โอตาคุวันสิ้นโลก
重生宅男的末世守则
暖荷 หน่วนเหอ เขียน
เมิ่งเหวิน เเปล
นิยาย 7 เล่มจบ
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
____________________________________
บทที่ 72 ซอมบี้น้อยพ่นลูกไฟได้
ขนาดซอมบี้ยังพ่นลูกไฟได้ บนโลกนี้ไม่เหลือทางรอดแล้ว
เมื่อพวกเหยียนเฟยเริ่มลงมือทำงาน หลัวซวินและทหารคุ้มกันอีกสี่นายยืนอารักขาอยู่ข้างกายพวกเขา ส่วนคนที่เหลืออยู่ก็ลงไปขนย้ายวัสดุอุปกรณ์ จัดการกับซอมบี้และควักเอาคริสตัลจากพวกมันกลับมา ซึ่งแต่ละคนต่างก็ง่วนอยู่กับภาระหน้าที่ที่แตกต่างกันไป
หลัวซวินไม่ได้เข้าร่วมภารกิจฆ่าซอมบี้โดยตรง เพราะคนที่จะกำจัดและควักคริสตัลจากซอมบี้ได้ต้องทำจากด้านบน ถ้าเขาจะฆ่าซอมบี้ขณะอยู่ข้างกายเหยียนเฟยจะกลับกลายเป็นการสร้างความยุ่งยากให้พวกเขาโดยไม่จำเป็น ดังนั้นเขาจึงค่อยๆ ทยอยยิงไปตามจุดที่เหยียนเฟยเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ ก็พอ
ทันใดนั้น! หลัวซวินพลันใจกระตุกวูบ เขารีบเอื้อมมือไปดึงเหยียนเฟยให้ยอบตัวลงมาพร้อมตนตามสัญชาตญาณ “ระวัง!”
‘พรึ่บ’ ทันทีที่เกิดเสียง ลูกไฟลูกหนึ่งพุ่งมาทางตำแหน่งที่เหยียนเฟยกับหลัวซวินยืนอยู่เมื่อครู่
พลังพิเศษ! ซอมบี้ใช้พลังพิเศษได้ด้วย!
ทุกคนที่ได้ยินเสียงต่างตกใจ จากนั้นก็เห็นลูกไฟพุ่งโด่งแล้วโค้งดิ่งฉิวเป็นเส้นกราฟพาราโบลา[1] ตกลงบนพื้นที่ว่างฝั่งด้านในกำแพงจนกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่…ซอมบี้ใช้พลังพิเศษได้ หรือว่ามีผู้มีพลังพิเศษลอบโจมตีกันแน่
ไม่ ไม่ถูกต้อง ต่อให้มีผู้มีพลังพิเศษลอบโจมตีพวกหลัวซวิน ก็ไม่มีทางที่จะปล่อยลูกไฟจากนอกฐานที่มั่นเข้ามาข้างในได้
หัวหน้าหน่วยยกโล่ขึ้นบังแล้วปีนขึ้นไปบนกำแพงทันที เขากวาดตามองออกไปด้านนอกด้วยความระมัดระวัง พลันเห็นซอมบี้ตัวหนึ่งพ่นลูกไฟออกมากับตาตัวเอง ซอมบี้ตัวนั้นกำลังพ่นลูกไฟขนาดใหญ่มาทางกำแพงอีกครั้ง
“ระวัง! ซอมบี้ใช้พลังพิเศษได้ มันโจมตีจากระยะไกล!” หัวหน้าหน่วยตะโกนเสียงดังลั่นพร้อมกับชี้ไปที่ซอมบี้ธาตุไฟ “ยิงเลย! ยิงตัวนั้นก่อน!”
ซอมบี้วิวัฒนาการใช้พลังพิเศษได้แล้วหรือนี่?! น่าตกใจเกินไปแล้ว! ไม่ใช่ว่าผ่านไปอีกไม่กี่วันมันจะเหาะเหินเดินอากาศได้ด้วยหรอกนะ
ทุกคนต่างพุ่งเป้าโจมตีไปที่ซอมบี้ตัวนั้น นัยน์ตาเหยียนเฟยเกิดประกายแสงสีเงินฉายขึ้นวาบหนึ่ง เขามองภาพด้านล่างกำแพงด้วยสีหน้าดำทะมึน เมื่อครู่เขาเลินเล่อเกินไป ถ้าไม่มีหลัวซวินระวังหลังคอยคุ้มกันภัย ป่านนี้เขาคงถูกลูกไฟนั่นซัดเข้าให้แล้ว
เสียงปืนดังขึ้นจากบนกำแพงที่อยู่ไกลออกไปติดกันหลายนัด คล้ายกับว่าดังมาจากฝั่งประตูฐานที่มั่น หลัวซวินไม่แน่ใจว่ามีซอมบี้ที่ใช้พลังพิเศษได้กำลังโจมตีประตูฐานที่มั่นฝั่งนั้นด้วยหรือเปล่า แต่สิ่งสำคัญตอนนี้คือ ต้องรับมือกับซอมบี้ที่อยู่ด้านล่างกำแพงนั่นก่อน คงมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่ามีซอมบี้ที่ใช้พลังพิเศษได้ปะปนอยู่ในนั้นหรือไม่
ดูเหมือนทุกคนจะโชคไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ก็ไม่ถึงกับโชคร้ายเกินไปนัก แม้ว่าพวกเขาจะต้องเจอกับซอมบี้ที่มีพลังพิเศษ ทว่าเคราะห์ดีที่ท่ามกลางซอมบี้ฝูงใหญ่มีซอมบี้ที่มีพลังพิเศษแค่ตัวเดียว เมื่อฆ่ามันได้แล้วก็จะกำจัดซอมบี้ตัวอื่นที่เหลือได้ง่ายขึ้นมาก
หัวหน้าหน่วยสั่งให้พวกทหารลงไปขนศพของซอมบี้ที่มีพลังพิเศษธาตุไฟตัวนั้นขึ้นมาก่อน จากนั้นก็ตัดหัวมันแล้วให้ทหารนายหนึ่งห่อส่งเข้าไปยังค่ายทหารโดยตรง หลังจากที่เบื้องบนได้ดูแล้วจึงจะส่งไปยังศูนย์วิจัยเพื่อทำการทดลอง
หลัวซวินจินตนาการภาพเหตุการณ์ตอนผู้นำฐานเปิดดูหัวซอมบี้ตัวนั้น ว่าเหล่าผู้นำจะทำหน้ากันแบบไหน แล้วก็แอบหัวเราะเงียบๆ แต่ยังไม่ทันได้จินตนาการภาพตลกๆ นั้นจบ ก็ได้ยินเสียงหัวหน้าหน่วยสั่งทหารอีกสองนายให้ไปเอาโล่ปราบจลาจลมา
โล่นี้เป็นอุปกรณ์รักษาความสงบที่ตำรวจติดอาวุธใช้กันมาตั้งแต่แรกเริ่ม ก่อนหน้านี้พวกเขาคิดไม่ถึงว่าซอมบี้จะปล่อยพลังพิเศษจากระยะไกลได้ ดังนั้นจึงมีติดรถไว้แค่อันเดียว ทว่าตอนนี้มีความเป็นไปได้ว่าจะต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากการโจมตีระยะไกล จึงจำเป็นต้องป้องกันไว้ก่อน เพราะหากรอให้ถูกซอมบี้ที่อยู่ข้างนอกโจมตีแล้วค่อยป้องกันก็จะไม่ทันการณ์
นับว่าทีมย่อยของพวกหลัวซวินโชคดีมากที่ค้นพบว่ามีซอมบี้ที่โจมตีจากระยะไกลใช้พลังพิเศษได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ส่วนทหารสองนายที่ขับรถไปขนโล่ก็ได้กลับมามากถึงสิบอัน
กัวหย่งหัวหน้าหน่วยมองโล่ปราบจลาจลที่อยู่บนรถตาโต ก่อนเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “ทำไมพวกเขาถึงยอมให้พวกนายขนโล่มาเยอะขนาดนี้”
พลทหารยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “รายงานหัวหน้า ตอนที่พวกเราไปถึงยังไม่มีใครไปขอเบิกโล่นี้ครับ ของเหล่านี้ถูกเก็บสำรองไว้ใช้ในฐานที่มั่น และจัดสันให้กับทีมที่ออกไปปฏิบัติภารกิจข้างนอกไว้แต่แรก แต่ปกติแล้วไม่มีใครมาเบิกโล่พวกนี้ไปใช้เลยครับ พวกผมพูดแค่ไม่กี่คำ ทางค่ายก็ยอมให้ขนมาเยอะอย่างที่เห็นนี่ละครับ”
นายทหารอีกคนก็ยิ้มกริ่มพูดว่า “ตอนพวกผมออกมาก็เจอคนของหน่วยลาดตระเวน ดูเหมือนว่าพวกเขาก็เจอซอมบี้ที่มีพลังพิเศษและโจมตีจากระยะไกลได้ด้วยเหมือนกัน เลยมาขอเบิกโล่พวกนี้เช่นกัน แต่พวกเขามาช้ากว่าเราไปหนึ่งก้าวครับ”
ของบางอย่างก็เป็นแบบนี้ ของที่เวลาปกติไม่มีใครถามถึง พอเป็นที่ต้องการขึ้นมา คนให้ก็ใจป้ำเป็นธรรมดา โดยไม่ได้วางแผนว่าจะมีคนมาเบิกกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่ถ้าเป็นของที่มีคนไปขอเบิกกันเรื่อยๆ พวกเขาก็จะกลายเป็นตระหนี่ขึ้นมาผิดปกติ
หน่วยลาดตระเวนที่ทหารทั้งสองเจอไม่ใช่ทีมที่ออกไปรบกับซอมบี้นอกฐาน เพราะทีมรบได้เตรียมอุปกรณ์ป้องกันพวกนี้ไว้ต่างหากนานแล้ว ถ้าไม่ได้พังเสียหายพวกเขาก็จะไม่ไปเบิกเพิ่ม หน่วยลาดตระเวนพวกนั้นเป็นทีมตรวจตราซึ่งประจำอยู่บนกำแพงฐานที่มั่นชั้นนอก มีหน้าที่ตรวจความเรียบร้อยของกำแพงโดยรอบว่ามีตรงไหนสึกหรอเสียหายหรือไม่ และด้านนอกตรงส่วนไหนมีซอมบี้มาป้วนเปี้ยนบ้างหรือเปล่าเท่านั้น แต่ไม่ได้รับผิดชอบเรื่องการสู้รบโดยตรง ดังนั้นจึงมีอุปกรณ์ป้องกันไม่มากนัก ครั้งนี้เดาได้ว่าพวกเขาคงประสบกับสถานการณ์แบบเดียวกับพวกเหยียนเฟย ถึงได้มาขอเบิกโล่พวกนี้
หัวหน้าหน่วยตบบ่าลูกน้องหัวแหลมของตนพลางพูดยิ้มๆ “เอาละ พวกนายสองคนฉลาดมาก” จากนั้นก็สั่งให้ลูกน้องแจกโล่ให้คนที่อยู่บนกำแพงไว้ใช้ป้องกันตัวกันคนละอัน หลัวซวินก็ได้รับมาอันหนึ่งเช่นกัน ถ้าข้างล่างมีซอมบี้โผล่มา เขาก็ใช้โล่นี้ป้องกันตัวเองกับเหยียนเฟยให้ปลอดภัยได้ ไม่ต้องถูกพวกซอมบี้ลอบโจมตีเหมือนอย่างเมื่อครู่อีก
ตอนที่หัวหน้าหน่วยส่งลูกน้องไปขนโล่ป้องกัน ผู้มีพลังพิเศษทั้งสี่ก็หลบไปพักผ่อนและฟื้นฟูพลังอยู่หลังกำแพง เวลานี้พวกเขามีทั้งโล่ป้องกันและสมาชิกทีมคอยคุ้มกัน จึงเริ่มปฏิบัติภารกิจสร้างกำแพงกันต่ออีกครั้ง
เหยียนเฟยนั่งตัวตรงยกมือขึ้นบีบแก้มหลัวซวิน เขาออกแรงหนักมือเล็กน้อย
หลัวซวินถูกเหยียนเฟยบีบแก้มแบบงงๆ ยังดีที่เขาไม่รู้สึกเจ็บจึงคิดว่าอีกฝ่ายหยอกล้อตนเล่น แต่กลับไม่รู้ว่าแท้จริงเหยียนเฟยบีบแก้มเขาเพราะรู้สึกเสียขวัญที่ถูกหลัวซวินช่วยไว้ และยังรู้สึกหงุดหงิดตัวเองที่ไม่ทันได้สังเกตเห็นสถานการณ์ให้เร็วกว่านี้
ในฐานะหัวหน้าครอบครัว แถมยังมีพลังการต่อสู้แข็งแกร่งมากกว่า แต่กลับรู้ตัวว่ามีภัยมาเยือนล่าช้ากว่าคนรัก จึงไม่แปลกที่เหยียนเฟยรู้สึกล้มเหลวและไม่พอใจอยู่ลึกๆ แม้เวลานี้เขาจะข่มอารมณ์หงุดหงิดใจไว้ได้ แต่ความรู้สึกนี้ส่งผลกระทบทำให้เขารู้สึกเสียศักดิ์ศรีอยู่เล็กน้อย ดังนั้นเขาจะไม่ยอมให้มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองอย่างเด็ดขาด
ในระหว่างที่ผู้มีพลังพิเศษทุกคนพยายามเร่งใช้พลังแปรรูปโลหะให้เร็วที่สุดกันอย่างสุดความสามารถ สมาชิกทีมคนอื่นๆ ก็เร่งมือช่วยกันขนวัสดุกันอย่างเต็มที่ ส่วนนายทหารที่เหลือก็ช่วยเต็มแรงในการกำจัดซอมบี้และควักเอาคริสตัลมาขึ้นมา
ช่วงเที่ยงวัน รถเสบียงแล่นมาใกล้กำแพงที่พวกเหยียนเฟยรับผิดชอบ กลิ่นหอมของอาหารโชยมา เมื่อได้กลิ่นอบอวล ผู้คนที่ทำงานง่วนมาตลอดช่วงเช้าต่างหันไปมองรถคันนั้นกันตาเป็นมัน
“พักเบรกครึ่งชั่วโมง กินอิ่มแล้วค่อยลุยงานต่อตอนบ่าย!” เมื่อเห็นว่ารถเสบียงมาถึงแล้ว หัวหน้าหน่วยที่เหน็ดเหนื่อยมาตลอดช่วงเช้าไม่ต่างจากคนอื่นก็โบกมือเรียกทุกคนลงจากกำแพง แล้วไปล้างมือเพื่อกินข้าวเที่ยง
เหยียนเฟยกับหลัวซวินหันมาสบตาและกระซิบกระซาบปรึกษากันเบาๆ “จะกินด้วยกันกับพวกเขาดีไหม อาหารจะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“คงไม่หรอกมั้ง เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อนมาจากบู๊ธขายอาหารนอกค่าย ไม่ได้ยินว่าในค่ายทหารก็เกิดเรื่องเหมือนกันสักหน่อย”
“อืม พอเกิดปัญหาเมื่อวันก่อน ทางกองทัพก็น่าจะเพิ่มความเข้มงวดในการดูแลเรื่องนี้แล้ว”
ในที่สุดทั้งสองก็ลงมติเป็นเอกฉันท์ ตัดสินใจร่วมวงกินข้าวกับคนในทีม เว้นเสียแต่ว่าทางกองทัพจะเสียสติไปแล้ว ไม่อย่างนั้นก็เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะละเลยไม่แก้ไขปัญหาอย่างรัดกุม ทั้งที่เพิ่งเกิดปัญหาด้านสุขอนามัยในฐานที่มั่นไป ต่อให้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อนจะมีสาเหตุมาจากอาหารและน้ำดื่มจริงหรือไม่ พวกเขาก็ไม่ควรประมาท
อาหารที่ส่งมามีเพียงหมั่นโถวลูกใหญ่แข็งเป๊กสีออกเหลืองๆ ดูแปลกตาเล็กน้อย และผัดจับฉ่ายหม้อใหญ่ เพิ่มด้วยโจ๊กถั่วเขียวผสมข้าวฟ่างน้ำใสแจ๋ว ตักมาช้อนหนึ่งยังมองแทบไม่เห็นเม็ดข้าว ทว่าทุกคนกำลังหิวมากจนตาลาย จึงไม่มีใครออกปากอะไรในช่วงแรก แต่พอกินไปกินมาพวกทหารอาวุโสก็เริ่มเอ่ยปากบ่นพวกทหารพลาธิการที่นำอาหารมาส่งว่า “อาหารพวกนี้นับวันยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ เมนูผัดจับฉ่ายใส่น่องไก่วันนี้ไม่มีเนื้อเลยสักชิ้น ทำไมมันเหลือแต่กระดูกแบบนี้ล่ะ”
พวกทหารพลาธิการก็หัวเราะอย่างจนใจแล้วพูดว่า “ของต้องผัดต้องตุ๋นนานๆ แบบนี้ เนื้อมันก็หลุดอยู่ในหม้อนั่นละครับ”
หัวหน้าหน่วยคุ้ยหาในชามใหญ่ของตัวเองสองสามทีแล้วเงยหน้าเอ่ยขึ้น “ในชามฉันไม่เห็นมีเนื้อสัตว์สักนิดเลย ตอนตักแบ่งใส่หม้อ พวกนายตักใส่ให้หน่วยอื่นไปหมดแล้วหรือเปล่า”
“จะทำแบบนั้นได้ยังไงล่ะครับ พอทำเสร็จพวกเราก็รีบส่งตรงมาที่นี่ มีเนื้อมากน้อยเท่าไรพวกผมก็ตักใส่มาหมดเลยครับ”
“พรุ่งนี้ฝากพวกนายช่วยดูให้ที แบ่งเนื้อสัตว์มาให้ทีมพวกฉันเยอะๆ หน่อย พวกฉันทำงานต้องใช้แรงเยอะ ถ้าไม่มีแรงสร้างกำแพงแล้วเกิดปัญหาขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ” หัวหน้าหน่วยไม่กล้าใช้น้ำเสียงแข็งกระด้างเกินไปนัก เพราะหากอีกฝ่ายไม่พอใจขึ้นมาแล้วแอบเล่นงานด้วยการตักอาหารมาให้พวกเขาน้อยๆ จนไม่พอกิน แบบนั้นสู้ให้พวกเขาไปสั่งอาหารที่โรงอาหารในค่ายกินเองเสียยังดีกว่า
“ได้ครับๆ พรุ่งนี้พวกผมจัดการให้ จะพยายามทำของดีๆ มาให้พวกคุณเยอะๆ ครับ” อีกฝ่ายได้แต่พยักหน้ารับปาก รอจนพวกเขากินเสร็จก็เก็บถ้วยชามแล้วขับรถกลับไป
“เริ่มงานกันต่อเถอะ ทำงานเสร็จเร็วจะได้กลับไปพักผ่อนไวหน่อย” ทุกคนกินข้าวเสร็จอย่างรวดเร็ว หลังกินอิ่มนั่งพักประมาณสิบนาทีหัวหน้าหน่วยก็ลุกขึ้นปัดไม้ปัดมือ
แม้ว่าการลงมือทำงานใช้แรงหลังเพิ่งกินอิ่มจะไม่ดีต่อกระเพาะอาหาร ทว่าโชคดีที่ก่อนกินข้าวพวกเขาได้ขนย้ายวัสดุมารอไว้บนกำแพงเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้แค่ค่อยๆ ทยอยทำไปก็พอ
ทุกคนเข้าประจำตำแหน่งของตัวเอง หลัวซวินนำโล่ปราบจลาจลที่ใสราวกับกระจกมากันไว้ข้างหน้าพวกเขาทั้งสอง เพื่อบังสายตาเหล่าซอมบี้ด้านล่างที่มองขึ้นมา เหยียนเฟยตัดแบ่งโลหะออกมาชิ้นหนึ่งแล้วเปลี่ยนรูปร่างเป็นเส้นเล็กๆ ยาวๆ เคลื่อนลงสู่ด้านล่างอย่างช้าๆ ราวกับเป็นของเหลว งานในช่วงบ่ายของพวกเขาได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
หลังจากทำงานยุ่งมาทั้งวันจนถึงเวลาประมาณบ่ายสามโมง ทั้งสองก็นั่งรถทหารกลับมาที่ค่ายแล้วขับรถตัวเองกลับไปยังเขตชุมชนที่พัก ก่อนหน้านี้ช่วงเที่ยงเป็นเวลาที่คนออกมาข้างนอกกันคับคั่ง ต่างจากตอนนี้ที่ไม่มีคนออกมาเดินตามท้องถนนเลย รถราที่สัญจรไปมาตามถนนก็บางตา ให้ความรู้สึกเงียบเหงาวังเวงอยู่บ้าง ยิ่งไปกว่านั้น รถที่เดิมเคยจอดไว้เต็มสองข้างทางและมีคนพักอาศัยอยู่ในนั้น เวลานี้เหลือน้อยลงไปมาก หลังจากเกิดเหตุการณ์เมื่อวันก่อน เหล่าคนเร่ร่อนข้างถนนที่เคยยอมใช้ชีวิตในรถดีกว่าไปอยู่ในที่พักอาศัยในเขตฐานที่มั่นชั้นนอกก็พลันเปลี่ยนความคิดกันไปทันที… ในยุควันสิ้นโลกนั้น ใช่ว่าที่ไหนมีคนเยอะแล้วที่นั่นจะปลอดภัยเสมอไป
ดูอย่างเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อนสิ เกิดไวรัสซอมบี้ระบาดกลางฐานที่มั่นชั้นในทำให้มีผู้คนบางส่วนติดเชื้อแล้วยังแพร่ไปสู่คนอื่นอย่างรวดเร็ว ส่วนฐานที่มั่นชั้นนอกล่ะ? ได้ข่าวว่าสะอาดเกลี้ยงเกลา แถมยังไม่มีซอมบี้โผล่มาเลยสักตัว
หลังจากไวรัสซอมบี้ระบาดกลางฐานที่มั่น ยังมีผู้คนจำนวนไม่น้อยถูกลักขโมยและปล้นชิงทรัพย์ อย่างในเขตชุมชนของพวกหลัวซวินก็มีเหตุทำนองนี้เกิดขึ้นด้วยเหมือนกัน ว่ากันว่าเกิดเหตุคล้ายคลึงกันนี้เกือบทุกชุมชน ไม่รู้ว่าในวันนั้นมีผู้หญิงที่อยู่บ้านเพียงลำพังต้องประสบกับเหตุการณ์เลวร้ายพวกนี้กันไปเท่าไร
ในทางกลับกัน ฐานที่มั่นชั้นนอกที่ทุกคนคิดว่าไม่ปลอดภัยมาโดยตลอด เพราะพวกซอมบี้อาจบุกมาทำร้ายได้ทุกเมื่อ ทว่ากลับไม่เกิดอะไรขึ้นเลยสักนิด ผู้คนที่ทำงานอยู่ในเขตฐานที่มั่นชั้นนอก หรือคนที่ออกไปรวบรวมทรัพยากรและฆ่าซอมบี้กลับมาจากข้างนอกในวันนั้น ต่างก็พักอยู่ในเขตฐานที่มั่นชั้นนอกอย่างปลอดภัย
เมื่อเทียบกันแล้วเห็นความแตกต่างชัดเจน ก็พลันเปลี่ยนแนวคิดของคนส่วนใหญ่ได้ในทันที ทำให้ผู้ที่เดิมเคยรู้สึกว่าฐานที่มั่นชั้นในนั้นมั่นคงปลอดภัยในทุกด้าน ต่างหันเหเปลี่ยนความคิดมองว่าฐานที่มั่นชั้นนอกปลอดภัยมากกว่า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เขตชั้นนอกมีที่พักอาศัยเยอะกว่าด้วย จึงทำให้คนที่ปัจจุบันจำต้องพักอยู่กับคนอื่นอย่างแออัดในเขตชั้นในรีบยื่นเรื่องขอย้ายออกไปอยู่เขตชั้นนอกกันเป็นแถว…การอยู่ร่วมบ้านกับคนอื่นนอกจากทำอะไรไม่สะดวกแล้ว ยังต้องคอยกังวลว่าเพื่อนร่วมบ้านและเพื่อนบ้านข้างห้องจะงัดห้องขโมยของของตนตอนที่ไม่อยู่บ้านอีก โอกาสในการถูกเพื่อนบ้านลักขโมยของนั้นสูงกว่าถูกคนแปลกหน้าบุกมาเสียอีก แล้วจะอยู่รออะไรเล่า
ด้วยเหตุนี้ เมื่อหลัวซวินกับเหยียนเฟยกลับมาก็เห็นผู้คนกำลังขนข้าวของเตรียมย้ายที่อยู่กันเป็นโขยงพอดี ตรงข้ามกับถนนหนทางสะอาดตาที่เห็นเมื่อครู่แบบเทียบไม่ติด
ในบางเขตชุมชนและทางแยกบางแห่งเกลื่อนกลาดไปด้วยข้าวของจิปาถะ เศษแก้วเศษกระจกและสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะบางส่วนที่แตกหักชำรุด ของเหล่านั้นส่วนใหญ่ได้รับความเสียหายจากเหตุโกลาหลวุ่นวายเมื่อช่วงสองวันก่อน บางแห่งทิ้งคราบเลือดแห้งกรังปรากฏให้เห็นอยู่เป็นกองๆ ไม่ต่างจากบริเวณประตูเขตชุมชนหงจิ่ง
ดูเหมือนว่าร่องรอยที่จางซู่เคยฆ่าคนตายก่อนหน้านี้ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน แค่มีขนาดพื้นที่ต่างกันเท่านั้น ทุกวันนี้ข่าวปีศาจฆ่าคนตายก็ได้เงียบหายไปจากฐานที่มั่นนานแล้ว แต่พวกเขากลับมาคิดด้วยความข้องใจสงสัยแทนว่าซอมบี้เหล่านั้นมีคนจงใจสร้างขึ้น และจุดประสงค์ของคนพวกนั้นก็คือกำจัดผู้คนในฐานที่มั่น ที่ยิ่งกว่าคือมีคนขี้มโนแอบซุบซิบคุยกันว่าซอมบี้ในตอนนี้ฉลาดขึ้นมาก ดังนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้เป็นผลมาจากแผนการของพวกมัน
หลัวซวินกับเหยียนเฟยขับรถกลับมาถึงด้านล่างตึกที่พักของตัวเอง จากนั้นก็พากันเดินขึ้นบันไดทีละขั้นด้วยความเหนื่อยล้า ในตึกเงียบสงัดไม่ต่างจากข้างนอก เวลานี้ไม่มีเสียงอื่นใดให้ได้ยินเลย แม้ว่าจะมีคนอยู่บ้าน แถมยังเป็นช่วงกลางวัน จึงยิ่งดูเงียบเหงาวังเวงเข้าไปอีก
ทั้งสองลากสังขารที่แสนอ่อนล้าขึ้นมาถึงชั้นสิบหก พอเปิดประตูบ้านออก เจ้าตัวเล็กก็กระโจนเข้ามาต้อนรับอย่างกระตือรือร้น สุนัขตัวใหญ่ประมาณครึ่งหนึ่งของสุนัขที่โตเต็มวัยใช้สองขาหน้าโผตะกายเข้าหาอ้อมอกหลัวซวิน อุ้งเท้าเจ้าตัวเล็กจอมซนเหยียบลงบนกระดูกสะโพกที่น่าสงสารของหลัวซวิน เมื่อความเจ็บแปล๊บเล่นงานเข้าแบบกะทันหันทำเอาเขาถึงกับตัวงอ และเป็นจังหวะเดียวกับที่หัวเจ้าตัวเล็กกระแทกเข้ากับบริเวณปอดของเขาพอดี
หลัวซวินไอแค็กๆ ก่อนดันหัวเจ้าสุนัขไฮเปอร์ออกไป แล้วพาสังขารที่เหลือเรี่ยวแรงเพียงครึ่งไปทิ้งตัวนอนแกล้งตายอยู่บนโซฟา
เมื่อเหยียนเฟยปิดประตูเรียบร้อย ก็โน้มตัวเข้ามาดึงหลัวซวินให้ลุกขึ้น “ไป ขึ้นไปนอนข้างบนกัน”
“ฉันแค่จะพักสักแป๊บ เพราะเดี๋ยวยังต้องไปทาสีผนังห้องข้างๆ อีก”
“นอนก่อนเถอะ ตื่นแล้วค่อยไปช่วยกันทำ” ปริมาณงานวันนี้เยอะกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด ถ้าตอนบ่ายนี้พวกเขาไม่นอนพักผ่อนเอาแรงสักงีบ มีหวังพรุ่งนี้คงตื่นไม่ไหวแน่ ตอนนี้พลังจิตของเหยียนเฟยอ่อนลงอีกครั้ง แต่ยังดีที่ก่อนหน้านี้เขาค่อยๆ เพิ่มการออกกำลังกายให้มากขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว ดังนั้นวันนี้ถ้าได้พักสักเดี๋ยวพลังก็น่าจะปรับตัวฟื้นคืนได้เองอย่างช้าๆ
เมื่อหลัวซวินคิดทบทวนแล้วเห็นพ้องต้องกัน เขาจึงลุกขึ้นเดินตามหลังเหยียนเฟยขึ้นไปบนชั้นลอย
เจ้าตัวเล็กกระดิกหางมองส่งเจ้านายทั้งสองเดินขึ้นบันไดไป มันเอียงคอมองอยู่กับที่สักพักก่อนจะหันหลังวิ่งไปหน้าตู้กระจกตรงระเบียงเพื่อสานสัมพันธ์กับเหล่านกกระทาตัวน้อยพวกนั้นต่อ
หลัวซวินกับเหยียนเฟยหลับยาวไปจนถึงหกโมงเย็น หลังตื่นขึ้นแม้ยังเพลียอยู่บ้างแต่ก็ฟื้นคืนพละกำลังกลับมาไม่น้อย ทางด้านหลัวซวินก็รีบเข้าครัวเพื่อลงมือทำอาหารมื้อเย็น
หลัวซวินหยิบหมูตากแห้งที่แขวนไว้กับเพดานลงมาหั่นใช้เพียงส่วนหนึ่ง แล้วถึงจะนำที่เหลือแขวนกลับไป บนพื้นอีกด้านของห้องครัวมีโถผักดองทั้งแบบธรรมดาและแบบดองซีอิ๊วตั้งอยู่ หลัวซวินจึงหยิบถั่วฝักยาวดอง หัวไชเท้าดอง และพริกหยวกเขียวดองมาล้างทำความสะอาดแล้วหั่นเป็นลูกเต๋าเล็กๆ จากนั้นก็นำหมูตากแห้งมาล้างให้สะอาดแล้วหั่นเป็นชิ้น อีกเดี๋ยวจะผัดกับกระเทียมฝานเท่านี้ก็เสร็จแล้ว ทว่า กับข้าวจานนี้รสชาติค่อนข้างจัดจ้าน ดังนั้นเขาจึงตั้งใจจะไปเด็ดผักกาดกวางตุ้งจากระเบียงมาผัดอีกจาน แค่นี้ก็พอสำหรับสองคนกินเป็นมื้อเย็นแล้ว
“เอ๊ะ ทำไมดูเหมือนผักกาดหอมไม่ค่อยโตเลยล่ะ” หลัวซวินที่เดินไปเด็ดผักตรงระเบียงมองดูชั้นผักแถวล่างสุดด้วยความแปลกใจ ทั้งที่เป็นผักใบเขียวแท้ๆ แต่ดูกุยช่ายที่อยู่ข้างกันสิ โตดีเสียจริง ใบยาวเขียวสดเต็มแผง แล้วทำไมผักกาดหอมที่อยู่แถวล่างสุดถึงได้มีใบน้อยนักเล่า
หลัวซวินย่นคิ้ว เด็ดผักสดเดินไปใส่อ่างล้างในครัว จากนั้นก็หันหลังเดินขึ้นชั้นบนเพื่อไปหยิบอุปกรณ์ยอดอัจฉริยะที่ไม่ได้ใช้มานาน โทรศัพท์มือถือนั่นเอง
เมื่อกลับไปที่ระเบียงชั้นหนึ่ง หลัวซวินก็ถ่ายรูปผักชั้นล่างสุดเก็บไว้ ก่อนลุกขึ้นหันกลับเข้าห้องครัวเพื่อทำอาหารต่อ เวลานี้เหยียนเฟยไม่ได้อยู่ห้องนี้ ฟังเสียงดูเหมือนว่าเขากำลังทำงานง่วนอยู่ในห้อง 1603 ข้างๆ หลัวซวินเก็บความสงสัยนี้ไว้ในใจ แล้วเร่งมือทำกับข้าวมื้อเย็น เพราะทั้งสองกะว่าจะทาสีผนังห้องถัดไปให้เสร็จก่อนนอนคืนนี้!
กลิ่นกระเทียมหอมหวนโชยฟุ้ง หมูตากแห้งผัดกับน้ำมันแล้วยิ่งเรียกน้ำมันจากเนื้อหมูซึมออกมา ใช้เวลาไม่นานชิ้นหมูก็เป็นเงามันวาวส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วห้องครัว จากนั้นก็เทสารพัดผักดองหลากสีหั่นเต๋าใส่ลงกระทะร้อนๆ กลิ่นเปรี้ยวๆ เผ็ดๆ โชยกรุ่น หอมฉุยยั่วยวนชวนให้พ่อครัวอย่างหลัวซวินถึงกับน้ำลายสอไปด้วย แม้ตอนเพิ่งตื่นจะยังไม่รู้สึกหิว แต่พอได้กลิ่นกับข้าวหอมๆ น้ำย่อยในกระเพาะก็เริ่มทำงาน
ส่วนผักกาดกวางตุ้งยิ่งจัดการง่าย ใส่กระทะผัดไฟแรง ปรุงรส พอสุกก็ตักขึ้นได้แล้ว ผักบางชนิดรสชาติยิ่งกรอบยิ่งอร่อยจึงไม่จำเป็นต้องผัดนาน
กับข้าวทั้งสองอย่างเสร็จในเวลาอันรวดเร็ว เพิ่มด้วยซุปไข่มะเขือเทศที่ทำจากมะเขือเทศหั่นชิ้นใหญ่ซึ่งเขาแบ่งใส่ห่อเล็กๆ เก็บอยู่ในตู้แช่แข็งไว้ นำออกมาอุ่นกินกับข้าวสวยร้อนๆ หลัวซวินยกอาหารแต่ละอย่างไปตั้งบนโต๊ะในห้องรับแขกเสร็จแล้วก็เดินไปเปิดประตูสีดำบานใหญ่ที่กั้นกลางระหว่างทั้งสองห้อง “อาหารพร้อมแล้ว”
เหยียนเฟยที่กำลังทาสีผนังอยู่เลิกคิ้วขึ้นแล้ววางแปรงลูกกลิ้งในมือลง “เร็วดีจัง” แม้ว่าเขาจะชินกับความรวดเร็วในการปรุงอาหารของหลัวซวินแล้วก็ตาม แต่ก็ยังรู้สึกว่าวันนี้หลัวซวินทำกับข้าวเสร็จเร็วกว่าปกติ
“ยังมีห้องที่ยังไม่ได้ทาสีนี่นา” หลัวซวินจึงรู้สึกรีบร้อนอยู่บ้าง โชคดีที่อาหารเหล่านี้ทำง่ายมาก ในยุควันสิ้นโลก ใครจะมีเวลาว่างมาทำอาหารที่ต้องแสดงฝีมือสุดพิเศษกัน
ทั้งสองนั่งกินหมูตากแห้งผัดผักดองกับข้าวสวยสองถ้วยโตๆ ส่วนผัดผักกาดกวางตุ้งและซุปไข่มะเขือเทศก็กินกันเกลี้ยงแทบเลียชาม หลังกินเสร็จพวกเขาก็ช่วยกันเก็บล้างอย่างว่องไว แล้วไปลงมือทาสีห้องข้างๆ กันต่อ แม้ว่าทั้งคู่จะไม่เคยทำงานทาสีผนังมาก่อน แต่โชคดีที่พวกเขาเคยเห็นขั้นตอนต่างๆ จากพวก ‘หนูทดลอง’ ห้องฝั่งตรงข้ามอย่างละเอียดชัดเจน หลังจากลองลงมือทำดู ไม่นานก็สามารถทำได้อย่างคล่องแคล่วแล้ว
หลัวซวินและเหยียนเฟยทาสีอยู่ในบ้าน การนอนกลางวันช่วยให้พลังกายและความสดชื่นของพวกเขาฟื้นคืน ส่วนอาหารมื้อเย็นก็ช่วยเสริมพละกำลังและความอึด ทำให้พวกเขาทำงานจนลืมเวลาไปเลย กระทั่งได้ยินเสียงประตูใหญ่ดังมาจากข้างนอก ถึงได้รู้ตัวและรีบเปิดประตูออกไปรับเพื่อนบ้าน
พวกหลี่เถี่ยเดินลากขาที่เมื่อยล้ากลับมา คนที่เดินรั้งท้ายสุดคือหวังตั๋วที่ล้อมหน้าล้อมหลังเอาใจจางซู่อยู่ข้างๆ ครั้นเห็นหลัวซวินกับเหยียนเฟยเปิดประตูออกมา หวังตั๋วก็รีบวิ่งเข้าไปหา “พี่เหยียนๆ พวกผมหาวัสดุมาได้แล้วครับ จะขนกลับมาพรุ่งนี้”
เหยียนเฟยชะงักไปเล็กน้อย เขารู้ว่าอีกฝ่ายพูดถึงวัสดุโลหะ จึงพยักหน้าและพูดว่า “ช่วงนี้พวกฉันต้องเพิ่มเวลาทำงานนานขึ้นน่ะ พวกนายขนวัสดุมาไว้ตรงโถงทางเดินก่อน ถ้าที่บ้านไม่มีงานด่วนอะไร รอให้พวกฉันทำงานให้เสร็จแล้วช่วงเย็นจะมาทยอยทำห้องให้พวกนาย”
หวังตั๋วรีบพยักหน้ารัวๆ “ไม่มีปัญหาครับ พี่ว่างเมื่อไรก็เมื่อนั้น ช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร ถึงยังไงตอนนี้พวกเราก็ยังไม่มีเวลาปลูกผักอยู่ดี”
หลี่เถี่ยที่อยู่ด้านหลังพูดเสริมอีกประโยค “ช่วงนี้พวกเรางานยุ่งสุดๆ ไว้รอหลังจากงานเข้าที่เข้าทาง และจัดทำข้อมูลที่จำเป็นเข้าระบบแล้ว พวกเราก็จะมีเวลามากขึ้น”
จางซู่ยกมือขึ้นปิดปากหาว เขาเดินมาถึงหน้าห้อง 1602 และกำลังจะเปิดประตู ทว่าเพิ่งเสียบกุญแจเข้ารู ยังไม่ทันบิดไขก็เผลอสัปหงกจนหัวเกือบโขกประตูเหล็ก… เป็นเพราะโรงพยาบาลช่วงสองวันมานี้แออัดไปด้วยพวกคนไข้ที่สมควรตายจากการก่อเรื่องราววุ่นวายไม่เป็นเรื่อง ทำเอาวันนี้เขาเหนื่อยแทบตาย
หวังตั๋วรีบขยับขึ้นหน้าไปประคองภรรยาหน้าสวยผู้ราวกับสาวน้อยแสนบอบบางของตัวเอง เขาเปิดประตูพร้อมกับหันไปยิ้มแฉ่งให้เหยียนเฟยกับหลัวซวิน จากนั้นก็พยุงราชินีสุดที่รักของตนเข้าไปพักผ่อน
พวกหลี่เถี่ยสี่คนกลั้นหัวเราะอยู่ข้างหลังนานสองนาน รอจนกระทั่งทั้งคู่เข้าห้องไปพวกเขาจึงค่อยดีขึ้นเล็กน้อย อู๋ซินนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงรีบเดินไปบอกหลัวซวินกับเหยียนเฟยว่า “เกือบลืมบอกเลย เมื่อวานตอนพวกผมกลับมา มีคนใช้พลังพิเศษตีกันอยู่ในเขตชุมชน พวกผมเกือบพลอยโดนลูกหลงไปด้วย โชคดีที่พลังพิเศษของพี่จางขวางไว้ ลูกพี่ใหญ่ของคนกลุ่มนั้นเลยคิดจะดึงตัวพี่จางเข้าแก๊ง แต่พี่จางไม่สนใจ…”
เหยียนเฟยถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ “คิดจะดึงจางซู่เข้าแก๊ง? แก๊งของผู้มีพลังพิเศษงั้นเหรอ”
หลี่เถี่ยรีบพยักหน้าหงึกๆ แล้วยื่นหน้าเข้ามาพูดว่า “ใช่พี่ เมื่อวานมีคนสองกลุ่มสู้กันอยู่ตรงลานโล่ง หัวหน้าแก๊งของทั้งสองฝ่ายต่างเป็นผู้มีพลังพิเศษกันทั้งคู่ คนหนึ่งเป็นผู้มีพลังพิเศษธาตุไฟ ส่วนอีกคนเป็นผู้มีพลังพิเศษธาตุสายฟ้า คนที่อยากดึงพี่จางของเราไปคือผู้มีพลังพิเศษธาตุสายฟ้าคนนั้น ดูเหมือนว่าแก๊งของพวกเขาจะชื่อว่าแก๊งเคออส”
ครั้นหลัวซวินได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับสำลักน้ำลายตัวเอง เขาก้มหน้าไอสองสามที ชาติก่อนรองหัวหน้าแก๊งไฟเออร์ก็ถูกลูกพี่ใหญ่ของแก๊งเคออสดึงไปเป็นพวกไม่ใช่เหรอ นี่มันเรื่องอะไรกัน หรือความจริงชาติที่แล้วแก๊งเคออสดึงจางซู่ไปเป็นพวกก่อน แต่ตอนหลังไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น ถึงทำให้จางซู่ย้ายไปขอพึ่งพาฝ่ายศัตรูคู่อาฆาตของแก๊งเคออส จนกลายเป็นรองหัวหน้าแก๊งไฟเออร์ไปเสียได้
เดี๋ยวก่อนนะ ลูกพี่ใหญ่ของแก๊งที่ปะทะกับแก๊งเคออสเมื่อวานนี้เป็นผู้มีพลังพิเศษธาตุไฟด้วยเหมือนกันไม่ใช่เหรอ จะใช่แก๊งไฟเออร์ในตำนานหรือเปล่านะ หรือว่าพวกเขาเริ่มเขม่นกันตั้งแต่เพิ่งเกิดวันสิ้นโลกได้ไม่นาน
หลัวซวินเค้นสมองครุ่นคิดอย่างบ้าคลั่ง ในสมองเขาเต็มไปด้วยเรื่องราวความรักและความแค้นที่ยากจะอธิบายของทั้งสองแก๊งที่เกิดขึ้นเมื่อชาติที่แล้ว แต่สิ่งที่เขาคิดไม่ถึงก็คือ สองแก๊งนี้ไม่ได้เพิ่งเริ่มเป็นศัตรูกันตอนหลังวันสิ้นโลก แต่สองฝ่ายมีจุดยืนที่ต่างกันนับตั้งแต่ก่อนวันสิ้นโลกแล้ว ซึ่งทั้งคู่ต่างคิดหาสารพัดวิธีมาเล่นงานฝ่ายตรงข้ามให้ตายกันไปข้างแบบไม่เว้นวัน
[1] Parabola คือ เส้นกราฟทางคณิตศาสตร์ ลักษณะเป็นรูปโค้งคล้ายตัว U สมมาตรกัน เป็นได้ทั้งลักษณะโค้งคว่ำและโค้งหงาย