เชิญร่ำสุรา
將進酒
ถังจิ่วชิง
唐酒卿
กอหญ้า แปล
สุนัขชั่ว ปะทะ สุนัขบ้า
จงปั๋วหกโจวถูกประเคนยกให้แก่ศัตรูต่างแคว้น เสิ่นเจ๋อชวนถูกคุมตัวมายังเมืองหลวง
ถูกประนามหยามเหยียดจากทุกคน เมื่อเซียวฉือเหย่ได้ข่าว ก็มิร้องขอให้ผู้ใดลงมือแทน
เขาหมายมั่นจะเตะเสิ่นเจ๋อชวนให้พิการด้วยตนเอง
ทว่าใครจะรู้เล่าว่าเจ้าคนอ่อนแอขี้โรคนี่จะแว้งกัดเขาเสียจนเลือดสาด
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความบาดหมางระหว่างชายหนุ่มทั้งสอง
ที่จำต้องฉีกทึ้งกันทุกครายามเผชิญหน้ากัน
“โชคชะตาต้องการให้ข้าเฝ้าอยู่ที่นี่ชั่วชีวิต แต่นี่หาใช่เส้นทางที่ข้าเลือกไม่…
ทรายเหลืองกลบฝังพี่น้องข้า ข้าไม่อยากยอมจำนนให้กับชีวิตอันว่างเปล่าอีกแล้ว
ราชโองการมิอาจช่วยเหลือทหารของข้าได้
ราชสำนักมิอาจเลี้ยงดูม้าของข้าให้อิ่มได้…
ข้าไม่อยากทุ่มเทรับใช้พวกเขาด้วยชีวิตอีกแล้ว…
ข้าจะข้ามเขาลูกนั้นไป… ข้าจะต่อสู้เพื่อตัวเองสักครั้ง”
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 10 เมาสุรา
เซียวจี้หมิงกระชับเสื้อคลุมยืนอยู่ใต้โคมไฟ เจาฮุยยืนเฝ้าอยู่ข้างหลัง “คำนวณเวลาน่าจะกลับมาแล้ว เมื่อครู่คนที่ไปรับบอกว่ากงจื่อควบม้าจากไปตามลำพัง ไฉนป่านนี้จึงยังไม่ถึงอีก”
เซียวจี้หมิงพ่นไอเย็นออกมา มองท้องฟ้าครู่หนึ่ง “เมื่อก่อนเวลาเขามีเรื่องไม่สบายใจ เป็นต้องควบม้าเร็วอยู่ใต้เทือกเขาหงเยี่ยน นิสัยนี้แก้ไม่ได้เสียที”
เจาฮุยพูด “ดีร้ายอย่างไรกองกำลังรักษาพระองค์ก็เป็นสถานที่ที่ดีมิใช่หรือ”
เซียวจี้หมิงเบนสายตากลับมา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าชั่วชีวิตนี้ท่านพ่อเสียใจเรื่องใดมากที่สุด”
เจาฮุยส่ายศีรษะ
เซียวจี้หมิงตอบ “เรื่องนั้นก็คือการให้กำเนิดอาเหย่ช้าเกินไป สามปีก่อน พวกเราถูกซุ่มโจมตีใต้เทือกเขาหงเยี่ยน ตอนนั้นทหารกองหนุนของท่านพ่อยังมาไม่ถึง อาเหย่พาทหารม้ายี่สิบนายที่เดิมทีมอบให้เป็นทหารองครักษ์ของเขา ควบม้าข้ามแม่น้ำหงเจียงตอนกลางคืน คลำหาทางในบ่อโคลนอยู่ครึ่งคืนเพื่อไปเผาเสบียงอาหารของพวกเปียนซา ตอนข้าเจอเขา ร่างกายเขาทั้งเหม็นและสกปรก แช่น้ำจนแผลที่ขาเน่า ตอนนั้นเขาเพิ่งอายุสิบสี่ ข้าถามเขาว่ากลัวหรือไม่ เขาตอบว่าเล่นสนุกมาก ท่านพ่อมักบอกว่าคนสกุลลู่เป็นเหยี่ยวในทะเลทราย คนสกุลเซียวเป็นสุนัขในหลีเป่ย ข้าไม่ชอบคำพูดนี้ ทว่าภายหลังเวลาพวกเราออกรบกลับเหมือนสุนัขที่ถูกล่ามโซ่ ไม่อิสระเสรีเหมือนเมื่อสิบกว่าปีก่อน ข้าทำสงครามมาจวบจนวันนี้ ไม่มีความรู้สึกกระตือรือร้นอีกแล้ว คนสกุลเซียวหาใช่สุนัขไม่ แต่ตอนนี้คนที่ยังหลงเหลือนิสัยของหมาป่าอยู่มีเพียงอาเหย่ สิ่งที่เขาฝันถึงคือภูเขาในหลีเป่ย กระนั้นบัดนี้กลับต้องให้เขาอยู่ในชวี่ตู ลืมความรู้สึกอิสระของการควบม้าไป ข้ากับท่านพ่อผิดต่อเขา”
เจาฮุยเงียบครู่หนึ่ง มองเซียวจี้หมิงและพูด “ไยซื่อจื่อต้องดูแคลนตัวเองด้วยเล่า กงจื่อนิสัยวู่วามมาแต่ไหนแต่ไร เดิมมิใช่ตัวเลือกที่เหมาะสมในการปกครองคนอยู่แล้ว ไม่ว่าเขาจะเกิดเร็วกว่านี้หน่อยหรือช้ากว่านี้หน่อย หลีเป่ยล้วนมิอาจให้เขาปกครองได้ ผู้นำต้องผ่านการฝึกฝนเคี่ยวกรำมามากจนมีความยืดหยุ่นอดทน ทั้งยังต้องหนักแน่นดุจหินผา กงจื่อทำมิได้ดอกขอรับ”
เซียวจี้หมิงไม่เอ่ยวาจาใดอีก
คืนนี้ลมแรง พัดโคมไฟจนแกว่งไกวไม่หยุด สองนายบ่าวรออยู่อีกครึ่งชั่วยาม เห็นมีคนควบม้ามาแต่ไกล
“ซื่อจื่อ!” คนบนม้าตวัดตัวลงมา “เกิดเรื่องกับกงจื่อขอรับ!”
เจาฮุยจับดาบทันที “กงจื่ออยู่ที่ใด”
ครึ่งชั่วยามก่อน
เสิ่นเจ๋อชวนที่สวมเครื่องจองจำถูกหัวหมู่ธงเล็กผลักลงจากบันได
“ร้อง” หัวหมู่ธงเล็กออกคำสั่งและเร่งรัด “เร็วเข้า รีบๆ ร้องเพลงซะ!”
เสิ่นเจ๋อชวนไม่ปริปากพูดสักคำ มองไปยังคนที่นั่งยองอยู่ในเงามืดตรงกำแพง แค่เห็นเหยี่ยวไห่ตงชิงตัวนั้น เขาก็รู้สึกเจ็บหน้าอก อดไม่ได้ที่จะเม้มริมฝีปากแน่นจนเป็นเส้นตรงและยืนอยู่ที่เดิม
เซียวฉือเหย่พูด “มายืนตรงนี้”
เสิ่นเจ๋อชวนพ่นลมหายใจร้อนๆ ออกมา ขยับเท้าอย่างเชื่องช้า ยืนอยู่ไม่ไกลจากเซียวฉือเหย่นัก
เซียวฉือเหย่ลุกขึ้นถาม “มารดาเจ้าเป็นใคร”
เสิ่นเจ๋อชวนตอบ “นางรำในตวนโจว”
“ดังนั้นเจ้าน่าจะร้องเพลงเป็นกระมัง” สายตาของเซียวฉือเหย่ทำเอาคนหวาดผวา “ต่อให้สุนัขเฒ่าเสิ่นมิได้สอนเจ้า ก็ต้องมีคนอื่นสอนอย่างอื่นให้เจ้าบ้างแหละ”
เสิ่นเจ๋อชวนก้มหน้าหลบ ท่าทางคล้ายกลัวเขามาก “…ข้าร้องไม่เป็น”
“เงยหน้า” เซียวฉือเหย่ออกแรงเขี่ยโคมไฟออกไป “กลัวข้ารึ”
เสิ่นเจ๋อชวนได้แต่เงยหน้าขึ้น เขาได้กลิ่นสุรา
เซียวฉือเหย่พูด “ไม่ร้องก็ได้ หาของให้ข้าแล้วกัน”
เสิ่นเจ๋อชวนแบมือทั้งสองข้าง เป็นการบอกว่าตัวเองมีห่วงเหล็กคล้องมืออยู่
เซียวฉือเหย่มุ่นคิ้ว “หาทั้งแบบนี้นี่ละ”
เสิ่นเจ๋อชวนนั่งยองๆ คุ้ยหิมะขึ้นมาหลายกอง
เซียวฉือเหย่จ้องกระหม่อมเขาอย่างเย็นชา ร้องสั่ง “ลุกขึ้นมา”
เสิ่นเจ๋อชวนใช้มือยันหัวเข่าและลุกขึ้น
เซียวฉือเหย่พูด “ลุกนั่งได้ไม่ติดขัด ขาไม่มีปัญหาแต่อย่างใด เป็นเพราะองครักษ์จิ่นอีที่ฟาดไม้พลองใจดีเกินไป หรือว่าชีวิตบัดซบของเจ้านั้นตายยาก”
“แน่นอนว่าเป็นเพราะชีวิตบัดซบนั้นตายยาก” เสิ่นเจ๋อชวนตอบเสียงอู้อี้ “ข้าแค่โชคดีเท่านั้น”
“ฟังไม่ขึ้น” เซียวฉือเหย่ใช้แส้ม้าจิ้มไปบนหน้าอกเสิ่นเจ๋อชวน “เท้าข้าที่ถีบไปวันนั้นหมายเอาชีวิตเจ้า เจ้ามีวิชายุทธ์ไม่เลว”
แส้ม้าที่จิ้มลงมาทำเอาเสิ่นเจ๋อชวนหนาวเยือก เขาหดมือหดเท้าอย่างหวาดกลัวกว่าเดิม “ข้ารอดมาได้อย่างหวุดหวิด…รอดมาได้อย่างฉิวเฉียดเท่านั้น เอ้อร์กงจื่อเป็นผู้มีคุณธรรม ไยต้องมาหาเรื่องคนต่ำต้อยเยี่ยงข้าด้วย เรื่องมาถึงบัดนี้ โทษที่สมควรได้รับข้าก็รับไปหมดแล้ว ละเว้นข้าเถอะ”
เซียวฉือเหย่ถาม “เจ้าพูดจริงรึ”
เสิ่นเจ๋อชวนถูกคาดคั้นจนสะอื้นไห้ ออกแรงพยักหน้า
เซียวฉือเหย่เก็บแส้ม้า “วาจาใครก็พูดได้ทั้งนั้น ใครจะรู้ว่าจริงหรือเท็จ เอาอย่างนี้ ทำเสียงเห่าแบบสุนัขให้ข้าฟังสักสองสามที ถ้าข้าพอใจ คืนนี้ข้าจะละเว้นเจ้า”
เสิ่นเจ๋อชวนไม่ส่งเสียง
หัวหมู่ธงเล็กเห็นสายตาของเซียวฉือเหย่แล้วอกสั่นขวัญผวา สะกิดเสิ่นเจ๋อชวนอีกหลายที
เสิ่นเจ๋อชวนหน้าซีด พูดอย่างขลาดกลัว “…ดีร้ายอย่างไรก็ขอให้ตรงนี้มีเจ้าแค่คนเดียว”
“ไสหัวออกไป” เซียวฉือเหย่ออกคำสั่งสั้นกระชับ
หัวหมู่ธงเล็กโล่งอกทันใด พูดกับเสิ่นเจ๋อชวนอย่างยินดี “ไม่ได้ยินหรือว่าไสหัวออกไป! พวกเรากลับไปได้แล้ว…”
เซียวฉือเหย่ตวัดสายตามองไปยังหัวหมู่ธงเล็ก หัวหมู่ธงเล็กแข้งขาอ่อนอีกครั้ง ชี้ตัวเองพลางถามว่า “ให้ข้า ให้ข้าไสหัวไปคนเดียวหรือ ได้…ไม่มีปัญหา!” เขากัดฟันกอดตัวเองเป็นก้อนกลม ก่อนจะกลิ้ง[1]ไปบนพื้นหิมะสองสามตลบ ยืนอยู่บริเวณที่ไม่ห่างออกไปนัก
เสิ่นเจ๋อชวนทำท่าเขินอายเล็กน้อย ขยับเข้าไปใกล้อีกนิด กระซิบว่า “…เจ้าละเว้นข้าแล้ว ข้าก็ต้องละเว้นเจ้ารึ”
เกล็ดหิมะปลิวว่อน เซียวฉือเหย่กดไหล่เสิ่นเจ๋อชวนทันที ใช้กำลังกดร่างเขาลงไปและเอ่ยด้วยสีหน้าอันตราย “สุนัขจิ้งจอกเผยหางออกมาแล้ว ข้าคิดว่าเจ้าจะปั้นท่าน่าสงสารได้มากกว่านี้เสียอีก!”
สองคนกลิ้งไปบนพื้นหิมะด้วยกัน เนื่องจากแขนสองข้างถูกจองจำอยู่ เสิ่นเจ๋อชวนจึงถีบไปที่ท้องของเซียวฉือเหย่ ยันตัวขึ้นทั้งที่ยังกลิ้งไปบนพื้น “ฝ่าบาทมีรับสั่งให้กักบริเวณข้า แต่สกุลเซียวกลับกล้าขัดราชโองการหมายเอาชีวิตข้า หลังจากผ่านพ้นคืนนี้ไป…”
เซียวฉือเหย่ดึงห่วงเหล็กที่คล้องมือเสิ่นเจ๋อชวน ลากคนเข้าหาตัวเอง
เสิ่นเจ๋อชวนล้มกระแทกพื้น กัดฟันแผดเสียง “…พวกเจ้าจะมีความผิดฐานฝ่าฝืนราชโองการ! ข้าตายไม่เสียดาย แต่คืนนี้กองกำลังรักษาพระองค์ทั้งหมดต้องตายพร้อมกับข้าด้วย!”
เซียวฉือเหย่รัดคอเสิ่นเจ๋อชวนจากข้างหลัง บีบให้เขาแหงนหน้าขึ้น หัวเราะสั้นๆ หลายทีก่อนพูดเสียงเหี้ยม “เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร ตายพร้อมกับเจ้า? เจ้าคู่ควรงั้นรึ! การฆ่าเจ้าก็ไม่แตกต่างจากการหักหญ้าต้นหนึ่ง!”
เสิ่นเจ๋อชวนหายใจลำบาก ห่วงเหล็กที่คล้องมือพลิกกลับไปรัดลำคอด้านหลังของเซียวฉือเหย่ เขาออกแรงดึงอีกฝ่ายลงบนพื้น เซียวฉือเหย่ไม่ทันระวัง ตอนยกแขนขึ้นถูกเสิ่นเจ๋อชวนถีบเข้าที่หน้าอก สองคนกลิ้งไปด้วยกันทันที
“การฆ่าข้าเหมือนหักหญ้าต้นหนึ่ง?” เสิ่นเจ๋อชวนก้มหน้าจ้องตาเซียวฉือเหย่ ในที่สุดก็ประสานสายตากับเขาท่ามกลางความชุลมุน เอ่ยเสียงแหบ “โอกาสดีผ่านพ้นไปแล้ว หลังจากนี้ใครจะเป็นสุนัขล่าเนื้อ ใครจะเป็นกระต่ายไร้เดียงสา เกรงว่าคงแยกแยะได้ไม่ชัดเจน!”
“ใครกล้าช่วยเหลือเจ้าลับหลัง!” เซียวฉือเหย่บังเกิดความคิดสังหารอีกฝ่าย “ข้าเจอเมื่อใดจะสังหารทันที!”
หัวหมู่ธงเล็กตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนทำอะไรไม่ถูก ปราดเข้ามาขัดขวาง “ใต้เท้า! ใต้เท้าจะฆ่าคนไม่ได้เด็ดขาดนะขอรับ!”
“ถูกต้อง!” เสิ่นเจ๋อชวนเอ่ยเสียงเฉียบ “คืนนี้เอ้อร์กงจื่อจะสังหารข้า!”
“เจ้าหุบปาก!” เซียวฉือเหย่เงื้อมือหมายจะอุดปากเขา
คิดไม่ถึงว่าเสิ่นเจ๋อชวนจะอ้าปากกัดอย่างแรง เขากดทับเซียวฉือเหย่อยู่ครึ่งตัว กัดเนื้อตรงง่ามมืออีกฝ่ายจนขาด
เซียวฉือเหย่เอ่ยเสียงเย็น “เจ้าคิดว่าทำเป็นอาละวาดไร้เหตุผลเช่นนี้แล้วจะกลบเกลื่อนได้รึ ฝีมือของเจ้าไม่ธรรมดาเลย!”
หัวหมู่ธงเล็กห้ามไม่อยู่ รีบร้องเรียกคน “แยกคนออกมาเร็วเข้า!”
เสิ่นเจ๋อชวนปากกับฟันเต็มไปด้วยเลือด แต่กลับไม่ยอมปล่อย เซียวฉือเหย่สร่างเมาแล้ว คว้าคอเสื้อด้านหลังของเขาหมายจะโยนคนออกไป ความเจ็บตรงนิ้วโป้งแล่นปราดไปถึงหัวใจ ทว่าดวงตาคู่นั้นของเสิ่นเจ๋อชวนกลับทำให้เซียวฉือเหย่จดจำได้แม่นยำ
“กงจื่อ!” เจาฮุยควบม้ามาถึงและตะโกนเสียงดัง
เซียวฉือเหย่หันไปมอง เห็นพี่ใหญ่อยู่บนม้าด้วย อีกฝ่ายตวัดตัวลงจากม้าและก้าวเร็วๆ เข้ามา ชั่วขณะนั้นเขารู้สึกอับอายยิ่งนัก เหมือนถูกคนลอกเอาผิวหนังชั้นนอกออก คืนสู่สภาพเดิมที่ไม่มีอะไรดีสักอย่าง
เซียวจี้หมิงคุกเข่าลงข้างหนึ่ง เสิ่นเจ๋อชวนปล่อยปากทันที ง่ามมือของเซียวฉือเหย่เป็นแผลเหวอะหวะ รอยฟันจมลึกลงไป
“ไฉนจึงลงไม้ลงมือกัน” เจาฮุยตามมาข้างหลัง เห็นบาดแผลแล้วเอ่ยถาม
“นำคนกลับไปขังไว้” เซียวจี้หมิงเอ่ยเสียงขรึม
เจาฮุยคว้าตัวเสิ่นเจ๋อชวนเดินเข้าไปในประตู
“กงจื่อดื่มสุราจนเมา” เซียวจี้หมิงมองหัวหมู่ธงเล็ก “เหตุการณ์ในคืนนี้อย่าได้แพร่งพรายออกไป ทางด้านฝ่าบาทข้าจะไปขอขมาเอง”
หัวหมู่ธงเล็กโขกศีรษะให้เขาหลายที พูดละล่ำละลัก “ทั้งหมดล้วนให้ซื่อจื่อเป็นคนจัดการ!”
เซียวจี้หมิงลุกขึ้น เจาฮุยโยนคนกลับเข้าไปในวัดแล้ว เห็นดังนั้นจึงพูดกับหัวหมู่ธงเล็ก “วันนี้ลำบากพี่น้องทหารรักษาพระองค์ทุกท่านแล้ว อุตส่าห์พากงจื่อมาส่งถึงจวนอย่างปลอดภัย การเข้าเวรกลางคืนในฤดูหนาวไม่ง่าย ข้าขอเลี้ยงสุราร้อนพี่น้องทุกท่าน หวังว่าทุกท่านจะไม่ปฏิเสธ”
หัวหมู่ธงเล็กหรือจะกล้าปฏิเสธ ได้แต่รับคำอย่างรู้กาลเทศะเท่านั้น
เซียวจี้หมิงหันไปมองเซียวฉือเหย่ แต่กลับไม่เอ่ยคำพูดใดสักคำ
เซียวฉือเหย่ไม่ได้เช็ดเลือดที่มือ เขาอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับเห็นพี่ใหญ่หมุนตัวเดินไปขึ้นม้าแล้ว
“พี่ใหญ่” เซียวฉือเหย่ร้องเรียกด้วยน้ำเสียงพึมพำ
เซียวจี้หมิงได้ยิน แต่กลับควบม้าจากไป
[1] กลิ้ง ภาษาจีนคือกุ่น (滚) คำนี้นอกจากแปลว่ากลิ้งแล้ว ยังใช้เป็นคำหยาบคายในการไล่ผู้อื่นออกไปด้วย