[ทดลองอ่าน] เชิญร่ำสุรา 將進酒 ตอนที่ 1

 เชิญร่ำสุรา
將進酒

ถังจิ่วชิง
唐酒卿

กอหญ้า แปล

สุนัขชั่ว ปะทะ สุนัขบ้า

จงปั๋วหกโจวถูกประเคนยกให้แก่ศัตรูต่างแคว้น เสิ่นเจ๋อชวนถูกคุมตัวมายังเมืองหลวง
ถูกประนามหยามเหยียดจากทุกคน เมื่อเซียวฉือเหย่ได้ข่าว ก็มิร้องขอให้ผู้ใดลงมือแทน
เขาหมายมั่นจะเตะเสิ่นเจ๋อชวนให้พิการด้วยตนเอง
ทว่าใครจะรู้เล่าว่าเจ้าคนอ่อนแอขี้โรคนี่จะแว้งกัดเขาเสียจนเลือดสาด
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความบาดหมางระหว่างชายหนุ่มทั้งสอง
ที่จำต้องฉีกทึ้งกันทุกครายามเผชิญหน้ากัน

“โชคชะตาต้องการให้ข้าเฝ้าอยู่ที่นี่ชั่วชีวิต แต่นี่หาใช่เส้นทางที่ข้าเลือกไม่…
ทรายเหลืองกลบฝังพี่น้องข้า ข้าไม่อยากยอมจำนนให้กับชีวิตอันว่างเปล่าอีกแล้ว
ราชโองการมิอาจช่วยเหลือทหารของข้าได้
ราชสำนักมิอาจเลี้ยงดูม้าของข้าให้อิ่มได้…
ข้าไม่อยากทุ่มเทรับใช้พวกเขาด้วยชีวิตอีกแล้ว…
ข้าจะข้ามเขาลูกนั้นไป… ข้าจะต่อสู้เพื่อตัวเองสักครั้ง”

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

ภาคต้น ‘เดิมตัวข้าเป็นผู้ถูกผลักไส’

 

บทที่ 1 ลมหนาว

 

“เจี้ยนซิงหวังเสิ่นเว่ยพ่ายศึกที่แม่น้ำฉาสือในตงเป่ย[1] แนวป้องกันตุนโจว[2]ถูกข้าศึกยึดครอง ทหารสามหมื่นถูกฝังเป็นในหลุมยุบฉาสือ เจ้าก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน ไฉนจึงมีเพียงเจ้าที่รอดชีวิต”

เสิ่นเจ๋อชวนแววตาเลื่อนลอย มิได้ตอบคำใด

ผู้สอบสวนตบโต๊ะอย่างแรง โน้มตัวเข้ามาด้วยสายตามาดร้าย “เพราะเสิ่นเว่ยสมคบกับพวกเปียนซาสิบสองเผ่า[3]ตั้งแต่แรกแล้ว จึงมีใจยกจงปั๋วหกโจว[4]ให้ข้าศึก พวกเจ้าคิดจะประสานในนอกตีนครหลวงชวี่ตูให้แตก ดังนั้นทหารม้าเปียนซาจึงไม่สังหารเจ้าใช่หรือไม่”

เสิ่นเจ๋อชวนขยับริมฝีปากที่แห้งแตกเป็นขุย ฟังคำพูดของผู้สอบสวนด้วยความเหน็ดเหนื่อย ลำคอขยับช้าๆ ขณะตอบอย่างยากลำบาก “ไม่…ไม่ใช่”

ผู้สอบสวนตวาดเสียงเฉียบ “เสิ่นเว่ยฆ่าตัวตายด้วยกลัวความผิด หลักฐานที่เขาสมคบข้าศึก องครักษ์จิ่นอี[5]มอบให้ฝ่าบาทหมดแล้ว เจ้ายังจะกล้าปากแข็งอีก ช่างดื้อรั้นไม่รู้ผิดชอบโดยแท้!”

เสิ่นเจ๋อชวนหัวสมองหนักอึ้งมึนงง ไม่รู้นานเพียงใดแล้วที่เขามิได้หลับตาลง เขาเหมือนถูกด้ายเส้นหนึ่งแขวนห้อยอยู่กลางอากาศสูงเป็นหมื่นจั้ง[6] แค่ประมาทแม้เพียงเล็กน้อยและคลายมือ ก็จะร่วงตกลงมาร่างกายแหลกลาญ

ผู้สอบสวนกางหนังสือสารภาพ กวาดตามองเล็กน้อยก่อนถาม “เมื่อคืนเจ้าบอกว่าที่เจ้ารอดชีวิตออกมาจากหลุมยุบฉาสือได้ เพราะพี่ชายเจ้าช่วยเจ้าไว้ใช่หรือไม่”

เบื้องหน้าของเสิ่นเจ๋อชวนปรากฏภาพเหตุการณ์ในวันนั้นอย่างเลือนราง หลุมลึกถึงเพียงนั้น ทหารนับไม่ถ้วนเบียดอยู่ด้วยกัน แต่ไม่ว่าทำอย่างไรก็มิอาจปีนออกไปได้ ศพที่ถูกเหยียบหนาขึ้นทุกที ทว่าจนแล้วจนรอดก็เอื้อมไปไม่ถึงปากหลุม ทหารม้าเปียนซาล้อมอยู่รอบหลุมยุบ ลมหนาวยามค่ำคืนเจือเสียงลูกธนูที่พุ่งฝ่าอากาศ โลหิตไหลผ่านน่องขา เสียงร้องโหยหวนและเสียงหอบหายใจดังชิดริมหู

เสิ่นเจ๋อชวนลมหายใจถี่กระชั้น เริ่มตัวสั่นอยู่บนเก้าอี้ เขาดึงทึ้งผมอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ แผดเสียงครางออกมาอย่างยากระงับ

“เจ้าโกหก” ผู้สอบสวนหยิบคำสารภาพขึ้นมาและใช้มันตบตัวเสิ่นเจ๋อชวน “พี่ชายเจ้าคือเสิ่นโจวจี้ บุตรชายสายตรงคนโตของเจี้ยนซิงหวัง ก่อนหน้านี้เขาทิ้งทหารสามหมื่นไว้ที่หลุมยุบฉาสือ จากนั้นพาทหารใกล้ชิดหลบหนีไปคนเดียว แต่กลับถูกทหารม้าเปียนซาคล้องด้วยเชือกและใช้ม้าลากไปบนทางหลวงริมแม่น้ำฉาสือจนตาย ตอนพวกเปียนซาสิบสองเผ่าฝังเป็นเหล่าทหาร เขาตายไปแล้ว ไม่มีทางช่วยเจ้าได้”

เสิ่นเจ๋อชวนหัวสมองมึนงง เสียงของผู้สอบสวนเหมือนอยู่ไกลสุดขอบฟ้า ข้างหูเขามีเพียงเสียงร้องไห้และเสียงตะโกนไม่สิ้นสุด

ทางออกอยู่ที่ใด กองหนุนอยู่ที่ใด

คนตายเบียดเสียดกัน เนื้อเน่าเหม็นโฉ่กดทับอยู่บนมือ พี่จี้มู่บังศีรษะเขาไว้ เขาหมอบอยู่บนกองเลือดและซากศพ ฟังเสียงหอบหายใจกระชั้นของพี่ชาย เสียงร้องไห้ถูกเปล่งออกมาจากลำคอด้วยความสิ้นหวังเหลือเกิน

‘พี่มีสามเศียรหกกร’ จี้มู่เค้นรอยยิ้มอย่างยากลำบาก ทว่าน้ำตากลับไหลอาบหน้า พูดต่อด้วยเสียงสะอื้น ‘พี่แข็งแรงประหนึ่งผนังทองแดงกำแพงเหล็ก! อดทนหน่อยก็ไม่เป็นไรแล้ว อดทนจนผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ ทหารกองหนุนก็จะมาถึง ถึงเวลาพี่จะกลับบ้านพร้อมเจ้า ไปรับท่านพ่อท่านแม่ พี่ยังต้องไปหาพี่สะใภ้ของเจ้า…’

ผู้สอบสวนตบโต๊ะดังโครม ตวาดว่า “ตอบมาตามตรง!”

เสิ่นเจ๋อชวนดิ้นรนจะลุกขึ้น เขาเหมือนต้องการดิ้นให้หลุดจากพันธนาการที่มองไม่เห็น แต่กลับถูกองครักษ์จิ่นอีที่กรูเข้ามากดลงบนโต๊ะ

“เจ้าเข้ามาในคุกหลวง[7]ของพวกเรา ข้าเห็นว่าเจ้าอายุยังน้อย ดังนั้นจึงไม่ได้ลงทัณฑ์สถานหนัก แต่ในเมื่อเจ้าไม่รู้ดีชั่วเช่นนี้ อย่าหาว่าพวกเราใจไม้ไส้ระกำก็แล้วกัน เด็กๆ ลงทัณฑ์!”

สองแขนของเสิ่นเจ๋อชวนถูกคล้องด้วยเชือก จากนั้นเขาก็ถูกลากตัวไปยังพื้นที่ว่างกลางห้องโถง ม้านั่งยาววางกระแทกลงมา สองเท้าของเขาถูกมัดกับม้านั่ง บุรุษรูปร่างกำยำด้านข้างถือไม้พลองลงทัณฑ์กะเกณฑ์น้ำหนัก จากนั้นก็หวดไม้ลงมา

“ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง” ผู้สอบสวนเกลี่ยฟองชา จิบน้ำชาอย่างใจเย็นหลายคำก่อนพูด “เสิ่นเว่ยสมคบข้าศึกทรยศแผ่นดิน ใช่หรือไม่”

เสิ่นเจ๋อชวนไม่ยอมรับ ยังคงร้องตะโกนต่อไปท่ามกลางการลงทัณฑ์ “ไม่ ไม่ใช่!”

ผู้สอบสวนวางถ้วยชา “หากเจ้าเอาความดึงดันนี้ไปใช้ในสนามรบ วันนี้พวกเจ้าสกุลเสิ่นคงไม่ต้องเข้ามาอยู่ที่นี่ โบยต่อไป!”

เสิ่นเจ๋อชวนเริ่มทนไม่ไหว ก้มหน้าพูดเสียงแหบ “เสิ่นเว่ยไม่ได้สมคบข้าศึก…”

“ศึกที่แม่น้ำฉาสือพ่ายแพ้ก็เพราะเสิ่นเว่ยรับมือข้าศึกอย่างประมาท หลังพ่ายศึกที่แม่น้ำฉาสือ ตุนโจวยังมีโอกาสพลิกสถานการณ์ แต่เขากลับถอยทัพโดยไร้สาเหตุทั้งที่กำลังพลของสองฝ่ายแตกต่างกันมาก ตวนโจวสามเมืองถูกข้าศึกยึดครองเพราะเหตุนี้ ประชาชนหลายหมื่นในเมืองต้องตายอยู่ใต้ดาบโค้งของพวกเปียนซา” ผู้สอบสวนพูดถึงตรงนี้และถอนหายใจยาว เอ่ยอย่างเคียดแค้น “จงปั๋วหกโจวโลหิตไหลนองเป็นสายน้ำ เสิ่นเว่ยนำกำลังถอยลงใต้ สงครามที่เติงโจวนับว่าประหลาดที่สุด ทหารรักษาการณ์ชื่อจวิ้น[8]ในมณฑลฉี่ตงอุตส่าห์เดินทัพข้ามหอประตูเทียนเฟยมาช่วยแล้ว แต่เขากลับละทิ้งโอกาสในการใช้กลยุทธ์ตีกระหนาบ โยกย้ายทหารม้าหลายพันไปคุ้มกันครอบครัวที่จะเดินทางไปเมืองตันเฉิง ทำให้แนวป้องกันเติงโจวถูกทำลาย…เช่นนี้ไม่เรียกว่าจงใจหรือ หากไม่เพราะทหารม้าเหล็กหลีเป่ยเร่งเดินทางข้ามแม่น้ำปิงเหอเป็นเวลาสามวันสามคืน ทหารม้าเปียนซาคงมาจ่ออยู่หน้าประตูเมืองชวี่ตูแล้ว!”

เสิ่นเจ๋อชวนสติสัมปชัญญะเลือนราง เหงื่อเย็นแตกพลั่ก ผู้สอบสวนขว้างคำให้การออกมาอย่างเหยียดหยัน กระแทกใส่ศีรษะด้านหลังของเขา

“ยอมเป็นสุนัขตัวหนึ่งก็ไม่ยินดีเป็นขุนนางจงปั๋ว ครานี้เสิ่นเว่ยกลายเป็นคนบาปของแผ่นดินต้าโจวไปแล้ว เจ้ายังไม่ยอมรับอีกรึ เจ้าได้แต่ต้องยอมรับเท่านั้น!”

เสิ่นเจ๋อชวนเจ็บจนชาไปครึ่งตัว เขาหมอบอยู่บนม้านั่งยาว มองคำให้การตรงหน้า รอยหมึกด้านบนชัดเจน แต่ละตัวอักษรเหมือนแส้ที่หวดลงบนใบหน้าเขา สร้างความอัปยศอดสู ประกาศให้คนทั่วหล้ารู้ว่า

เสิ่นเว่ยขายชาติ ต่ำช้ายิ่งกว่าสุนัขตัวหนึ่ง

พวกเขาทำให้จงปั๋วหกโจวเต็มไปด้วยซากศพ จวบจนบัดนี้ศพที่ถูกฝังอยู่ในหลุมยุบฉาสือยังไม่มีคนไปเก็บ เพราะเมืองต่างๆ ในตุนโจวถูกกวาดล้างสังหารจนไม่เหลือแล้ว

เสิ่นเว่ยเผาตัวเองตาย ทว่าหนี้ที่เต็มไปด้วยโลหิตนี้กลับต้องให้คนที่มีชีวิตอยู่แบกรับ เสิ่นเว่ยมีภรรยาและอนุมากมาย มีบุตรชายจำนวนมาก แต่ตอนที่ทหารม้าเปียนซาบุกยึดตุนโจว พวกเขาเหล่านั้นตายหมดแล้ว เหลือเพียงเสิ่นเจ๋อชวนผู้มีชาติกำเนิดต่ำต้อยและถูกเลี้ยงดูอยู่นอกจวนที่เคราะห์ดีรอดชีวิตมาได้

 

เสิ่นเจ๋อชวนถูกลากตัวกลับไป เลือดไหลลงมาตามส้นเท้าจนทิ้งคราบไว้เป็นทาง เขาหันหน้าเข้าหาผนังห้อง มองหน้าต่างเล็กแคบบานนั้น ลมหนาวพัดหวีดหวิว หิมะตกหนัก ราตรีมืดทะมึนไร้จุดสิ้นสุด

สติรับรู้ของเขาพร่าเลือน ท่ามกลางเสียงลม เขาเหมือนกลับไปอยู่ในหลุมยุบอีกครั้ง

จี้มู่ไม่ไหวแล้ว เขาหายใจอย่างยากลำบาก โลหิตไหลไปตามชุดเกราะและหยดลงบนหลังคอเสิ่นเจ๋อชวน ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ เสียงโหยไห้รอบด้านหายไป เหลือเพียงเสียงครางอย่างเจ็บปวดยากจะทานทน ตลอดจนเสียงลมหนาวหวีดร้องคำราม

เสิ่นเจ๋อชวนเผชิญหน้ากับคนตายที่ใบหน้าเละเทะ ขาถูกทับอยู่ใต้ร่างของใครบางคนที่หนักอึ้ง โล่บาดเอวและท้องของเขา หอบหายใจแต่ละทีมีแต่กลิ่นคาวเลือดเข้มข้น เขากัดฟันหลั่งน้ำตา แต่กลับมิอาจเปล่งเสียงออกมาได้ เขาจ้องมองใบหน้าที่ถูกเหยียบย่ำจนเละอย่างอ่อนล้า แต่กลับแยกแยะไม่ได้ว่านี่เป็นทหารที่เคยพบเจอหรือเปล่า

“พี่ชาย” เสิ่นเจ๋อชวนสะอื้นเสียงเบา “ข้า ข้ากลัวเหลือเกิน…”

ลำคอของจี้มู่ขยับทีหนึ่ง ใช้ฝ่ามือลูบศีรษะเสิ่นเจ๋อชวนเบาๆ “ไม่เป็นไร…ไม่เป็นไร”

เสิ่นเจ๋อชวนได้ยินทหารที่กำลังจะตายเปล่งเสียงร้องเพลง เสียงเพลงถูกลมแรงฉีกทึ้ง ล่องลอยอยู่ในค่ำคืนอันหนาวเหน็บอย่างกระท่อนกระแท่น

“ทำศึกทางใต้…ตายนอกเมืองทางเหนือ…ศพไร้ที่ฝัง…เป็นอาหารเหยี่ยวกา[9]

“พี่ชาย” เสิ่นเจ๋อชวนพูดเสียงแผ่วอยู่ใต้ร่างเขา “ข้าจะแบกท่านออกไป…พี่ชาย”

ร่างกายของจี้มู่เหมือนโล่ที่บิดเบี้ยวอันหนึ่ง เขายิ้มตอบเสียงแหบ “พี่เดินไหว”

“ท่านถูกลูกธนูยิงหรือ”

“เปล่า” น้ำตาของจี้มู่แห้งเหือด เขาพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “…พวกหัวโล้นเปียนซายิงธนูไม่แม่น”

นิ้วมือของเสิ่นเจ๋อชวนแช่อยู่ท่ามกลางเลือดเนื้อ เขาพยายามเช็ดหน้าและพูดต่อ “อาจารย์หญิงห่อเกี๊ยวไว้ รอข้ากับท่านกลับไปเมื่อไร พวกเราจะกินหลายๆ ชามเลย”

จี้มู่ถอนหายใจ “…พี่กินช้า เจ้า…อย่าแย่งพี่”

เสิ่นเจ๋อชวนที่อยู่ข้างล่างผงกศีรษะแรงๆ

หิมะค่อยๆ ปกคลุมร่างของจี้มู่ ดูเหมือนเขาจะง่วงมาก เสียงเขาแผ่วเบาถึงเพียงนั้น แม้แต่แรงขยับนิ้วมือยังไม่มี เพลงนั้นร้องช้ามาก เมื่อถึงท่อนที่ว่า ‘อาชาดีล้วนตายในสมรภูมิ’ จี้มู่ก็หลับตาลง

เสิ่นเจ๋อชวนพูด “ข้าจะ…จะเอาเงินของข้าให้พี่ชาย แต่งภรรยา…”

“พี่ชาย”

“พี่ชาย”

จี้มู่เงียบสนิท เหมือนฟังเขาพูดจนเบื่อและผล็อยหลับไปอย่างห้ามไม่อยู่

เสิ่นเจ๋อชวนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว เขาลืมไปแล้วว่าทหารม้าเปียนซาจากไปตั้งแต่เมื่อใด ทั้งยังลืมไปแล้วว่าตัวเองคลานออกมาได้อย่างไร ตอนที่เขาใช้แขนยันกายขึ้น ท่ามกลางหิมะที่ตกหนักมีเพียงความเงียบ ศพมากมายซ้อนทับกันอยู่ใต้หัวเข่า ดูเหมือนกระสอบผ้าป่านที่ถูกทิ้ง

เสิ่นเจ๋อชวนหันกลับไป ก่อนสะอื้นไห้ออกมา

แผ่นหลังของจี้มู่เต็มไปด้วยก้านธนู ดูเหมือนเม่นที่ขดตัวจนตัวงอ โลหิตมากมายหยดลงบนหลังของเสิ่นเจ๋อชวน แต่เขากลับไม่รู้สึกแม้แต่น้อย

เสียงเกือกม้าเร่งร้อนไล่ตามมา ดังกึกก้องเหมือนเสียงฟ้าผ่า เสิ่นเจ๋อชวนพลันสะดุ้งและตกใจตื่น

เขาอยากอาเจียน แต่กลับพบว่าข้อมือสองข้างถูกมัดไว้แน่น บนร่างมีกระสอบผ้าป่านที่บรรจุดินกดทับอยู่

กระสอบผ้าป่านหนักขึ้นทุกที กดทับหน้าอกจนเขามิอาจเปล่งเสียงได้ นี่คือ ‘กระสอบดินกดทับ’ ที่ถูกใช้บ่อยครั้งในคุก เอาไว้รับรองนักโทษที่ไม่อยากให้รอดชีวิตโดยเฉพาะ วิธีนี้จะไม่ทิ้งบาดแผลใดๆ ไว้ทั้งสิ้น เมื่อครู่หากเขาไม่ตื่นมา พอฟ้าสาง เขาคงกลายเป็นศพที่เยียบเย็น

มีคนจะฆ่าเขา

 

[1] ตงเป่ยคือพื้นที่แถบตะวันออกเฉียงเหนือ

[2] โจวเป็นเขตการปกครองในสมัยโบราณของจีน ขนาดเล็กใหญ่แตกต่างกันไปในแต่ละยุคสมัย

[3] เปียนซาสิบสองเผ่า หมายถึงชนเผ่าสิบสองเผ่าที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายแถบชายแดน

[4] หกโจว หรือหกเขตในมณฑลจงปั๋ว ได้แก่ ฉือโจว ฉาโจว เติงโจว ตวนโจว ตุนโจว ฝานโจว

[5] องครักษ์จิ่นอี หรือองครักษ์เสื้อแพร ทำหน้าที่รวบรวมข่าวกรองทางทหารในสมัยราชวงศ์หมิง คุ้มกันจักรพรรดิและสืบสวนสอบสวนคดีที่ได้รับมอบหมายจากจักรพรรดิโดยตรง

[6] จั้ง เป็นหน่วยมาตราวัดของจีน เทียบได้กับระยะประมาณ 3.33 เมตร

[7] คุกหลวงสมัยราชวงศ์หมิงอยู่ภายใต้การดูแลขององครักษ์จิ่นอี จึงมีอีกชื่อว่าคุกจิ่นอี นักโทษในคุกหลวงส่วนใหญ่จะเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่หรือเจ้าเมืองต่างๆ คุกหลวงมีอำนาจเบ็ดเสร็จในการไต่สวนคดีและลงโทษโดยที่กรมอาญา ศาลยุติธรรม และสำนักตรวจการไม่มีอำนาจก้าวก่าย ขึ้นชื่อเรื่องความโหดร้ายทารุณจนชาวบ้านขนานนามว่าเป็น ‘นรกบนดิน’ การส่งตัวนักโทษเข้าคุกหลวงต้องมีราชโองการจับกุมจากกษัตริย์เท่านั้น

[8] จวิ้นเป็นเขตปกครองในสมัยโบราณของจีน ขนาดเล็กใหญ่แตกต่างกันไปในแต่ละยุคสมัย ตั้งแต่สมัยสุยถังเป็นต้นมา โจวและจวิ้นใช้แทนกันได้ ชื่อจวิ้นเป็นหนึ่งในเขตปกครองภายใต้มณฑลฉี่ตงซึ่งประกอบด้วยห้าจวิ้น ได้แก่ ชื่อจวิ้น เช่อจวิ้น เปียนจวิ้น ชางจวิ้น ฉูจวิ้น

[9] ท่อนหนึ่งของบทเพลง ‘จั้นเฉิงหนาน’ เป็นเพลงพื้นบ้านที่บรรยายถึงความโหดร้ายทารุณของสงคราม ประชาชนเป็นเพียงเครื่องสังเวยของศึกสงครามเท่านั้น

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า