคือการรวมประตูสองบานเป็นบานเดียว ดังนั้นจึงขอตัวกลับก่อน
ตรงโถงทางเดินยังมีวัสดุโลหะกองอยู่ไม่น้อย เหยียนเฟยเลือกโลหะที่กันสนิมได้ดีกว่าเหล็กออกมา และเลือกโลหะกองหนึ่งที่ก่อนหน้านี้ถูกเขาหลอมรวมกันจนแยกไม่ออกว่าเป็นโลหะชนิดไหน เอามาหลอมเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็วจนเป็น ‘ประตูบานใหญ่’ ที่แข็งแรงทนทาน
เขาสร้างวงกบประตูเชื่อมกับคอนกรีตเสริมเหล็กของผนังห้อง ฝังลึกเข้าไปในตัวผนัง เว้นแต่มีผู้มีพลังพิเศษถึงจะทุบผนังเสริมเหล็กนี้ได้ ไม่อย่างนั้นเวลาเพียงชั่วครู่ก็ไม่มีทางเข้ามายังโถงหน้าของบ้านพวกเขาได้หรอก
ส่วนที่เรียกว่าห้องโถงก็คือมุมเล็ก ๆ ระหว่างประตูทางเข้าสองบานเดิม หลัวซวินถอดกล้องตาแมวดิจิทัลบนประตูบานเดิมออก แล้วใส่อันสำรองเข้าไปแทน เหยียนเฟยเจาะรูตาแมวแล้วติดตั้งกล้องตาแมวกับประตูโดยเชื่อมติดอย่างแน่นหนา ต่อให้คนอื่นอยากถอดออกก็ทำไม่ได้
นอกจากนี้ยังย้ายกริ่งประตูออกมาติดไว้หน้าประตูบานใหญ่
หลังจากทำประตูบานใหม่เสร็จแล้ว ทั้งสองก็ฉุกคิดเรื่องหนึ่งขึ้นได้ หน้าต่างในห้อง 1604 เป็นกระจกนิรภัยที่ทนทาน แต่ห้อง 1603 ยังเป็นกระจกของเดิม ถ้าหากมีคนเอาของแข็งมากระแทกก็แตกแล้ว
“ติดเหล็กดัดกันเถอะ แบบนี้ต่อให้เอาแผงพลังงานแสงอาทิตย์ติดตั้งไว้ด้านนอก คนอื่นก็ขโมยไปไม่ได้แล้ว” หลัวซวินรีบเสนอความคิดเห็นด้วยดวงตาเป็นประกาย
“จะติดเหล็กดัดนอกห้อง 1604 ด้วยก็ได้นะ” เหยียนเฟยครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนพยักหน้า “กระจกนิรภัยก็แตกได้เหมือนกัน ฉะนั้นป้องกันไว้หลายชั้นหน่อยปลอดภัยกว่า”
พวกเขาขนโลหะกลับมาเยอะพอสมควร นอกจากใช้ทำระบบท่อความร้อนใต้พื้นแล้วก็ยังเหลืออีกเยอะมาก นำมาใช้เสริมการป้องกันได้ ทำให้บ้านทั้งสองห้องกลายเป็นรังแฮมสเตอร์ที่แข็งแรงทนทานขั้นสุด
หากนำลูกกรงเหล็กดัดเชื่อมเข้ากับเหล็กเส้นภายในผนังคอนกรีตเสริมเหล็ก ก็จะทำให้ลูกกรงเหล็กพวกนี้แข็งแรงแน่นหนาสุดๆ
เหยียนเฟยถึงขั้นใช้โลหะที่เก็บไว้ในบ้านมาเสริมความแข็งแกร่งให้ผนังคอนกรีต เพราะส่วนที่ต่อเติมเพิ่มทั้งหนักและเยอะมาก ผนังเดิมจึงอาจรับไม่ไหว ถ้าตอนนี้เขามีโลหะและพลังจิตมากพอ เขาคงใช้โลหะมาหลอมตึกนี้ทั้งหลังไปแล้ว แบบนั้นต่อให้แผ่นดินไหวสิบริกเตอร์ก็ไม่หวั่น
พวกเขาสร้างประตูใหม่กันอย่างสนุกสนาน ถึงขนาดที่ยังไม่ทันได้กินมื้อเที่ยงเหยียนเฟยก็มานอนแผ่ฟื้นฟูพลังอยู่บนโซฟาแล้ว ข้างโซฟาเหลือรองเท้าสลิปเปอร์เพียงข้างเดียว ส่วนอีกข้างไม่รู้ว่าถูกเจ้าตัวเล็กขโมยไปซ่อนไว้ที่ไหน
เมื่อหลัวซวินจัดการกับพืชผักตรงระเบียงเสร็จ ก็เปิดหน้าต่างนำแผงพลังงานแสงอาทิตย์ไปติดตั้งบนโครงเหล็กดัดด้านนอก… ข้างใต้สุดเหยียนเฟยทำเป็นแผ่นเหล็กป้องกันไม่ให้ของร่วงหล่นลงไปไว้ให้ด้วย ทำให้เหล็กดัดบ้านเขามีฐานกว้างกว่าเหล็กดัดของบ้านอื่นเล็กน้อย ต่อไปอาจนำพืชผลมาตากแดดบนแผ่นเหล็กนี้ได้
“ฉันจะไปห้องข้างๆ หน่อย นายพักผ่อนไปก่อนเถอะ” หลังเก็บของเสร็จเรียบร้อยหลัวซวินก็หอบผักกาดหอมสองต้นเตรียมออกจากห้อง
“เดี๋ยว มานี่ก่อน” เหยียนเฟยกวักมือเรียกเขา หลัวซวินเดินไปตรงข้างโซฟาอย่างไม่เข้าใจ พลันถูกอีกฝ่ายดึงคอเสื้อให้โน้มตัวลงไปเพื่อจูบริมฝีปากเขา “เพิ่มความเร็วในการฟื้นพลังน่ะ”
หลัวซวินอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนเข่นเขี้ยวก้มลงงับปากอีกฝ่ายทีหนึ่งแรงๆ แล้วรีบยืดตัวขึ้นเดินออกจากห้องไป
“โห ทำเร็วมาก เกือบเสร็จแล้วนี่” หลัวซวินเข้าประตูมาก็ต้องประหลาดใจ ทั้งที่พวกเขาเพิ่งเริ่มงานกันเมื่อเช้า คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะเสร็จไปแล้วกว่าครึ่ง
“ใช่ไหมล่ะ ผมบอกแล้ว ถ้าวันหน้าพวกเราตกงานก็ไปรับจ้างปรับปรุงบ้านให้คนอื่นได้เลย” หานลี่ยิ้มกว้างด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“พี่หลัวถืออะไรมา” แวบแรกที่เห็นสีเขียว ดวงตาหลี่เถี่ยก็แทบจะปล่อยแสงสีเขียวออกมาในทันที ฝ่ายจางซู่ก็หันมามองของในอ้อมแขนหลัวซวินด้วยความประหลาดใจ ตอนเขาอยู่ข้างนอกนั่นไม่ได้เห็นผักใบเขียวมานานมากแล้ว
“ผักกาดหอมน่ะ” หลัวซวินยิ้มพร้อมกับยื่นผักส่งให้หวังตั๋วที่อยู่ใกล้สุด “ทีแรกช่วงก่อนวันสิ้นโลกฉันคิดจะปลูกผักตรงระเบียงบ้าน เลยซื้อเมล็ดพันธุ์จากซูเปอร์มาร์เก็ตมา ส่วนผักนี่ก็เป็นของที่ลองปลูกหลังจากเกิดวันสิ้นโลกแล้ว”
เหล่านักศึกษาส่งเสียงเฮลั่นด้วยความดีใจ หลี่เถี่ยรีบพุ่งไปข้างๆ หลัวซวิน สายตาเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง “พี่หลัว วันหน้าถ้าผักกาดหอมติดเมล็ด ขอแบ่งให้พวกเราหน่อยได้ไหม” เดิมทีพวกเขากะว่าจะออกไปหาเมล็ดพันธุ์กันอีก แต่สถานการณ์นอกฐานที่มั่นอันตรายเกินไป ตอนนี้ความหวังนั้นจึงพังทลายลง
หลัวซวินหยิบถุงพลาสติกออกจากกระเป๋าเสื้อ ข้างในมีถุงใบเล็กที่ห่อกระดาษไว้อย่างดี “มีไม่เยอะเท่าไร ข้างในมีเมล็ดผักกาดหอม ผักกาดขาว ผักชี พริก และหอมหัวใหญ่ ไว้รอให้อากาศอุ่นกว่านี้พวกนายค่อยเพาะเมล็ดล่ะ”
“โว้วๆๆ!”
“เมื่อกี้พอพวกฉันทำประตูเสร็จก็ติดเหล็กดัดนอกหน้าต่างเพิ่มด้วย ถ้าพวกนายอยากทำบ้าง ไว้รอให้เหยียนเฟยฟื้นพลังสักสองวันค่อยมาทำให้พวกนายนะ”
“โว้วๆๆๆๆ!”
พวกหลี่เถี่ยรีบวิ่งไปที่หน้าต่างห้องรับแขกแล้วเปิดออกชะโงกดู จึงเห็นระเบียงห้องข้างๆ ติดเหล็กดัดแข็งแรงทนทาน แถมยังวางของได้อีก
“พี่หลัว พวกพี่มีเหล็กพอใช้เหรอ”
“ทำเหล็กดัดใช้เหล็กไม่เยอะ น่าจะพอแหละ” หลัวซวินและเหยียนเฟยไม่ใช่คนดีมีน้ำใจมากถึงขั้นช่วยเหลือทำนั่นทำนี่ให้เพื่อนบ้าน และยิ่งไม่คิดจะอยู่แบบรวมกลุ่มเป็นทีมเหนียวแน่น แต่เพราะบนชั้นนี้มีแค่พวกเขาสามกลุ่มที่อาศัยอยู่เท่านั้น เขาจึงทำบ้านตัวเองให้แข็งแรงคงทน ปิดทางเดินเข้าออกระหว่างชั้นให้แน่นหนา แต่ถ้าวันดีคืนดีบ้านใกล้เรือนเคียงถูกงัดแงะขึ้นมา จนถึงขั้นฆ่าแกงพวกหลี่เถี่ยตายเรียบแล้วมีคนใหม่ย้ายมาแทน แล้วดันเป็นพวกนิสัยไม่ดีจ้องอยากได้ข้าวของในบ้านเขาขึ้นมาจะทำอย่างไร
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อความสงบสุขของบ้านตน อีกทั้งพวกหลี่เถี่ยเองก็ไม่ใช่คนเลวร้าย หลัวซวินและเหยียนเฟยตัดสินใจไว้ว่า เพื่อให้ชีวิตของพวกเขาราบรื่น ช่วยอะไรได้ก็ช่วยๆ กันไป ส่วนจางซู่ผู้มาใหม่ ไม่เห็นหรือว่าพวกหลี่เถี่ยกระตือรือร้นที่จะช่วยเพื่อนบ้านคนใหม่ตกแต่งบ้านมากแค่ไหน ดังนั้นถ้าพวกเขาไม่แสดงความมีน้ำใจเลยก็ดูจะไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรนัก
“อย่างนั้นก็ขอบคุณพี่ๆ มากเลยครับ” หลี่เถี่ยคว้ามือทั้งสองข้างของหลัวซวินมาเขย่า “ต่อไปถ้าพวกเราสะสมคูปองได้เยอะๆ และเห็นว่าที่ไหนมีโลหะขาย จะแลกมาให้พี่เหยียนนะ” มีเพื่อนบ้านเป็นผู้มีพลังพิเศษธาตุโลหะ ชีวิตในยุควันสิ้นโลกก็ไม่ลำบากแล้ว แถมเหล็กดัดนั่นก็ดูแข็งแรงทนทานด้วย
“พี่หลัว ไม่ต้องให้พี่เหยียนตกแต่งบ้านแล้ว พวกเราจะแบ่งกันไปช่วยพวกพี่เอง ส่วนพี่เหยียนแค่ช่วยทำเหล็กดัดก็พอ”
พวกเขาอยู่ชั้นบนสุด เดิมทีก็เป็นชั้นที่ค่อนข้างอันตราย ไม่เห็นหรือว่าก่อนยุควันสิ้นโลกชั้นที่มีอัตราการถูกโจรกรรมมากที่สุดนอกจากชั้นหนึ่งแล้วก็คือชั้นบนสุด ถ้าโจรคิดจะย่องเบาเข้าบ้านก็ใช้เชือกโรยตัวลงมาจากชั้นดาดฟ้าได้โดยตรง ซึ่งคนที่ต้องเจอภัยก่อนใครก็คือคนชั้นบนสุด
ในบ้านพวกเขามีแผงพลังงานแสงอาทิตย์ก็จริง แต่โชคดีที่เพิ่งเข้าสู่ยุควันสิ้นโลกได้ไม่นาน คนส่วนใหญ่กำลังตื่นตกใจ จึงไม่มีใครมาสนใจ ถ้าทุกคนตั้งสติได้มั่นคงเมื่อไร พวกโจรไม่มีทางมองข้ามของดีๆ เหล่านี้แน่ แต่หลังจากนี้พวกเขาต้องออกไปทำงานข้างนอกทุกวัน คงมีแต่สวรรค์ที่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในช่วงกลางวันตอนพวกเขาไม่อยู่บ้านบ้าง
จางซู่ก็ยิ้มจนดวงตาดอกท้อโค้งขึ้น “วันหน้าถ้าพวกนายต้องไปผ่าตัดที่โรงพยาบาล ฉันจะเย็บเพิ่มให้พิเศษหลายๆเข็มเลย ไม่คิดเงินเพิ่มด้วย”
… คนปกติที่ไหนจะแจ้นไปโรงพยาบาล แล้วคนดีๆ ที่ไหนจะขึ้นเขียงผ่าตัดให้หมอเย็บเพิ่มหลายๆ เข็มกัน!
หลัวซวินมุมปากกระตุก แต่ตีให้ตายก็ไม่กล้าต่อปากต่อคำกับภูตมารที่ไม่รู้ว่าจะหันมาใช้พลังพิเศษฟันใส่เขาขึ้นมาตอนไหนคนนี้เด็ดขาด แถมเวลานี้แฟนหนุ่มผู้มีพลังพิเศษสุดแกร่งของเขาก็ไม่ได้อยู่ข้างกาย ดังนั้นเขาหลบเลี่ยงให้ห่างตัวอันตรายนี่น่าจะปลอดภัยกว่า
ดังนั้นเหยียนเฟยจึงไม่ต้องกังวลเลยว่าคนรักของตนจะถูกคนฉกไป เพราะตอนนี้หลัวซวินพยายามเลี่ยงไม่เข้าใกล้ภูตมารหน้าหล่อที่เพิ่งย้ายมาใหม่สุดชีวิตด้วยความรู้สึกขยาดและหวาดกลัว
“เป้าหมายเคลียร์ ไปต่อได้”
“รถทุกคันเตรียมพร้อม เคลื่อนพลไปข้างหน้า คอยระวังรอบข้างไว้ตลอดเวลาด้วย”
ขบวนรถค่อยๆ มุ่งหน้าไปทางใต้ ผ่านถนนที่แทบกลายเป็นเพียงซากปรักหักพัง
“รายงานครับ! เมื่อครู่เราพบของสิ่งนี้ในหัวของพวกซอมบี้ที่เพิ่งถูกกวาดล้างครับ” ทหารนายหนึ่งรีบร้อนปีนขึ้นมาที่รถของผู้บังคับบัญชา ในมือถือถุงพลาสติกที่บรรจุคริสตัลหลายก้อนซึ่งแวววาวดุจเพชร
ผู้บัญชาการเพียงปราดตามองสิ่งนั้นแล้วสั่งการว่า “เก็บรวบรวมไว้ แล้วส่งรถคันหนึ่งไปตรวจดูว่ายังมีของสิ่งนี้อีกหรือเปล่า คันที่เหลือเคลื่อนพลเดินหน้าต่อ”
“รับทราบครับผม”
เมื่อเปิดตู้นิรภัยในรถออก ด้านในก็มีถุงแบบเดียวกันอยู่อีกหกเจ็ดใบ ของที่บรรจุอยู่ในถุงล้วนเป็น ‘อัญมณี’ ผลึกใสแวววาว