[ทดลองอ่าน] โอตาคุวันสิ้นโลก เล่ม 3 บทที่ 77 : เผาเห็ด

โอตาคุวันสิ้นโลก
重生宅男的末世守则

 

暖荷 หน่วนเหอ เขียน
เมิ่งเหวิน เเปล

 

นิยาย 7 เล่มจบ

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

____________________________________

 

บทที่ 77 เผาเห็ด

 

เห็ดบ้านฉันงอกเป็นสีแดงอีกแล้ว

 

เฮ้อ พระเจ้า เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว หลังจากเหอเฉียนคุนเข้าไปในพื้นที่กักตัวซึ่งล้อมเป็นวงกลมแล้ว เขาก็ทิ้งตัวลงนอนกับพื้นทันที ไม่ว่าใครจะดันอย่างไรเขาก็ไม่ไหวติง

พวกหลี่เถี่ยจนปัญญา ได้แต่นั่งล้อมตัวเขาแล้วใช้พุงเขาแทนโต๊ะ นั่งจิ้มเล่นๆ มันก็เด้งดึ๋งไม่เลวเลย

“นั่นสิ ทีแรกนึกว่ารถพวกเขาจะดึงดูดซอมบี้มาแค่นิดเดียว ที่ไหนได้ ข้างหลังดันตามมาอีกเป็นพรวน พวกเราฆ่าไปสองวันแล้วยังไม่หมดเลย เคราะห์ดีที่เราผลัดเวรกันนอนคนละตื่น ไม่งั้นวันนี้พวกเราคงไม่มีชีวิตกลับมาแหงๆ” หลี่เถี่ยว่าแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่

หลัวซวินยิ้มจนตาหยีแล้วเอ่ยถามว่า “เป็นไง เดือนหน้าจะออกไปอีกไหม”

นักศึกษาทั้งห้าคนมองหน้ากันแล้วพยักหน้ารัวๆ “ออกสิพี่ ไม่ออกได้ไง ยังไงก็ออกไปแค่เดือนละครั้งอยู่แล้ว”

เมื่อได้ยินเสียงของพวกเขา ผู้คนรอบข้างต่างหันมามองด้วยสายตาดูถูก…ออกไปนอกฐานที่มั่นแค่เดือนละครั้งเนี่ยนะ…นี่มันทีมกากๆ เรอะ สงสัยความกล้าหาญของพวกเขาคงมีแค่เดือนละครั้งสินะ

เมื่อเห็นว่าในทีมของพวกเขาไม่ได้มีแค่กลุ่มนักศึกษาหน้าอ่อน แต่ยังมีผู้หญิงอีกสองคน นอกจากนี้ยังมีชายหนุ่มหน้าสวยโดดเด่นสะดุดตามากกว่าผู้หญิงอีกหนึ่งคน ซึ่งนั่นหมายถึงจางซู่ เพราะเหยียนเฟยต่อให้ถอดหมวกกันน็อกออกแล้ว เขาก็ยังคาดหน้ากากผ้าสีขาวอันใหญ่ในตำนานไว้อยู่ แบบนี้…ช่างเสียของเหลือเกิน

คนที่อยู่ในพื้นที่กักตัววงด้านข้างกันผิวปากใส่สวีเหมย พลางใช้สายตาหยาบโลนจ้องหน้าอกเธอพร้อมกับเอ่ยแซว “คนสวย จะไปสุงสิงกับทีมเศษสวะพวกนี้ทำไมจ๊ะ สู้มาอยู่ทีมพี่ดีกว่า น้องสาว พี่น่ะ…” ผู้ชายคนนั้นยังไม่ทันพูดจบก็มีลูกไฟพุ่งใส่หน้า เคราะห์ดีที่เขากำลังสบตาสวีเหมยจึงเบี่ยงตัวหลบได้ทันท่วงที แต่ถึงอย่างนั้นเส้นผมเขาก็ยังติดไฟจนไหม้ไปเกือบครึ่งหัว

ชายคนนั้นเต้นผางพลางปัดไฟบนศีรษะ กลุ่มคนที่มุงดูอยู่ข้างๆ ต่างหัวเราะก๊ากพร้อมเอ่ยว่า “ขนาดกุหลาบมีหนามยังกล้าหาเรื่อง ไม่โดนลูกไฟทุ่มใส่ตายคาที่ก็นับว่าบุญแล้ว”

“นั่นสิ ฉันจำได้ว่าคราวก่อนมีผู้ชายคนหนึ่งถูกไฟเผาเสื้อผ้าวอดทั้งชุด ขนาดขนสักเส้นก็ไม่เหลือ”

กว่าชายคนนั้นจะดับไฟบนตัวได้หมดไม่ใช่เรื่องง่าย ครั้นได้ยินคำพูดเหล่านี้ใบหน้าเขาก็เขียวคล้ำสลับขาวซีด หันไปมองสวีเหมยด้วยสีหน้าอารมณ์หวาดๆ หวั่นๆ ไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก

หลัวซวินถามสวีเหมยด้วยความอยากรู้ “กุหลาบมีหนามงั้นเหรอ”

สวีเหมยรู้สึกเขินนิดๆ จนใบหน้าขึ้นสีแดงเรื่อเล็กน้อย “พวกเขาเรียกกันส่งเดชไปเอง”

ซ่งหลิงหลิงยิ้มร่าโผเข้ากอดสวีเหมยแล้วอธิบายให้หลัวซวินฟัง “ฉายาพี่สวีค่ะ ตอนเราตั้งทีมออกไปข้างนอกบางทีจะเจอพวกสารเลวไม่ดูตาม้าตาเรือเข้า แต่ลูกไฟของพี่สวีมีพลังทำลายล้างสูงมาก เลยไล่ตะเพิดคนพวกนั้นไปได้ทุกครั้ง” เธอพูดพลางมองฝ่ามือสองข้างของตัวเองอย่างสุดแสนจะเสียดาย “ทำไมฉันต้องมีพลังพิเศษธาตุน้ำที่ไม่ค่อยมีพลังทำลายล้างด้วยนะ ขอแค่พลังพิเศษธาตุลมเหมือนอย่างของพี่จางก็ได้”

ผู้มีพลังพิเศษธาตุน้ำมีพลังโจมตีต่ำมาก ต่อให้สร้างบอลน้ำขึ้นมากระแทกใส่หน้าคนอื่นก็ไม่ทำให้บาดเจ็บอะไรมากมาย ดังนั้นไม่ว่าวันสิ้นโลกจะผ่านไปกี่ปี ผู้มีพลังพิเศษธาตุน้ำส่วนใหญ่จึงมักมีตำแหน่งเป็นแนวหลังของทีม

ซ่งหลิงหลิงรู้สึกไม่พอใจที่ตัวเองมีพลังพิเศษแต่กลับสู้ใครเขาไม่ได้ ถ้าพลังพิเศษของเธอมีพลังทำลายล้าง ก่อนหน้านี้ก็คงไม่…

หลัวซวินได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายก็เข้าใจได้ทันที มิน่าล่ะ ทีมในอนาคตของพวกเธอถึงถูกเรียกว่ากองกำลังโรส ที่แท้ก็มีความเป็นมาแบบนี้เอง

ครั้นเห็นซ่งหลิงหลิงทำหน้าเสียดาย หลัวซวินก็พูดกับเธอด้วยรอยยิ้มว่า “ถึงยังไงก็ยังเจ๋งกว่าคนธรรมดาอย่างพวกฉัน อีกอย่าง ใครบอกว่าพลังพิเศษธาตุน้ำฆ่าคนไม่ได้ ถึงจะยุ่งยากหน่อย แต่เธอสร้างบอลน้ำครอบหัวคนไว้ในนั้นให้ขาดอากาศหายใจตายได้นะ”

“โอ๊ะ จริงด้วย! พี่หลัวคิดได้ไงเนี่ย” ซ่งหลิงหลิงตาลุกวาว จับสวีเหมยเขย่าไปมาจนหัวสั่นหัวคลอนด้วยความตื้นเต้นดีใจ เธอคิดมาตลอดว่าพลังพิเศษของตัวเองอ่อนด้อยเกินไป จึงนึกเสียดายอยู่ในใจ ตอนนี้ลองคิดดูแล้ว พลังทำลายล้างของเธอทำให้คนขาดใจตายได้ทั้งเป็นนี่มันน่าสะพรึงกว่าของสวีเหมยเสียอีก แบบนี้เธอก็ข่มขวัญผู้อื่นได้แล้ว

พวกหลี่เถี่ยมองหลัวซวินด้วยสายตาหวาดผวา…ในหัวของผู้ชายคนนี้คิดเรื่องอะไรอยู่บ้างกันแน่ วิธีฆ่าคนที่แสนโหดเหี้ยมแบบนี้ก็สามารถออกมาได้ เพราะสวีเหมยที่ใจร้อนมุทะลุเป็นทุนเดิมก็น่ากลัวพออยู่แล้ว ถ้าสมาชิกหญิงหมายเลขสองของทีมโปรดปรานการฆ่าคนด้วยการทรมานแบบนี้ด้วยอีกคน พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร!

หลัวซวินไม่รู้ตัวสักนิดว่าตนได้ทำให้ทัศนคติของผู้คนรอบข้างเปลี่ยนไป เขาแค่เอาวิธีที่ผู้มีพลังพิเศษธาตุน้ำเคยใช้จากที่ตนเห็นเมื่อชาติก่อนมาบอกต่อให้ซ่งหลิงหลิงรู้ไว้ก็เท่านั้น ถ้าซ่งหลิงหลิงไม่ได้มีความโหดร้ายเป็นทุนเดิม เธอจะกลายเป็นสมาชิกกองกำลังโรสอันแสนเหี้ยมโหดได้อย่างไร ก็เหมือนกับ ‘ถ้าไม่ใช่โอตาคุ จะเป็นสมาชิกของทีมโอตาคุได้อย่างไร’ ยังไงเล่า

เหยียนเฟยที่อยู่ข้างๆ ไม่รู้สึกว่ารับไม่ได้กับคำพูดของหลัวซวินสักนิด หนำซ้ำยังยิ้มกริ่มพลางลูบผมคนรักด้วยความเอ็นดู

 

คนทั้งกลุ่มต้องนั่งอยู่บนพื้นเย็นเฉียบเป็นเวลาสองชั่วโมงเต็ม มองดูพระอาทิตย์ค่อยๆ ลับไปทางทิศตะวันตก รู้สึกถึงฟ้าที่มืดลงเรื่อยๆ พร้อมกับอากาศที่เริ่มเย็นขึ้นทุกขณะ

ก่อนหน้านี้ตอนพวกเขานั่งอยู่ในรถ หรือตอนฆ่าซอมบี้ พวกเขาต่างขยับร่างกายอยู่ตลอดจึงไม่รู้สึกหนาว แต่เวลานี้ต้องนั่งนิ่งๆ อยู่ข้างนอก พอลมหนาวพัดมาทีพวกเขาก็คิดได้ว่า…อากาศตอนนี้ยังไม่อบอุ่นขึ้นอย่างเป็นทางการสินะ ลมหนาวช่วงหัวค่ำนี่หนาวจริงๆ เลย

เมื่อเวลาผ่านไปจนครบสองชั่วโมง ทุกคนก็รีบลุกขึ้นและเดินไปยังจุดจอดรถของพวกเขา

รอบตัวรถทั้งสี่คันถูกล้อมด้วยโครงเหล็กที่แกร่งกร้าวและปิดกั้นด้วยแผ่นเหล็กหนา นี่เป็นผลงานชิ้นเอกของเหยียนเฟย ในช่วงสองวันนี้เขาเก็บรวบรวมโลหะแถวบริเวณธนาคารมาได้ จึงนำทั้งหมดมาผนึกกับตัวรถเพื่อเสริมความแข็งแกร่งคงทน นั่นก็เท่ากับว่าเขาหาทรัพยากรกลับมาได้ไม่น้อยเลย

พวกเขาขับรถตรงกลับที่พัก หลังจอดรถแล้ว เหยียนเฟยก็ ‘ลอก’ รางวัลจากชัยชนะบางส่วนออกมา แล้วควบคุมให้ลอยเข้าลิฟต์ตัวหนึ่ง โชคดีที่พวกเขากลับมาตรงกับเวลาเปิดใช้ลิฟต์พอดี

เพียงชั่วอึดใจทุกคนก็ขึ้นมาถึงชั้นสิบหก เหยียนเฟยจัดการปูโลหะพวกนั้นตรงพื้นโถงทางเดิน จากนั้นทุกคนจึงไปร่วมประชุมในห้องของพวกหลี่เถี่ยและแบ่งคริสตัลกัน

คริสตัลที่ใช้ระหว่างสู้รบไม่นำมานับรวม ทุกคนเริ่มแบ่งสันส่วนที่เหลือตามอัตราส่วนที่ได้ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ หลัวซวินกับเหยียนเฟยได้คริสตัลเกือบสี่ร้อยก้อน และในบรรดาคริสตัลพวกนั้น มีคริสตัลขั้นสองรวมอยู่ด้วยถึงเจ็ดก้อน ใช่แล้ว คริสตัลขั้นสอง

คริสตัลสีครามอ่อนเป็นคริสตัลพลังลม จึงแบ่งให้จางซู่ทั้งหมด ส่วนคริสตัลพลังน้ำและพลังไฟถูกแบ่งให้สวีเหมยกับซ่งหลิงหลิง ทว่าพวกเขาไม่เจอคริสตัลพลังโลหะ ดังนั้นในมือเหยียนเฟยจึงมีเพียงคริสตัลพลังดิน คริสตัลพลังแข็งแกร่งและคริสตัลพลังความเร็ว ซึ่งเป็นคริสตัลขั้นสองที่เขาใช้ประโยชน์ไม่ได้

“มีคริสตัลเกือบสี่ร้อยก้อน ใช้ประมาณวันละสิบก้อนก็น่าจะใช้ได้ถึงสิ้นเดือน” เหยียนเฟยหันไปมองจางซู่ “ถ้านายยังคิดหาวิธีไม่ได้ก็ใช้คูปองสะสมไปแลกก่อน ยังไงตอนนี้ก็มีแต่วิธีนี้เท่านั้น”

จางซู่ผายมือยักไหล่ “ก็คงทำได้แค่แบบนี้ละ” ที่จริงมีให้ใช้วันละสิบกว่าก้อนเขาก็พอใจมากแล้ว ถึงจะจำนวนน้อยไปสักหน่อย แต่อย่างไรก็ดีกว่าเมื่อก่อนที่ไม่มีให้ใช้เลย ถ้าไม่ต้องทำงานจนดึกดื่นทุกวัน เขาก็คิดจะแอบออกไปฆ่าซอมบี้แถวนอกกำแพงช่วงหลังเลิกงานอยู่แล้ว ซึ่งด้วยพลังพิเศษของเขานั้น คงไม่มีทางถูกคนอื่นจับได้หรอก

ส่วนเหยียนเฟย เนื่องจากเขายังใช้คริสตัลที่ได้รับจากทางกองทัพได้ จึงไม่กังวลว่าจะมีคริสตัลไม่พอ

ทว่าพวกสวีเหมยทั้งสองสาว ต่อให้ยามปกติออกไปข้างนอกกับทีมอื่นจะได้รับส่วนแบ่งเป็นข้าวของและคริสตัลอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้มากมายขนาดนี้แน่ นี่พวกเธอได้รับถึงคนละหนึ่งร้อยกว่าก้อน เวลาปกติที่ติดตามทีมอื่นออกไปข้างนอกแล้วได้คริสตัลมาไม่กี่ก้อนนั่นก็ถือว่าใจดีมากแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเธอต่างมีพลังพิเศษ มีความสามารถในการต่อสู้ หลายคนก็แทบไม่อยากแบ่งของให้พวกเธอสองคนเลยด้วยซ้ำ ลำพังแค่ฐานะ ‘ผู้หญิง’ หลายทีมที่ยอมรับพวกเธอเข้าทีมก็เพราะมีเจตนาอื่นแอบแฝง เพียงแต่พอรู้ว่าพวกเธอมีพลังพิเศษ จะหาเรื่องไม่ได้ง่ายๆ พวกนั้นจึงล้มเลิกความคิดพรรค์นั้นทิ้งไประหว่างออกปฏิบัติภารกิจ

และด้วยเหตุนี้ หลังจากสวีเหมยและซ่งหลิงหลิงเที่ยวตระเวนหาอยู่หลายวัน ก็ยังหาทีมที่เหมาะสมจะร่วมมือกันระยะยาวไม่ได้ คริสตัลหนึ่งร้อยกว่าก้อนนี้ ถ้าไม่ใช้ฟุ่มเฟือยเกินไปก็ยังพอให้พวกเธอใช้ชีวิตสบายๆ ได้สักระยะหนึ่ง เพราะปัจจุบันนี้มูลค่าของคริสตัลในฐานที่มั่นสูงมาก แม้กระทั่งทางการก็ยังยินดีรับซื้อ เพียงแต่ราคานั้นต่ำกว่าการแลกเปลี่ยนกันเองแบบส่วนตัวตามท้องตลาดหลายเท่า โดยคริสตัลหนึ่งก้อนแลกได้แค่คูปองสองใบ ดังนั้นจึงมีคนนำคริสตัลไปแลกกับทางการน้อยมาก ส่วนคริสตัลที่แลกกันเองส่วนตัว หนึ่งก้อนแลกคูปองได้อย่างน้อยถึงห้าใบ

เมื่อแบ่งคริสตัลกันเสร็จ ทุกคนก็วางแผนถึงสิ่งที่ต้องเตรียมตอนออกนอกฐานที่มั่นคราวหน้า แล้วจึงแยกย้ายกลับห้องตัวเอง

หลัวซวินลากสังขารอันแสนอ่อนล้าเดินเข้าประตูใหญ่ห้องตัวเอง ครั้นเห็นเจ้าตัวเล็กที่ส่งเสียงดีใจอยู่ด้านหลังประตูตั้งแต่ได้ยินความเคลื่อนไหวข้างนอกพุ่งกระโจนเข้าหาเต็มรัก หลัวซวินก็ก้มลงไปอุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นมาแล้วขยี้หัวอย่างมันเขี้ยว “เอาละๆ พวกฉันกลับมาแล้ว”

เจ้าตัวเล็กไม่ได้เจอเจ้านายมาหนึ่งคืนเต็มจึงแสดงความรักความคิดถึงอย่างกระตือรือร้น ทั้งที่จริงแล้วพวกหลัวซวินจากมันไปไม่นานเลย แต่การแสดงออกอย่างรักใคร่แบบนี้ สำหรับพวกเขาก็ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดีตรงไหน

หลังจากวางข้าวของลงแล้ว หลัวซวินก็เดินเข้าไปล้างมือล้างหน้าในห้องน้ำ และตั้งใจขจัดเชื้อโรคให้หมดเกลี้ยง ก่อนเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบอาหารที่จะกินเป็นมื้อเย็นวันนี้ออกมา ฝ่ายเหยียนเฟยตรวจดูสภาพต่างๆ ในห้องจนทั่ว เมื่อแน่ใจแล้วว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิมทุกประการ เขาจึงวางใจแล้วเดินกลับเข้าไปในห้องรับแขก

“นายเข้าไปดูในห้องเพาะชำหน่อยสิ เหมือนฉันได้ยินเสียงลูกนกกระทาร้อง” หลัวซวินหยิบข้าวผัดที่เตรียมไว้ตั้งแต่ก่อนออกไปนอกฐานเข้าไปในครัวเพื่ออุ่นให้ร้อน พร้อมกับเปรยบอกเหยียนเฟย

”โอเค” เหยียนเฟยลูบหัวเจ้าตัวเล็กที่วิ่งพันแข้งพันขาเขา เจ้าตัวเล็กโตขึ้นเยอะเลย ไม่ต้องก้มตัวก็ลูบหัวมันได้แล้ว

ในห้องเพาะชำ มีเสียงของลูกนกกระทาร้องเบาๆ ออกมาจากตู้ฟักไข่จริงๆ บรรดาสิ่งมีชีวิตตัวจ้อยขนฟูนุ่มนิ่มกำลังซุกไซ้อยู่ด้วยกัน แต่เมื่อสัมผัสได้ว่ามีคนมายืนอยู่ข้างตู้ พวกมันก็ขยับขาเล็กจิ๋วอย่างหวาดระแวง

ดวงตาเหยียนเฟยหยักโค้งโดยอัตโนมัติ เผยใบหน้าแสนอ่อนโยน นี่คือคุณค่าแห่งชีวิตน้อยๆ ที่ไม่ว่าจะเหนื่อยล้าสักแค่ไหน แต่พอได้เห็นมันแล้วก็ทำให้ผู้คนถึงกับใจอ่อนยวบได้

น่าเสียดายที่ความงามในสายตาของเจ้านกกระทาแตกต่างจากของมนุษย์ เพราะเมื่อเหยียนเฟยยิ้มพรายออกมาแบบนี้มักทำให้แม้แต่เด็กน้อยยังรู้สึกชื่นชอบและอยากเข้าหา แต่ลูกนกกระทาน้อยกลับยังคงซุกไซ้อยู่ด้วยกันดังเดิม พวกมันเบิกดวงตาสีดำขลับจ้องเขม็งไปยังสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดทั้งยังตัวใหญ่ยักษ์ตรงหน้า

ครั้นเห็นกล่องอาหารและน้ำที่อยู่ข้างๆ ยังสะอาดและเต็มแน่น เหยียนเฟยก็กวาดตามองไปทั่วห้อง สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นบึ้งตึง เขาคว้าถุงมือยางมาใส่ทันที จากนั้นก็…เด็ดเห็ดทิ้ง แน่นอนว่าเห็ดที่เขาเด็ดทิ้งพวกนั้นเป็นเห็ดที่เรืองแสงสีแดงสด แถมยังมีไอขมุกขมัวรายล้อมรอบตัวเห็ดด้วย ถ้าใครไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อจะลองกินดูสักดอกก็ได้ ให้ทุกคนได้เห็นสักหน่อยว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไร

“เป็นไงบ้าง” หลัวซวินได้ยินเสียงฝีเท้าของเหยียนเฟยเดินออกมาจากห้องเพาะชำจึงเอ่ยถาม

“นกกระทาทั้งหมดห้าตัว ขนของบางตัวเพิ่งแห้ง คงเพิ่งฟักเป็นตัววันนี้ เดี๋ยวฉันขึ้นไปเผาเห็ดข้างบนก่อนนะ”

ตอนหลัวซวินได้ยินประโยคหลัง มุมปากก็พลันกระตุก นับตั้งแต่เข้าสู่ยุควันสิ้นโลก ขอนไม้เพาะเห็ดบ้านเขางอกเห็ดออกมาไม่ปกติเลยสักดอก จนเขานึกสงสัยว่าชาตินี้ตนจะเพาะเห็ดที่ปกติมากินได้บ้างหรือเปล่า แบบนี้สู้เขาขนขอนไม้พวกนั้นไปตากแดดให้แห้งแล้วเผาทำฟืนให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไปเลยดีไหม

ตรงเฉลียงดาดฟ้าชั้นลอยหลัวซวินปลูกพืชผลไว้ไม่น้อย พืชผักที่หลัวซวินเพาะไว้เมื่อไม่กี่วันก่อนและจำเป็นต้องลงแปลงปลูกต่อในปีนี้ส่วนใหญ่อยู่ที่ระเบียงชั้นหนึ่งหรือไม่ก็ยังอยู่ในห้องเพาะชำ เพื่อสะดวกแก่การขนย้ายไปไว้ในห้องข้างๆ ส่วนที่ปลูกไว้บนชั้นลอยจะเป็นผลไม้ และพืชกลายพันธุ์ต่างๆ ที่ต้องได้รับการดูแล

เมล็ดเลมอนและแตงโมที่พวกหลี่เถี่ยแบ่งให้พวกเขาก่อนหน้านี้แตกใบอ่อนหมดแล้ว อีกทั้งยังมีต้นแอ๊ปเปิ้ล สตรอว์เบอร์รี่ ต้นกล้าส้มจี๊ด และต้นกล้าเชอร์รี่ที่หลัวซวินปลูกไว้ตั้งแต่ก่อนวันสิ้นโลก นอกจากนี้ยังมีต้นองุ่นที่กำลังเริ่มเลื้อยออกมาเป็นเถาอีกกระถาง

ต้นอ่อนผลไม้เหล่านี้เพาะจากเมล็ดพันธุ์ที่หลัวซวินสั่งซื้อออนไลน์เก็บไว้ตั้งแต่ก่อนวันสิ้นโลก ทีแรกเขาไม่ได้คิดจะปลูกผลไม้เยอะขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเห็นลิงก์โฆษณาในร้านขณะที่กำลังกดซื้อผักอยู่จึงกดเข้าไปดู แล้วเกิดนึกสนุกกดสั่งซื้อเมล็ดพันธุ์ผลไม้ที่เมื่อก่อนเขาชอบกินมาหลายชนิด ไม่อย่างนั้นเขาคงนึกไม่ถึงด้วยซ้ำว่าจะซื้อเมล็ดพันธุ์ของผลไม้หรูหรามีราคาและเป็นจริงเป็นจังขนาดนี้

ฝ่ายเหยียนเฟยโยนเห็ดประหลาดลงไปเผาในกระถางที่อยู่บนพื้นด้านหนึ่ง ก่อนจะดึงเปิดพัดลมดูดอากาศที่ติดไว้บนผนังกระจกเพื่อระบายควันออกไป ส่วนตัวเขายืนอยู่ตรงริมหน้าต่างแล้วมองลงไปยังเบื้องล่าง ในเขตชุมชนยามค่ำคืนยังคงคึกคักมีชีวิตชีวา ผู้คนกำลังเดินทางกลับบ้านกันอย่างขวักไขว่

แม้หลายคนจะย้ายออกไปเพราะเหตุการณ์เมื่อหลายวันก่อน แต่ก็ยังเหลือคนอาศัยอยู่ที่นี่ไม่ต่ำกว่าครึ่ง

เมื่อเผาเห็ดหมดแล้ว เหยียนเฟยจึงนำขี้เถ้าเทลงในชักโครกแล้วกดน้ำทิ้ง จากนั้นก็ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อทำความสะอาด ก่อนจะกลับลงไปที่ชั้นล่าง

หลัวซวินอุ่นข้าวผัดเสร็จแล้วจึงมานั่งรอเขาอยู่ที่โต๊ะเพื่อกินข้าวพร้อมกัน วิทยุที่อยู่ข้างโต๊ะกำลังกระจายข่าวบางอย่าง พอเห็นเหยียนเฟยเดินลงมา หลัวซวินก็ชี้วิทยุแล้วบอกว่า “กำลังพูดเรื่องไวรัสซอมบี้ระบาดเมื่อไม่กี่วันก่อน”

เหยียนเฟยได้ยินดังนั้นก็รีบเดินมาที่โต๊ะ

ที่จริงแล้วข่าวนี้ออกอากาศในฐานที่มั่นซ้ำแล้วซ้ำเล่าตั้งแต่เมื่อบ่ายวานนี้ แต่เพราะถึงอย่างไรตอนนี้ก็ไม่มีรายการอื่นที่ต้องออกอากาศ ดังนั้นข่าวสำคัญแบบนี้จึงต้องออกอากาศวนซ้ำ ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ที่ออกนอกฐานที่มั่นรับรู้ข่าวนี้ไม่ทั่วถึง

ผลการตรวจสอบที่ประกาศในรายการวิทยุนั้นใกล้เคียงกับสิ่งที่หลัวซวินคาดเดาไว้

…ในวิทยุประกาศว่า เนื่องจากผู้คนที่กลายเป็นซอมบี้เหล่านั้นกินอาหารและดื่มน้ำที่ไม่สะอาด จึงเป็นเหตุให้ติดไวรัส ซึ่งน้ำประปาที่ใช้กันในฐานที่มั่นตอนนี้มีเชื้อไวรัสซอมบี้ปนเปื้อนอยู่จริง แต่ตราบใดที่ทำการฆ่าเชื้อตามขั้นตอนที่ทางการกำหนดไว้ก็จะใช้น้ำได้อย่างปลอดภัย ทั้งยังย้ำเตือนด้วยว่า ตอนนี้มีบู๊ธขายอาหารรายย่อยที่แอบเปิดเองอยู่ในฐานที่มั่นไม่ได้ปรุงอาหารตามขั้นตอนมาตรฐาน เพราะอยากประหยัดต้นทุน จึงก่อให้เกิดเหตุการณ์เมื่อคราวก่อนขึ้น ทางฐานที่มั่นเลยจะเร่งจัดการกับผู้กระทำผิดเหล่านั้น

หลัวซวินฟังอยู่นานก่อนจะเงยหน้ามองเหยียนเฟย ซึ่งอีกฝ่ายมองเขาอยู่ก่อนแล้ว “ฉันจำได้ว่า ในฐานที่มั่นไม่ใช่ว่าใครอยากจะเปิดบู๊ธขายอาหารก็เปิดกันเองได้นี่”

หลัวซวินพยักหน้า “อย่างน้อยๆ วันนั้นตอนที่เรากลับมา ก็เห็นคนแรกที่กลายเป็นซอมบี้อยู่แถวๆ บู๊ธของทางการ” ดังนั้นข่าวที่ออกอากาศในปัจจุบันจึงยังเชื่อถือไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ มีหลายเรื่องที่พอฟังแล้วต้องคิดพิจารณาให้รอบด้านก่อน จะพูดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวข้องกับทางการเลยก็คงไม่ได้

บู๊ธรายย่อยเหรอ หรือนึกว่ายังอยู่ในช่วงก่อนยุควันสิ้นโลกกัน มีใครบ้างในฐานที่มั่นที่ในบ้านมีเสบียงแล้วไม่เก็บรักษาให้ดี มีใครบ้างที่จะยอมนำของที่ช่วยให้มีชีวิตรอดพวกนี้มาแลกกับคูปองสะสม ไม่สังเกตหรือว่าการแลกข้าวและบะหมี่ในปัจจุบันนับวันก็ยิ่งหดหายไปเรื่อยๆ

 

สวีเหมยและซ่งหลิงหลิงผู้อาศัยอยู่ในห้อง 1502 นั่งกินขนมบิสกิต มันฝรั่งแผ่นทอดกรอบ และน้ำสะอาดอยู่บนพรมผืนหนา

“พรุ่งนี้เรายังจะออกไปนอกฐานที่มั่นอีกไหมพี่”

หลังจากได้ยินคำถามของซ่งหลิงหลิง สวีเหมยก็เกิดความลังเลใจเล็กน้อยก่อนพูดว่า “คงต้องออกไป แต่ไม่ใช่พรุ่งนี้หรอก” เธอพูดพลางหันไปมองซ่งหลิงหลิง “ถึงตอนนี้เราจะมีคริสตัลพอใช้แล้ว แต่ถ้าอยากใช้คริสตัลเพิ่มความแข็งแกร่ง จะหวังแค่ออกไปนอกฐานที่มั่นกับพวกเขาเพียงเดือนละครั้งไม่ได้ พวกเขามีงานประจำในฐานที่มั่นกัน แต่เราไม่มี”

ซ่งหลิงหลิงถอนหายใจเล็กน้อยก่อนพยักหน้าและกล่าวว่า “ฉันก็คิดแบบนี้เหมือนกัน ก่อนหน้านี้เรายังหาทีมเก่งๆ ไม่ได้ก็จริง แต่ตอนนี้เรามีคริสตัลพวกนี้แล้ว ต่อให้ยังหาทีมที่เข้ากันไม่ได้ครั้งสองครั้งก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร”

ใช่ว่าพวกเธอไม่เคยคิดหางานที่มั่นคงระยะยาวในฐานที่มั่น จะได้ไม่ต้องออกไปข้างนอก แต่พวกเธอทั้งสองยังต้องการเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเอง จะได้ไม่ถูกผู้ชายพวกนั้นเหยียดหยามและสร้างความเดือดร้อนให้พวกเธอได้อีก ในโลกปัจจุบันไม่มีใครเป็นที่พึ่งได้ พวกเธอจึงจำต้องพึ่งตัวเอง และทำให้ตัวเองแข็งแกร่งเท่านั้น

สองสาวยิ้มให้กัน นอกจากวันที่พวกเธอจะออกไปนอกฐานที่มั่นกับพวกหลัวซวินเดือนละครั้งแล้ว พวกเธอจะทิ้งความสามารถของตัวเองไปโดยเปล่าประโยชน์ไม่ได้ ต่อให้ปกติเวลาออกไปจะต้องเจอคำปฏิเสธ หรืออาจเจอเพื่อนร่วมทีมสุดห่วยก็ตาม แต่ไม่ว่ายังไงพวกเธอจะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด

 

ในวันแรกของเดือนมีนาคม หลัวซวินและเหยียนเฟยมาถึงจุดรวมตัวในค่ายทหารแต่เช้าตรู่ ตอนที่มาถึงค่ายทหาร ทั้งสองต่างตกใจกับภาพสถานการณ์การก่อสร้างประตูค่าย

ก่อนหน้านี้พวกเขาพอรู้มาว่าทางค่ายดูเหมือนกำลังดำเนินการก่อสร้างเพื่อเสริมความแข็งแรงมั่นคงให้กับค่าย ซึ่งจุดที่ทางกองทัพกำลังปรับปรุงในเวลานั้นอยู่คนละด้านกับประตูที่พวกเขาใช้เข้าออก ดังนั้นจึงไม่เคยได้เห็นสิ่งเหล่านั้นกับตา แต่นึกไม่ถึงว่าพวกเขาไม่ได้มาทำงานแค่สองวัน พอกลับมาก็ได้เห็นทางเข้าประตูยิ่งใหญ่อลังการขนาดนี้แล้ว

ใช่แล้ว ประตูค่ายที่สูงใหญ่อลังการ ดูด้วยตาเปล่าน่าจะสูงเกือบสิบเมตร จึงไม่แปลกที่พวกเขาเห็นแล้วจะตกตะลึง

เมื่อหัวหน้ากัวเห็นทั้งสองคนมาแล้วก็กวักมือเรียกให้เดินตามไปทางด้านนั้น “วันนี้เราไม่ต้องไปที่กำแพงชั้นนอก เบื้องบนมีคำสั่งให้ผู้มีพลังพิเศษธาตุดินสร้างกำแพงชั้นนอกให้สูงสิบเมตรและเพิ่มความหนาให้เสร็จก่อน ดังนั้นวันนี้พวกเราต้องร่วมมือกับสถาปนิกและผู้มีพลังพิเศษธาตุดินอีกชุดสร้างกำแพงล้อมค่ายทหาร”

หลัวซวินมองซุ้มประตูทางเข้าค่ายขนาดมหึมาที่อยู่ไกลออกไปด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะชี้จมูกตัวเอง “ผมก็ตามไปด้วยได้เหรอครับ” เดิมทีเขาแค่อยากดูแลเหยียนเฟยที่อาจทำงานเหนื่อยจนหมดแรงอยู่ที่กำแพงชั้นนอกถึงได้รบเร้าขอตามเหยียนเฟยไปทำงานด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะเขามีฝีมือยิงหน้าไม้แม่นขั้นเทพ ตอนนี้ก็คงไม่มีทางได้รับคูปองสะสมหรอก

หัวหน้ากัวยิ้มและตบบ่าหลัวซวิน “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ พวกเขาใช้พลังพิเศษแล้วไม่จำเป็นต้องมีคนช่วยย้ายของหรือไง อย่าว่าแต่คุณเลย ขนาดเสี่ยวหลิวที่ขับรถก็ยังต้องมาช่วยงานเหมือนกัน” ปัจจุบันฐานที่มั่นยังไม่ได้กำหนดงานที่ได้ค่าจ้างแรงงานแน่นอน หรืออัตราเงินเดือนของพนักงานวิชาชีพต่างๆ  ต่อให้มีเกณฑ์อยู่บ้างก็ล้วนกำหนดให้พวกนักวิจัยระดับแนวหน้าที่มีความรู้เฉพาะทางทั้งสิ้น ส่วนคนอื่นที่เหลือล้วนทำงานได้รับค่าจ้างรายวัน

หัวหน้ากัวเป็นหัวหน้าที่รักและปกป้องผู้ใต้บังคับบัญชาของตัวเองมาก ขอเพียงคุณปฏิบัติตามคำสั่งและตั้งใจทำงานอย่างขยันขันแข็ง ไม่ว่าผลประโยชน์ใดๆ เขาก็จะพยายามช่วยต่อรองมาให้คุณ ยกตัวอย่างเรื่องการแจกคริสตัลตั้งแต่แรกเริ่มจนตอนนี้เขาก็ไม่เคยขี้เหนียวกับลูกน้องเลยสักครั้ง ซึ่งต่างจากหัวหน้าหน่วยทีมอื่นที่กลัวว่าลูกน้องจะแอบงุบงิบเก็บคริสตัลไปใช้ส่วนตัวเอง ดังนั้นเมื่อผู้มีพลังพิเศษจะใช้คริสตัลจึงต้องไปขอเบิกจากพวกเขาเสียทุกครั้ง แต่ถ้าวันไหนมีคริสตัลเหลือเยอะหรือได้มากกว่าปกติ คริสตัลเหล่านั้นก็กลับตกเป็นของหัวหน้าพวกนั้นไปโดยปริยาย

สำหรับเรื่องนี้ เสิ่นผิงผู้มีพลังพิเศษธาตุโลหะที่เคยอยู่ทีมสองนั้นรู้ดีที่สุด ตอนเขาอยู่ทีมสอง หัวหน้าทีมย่อยไม่เคยแจกคริสตัลให้พวกเขามากพอสำหรับการใช้งานในแต่ละวันเลยสักครั้ง พวกเขาต้องขอเบิกทุกครั้งที่จะใช้ แถมตอนดูดซับคริสตัลยังต้องทำต่อหน้าด้วย เพราะฝ่ายนั้นกลัวลูกน้องฮุบคริสตัลเก็บไว้ เนื่องจากคริสตัลราคาสูงมาก

เสิ่นผิงก็เพิ่งรู้ตอนย้ายมา ว่าเบื้องบนมีคำสั่งให้แจกคริสตัลตามจำนวนคนที่กำหนดไว้ในแต่ละวัน ซึ่งจำนวนในแต่ละวันนั้นก็ไม่แน่นอน ดังนั้นจึงมีแต่ฟ้าที่รู้ว่าหัวหน้าทีมสองแอบฮุบคริสตัลไปเท่าไร

สำหรับหัวหน้ากัวแล้ว หลัวซวินถือเป็นสมาชิกทีมที่เก่งและขยันขันแข็งมาก ไม่ใช่แค่มีสัญชาตญาณการระวังภัยสูงเท่านั้น หลัวซวินยังเข้าใจการใช้พลังของผู้มีพลังพิเศษอย่างพวกเหยียนเฟยเป็นอย่างดี ทั้งวิเคราะห์สถานการณ์ต่างๆ และตัดสินใจได้อย่างถูกต้องเหมาะสมและทันท่วงที ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเมื่อมีเขาอยู่เคียงข้าง ไม่ว่าซอมบี้ตัวไหนก็ทำร้ายเหยียนเฟยไม่ได้ ขอเพียงแค่เขาลงมือยิง หน้าไม้ของเขาก็ไม่เคยพลาดเป้าเลยสักครั้ง

การมีสมาชิกที่แข็งแกร่งและมีคุณภาพไม่ด้อยไปกว่าทหารที่ได้รับการฝึกฝนเฉพาะทางอยู่ทั้งคน หัวหน้ากัวจึงไม่รู้สึกเสียดายที่จะให้คูปองสะสมแก่หลัวซวินเลยแม้แต่น้อย เพราะอย่างไรพวกเขาก็ต้องการคนช่วยขนของและคอยดูแลผู้มีพลังพิเศษอยู่แล้ว

ปกติพวกหลัวซวินเข้าออกทางประตูฝั่งตะวันออกเสมอ ครั้งนี้พวกเขาเดินตามหัวหน้ากัวไปยังประตูฝั่งทิศใต้ของค่ายทหาร ทั้งสองเห็นสมาชิกทีมยืนรออยู่ตรงจุดไกลๆ ตรงนั้น แม้แต่คนขับรถก็อยู่ด้วยเช่นกัน

“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเราจะเข้ามาทำงานในค่ายทหารชั่วคราว ส่วนต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะกลับไปสร้างกำแพงฐานที่มั่นชั้นนอกต่อนั้น ต้องดูสถานการณ์งานของที่นั่นเป็นหลัก” หลังจากหัวหน้ากัวแจ้งรายละเอียดเสร็จก็สั่งงานทุกคน งานในค่ายทหารนอกจากต้องสร้างกำแพงค่ายเพื่อเสริมความมั่นคงแข็งแรงแล้ว ยังต้องทำวัสดุอุปกรณ์ รวมถึงชั้นวางต่างๆ ด้วย ในปัจจุบันของเหล่านี้ค่อนข้างหายาก ดังนั้นเลยต้องให้ผู้มีพลังพิเศษธาตุโลหะใช้วัสดุโลหะสร้างขึ้นมา ไม่ใช่ทำแค่งานสร้างกำแพงเท่านั้น

คำสั่งของเบื้องบนก็คือ ให้สร้างสิ่งที่จำเป็นก่อนตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ เช่น กรอบหน้าต่าง ชั้น และบันไดเป็นต้น หากทำของเหล่านี้เสร็จแล้ว ทางด้านกำแพงฐานที่มั่นชั้นนอกพร้อมให้เริ่มงานต่อได้พอดี ก็ให้พวกเขากลับไปทำงานในส่วนนั้นก่อนได้ รอให้งานสร้างกำแพงฐานที่มั่นทั้งชั้นนอกและชั้นในที่จำเป็นต้องใช้ความสามารถของผู้มีพลังพิเศษธาตุโลหะเสร็จสมบูรณ์ จากนั้นค่อยให้พวกเขาเข้าร่วมงานก่อสร้างอย่างอื่นในค่ายทหารต่อไป

สรุปก็คือ ยังมีอีกหลายงานที่ต้องใช้ความสามารถของพวกเขา ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลเลยว่าจะตกงาน

 

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า