กลยุทธ์การเอาตัวรอดของตัวเบี้ยผู้กลับมาเกิดใหม่
炮灰重生自救攻略
ผูเถาหย่างเล่อตัว เขียน
葡萄养乐多
จิงจิง แปล
— โปรย —
ชาติก่อน เย่หนานถูกจับให้แต่งงานเป็นชายารองแทนพี่สาว สุดท้ายสามีสั่งขังและพระชายาเอกก็หยิบยื่นยาพิษให้จนเขาตายในคุก ชาตินี้เขาจึงตั้งใจจะแก้แค้น! เป้าหมายของเขาคือ ฉู่เซียวหรัน ผู้เป็นเซ่อเจิ้งอ๋อง!
ช่างเถอะๆ เขาคงฆ่าอีกฝ่ายไม่ได้หรอก งั้นต้องหนี! หนีไปให้ไกลจะได้ไม่ต้องพบคนใจทรามผู้นั้นอีก
แต่ยังไม่ทันจะเก็บผ้าผ่อน คนใจทรามที่ว่าก็มาสู่ขอเขาถึงจวนเสียแล้ว เดี๋ยวนะ มาสู่ขอเขา ไม่ใช่พี่สาวของเขาหรอกเหรอ!
เหตุใดชาตินี้เซ่อเจิ้งอ๋องผู้เคยเย็นชาจึงทำตัวแปลกนักเล่า เย่หนาน “ท่านป่วยหรือ”
ฉู่เซียวหรัน “เราป่วยหนัก ไม่เจอพระชายาเพียงหนึ่งเค่อ หัวใจก็เจ็บปวดราวถูกมีดจ้วงแทง พระชายาช่วยรักษาเราได้หรือไม่” เย่หนาน “ฉู่เซียวหรัน ท่านจะทำอะไร! นี่มันห้องหนังสือ หากผู้อื่นมาเห็นเข้าจะทำเช่นไร!”
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 3
มียืมย่อมต้องมีคืน
เย่หนานโถมกายเข้าหาอย่างฉับพลัน ทำให้ทั้งคู่เสียหลักล้มลงกับพื้น ศีรษะเย่หนานกระแทกหน้าอกฉู่เซียวหรัน ด้วยความที่ฉู่เซียวหรันโอบเอวเขาไว้ ท่วงท่าของทั้งสองจึงให้ความรู้สึกวาบหวามยิ่งนัก
เย่หนานมึนงงจากแรงกระแทกจึงไร้ปฏิกิริยาโต้ตอบไปชั่วขณะ ยังคงนอนทับเรือนร่างฉู่เซียวหรันอยู่อย่างนั้น
“อาหนาน?” ฉู่เซียวหรันเอื้อมมือไปลูบศีรษะเย่หนานเบาๆ ทันใดนั้นเย่หนานก็ดีดตัวลุกขึ้นพร้อมกับใบหน้าที่แดงก่ำลามไปถึงหน้าผาก
“ท่านอ๋องไม่มีเรื่องอันใดแล้วก็รีบกลับไปเถิด หากผู้ใดพบเห็นเข้าจะติฉินนินทาเอาได้” เย่หนานวางกล่องลงบนโต๊ะใกล้มือ
“อืม ตกลง” ฉู่เซียวหรันกลับหลังหันแล้วเดินจากไป
“จริงๆ เลย…” เย่หนานจับหน้าผากของตน
**********
รุ่งสางวันต่อมา
หลังกินเช้าเรียบร้อย เย่หนานก็เลือกอาวุธเหมาะมือชิ้นหนึ่งอย่าง…ไม้กระบอง
อาฉงมองดูเย่หนานด้วยสีหน้างุนงง “คุณชายเอาไม้กระบองมาทำไมหรือขอรับ”
“เพราะจะออกไปข้างนอกอย่างไรเล่า ไปกัน” เย่หนานเดินออกจากจวนด้วยความกระวนกระวายยิ่งนัก
“ออกไปข้างนอกต้องพกอาวุธไปด้วยหรือ คุณชายช่างแปลกเสียจริง” อาฉงลูบคลำศีรษะ ขณะเดินตามหลังเย่หนาน ก็เอ่ยพำพึมกับตนเอง
ยามเดินมาถึงถนนพลันเห็นคนกลุ่มใหญ่กำลังล้อมวงกันอยู่ “ข้างหน้ามีอะไรน่ะ คุณชาย เราไปดูกันขอรับ” อาฉงกล่าว
เย่หนานขานรับ จากนั้นเขาก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งสวมเสื้อผ้าขาดวิ่นนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นต่อหน้าฝูงชน มีกระดาษสีขาววางอยู่ตรงหน้าหนึ่งแผ่น ใจความว่า เจียงหนานเกิดอุทกภัย ครอบครัวข้าจึงพากันอพยพหนีขึ้นไปทางตอนเหนือ ตลอดเส้นทางลำบากตรากตรำ อดอยากปากแห้ง บิดาติดโรคระหว่างทางจึงเคราะห์ร้ายสิ้นใจตาย ข้าไม่มีเงินพอทำศพให้บิดา หากท่านใดเมตตายอมทำศพให้บิดาแทนข้า ข้าขอเป็นม้าเป็นวัวรับใช้ท่านไปชั่วชีวิต
“ขายตัวเองเพื่อฝังศพบิดาน่ะขอรับ” สุดท้ายอาฉงก็เบียดเสียดฝูงชนไปถึงแถวหน้า จึงเห็นว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร
เย่หนานกำลังหยิบถุงเงินออกมาเตรียมพร้อมยื่นมือเข้าช่วยเหลือเต็มที่ ขณะที่ชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่พลันเบียดเข้ามาแล้วกระชากเด็กสาวที่นั่งอยู่บนพื้น ก่อนจะลากนางออกไปจากฝูงชน
เด็กสาวร้องไห้ตะโกนลั่น “ปล่อยข้านะ ปล่อย ข้าขอร้องท่าน อย่าขายข้าให้หอนางโลมเลย ข้าขอร้อง!” เด็กสาวพยายามใช้แรงกายทั้งหมดที่มี แต่ก็ไม่อาจดิ้นหลุดจากมือของชายฉกรรจ์ผู้นั้นได้
“เอ๊า เจ้านี่น้า ฉุดหญิงสาวชาวบ้านตอนกลางวันแสกๆ แล้วยังจะพานางไปขายให้หอนางโลมอีก!” อาฉงเดินเข้าไปกางแขนขวางทางชายฉกรรจ์ผู้นั้น ใครจะรู้ว่าคนผู้นั้นมีพละกำลังมหาศาลผิดมนุษย์ จึงตบอาฉงคว่ำลงกับพื้นได้ในฝ่ามือเดียว
เย่หนานหยิบไม้กระบองที่เตรียมมา รุดหน้าขัดขวางชายฉกรรจ์ผู้นั้น ทั้งสองปะทะกัน หลังจากตวัดไม้เพียงสองครั้ง เย่หนานก็สามารถกดชายฉกรรจ์ผู้นั้นลงกับพื้นได้สำเร็จ
ชายฉกรรจ์ตะคอกเสียงดังลั่น “เป็นหนี้ก็ต้องคืน เป็นสัจธรรมที่มิอาจเปลี่ยนแปลง นางยืมเงินข้าไปช่วยพ่อที่ป่วยออดแอด ในเมื่อไม่มีเงินมาคืน ข้าก็จะเอาตัวนางไปขายที่หอนางโลม มันก็สมเหตุสมผลแล้วนี่”
ขณะที่เย่หนานคิดจะเอ่ยปาก น้ำเสียงทุ้มต่ำกลับสวนขึ้นมากะทันหัน “เป็นหนี้ก็ต้องคืน เช่นนั้นเราจะคืนให้เจ้าเอง”
ไม่นะ น้ำเสียงนี้เย่หนานรู้สึกคุ้นหูชอบกล เขาปล่อยมือแล้วหยัดตัวลุกขึ้น เหตุใดถึงเป็นฉู่เซียวหรันอีกแล้ว!
ชาติที่แล้วหลังจากเขาล้มชายฉกรรจ์สำเร็จ ก็ได้ช่วยเสี่ยวเถาฝังศพบิดา จากนั้นพาเสี่ยวเถากลับเข้าจวน ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวไม่มีฉู่เซียวหรันร่วมวงด้วยแต่อย่างใด ทว่าเหตุใดชาตินี้เขาจึงมาปรากฏตัวที่นี่
เมื่อหวนนึกถึงความเก้อเขินเมื่อคืน เย่หนานก็เบือนหน้าหันหนีไปอีกทางเพื่อหลบเลี่ยงสายตาของฉู่เซียวหรัน เขาในตอนนี้คิดเพียงว่าอยากกลับหลังหันแล้ววิ่งหนีไปให้รู้แล้วรู้รอด
“คุณชายเย่ เจ้าเลี้ยงถังหูลู่เราเมื่อวาน ยังไม่ได้กล่าวขอบคุณเจ้าดีๆ เลย”
“อ๊ะ? ไม่ต้องหรอก แค่ถังหูลู่ไม้เดียว ถือเสียว่าเป็นของกำนัลแด่ท่านอ๋องแล้วกัน” เย่หนานถอนหายใจ ดูท่าคงหนีไม่พ้นเสียแล้ว!
เย่หนานหยิบถุงเงินออกมาโยนให้ชายฉกรรจ์ “เงินนี่คงเพียงพอสำหรับเจ้ากระมัง”
ชายฉกรรจ์หยิบถุงเงินขึ้นมาแล้วพยักหน้ารัวเร็ว “พอ…พอแล้วขอรับ ขอบคุณท่านมาก” จากนั้นก็เบียดตัวออกจากฝูงชน มุ่งตรงเข้าไปในโรงสุราที่อยู่เบื้องหน้าทันที
“ขอบคุณที่คุณชายยื่นมือมาช่วยเจ้าค่ะ เสี่ยวเถาซาบซึ้งใจยิ่งนัก จวนคุณชายขาดข้ารับใช้คอยปัดกวาดหรือไม่ ข้าทำได้ทุกอย่างขอเพียงคุณชายสั่งมา คุณชายได้โปรดรับข้าไว้ด้วยเถิดเจ้าค่ะ” เสี่ยวเถาคุกเข่าลงกับพื้นแล้วโขกศีรษะติดพื้นหลายต่อหลายครั้ง
เย่หนานรีบดึงหญิงสาวลุกขึ้นโดยไว “ข้าขาดข้ารับใช้ติดตามอยู่หนึ่งคน หากเจ้ายินดีก็ตามข้ามา ถึงแม้ชีวิตข้าเองก็มิได้สุขสบายนัก แต่ก็ไม่ถึงขนาดจะปล่อยให้เจ้าท้องหิวหรอก”
“ขอบพระคุณคุณชายเจ้าค่ะ! ขอบพระคุณคุณชาย!” เสี่ยวเถาคำนับอีกหลายครั้ง
เย่หนานเหลือบมองศพที่นอนอยู่บนพื้นแล้วเอ่ยว่า “ฝังศพบิดาของเจ้ากันก่อนเถิด”
เย่หนานคลำกระเป๋า นึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่ให้ชายฉกรรจ์ผู้นั้นไปทั้งหมดแล้ว บัดนี้จึงไม่เหลือเงินสักเหวินเดียว
เย่หนานตบศีรษะเบาๆ ก่อนหันหน้าไปกระซิบถามอาฉง “เจ้ามีเงินติดตัวบ้างหรือไม่”
อาฉงคลำกระเป๋าอยู่นานแต่กลับคลำออกมาได้ไม่ถึงสิบเหวิน “คุณชาย ข้ามีแค่นี้ขอรับ”
เย่หนานถอนหายใจแล้วกล่าววาจาเชือดเฉือน “ไม่ถึงสิบเหวินยังซื้อฝาโลงไม่ได้ด้วยซ้ำ!”
“เราให้เจ้ายืมดีหรือไม่”
น้ำเสียงทุ้มต่ำเจือความเย้าหยอกดังขึ้นข้างหูเย่หนาน ลมหายใจร้อนผ่าวที่ใบหูทำเอาเย่หนานอดสั่นสะท้านไม่ได้ ฉู่เซียวหรันมายืนข้างๆ ตั้งแต่เมื่อใดกัน
เย่หนานเหลือบมองหญิงสาวผู้น่าสงสาร เขากัดฟันแน่นก่อนหันมองฉู่เซียวหรันแล้วโค้งคำนับ “ข้ารบกวนขอยืมเงินท่านอ๋องสักเล็กน้อย ไว้ข้าได้เบี้ยประจำเดือนในเดือนหน้าแล้วจะรีบคืนให้ท่านอ๋องทันที”
เพื่อจะได้ไม่ต้องนำเงินมาคืนและเจอะเจอฉู่เซียวหรันในภายภาคหน้าอีก เย่หนานจึงเอ่ยปากว่า “แต่ข้าคิดว่าท่านอ๋องคงไม่ใส่ใจเงินจำนวนน้อยนิดนั่นอยู่แล้ว”
“ใส่ใจสิ มีผู้ใดไม่ใส่ใจเงินที่ถูกยืมไปบ้าง มียืมย่อมต้องมีคืน จะได้ไม่ลำบากเมื่อต้องการยืมอีกครา”
ฉู่เซียวหรันหยิบถุงเงินออกมาให้ เย่หนานชั่งใจอยู่พักใหญ่ก่อนจะหยิบเงินจากในถุงออกมาสี่ห้าตำลึงเงิน แล้วโยนคืนฉู่เซียวหรัน “หากยืมมากไปเกรงว่าคงไม่มีปัญญาคืน! เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน!”
“อย่าลืมคืนเงินให้ตรงเวลาด้วยเล่า”
เย่หนานยิ้มเจื่อนพลางพยักหน้า จากนั้นนำเงินไปซื้อโลงศพที่ร้านขายโลงศพ แล้วหาสถานที่ดีๆ สักแห่งเพื่อช่วยเสี่ยวเถาทำพิธีฝังศพบิดาที่เสียชีวิตจากอาการป่วย เสี่ยวเถาคุกเข่าลงกับพื้น หลังเผากระดาษเงินเสร็จก็โขกศีรษะเพื่อคำนับอีกสามครั้ง
**********
เย่หนานพาเสี่ยวเถากลับจวน ทันทีที่ก้าวพ้นประตูเข้ามาก็เห็นพี่สาวลำดับที่สองอย่างเย่จิ่นเซวียนกำลังนั่งอยู่ในศาลา เย่หนานจึงรีบสาวเท้าเดินหนีอย่างรวดเร็ว
“ตายจริง ตอนนี้นับวันน้องห้ายิ่งจองหองพองขนมากขึ้นเรื่อยๆ! เห็นพี่รองคนนี้แล้วไม่แม้แต่จะเอ่ยทักทายสักหน่อยหรือ” เย่จิ่นเซวียนบรรจงจัดดอกไม้ในมือแล้วใช้กรรไกรด้ามเล็กตัดกิ่งก้านที่เป็นส่วนเกินออก เมื่อได้ยินน้ำเสียงอันบาดลึกเสียดแทงนี้ เย่หนานทำได้เพียงหันกลับไป
“ฮ่าๆ เมื่อครู่เดินเร็วไปหน่อยเลยไม่ทันสังเกตเห็นว่าพี่รองกำลัง…ฝึกฝนจัดดอกไม้อยู่ตรงนี้”
เย่หนานยืนกุมมืออยู่ข้างๆ ไม่รู้ว่าควรจะอยู่ต่อหรือไปเสีย
“ข้าคิดว่าน้องห้าคงไม่ได้ยุ่งอยู่ วันคล้ายวันเกิดท่านพ่อจวนจะถึงแล้ว แคว้นฉีส่งดอกไม้ที่เรียกว่าดอกกุหลาบสีแดงสดจำนวนหนึ่งมาเป็นเครื่องบรรณาการ เซ่อเจิ้งอ๋องจึงประทานให้จวนอัครมหาเสนาบดีมาส่วนหนึ่ง ในเมื่อน้องห้ากำลังว่างงานอยู่พอดี ก็มาช่วยข้าเลือกและจัดช่อดอกไม้หน่อยสิ”
เย่หนานป่วยเป็นโรคประหลาดมาตั้งแต่วัยเยาว์ หากสัมผัสโดนดอกไม้มักจะมีตุ่มผื่นขึ้นตามร่างกายและคันคะเยออย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ทั้งที่เย่จิ่นเซวียนรู้ดีแต่กลับจงใจเรียกให้เขาเข้าไปช่วยคัดดอกไม้
เย่หนานอึกอักมองดอกไม้บนพื้น เย่จิ่นเซวียนเงยหน้ามองเย่หนานแล้วเอ่ยว่า “มีอะไร ข้าเรียกใช้เจ้าไม่ได้แล้วหรือ”
เย่หนานเผยรอยยิ้มเล็กน้อยแล้วรีบเดินเข้าไป “ไม่ใช่เช่นนั้น พี่รองเรียกใช้ข้าได้ตามสบาย” เสี่ยวเถากับอาฉงตามมาช่วยเลือกดอกไม้ด้วยเช่นกัน
“คุณชาย ท่านนั่งดูอยู่ตรงนี้ก็พอ มิเช่นนั้นเกิดคันขึ้นมาอีกท่านจะนอนไม่หลับไปหลายวันนะขอรับ” อาฉงนั่งลงเอ่ยกระซิบข้างเย่หนาน
เย่จิ่นเซวียนกล่าวราวกับได้ยินเข้าแล้ว “ดอกไม้นี้เป็นดอกไม้ที่เลื่องชื่อลือนามและล้ำค่ามาก น้องห้าเลือกด้วยตนเองคงเป็นการดีกว่า” เย่จิ่นเซวียนเอ่ยพลางมองเหยียดทั้งสามคนที่นั่งอยู่
“เรื่องที่พี่รองให้ทำ ข้าต้องทำด้วยตัวเองแน่นอน อาฉง เจ้าพาเสี่ยวเถาไปหาที่พักก่อนเถิด เดี๋ยวข้าทำนี่เอง พวกเจ้าสองคนกลับไปก่อน”
“คุณชายจะไหวหรือขอรับ” อาฉงไม่ค่อยวางใจนัก
“ไหวสิ”
เย่หนานได้แต่นั่งลงบนพื้นแล้วคัดเลือกดอกกุหลาบอย่างเชื่อฟัง ดอกกุหลาบแม้มีกลิ่นหอมชวนหลงใหล ทว่าก้านกลับเต็มไปด้วยหนามเล็กแหลมคม แรกเริ่มเย่หนานไม่ทันระวัง จึงถูกหนามแหลมทิ่มตำตามมือจนเลือดซิบหลายแห่ง
เย่หนานค่อยๆ นำดอกไม้ที่คัดเลือกออกมามัดรวมกันเป็นช่อ ขณะนั้นหลังมือเริ่มมีตุ่มสีแดงเล็กๆ กระจายเป็นวงกว้างแล้ว ทว่าเขาก็ต้องมัดช่อดอกไม้ต่อไปทั้งที่คันคะเยอ
“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ ท่านแม่ทัพมาแล้วเจ้าค่ะ” เด็กสาวผู้หนึ่งแต่งกายด้วยชุดข้ารับใช้วิ่งเข้ามาพลางส่งเสียงตะโกน
“ถึงไหนแล้วหรือ” เย่จิ่นเซวียนวางกรรไกรด้ามเล็กในมือลง แล้วจัดแต่งจอนผมของตนให้เข้าทรง
“ใกล้ถึงหน้าประตูแล้ว ดูเหมือนจะมาหาคุณชายใหญ่เจ้าค่ะ”
ขณะเอ่ยก็เห็นชายร่างสูงใหญ่สวมชุดเครื่องแบบทหารย่างเท้าเข้ามาในลานบ้าน แม้คนผู้นี้จะสวมเสื้อเกราะดูเยือกเย็น ทว่ารอยยิ้มบางๆ ที่แต่งแต้มบนใบหน้านั้นให้ความรู้สึกอบอุ่นเกินบรรยาย
“พี่อวี่ จิ่นเซวียนขอแสดงความยินดีที่พี่อวี่คว้าชัยกลับมาเจ้าค่ะ” เย่จิ่นเซวียนเร่งสาวเท้าเดินไปอยู่ข้างกายฉินหมิงอวี่ แล้วคว้าแขนออดอ้อนชายหนุ่ม
ฉินหมิงอวี่เป็นสหายสนิทของคุณชายใหญ่เย่อี้หยาง จึงมักมาหาที่จวนบ่อยครั้ง เป็นผลให้คุ้นเคยกับเย่จิ่นเซวียนไปด้วย
เย่หนานเห็นท่าทางเช่นนี้ของเย่จิ่นเซวียนจึงแอบเอ่ยเหน็บแนม “นี่ใช่คนเดียวกับเย่จิ่นเซวียนที่เอ่ยวาจาว่าร้ายเสียดสีเมื่อครู่นี้หรือไม่”
“จิ่นเซวียนงดงามขึ้นไม่น้อยอีกแล้ว ว่าแต่พี่ชายของเจ้าเล่า” ฉินหมิงอวี่เอ่ยถาม น้ำเสียงและสีหน้าเจือความอ่อนโยน ชวนให้จิตใจผู้คนเคลิ้มตามโดยง่าย
“พี่อวี่ก็รู้จักแต่พี่ชายข้า! พี่อวี่มาหาข้าบ้างไม่ได้หรือ”
ต้องบอกเลยว่าเย่จิ่นเซวียนมีทักษะออดอ้อนชั้นเยี่ยมทีเดียว ไหนจะน้ำเสียงออเซาะและสีหน้าแววตาน้อยเนื้อต่ำใจนั่นอีก
“ย่อมได้สิ เพียงแต่ข้าถามหาพี่ชายเจ้าเพราะมีเรื่องด่วน” ใบหน้าฉินหมิงอวี่ยังคงเจือรอยยิ้มบาง
“ก็ได้ พี่ชายอยู่ในห้องเจ้าค่ะ” เย่จิ่นเซวียนไม่ค่อยเต็มใจนัก
เย่หนานคารวะทักทายในยามที่ฉินหมิงอวี่เดินผ่านศาลา “คารวะท่านแม่ทัพ”
“ท่านผู้นี้คือ?”
“ข้าเป็นน้องชายลำดับที่ห้า เย่หนานขอรับ”
เย่หนานจ้องมองฉินหมิงอวี่ด้วยแววตาหลงใหล เครื่องหน้าเกลี้ยงเกลาได้รูป ผนวกกับรอยยิ้มสุภาพอ่อนโยน สมญานามจอมทัพหลานหลิงหวาง[1]แห่งแคว้นฉู่ช่างสมดังคำเล่าลือ หากไร้ชุดเกราะก็คงไม่มีผู้ใดเชื่อว่าเขาเป็นแม่ทัพที่สู้ศึกมาตลอดหลายปี
เย่หนานจำได้ว่าครั้งแรกที่เจอกับฉินหมิงอวี่คือตอนปีนกำแพงหนีออกไปเที่ยวเล่นเมื่อสามปีก่อน ขณะนอนคว่ำราบอยู่บนสันกำแพงก็เห็นฉินหมิงอวี่ในชุดทหารกำลังควบม้าพร้อมกุมชัยชนะในศึกแรกด้วยความสง่างามและกล้าหาญ รอยยิ้มเขาเปรียบดั่งสายลมในวสันตฤดู เย่หนานเหม่อมองอยู่บนกำแพงก่อนจะบังเอิญถูกฮูหยินใหญ่จับได้ จึงโดนลงโทษด้วยการโบยไม้ เจ็บก้นอยู่เป็นครึ่งค่อนเดือน
“มีอะไรติดหน้าข้าหรือ” ฉินหมิงอวี่เห็นเย่หนานเอาแต่จ้องมองตนเองจึงลูบคลำใบหน้าโดยไม่รู้ตัว
เย่หนานได้ยินเสียงของฉินหมิงอวี่ก็ดึงสติกลับมา “เอ่อ…ไม่มี ไม่มีขอรับ” เย่หนานยิ้มแหยพลางเกาผื่นแดงบนหลังมือเบาๆ
ฉินหมิงอวี่มองดูตุ่มผื่นบนมือเย่หนานชั่วครู่ ก่อนจะหยิบตลับสีทองแดงขนาดเล็กออกมายื่นให้ “ข้าให้เจ้า ยากำจัดพิษระงับอาการคัน น่าจะพอบรรเทาอาการได้บ้าง”
“ขอบคุณท่านแม่ทัพ” เย่หนานรับตลับที่ฉินหมิงอวี่ยื่นให้ด้วยสองมือ แม้จะทรมานเพราะผื่นบนเรือนกาย แต่ในใจกลับเบิกบานประดุจดอกไม้บานสะพรั่ง
ตั้งแต่เยาว์วัยเย่หนานก็คิดว่าตนเองเป็นคนแปลกประหลาดคนหนึ่ง แต่การรักชอบผู้ใดไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นบุรุษหรือสตรีล้วนไม่ถือเป็นความแปลกประหลาด เขาจึงชอบฉินหมิงอวี่และหลงใหลใบหน้าเจือรอยยิ้มของอีกฝ่ายตั้งแต่แรกเห็น
[1] จอมทัพหลานหลิงหวางหรือองค์ชายแห่งหลานหลิง คือสมญานามของเกาฉางกง เป็นโอรสองค์ที่สี่ของเกาเฉิงหรือจักรพรรดิเหวินเซียง ได้ชื่อว่าเป็นบุรุษที่มีใบหน้างดงามราวอิสตรี ถือเป็นหนึ่งในสี่บุรุษรูปงามที่สุดในประวัติศาสตร์จีน