[ทดลองอ่าน] โอตาคุวันสิ้นโลก เล่ม 3 บทที่ 78 : สวนปลูกผักแห่งใหม่

โอตาคุวันสิ้นโลก
重生宅男的末世守则

 

暖荷 หน่วนเหอ เขียน
เมิ่งเหวิน เเปล

 

นิยาย 7 เล่มจบ

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

____________________________________

 

บทที่ 78 สวนปลูกผักแห่งใหม่

 

ฉันจะปลูกธัญพืชให้เต็มห้องนอนไปเลย!

 

หลัวซวินเห็นว่าหัวหน้ากัวสั่งงานเสร็จแล้ว ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปเริ่มลงมือศึกษาแบบแปลน เขาจึงขยับเข้าไปกระซิบกับหัวหน้ากัว

“วันหยุดงั้นเหรอ” หัวหน้ากัวอึ้งไปชั่วขณะก่อนคิดตามครู่หนึ่ง จะว่าไปก็จริง พวกเขาทำงานตัวเป็นเกลียวแบบนี้ทุกวัน ใครจะไปทนไหว อย่าว่าแต่หลัวซวินกับเหยียนเฟยเลย แม้แต่พวกทหารคนอื่นๆ ที่ต้องทำงานติดต่อกันมานานก็รับไม่ไหวกันทั้งนั้น “คุณคิดว่าควรหยุดทุกๆ กี่วันดี”

ครั้นเห็นว่าหัวหน้ากัวไม่ได้เอ่ยปากปฏิเสธ หลัวซวินจึงรีบบอก “เดือนละครั้งก็ได้ครับ เหมือนเมื่อสองวันก่อนที่ได้หยุดสองวันสุดท้ายของเดือนก็ได้ พวกผมรู้ว่างานในฐานที่มั่นยุ่งมาก แต่ถ้าทำงานต่อเนื่องไปนานๆ โดยไม่ได้หยุดพักผ่อนทุกคนจะรับไม่ไหวได้นะครับ” นี่เป็นวันที่พวกเขาตกลงกับพวกหลี่เถี่ยและจางซู่ไว้ ถ้าหัวหน้าหน่วยของตัวเองเห็นด้วยตามนี้ก็ดีสุดๆ เลย

หัวหน้ากัวคิดอยู่สักพักแล้วจึงพยักหน้า “เรื่องนี้ผมคงต้องไปปรึกษากับคนอื่นดูก่อน แต่เดาว่าไม่น่าใช่ปัญหาใหญ่ เอาละ รีบไปทำงานกันก่อนเถอะ” ก่อนหน้านี้เพราะเป็นภารกิจที่สำคัญมาก ทุกคนต่างต้องสร้างกำแพงให้แล้วเสร็จอย่างเร่งด่วน จึงไม่ได้คิดถึงวันหยุดกันเลย แต่เวลานี้งานคืบหน้าไปมาก ทั้งยังไม่ต้องเร่งสร้างกำแพงชั้นนอกอีกแล้ว ดังนั้นจะให้ทุกคนทำงานด้วยความตึงเครียดตลอดโดยไม่ได้พักร่างกายเลยคงไม่ดีแน่ เพราะนานวันเข้าจะไม่มีใครรับไหว

พูดถึงการนำโลหะมาใช้สร้างสิ่งต่างๆ คงไม่มีใครมีประสบการณ์มากเท่าเหยียนเฟยอีกแล้ว ตอนที่เขาถูกหลัวซวินเก็บกลับไปรักษาตัวที่บ้านหลังจากผ่านวันสิ้นโลกได้เพียงไม่กี่วัน เขาก็เริ่มช่วยทำหน้าไม้และลูกธนูตามแบบร่างให้หลัวซวินแล้ว จนตอนนี้เหยียนเฟยทำสิ่งเหล่านั้นได้อย่างคล่องแคล่วชำนิชำนาญ จึงสามารถชี้แนะคนที่เหลือได้สบาย

ผู้มีพลังพิเศษธาตุโลหะทั้งหมดต่างมีประสบการณ์สร้างกำแพงจากระยะไกลกันมาแล้ว พวกเขาจึงเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ได้ไวมาก เพียงแต่ต้องใส่ใจในรายละเอียดมากขึ้น ทว่าโชคดีที่ปัจจุบันทางฐานที่มั่นไม่ได้เรียกร้องเรื่องคุณภาพของสิ่งพวกนี้เป็นพิเศษ ขอแค่ทำออกมาเป็นรูปเป็นร่างและใช้งานได้ก็พอ

งานของครึ่งวันเช้าสำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว ตอนเที่ยงทุกคนไปกินข้าวที่โรงอาหารสี่ซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดด้วยกัน หลัวซวินเดินวนดูช่องขายอาหารรอบหนึ่งก่อนจะกระซิบกับเหยียนเฟยด้วยเสียงทดท้อใจ “ไม่มีเนื้อสัตว์จริงๆ ด้วย”

เดือนที่แล้วตอนที่พวกเขากินแต่ข้าวในโรงอาหารก็เคยบ่นกับพวกหลี่เถี่ยเหมือนกันว่า ขนาดโรงอาหารสามยังแทบไม่มีเนื้อสัตว์ให้กินเลย ได้ยินว่าโรงอาหารสี่กับโรงอาหารห้าก็งดใส่เนื้อสัตว์ในอาหารมานานแล้ว ต่อมาภายหลังพวกเขาทำงานสร้างกำแพงชั้นนอก มีฝ่ายพลาธิการนำอาหารมาจัดส่งให้ทุกวัน จึงยังพอมีเนื้อสัตว์ให้ได้กินบ้าง ไม่ได้สัมผัสรับรู้อย่างชัดเจนเหมือนกับตอนนี้ วันนี้กลับมากินข้าวที่โรงอาหารเป็นมื้อแรก จึงเป็นหลักฐานยืนยันว่าสถานการณ์ของฐานที่มั่นในปัจจุบันเลวร้ายมาก

ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ ตอนนี้การตักอาหารถูกจำกัดปริมาณแล้ว แต่ก่อนโรงอาหารตักข้าวให้แต่ละทีจะโปะข้าวจนพูนกล่องพูนถาดตลอด ทว่าตอนนี้ทั้งข้าวทั้งกับข้าวเหลือแค่ทัพพีเดียวเท่านั้น พอตักข้าวและกับที่สั่งให้เสร็จก็จะราดน้ำแกงผักใส่ลงในกล่องข้าวแถมให้อีกทัพพี แต่ถ้าคุณทำท่าไม่พอใจละก็ เขาก็จะตักน้ำแกงผักให้อย่างมากแค่ครึ่งทัพพี พร้อมทำท่าเป็นเชิงบอกว่า นี่เป็นกฎที่เบื้องบนเพิ่งสั่งลงมา จะตักอะไรให้ใครมากกว่านี้ไม่ได้

ที่ขัดใจยิ่งกว่าก็คือ ป้ายประจำตัวที่ทุกคนต้องห้อยติดตัวก็เพิ่งถูกเปลี่ยนใหม่ให้เป็นบัตรแบบเดียวกันเมื่อเช้านี้ เวลาไปตักอาหารต้องรูดบัตรใบนี้กันทุกคน เมื่อรูดไปแล้วหนึ่งครั้งจะรูดซ้ำสองไม่ได้ จะรูดใหม่ได้ก็ต่อเมื่อถึงเวลาขายอาหารมื้อถัดไป

นอกจากน้ำข้าวต้มทางด้านข้างที่เติมได้ไม่จำกัดแล้ว อาหารหลักที่ขายในช่องอื่นๆ ก็อย่าได้คิดหวังเลย

หลัวซวินถือกล่องอาหารกลางวันกลับมาข้างโต๊ะที่พวกหัวหน้ากัวนั่งอยู่ เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วพูดว่า “โรงอาหารปรับระบบใหม่เหรอครับ”

หัวหน้ากัวก็มีสีหน้าไม่สบอารมณ์เหมือนกัน กรำงานหนักมาตลอดช่วงเช้า พอพักกลางวันได้กินแค่อาหารพวกนี้ เป็นใครก็ไม่พอใจกันทั้งนั้น “ใช่ ลดปริมาณอาหารลงตั้งแต่สองวันก่อน แต่วันนี้เพิ่งเริ่มทำให้เป็นระบบเหมือนกันหมด พวกเขาบอกว่าปริมาณเท่านี้ก็เพียงพอกับการเสริมพลังงานของผู้ชายวัยผู้ใหญ่ที่ต้องการบริโภคต่อวันแล้ว ที่รู้สึกว่ากินไม่อิ่มเป็นเพราะร่างกายส่งสัญญาณให้เข้าใจผิดไปเอง ซึ่งความจริงได้รับสารอาหารเพียงพอแล้ว ผู้เชี่ยวชาญห่วยแตกพวกนั้นอ้างทฤษฎีบ้าบออะไรก็ไม่รู้ กินอิ่มกินไม่อิ่มมีเหรอที่ตัวเองจะไม่รู้ เห็นพวกเราเป็นนกเลี้ยงเรอะ ใช่ว่ากระเพาะคนเราจะมีขนาดเท่ากันทุกคนเสียเมื่อไร”

หัวหน้ากัวกินค่อนข้างจุ ปกติเขาเองก็ทำงานหนักใช้แรงมากพอๆ กับสมาชิกในทีม คิดไม่ถึงว่าจะถูกจำกัดปริมาณอาหารเหมือนกัน แต่กลับไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้เลย

หลัวซวินมองเขาด้วยแววตาเห็นใจ เพราะเขากับเหยียนเฟยยังโชคดี ถ้ากินไม่อิ่ม อีกหน่อยก็พกของจากที่บ้านมากินได้ อีกอย่าง กระเพาะของพวกเขาก็จุได้เท่ากับคนปกติทั่วไป กินอาหารประมาณนี้ก็พออิ่มท้องแล้ว แต่เขารู้ว่าสมาชิกในทีมนอกจากหัวหน้ากัว ยังมีอีกสองคนที่กระเพาะครากกินจุมาก ถ้าทางกองทัพจำกัดปริมาณอาหารแบบนี้ นานวันเข้าคนเหล่านี้ต้องทนไม่ได้จริงๆ แน่

“เสบียงอาหารในกองทัพมีเหลือไม่มากแล้วสินะ” เหยียนเฟยพูดน้ำเสียงราบเรียบ แค่คิดก็รู้แล้ว ในฐานที่มั่นมีคนทั้งหมดตั้งเท่าไร ต่อให้ก่อนวันสิ้นโลกไปรวบรวมเสบียงละแวกนี้กลับมาได้เยอะแค่ไหนก็ไม่มีทางมากพอจะรองรับคนจำนวนมหาศาลที่ต้องบริโภคกันทุกวันๆ ได้ อีกทั้งเมื่อคืนพวกเขาได้ยินข่าวประชาสัมพันธ์จากวิทยุประกาศว่า อากาศเริ่มอุ่นขึ้นแล้ว แนะนำให้เหล่าผู้รอดชีวิตลองปลูกพืชผักในบ้านไว้เป็นวัตถุดิบ

หัวหน้ากัวมีสีหน้าชะงักค้างไปชั่วขณะ ก่อนส่ายหัวเบาๆ แล้วพูดว่า “สถานการณ์ยังไม่แน่ชัด แต่เห็นบอกว่าส่งคนไปตรวจดูยุ้งฉางหลายแห่งละแวกใกล้ๆ นี้แล้ว” ส่วนจะได้อะไรมาเท่าไรนั้น ดูจากอาหารที่กินอยู่ตอนนี้ก็ได้มั้ง ตอนแรกที่เริ่มลดปริมาณเนื้อสัตว์กับผักลงยังเป็นเรื่องที่ทุกคนเข้าใจได้ ทว่าตอนนี้แม้แต่ข้าวก็เริ่มจำกัดปริมาณด้วย จึงเห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ปัจจุบันนั้นเป็นอย่างไร

ทันใดนั้นทหารที่นั่งโต๊ะเดียวกันคนหนึ่งก็กระซิบว่า “ผมได้ยินมาว่าที่แปลงนาเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นครับ”

“หือ?” ทุกคนอึ้งไปเล็กน้อย สายตาต่างจับจ้องไปที่เขา

ทหารคนนั้นลูบจมูกพลางยิ้มเจื่อน “เพื่อนร่วมรบคนหนึ่งของผม ที่บ้านเขาทำการเกษตรมาก่อน เลยรู้เรื่องเพาะปลูกค่อนข้างเยอะ จึงถูกย้ายให้ไปอยู่หน่วยเพาะปลูกตั้งแต่ช่วงก่อนนี้แล้วครับ เห็นว่าบาดเจ็บกันไปหลายคนเลย เพราะพืชพวกนั้น…” เขาเล่าพลางเหลียวซ้ายแลขวาด้วยความกังวล ครั้นเห็นว่าไม่มีคนอื่นแอบฟังพวกเขาคุยกันจึงอธิบายต่อเสียงเบา “มีพืชบางส่วนเคลื่อนไหวเองได้! พืชพวกนั้นเปลี่ยนเป็นสีแปลกๆ พวกที่เคลื่อนไหวเองได้นั่นโตไวสุดๆ แถมยังทำร้ายคนด้วย!”

พืชกลายพันธุ์!

หลัวซวินอธิบายด้วยคำคำหนึ่งอยู่ในใจ เขาเงยหน้าขึ้นสบตากับเหยียนเฟยซึ่งกำลังทำหน้าครุ่นคิด เหยียนเฟยเองก็นึกถึงพืชลักษณะแปลกประหลาดที่บ้านที่ถูกเขากับหลัวซวินกำจัดทิ้งไปแล้วพวกนั้นเช่นกัน

“เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง” พวกหัวหน้ากัวตกใจอย่างเห็นได้ชัด พืชเคลื่อนไหวเองได้…แถมยังทำร้ายคนได้ด้วย?! นี่มันเรื่องพิสดารอะไรกัน!

“ถึงจะนึกภาพไม่ค่อยออก แต่ถ้าสถานการณ์เป็นแบบนี้จริง ก็ไม่แปลกที่เบื้องบนจะจำกัดปริมาณอาหาร” ในเมื่อพืชกลายพันธุ์ไปเป็นจำนวนมาก ไม่สามารถปลูกได้ตามปกติ อาศัยแค่เสบียงอาหารที่มีอยู่เดิมจะประทังไปได้อีกนานแค่ไหน คนที่ศูนย์วิจัยต้องเร่งศึกษาค้นคว้าว่าพืชที่กลายพันธุ์ไป ชนิดใดปลูกได้ ชนิดใดปลูกไม่ได้ ชนิดใดกินเข้าไปแล้วเป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์ สิ่งเหล่านี้ล้วนต้องสำรวจวิจัยพิสูจน์สมมติฐาน จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะสรุปผลในเวลาอันสั้น โดยทั่วไปแล้วต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งปีกว่าจะได้ข้อมูลออกมาคร่าวๆ ในช่วงหนึ่งปีแรกหลังวันสิ้นโลก ทุกคนต้องใช้ชีวิตท่ามกลางการค้นคว้าหาคำตอบไปอย่างช้าๆ

หลังรู้ข่าวนี้แล้ว ผู้คนที่ไม่พอใจเรื่องอาหารการกินต่างไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก เมื่อกินข้าวเที่ยงเสร็จก็กลับมาทำงานสร้างกำแพงกันต่อ

งานของค่ายทหารคราวนี้ไม่ใช่แค่การสร้างกำแพงใหม่ขึ้นมาล้อมรอบธรรมดาๆ แล้วก็จบไปเท่านั้น เหยียนเฟยพิจารณาจากวัสดุที่ร่างไว้บนแบบแปลน จากคำบอกเล่าเพียงเล็กๆ น้อยๆ ของผู้รับผิดชอบในระดับสั่งการ และดูจากพื้นที่ซึ่งต่อขยายจากกำแพงออกไปด้านนอก ทำให้เขาพอจะคาดเดาได้ว่า ครั้งนี้พวกเขาคงมีงานใหญ่ให้ต้องทำกันอีกมาก

แค่ความหนาของกำแพงก็หนากว่ากำแพงฐานที่มั่นชั้นนอกที่พวกเขาสร้างกันก่อนหน้านี้แล้ว และกำแพงที่แข็งแกร่งพวกนี้ก็ไม่ได้มีไว้แค่เพื่อป้องกันภัย เห็นได้ชัดว่ายังต้องสร้างห้องหับและทางเดินเชื่อมระหว่างกัน รวมถึงหอระวังภัยแบบต่างๆ อย่างหอธนูและป้อมปืน ทั้งยังต้องเตรียมสร้างสะพานยกระดับเชื่อมตรงไปถึงกำแพงฐานที่มั่นชั้นในและชั้นนอกด้วย ในอนาคตที่นี่จะกลายเป็นศูนย์กลางสำคัญของปราสาทอันแข็งแกร่งมั่นคงที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

หินดินทรายถูกขนย้ายขึ้นไปบนกำแพงค่ายกระสอบแล้วกระสอบเล่า ผู้มีพลังพิเศษธาตุดินและเครื่องโม่ผสมปูนทำงานสอดประสานกัน ทั้งเททั้งก่อขึ้นมาเป็นผนังคอนกรีตได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว หลัวซวินและเหยียนเฟยสังเกตเห็นว่าผู้มีพลังพิเศษธาตุดินของทีมสร้างกำแพงในช่วงเช้าและช่วงบ่ายเป็นคนละคนกัน เหมือนกับผู้มีพลังพิเศษธาตุโลหะเมื่อก่อนนี้ที่เคยแบ่งออกเป็นสองกะ พอคิดอีกทีก็เป็นอย่างที่หัวหน้าหน่วยเคยบอกไว้ ว่าตรงจุดสร้างกำแพงฐานที่มั่นชั้นนอกยังมีผู้มีพลังพิเศษธาตุดินทำงานกันอยู่อีกไม่น้อย แล้วผู้มีพลังพิเศษธาตุดินในใจกลางฐานที่มั่นที่เห็นนี้อีกเล่า แบบนี้จะมีอยู่ทั้งหมดเท่าไรกัน

เหล่าผู้มีพลังพิเศษธาตุโลหะทำงานง่วนจนถึงบ่ายสามโมงจึงเลิกงานแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อน

หลัวซวินกับเหยียนเฟยออกมาทางประตูฝั่งตะวันออกของค่ายทหารเพื่อมาเอารถขับกลับบ้าน ระหว่างทางหลัวซวินก็อดทอดถอนใจไม่ได้ “ฉันว่าถ้าเราออกไปนอกฐานคราวหน้า ไม่ต้องหวังเลยว่าจะหาผู้มีพลังพิเศษธาตุดินที่เหมาะจะมาร่วมทีมได้ เพราะทางกองทัพคงเกณฑ์พวกเขาไปสร้างกำแพงล้อมค่ายทหารกันหมดแล้ว”

แม้ว่างานในกองทัพจะไม่อาจรับประกันได้ว่ามีรายได้สูงแค่ไหน แต่อย่างน้อยก็วางใจเรื่องความปลอดภัยได้ระดับหนึ่ง ในยามต่อสู้ ผู้มีพลังพิเศษธาตุดินมีบทบาทเป็นฝ่ายช่วยเหลือและคุ้มกันเช่นเดียวกับผู้มีพลังพิเศษธาตุน้ำ ดังนั้น แม้จะอยากออกไปนอกฐาน แต่หากสมาชิกทีมไม่เชื่อใจว่าเขาเหล่านั้นจะสามารถให้ความช่วยเหลือได้จริง ก็คงไม่กล้าออกไปด้วยง่ายๆ

เหยียนเฟยก็จนใจกับเรื่องนี้อยู่นิดหน่อย เขาเองยังนึกหาวิธีดีๆ ไม่ออก ดูจากท่าทีของสวีเหมยกับซ่งหลิงหลิงที่ได้รับส่วนแบ่งหลังจากร่วมมือกับพวกเขาเมื่อคราวก่อน เขาก็พอจะเดาได้ว่าทีมทั่วไปออกไปหาคริสตัลนอกฐานที่มั่นได้ครั้งหนึ่งประมาณเท่าไร การออกไปกับทีมพวกเขาทำให้สองสาวได้ส่วนแบ่งสูงกว่าทีมอื่นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเป็นแบบนี้ ถ้าไม่สามารถเชื่อใจคนที่เข้าทีมมาใหม่ได้ อย่างนั้นสู้ไม่ต้องหาสมาชิกเพิ่มจะดีกว่า ทุกคนจะได้ไม่ต้องตกอยู่ในอันตราย

พอคิดมาถึงตรงนี้เหยียนเฟยก็โอบบ่าหลัวซวินพลางปลอบว่า “ถ้าหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ก็ช่างเถอะ ฉันขุดหลุมเองก็ได้ อย่างมากออกไปคราวหน้าเราก็เริ่มลงมือขุดไว้บางส่วน พอคราวต่อๆ ไปก็ทยอยขุดไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเสร็จ” ต้องโทษที่เป็นถนนลาดยางจึงทำให้ขุดยาก

จู่ๆ หลัวซวินก็นึกบางอย่างขึ้นได้ ดวงตาพลันลุกวาว “ก่อนวันสิ้นโลกมีหลายจุดที่เทยางถนนเสร็จก็ขุด ขุดเสร็จก็เทยางปิดกลับไปใหม่ไม่ใช่เหรอ ผ่านไปสองสามวันเดี๋ยวก็ขุดถนนซ่อมท่ออะไรสารพัด บางทีเราอาจหาที่เหมาะๆ เจอก็ได้นะ”

พอได้ยินหลัวซวินพูดแบบนี้เหยียนเฟยก็พอจะนึกออกเช่นกัน เขาจำได้ว่าสถานที่พวกนั้นมักปูแผ่นเหล็กขนาดใหญ่ไว้ชั่วคราว แบบนี้ยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัวเลย

เมื่อขับรถกลับมาถึงบ้าน ทั้งสองก็เอาโลหะบางส่วนที่เก็บอยู่ในรถออกมา… เหยียนเฟยหลอมพวกมันเป็นหนึ่งเดียวกับตัวรถที่ขับออกไปนอกฐานที่มั่นครั้งก่อน นอกจากเหยียนเฟยแล้ว คนอื่นก็ยากที่จะลอกโลหะพวกนั้นออกจากตัวรถได้

เหยียนเฟยกับหลัวซวิน ‘ยก’ โลหะขึ้นมาบนชั้นสิบหก จากนั้นก็พักกันครู่หนึ่งก่อนจะลงมือจัดการทำพื้นห้องนอนสองห้องที่เหลือจนเสร็จ พร้อมกับเสริมความแข็งแรงของตัวอาคารไปด้วยทีเดียว ไม่ทันไรทั้งสองก็ยืนอยู่บนพื้นมันวาวที่สร้างจากโลหะหลากชนิด

“ห้องควบคุมความร้อนเพิ่งจะเป็นแค่ก้าวแรก เรายังต้องรวบรวมอุปกรณ์ส่องสว่างในฐานที่มั่นกลับมาให้ได้เยอะๆ แล้วก็แผงพลังงานแสงอาทิตย์ด้วย” หลัวซวินพูดพลางกวาดตามองไปรอบๆ ท่าทางมุ่งมั่นในปณิธานอันแรงกล้า

เหยียนเฟยพยักหน้า “ทำห้องเสร็จเรียบร้อยแล้ว เรื่องที่เหลือค่อยเป็นค่อยไปก็ได้ พวกเราช่วยกันย้ายชั้นปลูกจากห้องโน้นมานี่ก่อนดีกว่า”

หลัวซวินทำชั้นปลูกผักไว้เมื่อหลายวันก่อนตั้งแต่ตอนที่ยังทำห้องนี้ไม่เสร็จ ตอนนี้ห้องเสร็จแล้วก็ย้ายชั้นพวกนั้นมาไว้ที่นี่ได้ทั้งหมด

ประตูเหล็กดำเมี่ยมที่กั้นระหว่างห้องทั้งสองถูกเปิดออก เจ้าตัวเล็กวิ่งมาสำรวจด้วยความตื่นเต้นดีใจ กรงเล็บของมันกระทบพื้นโลหะดังก๊อกแก๊กๆ มันลิงโลดกระโจนจนไถลพรืดไปกว่าครึ่งห้อง แล้วหยุดลงเมื่อพุ่งชนเข้ากับฝาผนังดัง ‘ปั้ก’

หลัวซวินกับเหยียนเฟยช่วยกันยกชั้นปลูกผักซึ่งที่จริงไม่ได้หนักมากแต่ขนาดค่อนข้างเทอะทะมาก่อน จากนั้นจึงค่อยย้ายกระถางและกระบะตามมาที่ห้อง 1603 ทว่าจังหวะนั้นกลับเห็นเจ้าตัวเล็ก ‘เหิน’ มาทางพวกเขาสองคนพอดี… ‘โครม’ …

“โชคดีที่ชั้นพวกนี้ยังไม่ได้เชื่อมติดเข้าด้วยกัน ไม่งั้นหักเสียหายแน่” หลัวซวินรีบลุกขึ้นตรวจดูชั้นปลูกผัก ครั้นเห็นว่าไม่มีปัญหาอะไรจึงหันไปบ่นเจ้าตัวเล็ก

เจ้าตัวเล็กรู้ตัวว่าทำผิดจึงก้มหน้าหูลู่หางตกนั่งจ๋องทำหน้าจ๋อยอยู่ตรงหน้าหลัวซวิน เหยียนเฟยเห็นแล้วแทบกลั้นหัวเราะไม่ไหว เหมือนภรรยากำลังเทศนาลูกชายไม่มีผิด

หลังเจ้าตัวเล็กชนหลัวซวินกับเหยียนเฟยแล้วก็สงบเสงี่ยมขึ้นเยอะ แม้จะยังสำรวจอยู่ในห้องนั้น แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้วิ่งพล่านเหมือนอย่างเมื่อครู่ แค่ใช้จมูกสีดำมันวาวของมันดมกลิ่นฟุดฟิดๆ เท่านั้น

ทั้งสองเรียงชั้นวางเป็นแถวๆ เสร็จเรียบร้อยก็กลับไปที่ห้องเพาะชำในห้องหลักของตัวเอง พอวนดูจนทั่วพวกเขาก็ตัดสินใจ… “พวกเราย้ายขอนไม้เพาะเห็ดไปไว้ห้องโน้นทั้งหมดเลยดีไหม” หลัวซวินชี้ไปที่ขอนไม้เพาะเห็ดซึ่งวางอยู่ตรงมุมหนึ่ง พลางพูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ

เหยียนเฟยพยักหน้าสนับสนุน เขาคิดเสมอว่าพืชที่กลายพันธุ์ได้ง่ายพวกนี้ ถ้าเอาไว้รวมกับพืชผักทั่วไปจะไม่ค่อยปลอดภัยนัก โดยเฉพาะในห้องนี้ที่ยังมีลูกนกกระทาอีกฝูง ถ้าเกิดติดเชื้อขึ้นมาจะทำอย่างไร รีบขนย้ายออกไปตั้งแต่เนิ่นๆ จะดีกว่า

ทว่าตอนนั้นยังมีงานที่ต้องเตรียมการก่อนจะย้ายของไป นั่นก็คือการดัดแปลงเป็นห้องทำความร้อน เพราะสภาพแวดล้อมสำหรับการเพาะเห็ดให้เจริญเติบโตไม่ใช่แค่มีห้องทำความร้อนทั่วๆ ไป แต่ยังต้องมีความชื้นในอากาศระดับสูงอีกด้วย ทั้งสองจึงทำเครื่องทำความชื้นแบบง่ายๆ ขึ้นมาและเลือกติดตั้งไว้ในห้องนอนเล็กของห้อง 1603 เท่านี้ก็สามารถแก้ปัญหาได้แล้ว

หลังจากนั้นเหยียนเฟยจึงทำชั้นวางด้วยโลหะขึ้นมาเพื่อวางขอนไม้เพาะเห็ดพวกนี้

“จัดชั้นวางแบบนี้ไว้ที่ห้องรับแขกบ้างก็ดีเนอะ” ถึงแม้ชั้นปลูกแบบท่อรางจะช่วยประหยัดพื้นที่ แต่พืชผลก็เทียบกับการปลูกบนพื้นราบหรือปลูกลงดินไม่ได้ อย่างน้อยก็เรื่องรสชาติที่เทียบไม่ติดเลย

ดังนั้นที่ช่วงแรกหลัวซวินเลือกเพาะกล้าบนชั้น เป็นเพราะแม้บ้านเขาจะมีขนาดใหญ่กว่าเมื่อชาติก่อน แต่ก็ยังไม่ใหญ่มากพออยู่ดี การปลูกผักบนชั้นจะประหยัดพื้นที่ได้มากกว่า

ในเมื่อตอนนี้เขามีบ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ เขาย่อมต้องใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดอยู่แล้ว

พอพูดถึงห้องรับแขก หลัวซวินก็ชี้ไปทางห้อง 1603 แล้วประกาศปณิธานอันยิ่งใหญ่ “ฉันจะใช้ห้องนั้นปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร!”

ห้องนอนหนึ่งห้องจะปลูกข้าวกับข้าวสาลีได้เท่าไรนะ ต่อให้ปลูกขึ้นก็คงไม่พอให้ผู้ชายตัวโตคนหนึ่งกินอิ่มได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ดีกว่าไม่มีเลย อีกอย่าง ไม่แน่อาจปลูกได้ผลผลิตที่มีคุณภาพสูงก็เป็นได้!

ระยะนี้พืชผักที่หลัวซวินปลูกไว้ในบ้านให้ผลเป็นที่น่าพอใจ และส่วนใหญ่ไม่มีการกลายพันธุ์

ส่วนที่กลายพันธุ์ไปบ้าง โดยทั่วไปจะมีรสชาติแย่มากจนกินไม่ได้ และมีบางส่วนกลายเป็นพืชชนิดอื่นไปอย่างสิ้นเชิง เหยียนเฟยเห็นแล้วให้ตายยังไงก็ไม่กล้าลองชิม ผิดกับหลัวซวินที่รู้จักพวกมัน รู้ว่านี่เป็นพืชผลที่พบเห็นได้บ่อยในช่วงยุคหลังวันสิ้นโลก แม้รสชาติแย่แต่ก็ไม่เป็นอันตราย

เมื่อเหยียนเฟยได้ยินว่าหลัวซวินจะใช้ห้องนอนใหญ่ปลูกผักทำการเกษตรก็ถึงกับกลืนน้ำลายเอื๊อก และยังกลืนสิ่งที่คิดจะพูดลงไปด้วย…เดาว่าหลัวซวินคงลืมสิ่งที่ตัวเองเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ ว่ายังไงก็ต้องเก็บห้องข้างๆ ไว้เป็นห้องนอนหนึ่งห้อง เผื่อวันไหนเจ้าของห้อง 1604 ตัวจริงกลับมาทวงห้องคืน

เนื่องจากชั้นเหล็กสำหรับปลูกพืชเหล่านี้ยังมีอุปกรณ์หลอดไฟไม่พร้อมจึงยังไม่ต้องเร่งทำ หลังจากหลัวซวินกับเหยียนเฟยช่วยกันขนขอนไม้เพาะเห็ดย้ายไปไว้ในห้องนอนเล็กที่ดัดแปลงเป็นห้องทำความร้อนแล้ว พวกเขาก็หยิบเอาบรรดาต้นกล้าที่เพาะอยู่ในห้องเพาะชำออกมาจัดการแบ่งแยก

พืชชนิดไหนควรปลูกแบบไฮโดรโปนิกส์ ชนิดไหนควรปลูกลงดิน ชนิดไหนควรปลูกในกระถาง กล่อง และกระบะล้วนถูกจำแนกแยกตามประเภท

ทั้งสองง่วนอยู่ด้วยกันจนฟ้ามืดสนิทถึงได้ยืดตัวทุบเอวอันแสนเมื่อยขบ แล้วลุกขึ้นไปล้างหน้าอาบน้ำเพื่อเตรียมอาหารเย็น

ก่อนออกจากห้องเพาะชำ หลัวซวินไม่ลืมหย่อนผักสดใส่ลงไปในโหลเลี้ยงหนอนนกและกระบะเลี้ยงไส้เดือน

การเลี้ยงหนอนนกและไส้เดือนจำเป็นต่อบ้านนี้มาก อย่างหนอนนกก็ไม่ใช่แค่ไว้ใช้เป็นอาหารเลี้ยงนกกระทาเพียงอย่างเดียว เพราะถ้าขาดสารอาหารขึ้นมาจริงๆ ก็สามารถบริโภคหนอนนกพวกนี้ได้ รสชาติไม่เลวเลย นอกจากนี้ทั้งหนอนนกและไส้เดือนยังสามารถกินใบแก่ของพืชต่างๆ แล้วย่อยจนทำให้กลายเป็นปุ๋ยที่อุดมสมบูรณ์ด้วยแร่ธาตุได้อีกด้วย

แม้ว่าการใช้ผักสดเป็นอาหารเลี้ยงพวกมันจะดูฟุ่มเฟือยไปหน่อย แต่ถ้ารอให้พืชต่างๆ ในบ้านหลัวซวินโตขึ้น ก็ต้องพึ่งพวกหนอนพวกไส้เดือนให้ช่วยจัดการกับใบแก่เร่งให้มันเปื่อยเน่าได้เร็วขึ้น… มนุษย์ไม่มีทางกลืนสิ่งเหล่านั้นได้เองนี่นา

 

ตั้งแต่หลัวซวินและเหยียนเฟยทำพื้นของห้องที่ติดกันเสร็จ ก็ง่วนกับการต่อนั่นเติมนี่อย่างกระตือรือร้นราวกับฉีดเลือดไก่[1] กันมา กว่าพวกเขาจะนึกขึ้นได้ว่าถึงเวลากินข้าวเย็นก็ปาไปสองทุ่มแล้ว

ทั้งคู่รีบอาบน้ำอย่างรวดเร็ว เมื่อหลัวซวินออกมา ก็หยิบมะเขือเทศแช่แข็งและเส้นบะหมี่ออกมาทำบะหมี่กว้าเมี่ยน[2] พวกเขาทั้งสองไม่มีเวลาแม้แต่จะนั่งคุยกันที่โต๊ะอาหาร ต่างคนต่างก้มหน้าก้มตากินมื้อเย็นกันอย่างเงียบๆ

ตอนที่ทั้งสองกำลังนั่งกินมื้อเย็นกันอยู่ พวกหลี่เถี่ยก็กลับมาจากที่ทำงานพอดี พอซดน้ำซุปอึกสุดท้ายหมด หลัวซวินก็วางชามลงแล้วออกไปทักทายพวกเขา

“พี่หลัว พี่เหยียน” เหอเฉียนคุนเห็นทั้งคู่เปิดประตูออกมาจากห้องก็รีบเอ่ยทักทายอย่างกระดี๊กระด๊า

“วันนี้ทำงานเป็นไงบ้าง” หลัวซวินพยักหน้าให้เขา แล้วหันไปยิ้มให้คนอื่นๆ ที่เหลือ

“ฉันอยากลาออก” จางซู่มีสีหน้าไม่สบอารมณ์ เพราะคนไข้ไม่ใช่ซอมบี้ เวลาพูดคุยกันจึงต้องเปลืองสมองคิดหาคำพูดไร้สาระ แต่สิ่งที่ทำให้เขาไม่พอใจยิ่งกว่าก็คือ เขาเป็นหมอที่เก่งมาก แถมหน้าตาก็ดี ทางโรงพยาบาลจึงจัดส่งคนไข้ที่มีฐานะทางสังคมสูงแบบที่หาเรื่องด้วยไม่ได้มาให้เขารักษา มิหนำซ้ำยังขอร้องไม่ให้เขาก่อเรื่องอีก

เขาอารมณ์ร้อนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอเข้าสู่ยุคหลังวันสิ้นโลกยิ่งหนักข้อขึ้นอีก ในเมื่อคนไข้พวกนั้นล่วงเกินไม่ได้ งั้นช่วยส่งคนไข้ปากหวานประจบเก่งให้มารักษากับเขาบ้างไม่ได้เหรอ ทั้งที่โรงพยาบาลก็มีคนไข้ประเภทนี้อยู่เยอะแท้ๆ

ชื่อเสียงของจางซู่แพร่สะพัดไปทั่วโรงพยาบาลโดยที่เขาไม่รู้ตัวมานานแล้ว ขนาดผู้นำของฐานที่มั่นยังจองรักษากับเขา และยังมีพวกอยากรู้อยากเห็นไม่กลัวตายอีกบางส่วนที่อยากมารู้จัก มาเห็นหน้าค่าตาเขาสักหน่อยด้วย ดังนั้นกว่าจะถึงวันหยุดที่ขอไว้ จางซู่ก็ยิ่งใกล้หมดความอดทนเข้าไปทุกที สุดท้ายวันนี้เขาเลยระเบิดห้องทำงานไปหนึ่งห้อง ผู้บริหารโรงพยาบาลจึงจำต้องยอมพยักหน้าตกลงว่าจะไม่ส่งคนไข้เส้นใหญ่ประเภทนี้มาสร้างความยุ่งยากกวนใจเขาอีก

ทุกคนต่างชินกับคำบ่นเรื่องงานอยู่เป็นประจำของจางซู่มาพักใหญ่แล้ว ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครคิดหาเรื่องใส่ตัวด้วยการเอ่ยปากถามอะไร…ส่วนหวังตั๋วถือเป็นข้อยกเว้น

พวกหลี่เถี่ยหันไปประกาศข่าวดีให้พวกหลัวซวินรู้ก่อนเป็นอันดับแรก “เราทำซิมการ์ดโทรศัพท์มือถือเสร็จแล้วพี่ พวกหัวหน้าบอกว่าเบื้องบนอนุมัติให้ผลิตได้ในคืนนี้เลย แล้วก็ให้สิทธิ์คนในกองทัพได้ใช้ก่อนด้วย”

หานลี่อธิบายให้พวกหลัวซวินฟังด้วยความตื่นเต้นดีใจ “ซิมการ์ดใหม่ที่พวกเราช่วยกันพัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพสูงมาก ไม่ใช่แค่ใช้ได้เฉพาะในฐานที่มั่นเท่านั้น หากออกไปนอกฐานที่มั่นซึ่งสถานีฐานยังมีไฟฟ้าอยู่ก็จะใช้โทรศัพท์ได้ด้วยเหมือนกัน แถมยังสามารถรับสัญญาณดาวเทียมได้อีกต่างหาก!”

ทว่าปัจจุบันแต่ละท้องที่ในประเทศถูกตัดไฟฟ้าไปหมดแล้ว สถานีฐานตามท้องถนนจะมีไฟฟ้าได้อย่างไร ดังนั้น ฟังก์ชันนี้ย่อมใช้การไม่ได้ แต่หากสามารถใช้ประโยชน์จากช่องสัญญาณดาวเทียมตอนอยู่นอกฐานที่มั่นได้ ก็นับเป็นข้อมูลข่าวสารที่สำคัญมากอย่างหนึ่ง

เหอเฉียนคุนผู้รับผิดชอบด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์ก็ยิ่งยืดพุงภูมิอกภูมิใจ “ผมสร้างแอปพลิเคชันสำหรับใช้ในกรณีฉุกเฉิน ซึ่งมันไวมาก! แค่กดปุ่มขอความช่วยเหลือ โทรศัพท์มือถือจะสามารถส่งสัญญาณผ่านดาวเทียมไปยังโครงข่ายหลักของฐานที่มั่นและหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ใช้ที่อยู่ใกล้กับตำแหน่งเกิดเหตุมากที่สุดทุกๆ ครึ่งชั่วโมงจนกว่าแบตเตอรี่จะหมดหรือเครื่องได้รับความเสียหาย หากหลังส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือออกไปแล้วผู้ใช้ยังมีชีวิตรอด และเจอสถานที่ปลอดภัยแล้ว ผู้ใช้ยังสามารถรายงานสถานการณ์ที่แน่ชัดของตัวเองผ่านแอปพลิเคชันได้ด้วย นี่เป็นแอปพลิเคชันที่รวดเร็วและใช้งานง่ายสุดๆ”

เรื่องนี้ถือเป็นข่าวดีอย่างยิ่งยวดสำหรับฐานที่มั่น ว่ากันว่าในอนาคตขอเพียงไปลงทะเบียนข้อมูลส่วนบุคคลผูกกับซิมการ์ดที่กองทัพ ทุกคนก็จะได้รับซิมการ์ดฟรี ส่วนมือถือนั้นต้องไปหากันมาเอง นี่ถือเป็นของดีที่สามารถช่วยชีวิตในช่วงเวลาสำคัญได้!

หลังจากได้ฟังพวกหลี่เถี่ยพูดถึงเรื่องนี้ วันรุ่งขึ้นพวกหลัวซวินก็ไปพิสูจน์ความจริงเลย ทีแรกนึกว่า ‘คนนอก’ อย่างพวกเขาแค่มีสิทธิ์ได้รับซิมการ์ดโทรศัพท์มือถือเร็วกว่าคนทั่วไปในฐานที่มั่นเล็กน้อยก็นับว่าดีมากแล้ว แต่ใครจะไปคาดคิดว่าพวกเขาจะเป็นหนึ่งในจำนวนคนที่ได้รับซิมการ์ดโทรศัพท์มือถือล็อตแรก เรียกว่าได้เร็วพอๆ กับพวกหลี่เถี่ยซึ่งมีส่วนร่วมในการผลิตซิมการ์ดพวกนั้นเลยทีเดียว

แน่นอนว่าเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ก็ต้องยกความดีความชอบให้กับหัวหน้าหน่วยของพวกเขา…หลังจากที่ได้รู้ข่าวนี้ เขาก็รีบยื่นคำร้องขอซิมการ์ดให้สมาชิกทุกคนในหน่วยทันที ตอนหัวหน้ากัวเอาซิมการ์ดมาให้พวกเขาสองคนยังบอกด้วยว่า “ผมลงทะเบียนโดยใส่เฉพาะชื่อและภูมิลำเนาเดิมของพวกคุณเท่านั้น ไม่ได้กรอกข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ อย่างพวกเลขบัตรประชาชนอะไรแบบนี้ เอาไว้ถ้าพวกคุณมีเวลาว่างค่อยไปกรอกข้อมูลที่ฝ่ายทะเบียนเองก็ได้”

“ภูมิลำเนาเดิมเหรอ” หลัวซวินและเหยียนเฟยมองหน้าเขาด้วยความแปลกใจ เขารู้จักถิ่นฐานบ้านเกิดของพวกตนตั้งแต่เมื่อไร

“ผมจำได้ว่า พวกคุณเคยบอกว่ามาจากเมืองเอฟใช่ไหม ถ้าไม่ใช่ ตอนพวกคุณไปลงทะเบียนค่อยแก้ใหม่อีกทีก็ได้” หัวหน้ากัวโบกมือปัดๆ อย่างไม่ใส่ใจ

ทั้งสองสบตากันก่อนพยักหน้ารับคำ แล้วเก็บซิมการ์ดของตัวเองมา ส่วนเรื่องต้องไปเพิ่มข้อมูลอะไรนั่นไว้ค่อยว่ากัน เรื่องที่ต้องกรอกที่อยู่ปัจจุบัน โดยเฉพาะเหยียนเฟย เขาคิดว่าถ้ากรอกข้อมูลละเอียดเกินไป พ่อแม่ของตนอาจตามมาหาถึงที่ อย่างนั้นก็ใช้แบบนี้ไปก่อนน่าจะดีกว่า

งานของวันนี้ยังคงเป็นแบบเดียวกับเมื่อวาน คือทำอุปกรณ์ต่างๆ ที่ทางกองทัพสั่ง หลังจากที่ทั้งคู่ทำงานง่วนมาเกินค่อนวันก็ขับรถมาที่ตลาด

พอประชาชนบางส่วนย้ายออกไปจากฐานที่มั่นชั้นใน พวกร้านค้าแผงลอยข้างทางที่เคยคึกคักก็ซบเซาลงไปมาก จำนวนร้านค้าค่อยๆลดลงเรื่อยๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีร้านค้าไม่น้อยที่ยังคงปักหลักตั้งแผงขายของระยะยาว ทางสายหลักที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านซึ่งพวกหลัวซวินต้องขับรถผ่านตอนขากลับทุกวันเปลี่ยนแปลงไปแล้วแบบนี้เอง

ทั้งคู่พกคูปองสะสมทั้งหมดตั้งแต่เริ่มทำงาน คริสตัลที่เก็บไว้ บวกกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่อยู่ในกระเป๋าเป้ขับรถวนดูของไปเรื่อยๆ

เป้าหมายของทั้งสองในวันนี้คือตามหาอุปกรณ์ส่องสว่างเพื่อไว้ใช้ส่องพืช ของสิ่งนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตในอนาคตของพวกเขา จึงต้องรีบเก็บสะสมไว้ให้มาก เผื่อวันหน้าหาแลกได้ยาก

ทั้งสองขับรถไปรอบตลาดถนนคนเดิน สุดท้ายก็เจออุปกรณ์ติดตั้งหลอดไฟที่ไม่รู้ว่าคนพวกนั้นไปหามาจากที่ไหน แต่เพราะตอนซื้อไม่สามารถทดลองใช้ได้ ริมถนนแบบนี้จะไปเอาไฟฟ้ามาจากไหนล่ะ ดังนั้นหลังจากทั้งสองต่อราคาแบบสะบั้นหั่นแหลกได้แล้วก็ใช้คูปองสะสมแลกมาล็อตใหญ่ คุ้มสุดๆ ไปเลย

ทั้งคู่ขนอุปกรณ์ติดตั้งหลอดไฟไปใส่รถ เตรียมตัวจะกลับบ้านไปทำงานต่อ หลัวซวินสังเกตเห็นตรงมุมถนนที่อยู่ไม่ไกลมีกลุ่มคนกำลังล้อมวงทำอะไรกันอยู่ จึงหันมาบอกเหยียนเฟย “ฉันจะไปดูตรงนั้นหน่อย” จากนั้นก็รีบตรงเข้าไป

ในยุควันสิ้นโลก สถานที่ที่มีคนจับกลุ่มมุงดู ถ้าไม่ใช่เรื่องดีก็ต้องเป็นเรื่องแปลก และบางทีก็อาจมีกับดักอะไรบางอย่าง แต่ถ้าแค่ยืนมองอยู่ไกลๆ ถึงต่อให้เป็นกับดักก็จะไม่มีเรื่องเดือดร้อนมาถึงตัว

 

[1] เป็นความเชื่อของชาวจีนในช่วงทศวรรษ 1960 ว่า การฉีดเลือดไก่เข้าไปในร่างกายจะช่วยรักษาโรคและทำให้มีกำลังวังชาเพิ่มมากขึ้น ต่อมาจึงมักใช้เปรียบถึงอาการคึกคัก กระปรี้กระเปร่าเป็นพิเศษ

[2] กว้าเมี่ยนทัง หรือบะหมี่ห้อยแขวน เป็นชื่อบะหมี่น้ำชนิดหนึ่งที่เรียกตามชนิดของเส้นบะหมี่ (กว้าเมี่ยน) เนื่องจากวิธีทำเส้นบะหมี่ชนิดนี้ใช้วิธีห้อยแขวนเส้นที่ละเอียดบางเหมือนเส้นไหม เรียงแยกทีละเส้นผึ่งแดดตากลมจนแห้ง

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า