กลยุทธ์การเอาตัวรอดของตัวเบี้ยผู้กลับมาเกิดใหม่
炮灰重生自救攻略
ผูเถาหย่างเล่อตัว เขียน
葡萄养乐多
จิงจิง แปล
— โปรย —
ชาติก่อน เย่หนานถูกจับให้แต่งงานเป็นชายารองแทนพี่สาว สุดท้ายสามีสั่งขังและพระชายาเอกก็หยิบยื่นยาพิษให้จนเขาตายในคุก ชาตินี้เขาจึงตั้งใจจะแก้แค้น! เป้าหมายของเขาคือ ฉู่เซียวหรัน ผู้เป็นเซ่อเจิ้งอ๋อง!
ช่างเถอะๆ เขาคงฆ่าอีกฝ่ายไม่ได้หรอก งั้นต้องหนี! หนีไปให้ไกลจะได้ไม่ต้องพบคนใจทรามผู้นั้นอีก
แต่ยังไม่ทันจะเก็บผ้าผ่อน คนใจทรามที่ว่าก็มาสู่ขอเขาถึงจวนเสียแล้ว เดี๋ยวนะ มาสู่ขอเขา ไม่ใช่พี่สาวของเขาหรอกเหรอ!
เหตุใดชาตินี้เซ่อเจิ้งอ๋องผู้เคยเย็นชาจึงทำตัวแปลกนักเล่า เย่หนาน “ท่านป่วยหรือ”
ฉู่เซียวหรัน “เราป่วยหนัก ไม่เจอพระชายาเพียงหนึ่งเค่อ หัวใจก็เจ็บปวดราวถูกมีดจ้วงแทง พระชายาช่วยรักษาเราได้หรือไม่” เย่หนาน “ฉู่เซียวหรัน ท่านจะทำอะไร! นี่มันห้องหนังสือ หากผู้อื่นมาเห็นเข้าจะทำเช่นไร!”
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 2
เจอกันอีกครั้ง
เย่หนานสงบจิตสงบใจอยู่ภายในจวนเช่นนั้น ตามจริงการอาศัยอยู่แต่ในจวนอัครมหาเสนาบดีมาทั้งชีวิตในฐานะคุณชายห้าที่ไม่มีผู้ใดเหลียวแลก็ไม่แย่นัก
รุ่งสางวันที่สิบห้า
“คุณชาย คุณชายรีบตื่นเร็วเข้า วันนี้วันที่สิบห้านะขอรับ ท่านรีบหน่อยเถิด จวนยามอู่แล้วขอรับ” อาฉงพยายามดึงเย่หนานลุกจากเตียงอย่างอ่อนใจ
แต่แล้วเย่หนานก็อ่อนยวบล้มลงไปตามเดิม
“โธ่ คุณชายอย่ามัวนอนอยู่เลย ประเดี๋ยวฮูหยินใหญ่จะเฆี่ยนด้วยไม้เป็นการลงโทษเอาได้นะขอรับ” เย่หนานสมองปลอดโปร่งทันทีที่ได้ยินว่าจะโดนเฆี่ยนตี เขารีบกระโจนลงจากเตียง แล้วให้อาฉงช่วยเขาสวมเสื้อผ้าสำหรับออกไปพบปะผู้คนชุดนั้น
มีแค่วันที่สิบห้าอย่างวันนี้เท่านั้นที่เหล่าคุณชายคุณหนูในจวนทั้งหลายจะมากินอาหารร่วมกัน หากเป็นมื้ออาหารในวันปกติฮูหยินจะไม่เรียกเย่หนานไปร่วมโต๊ะด้วย เย่หนานจึงมักกินข้าวกับอาฉงและป้าเหมยในครัว
เย่หนานสวมเสื้อผ้าเสร็จก็วิ่งไปยังห้องอาหารที่ปีกขวาทันที
**********
เมื่อเย่หนานมาถึงห้องอาหารปีกขวา เห็นทุกคนล้วนนั่งประจำที่เรียบร้อย เย่หนานลอบถอนหายใจอยู่ข้างในเพราะรู้ว่าไม่อาจเลี่ยงบทลงโทษได้แน่นอน “คารวะท่านพ่อ แม่ใหญ่ แม่รอง” เย่หนานกัดฟันฝืนน้อมทักทาย
“สุดท้ายก็เป็นแค่เด็กที่เกิดมาแต่ไม่มีมารดาคอยสั่งสอนอยู่วันยังค่ำ ไม่รู้กฎระเบียบเอาเสียเลย ต้องให้คนทั้งบ้านมารอเจ้าอยู่คนเดียว!” ฮูหยินเจิงหวั่นยกถ้วยชาพลางปรายตามองไปที่เย่หนานแล้วพูด
ฮูหยินรองเพียงเหลือบมองโดยไม่เอื้อนเอ่ยใดๆ ตระกูลนี้มักเป็นกันเช่นนี้ ฮูหยินที่มีอำนาจจะคอยจับผิด ซึ่งเป้าหมายในการจับผิดเก้าในสิบล้วนเป็นเย่หนาน ขณะที่ฮูหยินรองเจินฉินจะคอยสังเกตการณ์อย่างเงียบๆ
บรรยากาศเช่นนี้เห็นกันจนชินตาไปเสียแล้ว เย่หนานได้แต่กุลีกุจอพยักหน้าเข้าใจก่อนจะเอ่ยว่า “จริงดังแม่ใหญ่สั่งสอน คราวหน้าข้ารับรองว่าจะไม่สายอีกแล้วขอรับ”
“เอาละ นั่งลงกินข้าวเถิด” เย่อวิ๋นข่ายหยิบตะเกียบ บอกเป็นนัยให้เย่หนานนั่งลง
“ขอบคุณขอรับท่านพ่อ”
เย่หนานนั่งลงในตำแหน่งริมสุดฝั่งขวา พุ้ยข้าวสวยในถ้วยเงียบๆ การกินอาหารร่วมกันแต่ละเดือนเช่นมื้อนี้ถือเป็นเรื่องสุดแสนทรมานสำหรับเย่หนาน แม้จะได้กินอาหารอันโอชะ ทว่าบรรยากาศกดดันอย่างยิ่ง ไม่สู้กินอาหารเรียบง่ายกับข้ารับใช้ยังดีเสียกว่า
เย่หนานคิดแต่เพียงรีบกินรีบไป จะได้หลีกเลี่ยงไม่ให้ฮูหยินหาเรื่องลำบากใจมาให้ตนอีก
ท้ายที่สุดฮูหยินใหญ่ก็เอ่ยปากขึ้นจนได้ “ไม่กี่วันก่อนอี้หยางบอกข้าว่า เซ่อเจิ้งอ๋องเลื่อนตำแหน่งให้เขาเป็นถึงรองเจ้ากรมการคลัง ช่างมีหัวคิดด้านการบ้านการเมืองดำเนินรอยตามท่านพ่อของเจ้าจริงๆ” เย่อี้หยางคือบุตรชายของฮูหยินใหญ่ ซึ่งก็คือคุณชายใหญ่แห่งจวนอัครมหาเสนาบดีนั่นเอง
เย่อี้หยางวางถ้วยและตะเกียบลงทันที แล้วเอ่ยด้วยท่าทีอ่อนน้อม “มิได้เป็นถึงเพียงนั้นหรอกขอรับ ท่านแม่กล่าวชมกันเกินไปแล้ว ข้าจะเทียบเคียงท่านพ่อได้อย่างไรกัน ท่านพ่อเป็นถึงอัครมหาเสนาบดีในราชสำนัก อยู่ใต้คนคนเดียวทว่าอยู่เหนือคนนับหมื่น”
เย่หนานแอบถากถางในใจ แค่ได้เป็นขุนนางเพราะอาศัยสายสัมพันธ์ก็ต้องหยิบยกขึ้นมาข่มข้าด้วย ถึงอย่างไรก็ต้องได้เป็นขุนนางอยู่แล้วแท้ๆ
“การเป็นลูกผู้ชายน่ะ ต้องมีอำนาจมีอิทธิพลเข้าไว้ เจ้าว่าใช่หรือไม่น้องพี่” ฮูหยินใหญ่เหยียดยิ้มมุมปากพลางมองฮูหยินรอง
ฮูหยินรองยิ้มแล้วกล่าวว่า “จริงอย่างท่านพี่กล่าว อนาคตอี้เฉินของข้าไม่สดใสเท่าอี้หยางจริงๆ ช่วงนี้แค่ทำการค้าขายเล็กๆ น้อยๆ ก็นับว่าพอหาเงินได้หอมปากหอมคอ” เย่อี้เฉินคือบุตรชายของฮูหยินรอง เป็นคุณชายสามแห่งจวนอัครมหาเสนาบดี
เย่หนานรู้สึกว่าสถานการณ์เริ่มไม่เข้าท่า ขืนเปรียบเทียบกันเช่นนี้ต่อไป คนที่ไร้ความสามารถที่สุดก็จะเป็นตัวเขาไม่ใช่หรือ ต้องรีบหาข้ออ้างเพื่อปลีกตัวออกไปโดยเร็วเสียแล้ว “ท่านพ่อ ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าใดนัก คงต้องขอตัวกลับก่อน พวกท่านค่อยๆ กินกันไปตามสบายนะขอรับ”
“พูดเรื่องเหล่านี้เจ้าย่อมรู้สึกไม่สบายเป็นธรรมดา ทำตัวไร้สาระไปวันๆ งานการอะไรก็ไม่ยอมทำ เอาแต่ขลุกอยู่กับพวกข้ารับใช้นั่น แต่ก็นะ เป็นเด็กที่เกิดจากข้ารับใช้โดยเนื้อแท้ คงไม่อาจคาดหวังให้เจ้าเป็นถึงขุนนางชั้นผู้ใหญ่ได้หรอก” ก่อนปลีกตัวไปก็ยังหนีไม่พ้นความปากร้ายของฮูหยินใหญ่เช่นเคย
ฮูหยินใหญ่เลิกคิ้ว ชายตามองเย่หนานแล้วกล่าวแปลกๆ ว่า “เจ้าช่างเหมือนแม่ของเจ้านัก รูปลักษณ์ดึงดูดผู้คน รู้จักใช้กลอุบายเยี่ยงนางปีศาจจิ้งจอก กระทั่งเซ่อเจิ้งอ๋องยังติดกับได้ เกรงว่าในภายภาคหน้าพวกข้าคงเทียบชั้นไม่ได้เสียแล้ว”
คนในโต๊ะพากันปิดปากหัวเราะร่า ด้วยความที่เย่หนานพบเห็นจนเคยชินจึงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
เย่อวิ๋นข่ายปรายตามองฮูหยินใหญ่แวบหนึ่ง นางจึงหุบปากลง “เจ้าไม่สบายก็กลับไปพักเถิด”
เย่หนานคารวะแล้วสาวเท้าเดินจากไปอย่างรวดเร็ว เขาไม่อยากอยู่ในที่แห่งนี้แม้เพียงหนึ่งเค่อ[1]
**********
เมื่อเย่หนานกลับมาถึงห้อง “คุณชาย ท่านกลับมาเร็วเพียงนี้เชียวหรือขอรับ”
“อาหนาน เจ้าอยู่ในห้องหรือไม่” น้ำเสียงอันอ่อนโยนของหญิงสาวล่องลอยเข้ามา
“คุณชาย คุณหนูสี่มาหาขอรับ” อาฉงกล่าวพลางเปิดประตู “คุณหนู คุณชายอยู่ในห้องขอรับ”
คุณหนูสี่เย่เสวียนคือบุตรสาวของฮูหยินรอง มีนิสัยอ่อนโยน เป็นพี่น้องในตระกูลเพียงคนเดียวที่ดีต่อเย่หนาน
“พี่สี่มาด้วยเรื่องใดหรือ” เย่หนานรับของในมือเย่เสวียน “เอาอะไรมาให้ข้าอีกแล้ว”
เมื่อเย่เสวียนหย่อนตัวลงนั่ง อาฉงก็รีบรินน้ำชาให้ “เมื่อครู่ข้าเห็นเจ้ากินไปได้ไม่เท่าไหร่ เกรงว่าเจ้าจะหิวเลยเอาของกินมาให้เจ้านิดหน่อย ท่านแม่ใหญ่ก็ปากคอเช่นนี้ เจ้าอย่าเก็บมาใส่ใจเลย”
“ข้าชินแล้วละ ถูกด่ามาตั้งหลายปีเพียงนี้แล้ว อีกอย่างข้าก็ไร้ความสามารถจริงๆ” เย่หนานเปิดกล่องอาหารแล้วคีบขนมอบเข้าปากหนึ่งชิ้น “ขนมเปี๊ยะกรอบท้อน้ำผึ้ง[2]นี่อร่อยดี”
ขณะมองดูรอยยิ้มหวานหยาดเยิ้มของเย่เสวียน เย่หนานหวนนึกถึงชาติก่อน อัครมหาเสนาบดีก่อกบฏ จวนเย่ถูกฝังทั้งหมด แล้วผู้ที่จิตใจโอบอ้อมอารีเพียงนี้จะสมควรตายเพราะความชั่วร้ายของผู้อื่นได้อย่างไรกัน
ทว่าต้องทำเช่นไรจึงจะเกลี้ยกล่อมให้เย่เสวียนหนีไปพร้อมตนได้ เย่เสวียนอยู่แต่ในจวน ไม่เคยย่างเท้าข้ามประตูไปที่ใดด้วยซ้ำ แล้วจะหนีออกไปกับเขาได้อย่างไร
“อาหนาน เจ้าคิดสิ่งใดอยู่ ข้าเรียกเจ้าตั้งนานก็ไม่หือไม่อือ” เย่หนานหลุดจากภวังค์ “ไม่มีอะไรหรอก ขนมเปี๊ยะกรอบท้อน้ำผึ้งที่พี่สี่ทำอร่อยมาก ทำข้ารู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในแดนสวรรค์เลย เมื่อครู่พี่สี่ว่าอะไรหรือ”
เย่เสวียนเอื้อมไปดีดศีรษะเย่หนานเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ข้าเอ่ยว่าใกล้ถึงวันคล้ายวันเกิดท่านพ่อแล้ว มีผ้าพับส่งเข้ามาในจวนส่วนหนึ่ง ไม่กี่วันก่อนฮูหยินใหญ่ให้ข้าเลือกผ้ามาสองสามพับสำหรับตัดเย็บเสื้อผ้าชุดใหม่ ผ้าพับงามๆ ให้พี่รองเอาไปแล้วจำนวนหนึ่ง ข้าเลือกไว้ให้เจ้าสองพับ มาวันนี้ก็เพื่อวัดตัวเจ้า ยามตัดออกมาจะได้พอดีตัวอย่างไรเล่า”
“ขอบคุณท่านพี่ พี่เสวียนดีกับข้าที่สุดแล้ว ไม่รู้ว่าภายภาคหน้าท่านจะถูกคนชั่วช้าหน้าไหนเอาเปรียบบ้าง” แม้เย่หนานจะเอ่ยเช่นนี้ ทว่าความจริงเขารู้ดีว่าชาติที่แล้วเย่เสวียนยังไม่ทันออกเรือน คนในจวนอัครมหาเสนาบดีก็โดนประหารทั้งตระกูลเสียก่อน
เย่หนานสาบานในใจ ภพชาตินี้จะพยายามปกป้องพี่สี่สุดชีวิต คนที่จิตใจดีงามสุดท้ายจะต้องลงเอยอย่างไม่เป็นธรรมเช่นนั้นได้อย่างไร
“เจ้ามัวคิดอะไรอีกแล้ว รีบลุกขึ้นให้ข้าวัดตัวเร็วเข้า ข้าจะได้รีบกลับไปตัดชุดให้ ชุดที่เจ้าใส่เมื่อเช้าก็เลิกใส่ได้แล้ว ชายแขนเสื้อสีซีดไปหมด”
เย่เสวียนหยิบสายวัดมาทาบไหล่เย่หนาน “ข้ากำลังคิดว่าจะแกล้งพี่เขยในอนาคตอย่างไรดี” เย่หนานให้ความร่วมมือกับเย่เสวียนพลางเอ่ยหยอกล้อไปด้วย
“เจ้าอยากให้ข้าขายไม่ออกเป็นสาวใหญ่ทึนทึกหรือ หืม” เย่เสวียนตีเย่หนานอย่างเบามือ
หลังวัดตัวเป็นที่เรียบร้อย เย่เสวียนก็หิ้วตระกร้าอาหารเตรียมเดินออกไป “เอาละ ข้ากลับก่อนแล้วกัน”
“ขอรับ ท่านพี่เดินระวังด้วย” เย่หนานออกไปส่งเย่เสวียน
อาฉงทอดถอนใจกล่าว “คุณหนูสี่ผู้นี้ช่างต่างจากคุณหนูรองราวฟ้ากับเหว คุณหนูสี่ใจดีอ่อนโยน คุณหนูรองลึกล้ำยากจะคาดเดา อีกทั้งวาจายังแฝงคำเสียดสี แม้รูปโฉมงดงามต้องใจผู้คน ทว่าบุรุษต่างก็ชื่นชอบสตรีเฉกเช่นคุณหนูสี่กันทั้งนั้นละขอรับ”
เย่หนานหย่อนตัวลงนั่งแล้วหยิบขนมอบขึ้นมาหนึ่งชิ้น “พี่สี่ของข้าที่เป็นเช่นนี้ สมควรได้แต่งงานกับบุรุษที่ประเสริฐที่สุดในโลก”
อาฉงเอื้อมมือไปหมายจะหยิบขนมอบมากินอีกหนึ่งชิ้น แต่กลับถูกเย่หนานตีมือเข้าให้ “พี่สาวของข้าทำให้ข้า เจ้าชิมแค่ชิ้นเดียวก็พอแล้ว อยากกินอีกก็ไปหาพี่สาวของเจ้านู่น”
อาฉงลูบหลังมือป้อยๆ พลางมองค้อนเย่หนาน “ขี้งกจริงๆ”
เย่หนานกินขนมอบจนหมดเกลี้ยง ก่อนดื่มชาตามอีกสองสามอึก การอยู่แต่ในจวนช่างน่าเบื่อยิ่งนัก เขาจึงออกไปเดินเล่นข้างนอกโดยมีอาฉงติดตามไปด้วย จะได้ถือโอกาสดูว่ามีของที่พอจะซื้อเป็นของขวัญวันเกิดให้บิดาบ้างหรือไม่
**********
“อา! ไม่ได้ออกมาเดินเล่นเสียตั้งนาน” เย่หนานยืดเอวบิดขี้เกียจ
“คุณชาย วันก่อนท่านก็เพิ่งออกมาไม่ใช่หรือ” อาฉงที่อยู่ด้านหลังมีสีหน้างุนงง
นับตั้งแต่ออกเรือนไปกับฉู่เซียวหรัน วันๆ เย่หนานก็ได้แต่หมกตัวอยู่ในจวนอ๋อง หากไม่ใช่เพราะโดนกักบริเวณ ก็เพราะแหกกฎระเบียบในจวนระหว่างโดนกักบริเวณมากเกินไปหน่อย ยามออกนอกจวนจึงจำต้องขอให้ท่านอ๋องไปด้วยถึงจะออกไปได้ ทว่าเขายอมโดนกักบริเวณยังดีเสียกว่าให้ฉู่เซียวหรันไปเป็นเพื่อน
ชาติที่แล้วฉู่เซียวหรันผู้นี้ก่อความรำคาญใจให้เขามามากเกินพอ ชาตินี้ย่อมขออย่าได้พบเจอกันอีกเลย
“ด้านหน้ามีร้านขายถังหูลู่ ไปกันอาฉง เราไปซื้อถังหูลู่กินกัน”
“เมื่อครู่คุณชายเพิ่งกินขนมอบไปทั้งจานมิใช่หรือ ท่านไม่ใช่เด็กน้อย ยังจะกินถังหูลู่อยู่อีก”
เย่หนานเดินมุ่งตรงไปข้างหน้า อาฉงทำได้เพียงเดินตามไปด้วย “เถ้าแก่ ถังหูลู่หนึ่งไม้”
“ขอรับ ได้แล้ว ท่านรับไว้ดีๆ เล่า เป็นเงินสามเหวิน[3]ขอรับ”
“คุณชาย เหตุใดท่านไม่ซื้อให้ข้าด้วยเล่า”
“เจ้าบอกเองมิใช่หรือว่าต้องเป็นเด็กน้อยถึงจะชอบกินถังหูลู่ ชิ!” ระหว่างเอ่ยเขาก็คว้าถังหูลู่มาไว้อีกหนึ่งไม้
“นี่เงินเถ้าแก่” เย่หนานจ่ายเงินเสร็จสรรพก็หมุนตัวกลับมายื่นถังหูลู่ให้อาฉง “อะ ให้เจ้า”
“ขอบใจ!” น้ำเสียงนี้มันไม่ใช่แล้ว เย่หนานเงยหน้าขึ้นมอง
บุรุษรูปร่างสูงโปร่ง ผิวพรรณขาวผ่อง องค์ประกอบบนใบหน้าทั้งห้าดูหล่อเหลาทั้งยังมีความบอบบางอยู่เล็กน้อย ให้ความรู้สึกหนาวสะท้านดุจความเย็นเยียบกำลังแผ่ซ่าน จมูกโด่งเป็นสัน นัยน์ตาสีอำพัน ผนวกกับไฝเม็ดเล็กๆ บริเวณใต้ตาขวานั่นยิ่งดึงดูดผู้คนมากขึ้นไปอีก
คนตรงหน้าผู้นี้คืออาฉงเสียที่ไหนกัน นี่ไม่ใช่ฉู่เซียวหรันหรอกหรือ ฉู่เซียวหรันที่เกลียดเข้ากระดูกดำเมื่อภพชาติที่แล้ว ไม่คิดว่าภพชาตินี้จะมาทำหน้าระรื่นรับถังหูลู่ไปจากมือเขา หนำซ้ำยังกล่าวขอบใจอีกด้วย!
แม้ว่าแท้จริงแล้วฉู่เซียวหรันจะมีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาเอาการ ทว่าใบหน้าเขานั้นเหมาะกับสีหน้าไร้อารมณ์หรือหน้านิ่วคิ้วขมวดมากกว่า รอยยิ้มบางๆ ในตอนนี้จึงดูน่าอึดอัดเสียเหลือเกิน
ทั้งที่ชั่วขณะก่อนหน้าอาฉงยังอยู่ตรงนี้ ทว่าในชั่วขณะถัดมากลับวิ่งปราดไปหยุดอยู่หน้าแผงลอยข้างๆ เสียแล้ว “ถวายบังคมท่านอ๋อง” เย่หนานได้แต่เป็นฝ่ายน้อมตัวทักทายก่อน
เย่หนานรีบกล่าวต่อโดยไม่รอให้ฉู่เซียวหรันเอ่ย “ข้ามีธุระ ขอตัวลา เชิญท่านอ๋องเดินเที่ยวให้สำราญพระทัยเถิด” แล้วลากอาฉงที่อยู่ด้านข้างให้ออกวิ่ง
อาฉงสับสนทำตัวไม่ถูก “คุณชาย ทำไมจู่ๆ ท่านถึงวิ่งหรือขอรับ”
“เจ้าไม่เห็นโจโฉ[4]หรือ”
“หา? โจโฉอะไรกันขอรับ คุณชายยังไม่ได้ซื้อของขวัญวันเกิดให้นายท่านเลยนะขอรับ”
“ไว้วันหลังค่อยว่ากัน” อาฉงงุนงงกับคำพูดของเย่หนาน
“ตกลงคุณชายเห็นผู้ใดกันแน่ขอรับ ทำเหมือนเห็นผีไปได้” อาฉงหย่อนตัวลงนั่งแล้วรินน้ำชา
ไม่ใช่แค่ผีน่ะสิ เทียบกับพญายมแล้วฉู่เซียวหรันน่าสยดสยองกว่าเยอะ นอกจากสู้เขาไม่ได้แล้วยังหลบซ่อนไม่พ้นอีกหรือ สิ่งเดียวที่เย่หนานทำได้ในตอนนี้คือหลบลี้หนีหน้า หาเวลาเหมาะๆ เก็บเสื้อผ้าหนีไปเสีย ทว่าต้องหาเสี่ยวเถาให้เจอก่อนค่อยไปเกลี้ยกล่อมพี่สี่อีกที ส่วนความเป็นความตายของคนอื่นเขาไม่อยากข้องเกี่ยว และถึงจะอยากก็ช่วยไม่ไหวอยู่ดี
เย่หนานคำนวณดูแล้ว พรุ่งนี้คือวันที่จะได้ช่วยเหลือเสี่ยวเถา ฉะนั้นเขาจึงเตรียมตัวอาบน้ำและเข้านอนแต่หัววัน
หลังจากเพิ่งอาบน้ำเสร็จเย่หนานสวมเพียงเสื้อตัวใน ใครจะรู้ว่าจู่ๆ กลับมีร่างใครคนหนึ่งมาปรากฏอยู่เบื้องหน้า
“ฉู่เซียวหรัน?” เย่หนานตื่นตระหนกจนเผลอเอ่ยนามเต็มของอีกฝ่าย สักพักเมื่อฉุกคิดได้ว่าฟังดูไม่เหมาะสมจึงเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ “ท่าน…ท่านอ๋อง”
ฉู่เซียวหรันพยักหน้าให้ก่อนนั่งลงบนเก้าอี้
“ไม่ทราบว่าท่านอ๋องเข้ามาหาข้าในยามวิกาลด้วยเรื่องอะไรหรือ” เย่หนานมองค้อนฉู่เซียวหรัน ความไม่พอใจปรากฏชัดทั่วทั้งใบหน้า
“สิ่งนี้เราให้เจ้า เจ้าจงรักษาไว้ให้ดี” ฉู่เซียวหรันยื่นกล่องใบหนึ่งให้เขา “หลายวันก่อนเผลอทำของหมั้นตกหล่น พอเห็นเจ้าก็นึกขึ้นมาได้ จึงนำมันมาให้”
เย่หนานเปิดกล่องออก ปรากฏกำไลหยกเนื้อดีฝีมือประณีต “แค่กำไลหยกชิ้นเดียว ท่านอ๋องให้ข้ารับใช้มาส่งก็ได้”
เย่หนานหยัดตัวลุกขึ้นเตรียมนำกล่องไปวางไว้บนโต๊ะประทินโฉม หากแต่ไม่คาดคิดว่าเท้าเจ้ากรรมกลับสะดุดขาโต๊ะโดยไม่ทันระวัง ทำให้เขาโถมเข้าสู่อ้อมอกฉู่เซียวหรันทั้งตัว…
[1] เท่ากับเวลาประมาณสิบห้านาที
[2] ขนมที่เป็นแป้งกรอบมีลักษณะคล้ายพาย สอดไส้หรือฉาบหน้าด้วยท้อน้ำผึ้ง
[3] ค่าเงินที่เล็กที่สุดในสมัยจีนโบราณ โดย 1,000 เหวินถึงจะมีค่าเท่ากับ 1 ตำลึงเงิน
[4] ตัวละครร้ายในวรรณคดีเรื่อง สามก๊ก มีนิสัยโหดร้ายน่าเกรงขาม