เชิญร่ำสุรา
將進酒
ถังจิ่วชิง
唐酒卿
กอหญ้า แปล
“เกราะแขนอันนั้นไม่เลวนี่” เซียวฟางซวี่เหยียบราวกั้นไม้และนั่งลง
เห็นเซียวฉือเหย่หันกลับมา จึงเบี่ยงตัวมองสีหน้าของเขา
“ทำจากที่ใด ไม่ใช่แบบของฉี่ตง”
“ต้องไม่เลวอยู่แล้ว” เซียวฉือเหย่ทำท่าเหมือนกำลังพูดความลับ
“นั่นเป็นยันต์คุ้มภัยของข้า”
เซียวฟางซวี่ตอบรับว่า “อืม” อย่างไม่ใส่ใจนัก
จากนั้นถามต่อ “เป็นคนที่ใด คงมิได้ถูกเจ้าพาไปอยู่ค่ายเปียนปั๋วด้วยกระมัง
ที่นั่นมีแต่ผู้ชายหยาบกระด้าง นางอายุเท่าไรแล้ว”
เซียวฉือเหย่ย้อนถาม “นาง?”
เซียวฟางซวี่ฟังไม่เข้าใจ
เซียวฉือเหย่ถอยไปหลายก้าว
เซียวฟางซวี่หรี่ตา “เจ้าคงมิได้พาบุตรสาวสกุลฮวากลับมาด้วยหรอกนะ”
เซียวฉือเหย่ถอยหลังต่อไป พอเห็นบิดาทำหน้างุนงง
จู่ๆ เขาก็หัวเราะออกมา มือปลดดาบหลางลี่และโยนไปด้านข้าง
“เซียวฉือเหย่!” เซียวฟางซวี่ตระหนักถึงความผิดปกติ “เจ้าบอกข้ามาตามตรง”
เซียวฉือเหย่พลันพูดเสียงดัง “เป็นผู้ชาย!”
“หา?” เซียวฟางซวี่สงสัยว่าตัวเองฟังผิด ถึงกับเอียงหูฟังอีกครั้ง
“ข้าหาผู้ชายกลับมาให้ท่าน!” แสงแดดสาดส่องใบหน้าเซียวฉือเหย่
ขับไล่ความหม่นหมองเมื่อวานออกไป เจ้าหนุ่มผู้นี้นิสัยเสียยิ่งนัก
ตะโกนอย่างท้าทาย “บุรุษที่งดงามที่สุดในต้าโจวก็คือภรรยาข้า!”
พูดจบก็ไม่รอให้เซียวฟางซวี่ตอบ หันหลังโกยอ้าวทันที
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 150
ขุนนางกบฏ
จักรพรรดิเทียนเชินเพิ่งสวรรคต ตามธรรมเนียมประเพณี การสมรสระหว่างตระกูลฮวากับตระกูลชีควรเลื่อนออกไปก่อน ทว่าเซียวฉือเหย่แข็งข้อและหนีออกจากชวี่ตู ชวี่ตูจำต้องขอร้องฉี่ตง ไทเฮาหารือกับสภาขุนนางอย่างละเอียดหลายครั้ง สุดท้ายจึงยังคงส่งฮวาเซียงอีออกเรือนไปในเดือนเจ็ด
ครานี้ไทเฮาทุ่มเทสุดกำลัง สินเจ้าสาวที่ตระเตรียมให้ฮวาเซียงอีใช่ยาวแค่สิบหลี่เสียที่ไหน กรมพิธีการเตรียมการตามหลักเกณฑ์ขององค์หญิง ขบวนเกียรติยศส่งตัวเจ้าสาวหานเฉิงเป็นผู้นำด้วยตัวเอง หมัวมัว[1]และสาวใช้ที่ติดตามไปด้วยมีมากมายจนนับไม่หมด
ฮวาเซียงอีก้าวขึ้นรถม้า ขณะกำลังจะออกเดินทาง ไทเฮาถึงกับเดินตามไปสองก้าว เกือบจะเปล่งเสียงร้องเรียกออกมา แต่ถึงอย่างไรนางก็ต้องคำนึงถึงหน้าตาของราชวงศ์ ปล่อยให้ไข่มุกตะวันออกที่หูแกว่งไกว เพียงจับมือของหลิวเซียงกูกูประคองตัวเอง เอ่ยเสียงค่อยว่า “สาวน้อยของข้า…”
ขบวนเกียรติยศเคลื่อนตัวออกจากชวี่ตู มุ่งหน้าไปบนทางหลวงในเมืองฉวนเฉิงและตรงสู่ฉี่ตง ระหว่างนั้นจะต้องผ่านฉาโจวด้วย เดิมหานเฉิงกังวลว่าโจรผู้ร้ายในฉาโจวจะมาปล้นทรัพย์ จึงตั้งใจพาแปดกองกำลังมาด้วย คิดไม่ถึงว่าระหว่างทางจะสงบราบรื่น หลัวมู่ยังถือโอกาสนี้มอบของขวัญแสดงความยินดีให้ พวกเขาเดินทางลงใต้ต่อ ชีจู๋อินรอรับอยู่ในเขตฉี่ตงแล้ว
“กล่าวถึงชีจู๋อินผู้นี้” ม้าของหานเฉิงอยู่ติดกับรถม้า พูดกับฮวาเซียงอีผ่านม่าน “คุณหนูสามยังไม่เคยพบกระมัง”
คนข้างในส่งเสียงอืมเบาๆ
หานเฉิงวางท่าเป็นผู้อาวุโสกว่า ฟังแล้วพูดอย่างกระตือรือร้น “กระหม่อมขุนนางเฒ่าจะเล่าให้คุณหนูสามฟังเอง ชีจู๋อินผู้นี้แม้เป็นสตรี แต่กลับไม่น่าคบหา คุณหนูสามอาศัยอยู่ในวังเป็นส่วนใหญ่ เดาว่าคงไม่รู้ว่าแต่ละปีที่นางเข้าเมืองหลวงท่าทางดุดันเพียงใด รัชศกเสียนเต๋อกรมพระคลังขาดแคลนงบประมาณ เพื่อเรียกร้องงบทหารของฉี่ตง นางถึงกับกล้าสั่งให้ทหารองครักษ์ของตัวเองขวางเกี้ยวใต้เท้าเว่ย แต่กรมพระคลังไม่มีปัญญาควักเงินออกมาจริงๆ ด้วยจนปัญญา นางถึงกับคบหาพวกนักเลงที่ปล่อยเงินกู้เถื่อนในชวี่ตู คลุกคลีกับคนพวกนั้นบนท้องถนน”
ฮวาเซียงอีเคยเห็นชีจู๋อินผ่านฉากบังลมเท่านั้น ในงานเลี้ยงเหล่าขุนนางที่ขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ล้วนเป็นบุรุษ ชีจู๋อินถือเป็นกรณีพิเศษ ในอดีตนางมิได้โดดเด่นในฉี่ตง ตอนที่ชีสืออวี่ยังไม่ได้มอบตราจอมทัพให้ใคร ทุกคนต่างคาดเดาว่าผู้สืบทอดจะเป็นพี่ชายหรือน้องชายนางสักคน หลังทำสงครามช่วยเหลือชีสืออวี่ได้สำเร็จ ชีจู๋อินเริ่มจากถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าเมืองหลวง ราชสำนักอ้างว่าต้อง ‘รอตรวจสอบผลงานการรบ’ และยื้อเวลาไปหลายเดือน ก่อนการอวยยศก็ยังเกิดมรสุมแท่นอวี้หลงอีก แม้ไทเฮาจะทรงออกหน้า ชีจู๋อินก็ได้แค่รับตราจอมทัพจากชีสืออวี่เท่านั้น ไม่ได้สืบยศตำแหน่งจากชีสืออวี่ พูดอีกอย่างหนึ่งคือ ตอนนี้ศึกสงครามทุกครั้งที่ชีจู๋อินทำล้วนเป็นการสั่งสมอำนาจบารมีให้ฉี่ตง มิใช่ให้ตัวเอง ชีวิตนี้หากนางมิได้ออกเรือน บั้นปลายชีวิตเมื่อถอยไปอยู่แนวหลังก็ยังคงเป็น ‘บุตรีสกุลชี’ เหมือนเดิม ไม่มียศตำแหน่งติดตัว บรรดาพี่ๆ น้องๆ ของนางเสียอีก ขอเพียงรีบให้กำเนิดบุตรชายย่อมสามารถเสวยสุขจากผลงานของนางได้
หานเฉิงยังคงพูดไม่หยุด ฮวาเซียงอีที่อยู่ในรถม้ากลับเหมือนหลับไปแล้ว หานเฉิงจึงค่อยๆ รู้สึกหมดสนุก หยุดพูดไปเองด้วยความเก้อกระดาก
ขบวนเกียรติยศเดินทางจนถึงยามโหย่ว ขอบฟ้าพลันปรากฏเส้นสีแดง คลื่นความร้อนปั่นป่วน เสียงกีบเท้าม้าดังสะเทือนเลื่อนลั่น ทหารม้าเบาที่ยาวต่อเนื่องหลายหลี่สวมชุดคลุมสีแดงสด ธงทหารของฉี่ตงโบกสะบัดกลางสายลมดังพรึ่บพรั่บ ตรงเข้ามาประหนึ่งมังกรยาว ทรายสีเหลืองปลิวฟุ้ง พัดใส่ใบหน้าและศีรษะของหานเฉิงจนเต็มไปด้วยฝุ่น
ชีเหว่ยลงจากม้าก่อน โบกธงและตะโกนสั่งเสียงยาว “ทำความ…เคารพ!”
ทหารม้าเบาข้างหลังตวัดตัวลงจากม้า คุกเข่าข้างเดียวอย่างพร้อมเพรียง ชุดเกราะส่งเสียงดังกังวานตอนพวกเขายกแขน เหล่าทหารเปล่งเสียงพร้อมกัน “น้อมต้อนรับฮูหยิน!”
เสียงของพวกเขาดังสนั่นจนทำเอานางกำนัลที่เดินทางมาจากชวี่ตูอกสั่นขวัญผวา แม้แต่หานเฉิงเองยังเกือบกุมหน้าอก เขาเช็ดฝุ่นบนใบหน้า ขมวดคิ้วถาม “ท่านจอมทัพเล่า…”
เสียงกีบเท้าม้าวกเข้ามา เงาสีแดงสายหนึ่งปราดมาตรงหน้ารถม้า หานเฉิงยังไม่ทันได้ขวาง ก็เห็นชีจู๋อินใช้ฝักดาบเลิกม่าน เอียงคอมองเข้าไปข้างใน ฮวาเซียงอียังมิได้คลุมศีรษะ นางสวมมงกุฎหงส์ที่ทำจากทองคำประดับหยก มองชีจู๋อินอย่างตื่นตระหนก หัวใจเต้นตึกตักไม่หยุด ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดจะทำสิ่งใด
“อา” ชีจู๋อินทักทาย “แม่เล็ก”
หานเฉิงตกใจ รีบปราดเข้าไปปิดม่าน อดตำหนิไม่ได้ “ยังไม่ถึงชางจวิ้น ท่านจอมทัพเลิกม่านของคุณหนูสามสุ่มสี่สุ่มห้าได้อย่างไร!”
“ดูแค่แวบเดียว” ชีจู๋อินหดมือกลับไปอย่างไม่สบอารมณ์ “ตลอดทางเจ้าหยุดพักไปกี่ครั้ง จากการคำนวณของข้า ควรถึงตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”
หานเฉิงกระตุ้นม้าตามม้าของชีจู๋อินไป “หนทางยาวไกล หากเร่งเดินทางมากเกินไป ยากจะรับรองได้ว่าจะไม่เกิดเรื่อง ข้าคิดว่าท่านจอมทัพจะรอต้อนรับอยู่ทางใต้ของฉาโจวเสียอีก สุดท้ายก็ไม่เห็นคน”
“ข้าเพิ่งรุดกลับมาจากเปียนจวิ้น มีเวลาไม่มากนัก” ชีจู๋อินพูดพลางหันกลับไปถามหานเฉิง “เจ้าลงจากม้าทำไม”
หานเฉิงกวาดตามองรอบหนึ่ง “ตอนนี้ยามโหย่วแล้ว สมควรหยุดพัก…”
ชีจู๋อินใช้แส้ม้าชี้ไปทางทิศตะวันออก “เดินทางไปอีกสักระยะ ยามไฮ่ก็จะถึงเช่อจวิ้น เช่อจวิ้นมีทางม้า เส้นทางไปชางจวิ้นจะราบเรียบกว่านี้หน่อย ขึ้นม้าเถอะ”
หานเฉิงเดินทางมาทั้งวัน ยามนี้หมดสิ้นเรี่ยวแรง จนอยากจะโต้แย้ง ทว่าชีจู๋อินกลับบังคับม้าจากไปเสียแล้ว ชีเหว่ยขึ้นม้า นำทหารม้าเบาล้อมขบวนเกียรติยศไว้ทั้งหมด ก่อนเอ่ยกับหานเฉิงอย่างเกรงใจ “ผู้บัญชาการ ไปเถิด”
ต่อให้หานเฉิงอยู่ในชวี่ตูจะมีอำนาจล้นเหลือตำแหน่งสูงส่ง เขาก็มิอาจยุ่งเรื่องของกรมกลาโหมและกรมพระคลังได้ องครักษ์เสื้อแพรสามารถอวดอำนาจศักดาในชวี่ตูและพื้นที่อื่นๆ ได้ แต่สำหรับชีจู๋อินแล้วไม่มีความน่าเกรงขามแม้แต่น้อย นางเป็นจอมทัพผู้บัญชาการกำลังพลฉี่ตงห้าจวิ้น ฉี่ตงเป็นถิ่นของนาง อยู่ที่นี่หานเฉิงไม่มีอำนาจตัดสินใจใดๆ ยิ่งมิต้องพูดถึงว่าบัดนี้ไทเฮายังต้องพึ่งพาทหารรักษาการณ์ฉี่ตง
หานเฉิงในใจคับแค้น แต่กลับไม่แสดงออกทางสีหน้า ได้แต่ฉีกยิ้มให้ชีเหว่ย ขึ้นม้าและควบต่อไป
ฮวาเซียงอีดึงสติกลับมา ยังตกใจไม่หายกับการเผชิญหน้ากันเมื่อครู่นี้ เมื่อม่านรถแกว่งไกว นางเอียงศีรษะเล็กน้อย มองผ่านรอยแยกไปและเห็นแผ่นหลังของชีจู๋อินที่ขี่ม้านำข้างหน้า
ชีจู๋อินรูปร่างสูงโปร่ง วันนี้คงตั้งใจแต่งตัวมาเป็นพิเศษ นางต้องขี่ม้า จึงมิได้เกล้ามวยเมฆาเหมือนที่พบเห็นบ่อยๆ ในชวี่ตู แต่ยังคงดูงดงามประณีตมาก บนเส้นผมไม่มีปิ่นลูกปัด หวีสับหรือไข่มุกเกลี้ยงเกลาประดับอยู่ ดูสะอาดสะอ้านปราดเปรียว
นางมีรูปโฉมงดงามทีเดียว
ฮวาเซียงอียังคิดจะพิจารณานางต่อ กลับเห็นชีจู๋อินหันกลับมากะทันหัน
เซียวฉือเหย่แม้ปากบอกว่าแค่กล่าวแสดงความยินดีก็พอ แต่สุดท้ายยังคงสั่งให้คนเตรียมของขวัญ ทางด้านเซียวจี้หมิงก็เตรียมของขวัญเช่นกัน พวกเขากับฉี่ตงมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลว แม้ยามนี้สถานการณ์จะชอบกลเล็กน้อย แต่ไมตรียังคงอยู่ โดยเฉพาะกับชีจู๋อิน
การสมรสระหว่างสกุลฮวากับสกุลชีเป็นการประกาศชัยชนะชั่วคราวของไทเฮาในสงครามแย่งชิงอำนาจในชวี่ตู สภาขุนนางทำได้เพียงประคับประคองรัชทายาทไว้ จึงจะมีช่องทางเจรจาต่อรองต่อไปได้ เซวียซิวจั๋วตัดสินใจทำสิ่งที่ชาญฉลาดในช่วงเวลานี้ เขายื่นหนังสือหารือกับสภาขุนนางให้ปล่อยเจียงชิงซานกลับเจวี๋ยซี รักษาความมั่นคงของยุ้งฉางของชวี่ตูไว้
เหยาเวินอวี้นั่งบนรถเข็นสี่ล้อ ให้เฉียวเทียนหยาเข็นออกจากประตู ช่วงนี้ฉือโจวอากาศไม่ดีนัก ฝนฤดูใบไม้ร่วงกำลังจะมาเยือน ทิวทัศน์ชานเมืองยิ่งดูเงียบเหงา เหยาเวินอวี้ไม่ได้ตากแดดหลายวันแล้ว ยามนี้ดูเหมือนหินหยกที่อวดโฉมอยู่ข้างนอก
“เป็นดังที่เจ้าคาดเดา” เสิ่นเจ๋อชวนมองใบไม้ที่ถูกน้ำค้างแข็งปกคลุมจนกลายเป็นสีขาวเทา ภูเขาและสายน้ำดูเย็นเยือก เขายืนอยู่ข้างกายเหยาเวินอวี้ “เขาย้ายเจียงชิงซานกลับไปที่เจวี๋ยซีจริงๆ”
“เดิมข้าคิดว่าแม้จะทำเพื่อปราบปรามฉือโจว เจียงชิงซานก็สมควรถูกย้ายไปไหวโจว” วันนี้โจวกุ้ยสวมชุดเข้ารูปดูทะมัดทะแมงอย่างหาได้ยาก เขาขี่ม้ามา ก่อนจะเช็ดเหงื่อพลางพูด “ด่านลั่วสยาอยู่ติดกับเฉวียนเฉิง เฉวียนเฉิงเป็นบ้านเก่าของสกุลเซวีย เขาน่าจะไม่วางใจถึงจะถูก คิดไม่ถึงว่าเขาจะปล่อยเจียงชิงซานกลับเจวี๋ยซีไปจริงๆ”
เหยาเวินอวี้ใส่ลูกแมวไว้ในแขนเสื้อ แล้วพูด “ด้วยตำแหน่งที่ตั้งของด่านลั่วสยาและเฉวียนเฉิง ทั้งสองท่านจะมีความคิดเช่นนี้ก็ไม่แปลก ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ เซวียซิวจั๋วส่งเจียงชิงซานไปไหวโจวจึงจะเป็นผลดีต่อตัวเขาและสกุลเซวียมากที่สุด”
รองเท้าหุ้มแข้งของเสิ่นเจ๋อชวนย่ำใบไม้ เขายืนนิ่ง จมสู่ภวังค์ความคิด
ถ้าเจียงชิงซานถูกย้ายไปไหวโจว หนึ่งคือสามารถต่อกรกับฉือโจวได้ หยุดยั้งมิให้เส้นทางการค้าระหว่างฉือโจว ฉาโจวกับไหวโจวก่อตัวสำเร็จ สองคือสามารถแน่ใจได้ว่าเฉวียนเฉิงจะปลอดภัย ทั้งยังร่วมมือกับเฉวียนเฉิงกดดันด่านลั่วสยาได้ จากนั้นกดดันหลีเป่ยต่อไป นี่ล้วนเป็นสิ่งที่เสิ่นเจ๋อชวนคิดได้ เซวียซิวจั๋วย่อมต้องคิดได้เช่นกัน กระนั้นเขากลับทำเหมือนที่เหยาเวินอวี้คาดเดา นั่นคือสละความปลอดภัยของเฉวียนเฉิงและเลือกเจวี๋ยซี
“เซวียซิวจั๋วส่งเจียงชิงซานกลับไป” เสิ่นเจ๋อชวนสีหน้าเคร่งเครียด “นี่แหละคือจุดที่รับมือไม่ง่ายของเขา”
การกระทำนี้ไม่เพียงแสดงให้เห็นว่าเขาจะใช้เสบียงอาหารควบคุมความก้าวหน้าของหลีเป่ยและจงปั๋ว ยังสะท้อนให้เห็นว่าเขาไม่สนใจผลได้ผลเสียของสกุลเซวีย พูดอีกอย่างหนึ่งคือเขาไม่มีความเห็นแก่ตัว สิ่งนี้ทำให้เขาแตกต่างจากฮวาซือเชียนและเว่ยไหวกู่โดยสิ้นเชิง สิ่งที่เขาต้องการมิใช่ผลประโยชน์ฝ่ายตนเพียงอย่างเดียว
“เจียงชิงซานใช้นโยบายแข็งกร้าว ปกครองท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ชวี่ตูต่างลือกันว่าเขาไม่ยอมให้มีเม็ดทรายในตา[2]ตัวเอง แท้จริงแล้วกลับตรงกันข้าม” เหยาเวินอวี้งอนิ้วลูบแมว “เจวี๋ยซีครอบครองสิบสามเมือง ยังมีสองเขตและสองท่าเรืออยู่ภายใต้การกำกับดูแล ปัจจุบันนับเป็นยุ้งฉางของต้าโจวอย่างแท้จริง การค้าของสกุลซียิ่งใหญ่ที่สุดที่นั่น เส้นทางน้ำของสกุลฮวาในตี๋เฉิงก็ต้องผ่านที่นั่น หากรองผู้บัญชาการเคยไปเจวี๋ยซี จะเข้าใจว่าความเจริญรุ่งเรืองของเจวี๋ยซีมิใช่เรื่องบังเอิญ เจียงชิงซานมีความคิดไม่ธรรมดา เขาใช้คนโดยมิได้ดูฐานะหรือชาติกำเนิด ยามอยู่ต่อหน้าเรื่องใหญ่ไม่เคยบ่ายเบี่ยง ยามอยู่ต่อหน้าเรื่องเล็กจัดการได้อย่างเหมาะสม สิ่งที่ควรคว้าไว้ไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ สิ่งที่ควรปล่อยวางไม่เคยเสียใจภายหลัง มีผู้ว่าการมณฑลเช่นนี้ หลังประสบภัยธรรมชาติในสมัยเสียนเต๋อ เจวี๋ยซีสามารถฟื้นฟูขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วก็ไม่นับเป็นเรื่องแปลก เจียงชิงซานเป็นคนเช่นนี้ เขาเห็นเซวียซิวจั๋วเป็นสหายรัก นั่นเพราะสองคนมีความคิดเห็นตรงกัน มีปณิธานเดียวกัน”
โจวกุ้ยฟังแล้วผงกศีรษะ “ข้าเคยได้ยินผลงานของสองคนนี้มาก่อน ในอดีตตอนราชเลขาธิการผลักดันเซวียซิวจั๋วไปอยู่ศาลยุติธรรม ในราชสำนักไม่มีผู้ใดคัดค้าน”
“รองผู้บัญชาการก็เคยอ่านบทวิเคราะห์การเมืองของเซวียซิวจั๋ว” เหยาเวินอวี้พูด “รองผู้บัญชาการยังจำความปรารถนาของราชครูได้หรือไม่”
เสิ่นเจ๋อชวนท่องจำได้ขึ้นใจ เพราะเขาได้รับการถ่ายทอดความรู้มาจากฉีฮุ่ยเหลียน ย่อมตระหนักดีที่สุดว่าในอดีตฉีฮุ่ยเหลียนต้องการทำสิ่งใด เขาเงียบไปครู่หนึ่ง “จัดระเบียบทะเบียนราษฎร์ของต้าโจว รังวัดที่นาทั่วหล้า รวบรวมภาษีเบ็ดเตล็ดในท้องถิ่น ฟื้นฟูรายรับของคลังแผ่นดิน”
เหยาเวินอวี้ทอดสายตามองภูเขาที่อยู่ห่างไกล “นี่คือสิ่งที่เซวียซิวจั๋วต้องการทำ แค่มองจากมุมนี้ สิ่งที่เขากับอาจารย์เสาะแสวงหาก็เป็นเรื่องเดียวกัน อาจารย์มีข่งชิว เฉินอวี้และขุนนางจากตระกูลสามัญคนอื่นๆ คอยสนับสนุน เซวียซิวจั๋วก็มีขุนนางฝ่ายลงมือปฏิบัติที่นำโดยเจียงชิงซานคอยสนับสนุนเหมือนกัน เขามิได้ต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวไร้ความช่วยเหลือ”
ทว่าต้าโจวในตอนนี้สามารถทำอย่างนั้นได้จริงๆ หรือ
ฉีฮุ่ยเหลียนใช้เวลาหลายปีกว่าจะผลักดันการจัดทำทะเบียนเหลืองและการขึ้นทะเบียนราษฎร์มาถึงจุดนี้ได้ เหตุใดวังบูรพาจึงถูกใส่ความว่าเป็นกบฏ นั่นเพราะหลังการจัดทำทะเบียนเหลืองและการขึ้นทะเบียนราษฎร์ย่อมเป็นการรังวัดที่นา แปดเมืองรอบชวี่ตูมีปัญหายึดครองที่นาชาวบ้านอย่างรุนแรง หากนโยบายนี้ถูกนำไปปฏิบัติจริง ตระกูลสูงศักดิ์มิเพียงต้องคืนที่นาให้ชาวบ้าน ตามหลักกฎหมาย พวกเขายังต้องรับผิดชอบภาษีที่นาเองด้วย การสังหารรัชทายาทจะสามารถหยุดยั้งนโยบายนี้ได้ ไห่เหลียงอี๋สั่งสอนหลี่เจี้ยนเหิงเช่นนั้น เพราะต้องการรักษาโรคให้ต้าโจวอย่างเฉียบขาด เขาหวังว่าหลี่เจี้ยนเหิงจะสามารถกุมอำนาจในสภาขุนนางได้ และใช้อำนาจนั้นจากบนสู่ล่างจนก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เพราะเหตุนี้เองเขาจึงยินดีทำศึกเพื่อหลี่เจี้ยนเหิงอย่างห้าวหาญ
ทว่าหลี่เจี้ยนเหิงทำไม่ได้
เซวียซิวจั๋วตระหนักความจริงข้อนี้ได้เร็วกว่าไห่เหลียงอี๋ เขาตัดหลี่เจี้ยนเหิงทิ้งทันที ไม่ตั้งความหวังกับจักรพรรดิองค์นี้อีก ถึงขั้นไม่ตั้งความหวังกับสกุลหลี่อีกแล้ว เขาต้องการจักรพรรดิองค์ใหม่ จักรพรรดิที่สามารถนั่งอยู่บนบัลลังก์อย่างสำรวม จักรพรรดิผู้นี้จะต้องไม่ก้าวก่ายงานของสภาขุนนาง ทั้งยังไม่โอนเอนไปมาเวลาตระกูลสูงศักดิ์และตระกูลสามัญช่วงชิงอำนาจกัน ยิ่งไม่มีทางเอนเอียงไปยังชายแดนที่กุมอำนาจทหารอยู่เพราะสายสัมพันธ์พี่น้อง ดังนั้นเขาจึงไปตามหาหลี่เจี้ยนถิง
ทว่าแผนการนี้เนิ่นนานเกินไป ชวี่ตูเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เสิ่นเจ๋อชวนก็คือตัวแปร ตอนอยู่ในชวี่ตูอย่างมากเขาก็เป็นได้แค่หมากบนกระดานของเซวียซิวจั๋วที่ถูกทิ้ง หลังกำจัดซีหงเซวียนและเว่ยไหวกู่ไปแล้ว สามารถกำจัดเขาทิ้งได้ทุกเมื่อ เขาจะเป็นเหมือนเซียวฉือเหย่ที่ถูกสังหารท่ามกลางสายฝน เซวียซิวจั๋วปราศจากความเห็นแก่ตัว นี่คือจุดที่น่ากลัวของเขา เซวียซิวอี้เคยเสียดสี เยาะหยันหรือกระทั่งหยามหมิ่นเซวียซิวจั๋วหลายครั้ง แต่เซวียซิวจั๋วกลับมิได้สังหารพี่ใหญ่สายตรงของเขาคนนี้ เพราะในสายตาเขาเซวียซิวอี้ไม่มีความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย ก็ไม่ต่างจากฝุ่นดินข้างเท้าเขา ไม่แตกต่างแม้แต่น้อย
แต่เขาต้องสังหารฉีฮุ่ยเหลียน เพราะฉีฮุ่ยเหลียนเป็นพระอาจารย์จักรพรรดิของต้าโจว เขาต้องสังหารเหยาเวินอวี้ เพราะเหยาเวินอวี้เป็นผู้มีความสามารถล้ำเลิศ เขาเคยให้โอกาสสองคนนี้เลือก สุดท้ายทั้งคู่ล้วนปฏิเสธ เมื่อนักกลยุทธ์ไม่ยอมทำงานให้ข้า ปล่อยกลับไปย่อมเท่ากับมอบกระบี่ชื่อดังให้ผู้อื่น ต้องฆ่าทิ้งเท่านั้นจึงจะตัดปัญหาที่จะตามมาภายหลังได้
นกเยี่ยน[3]บินตัดขอบฟ้าอย่างโดดเดี่ยว หมอกค่อยๆ ปกคลุม เฉียวเทียนหยาคลุมเสื้อคลุมตัวใหญ่ให้เหยาเวินอวี้ ขณะพวกเขายังอยู่ในป่า
เสิ่นเจ๋อชวนเคาะพัดจีบกับฝ่ามือ สายตามองตามนกเยี่ยนไปทางทิศใต้ “ตอนเซวียซิวจั๋วอบรมสั่งสอนรัชทายาท เกรงว่าคงคิดไม่ถึงว่าอีกไม่กี่ปีให้หลังต้าโจวจะพังทลายเช่นนี้ ใต้หล้านี้ไม่มีผู้ใดที่ไม่เคยผิดพลาด ลู่ก่วงไป๋ที่ถูกเสบียงปลอมปนบีบจนคิดกบฏก็คือตัวแปร ฉี่ตงสูญเสียลู่ก่วงไป๋ไปจนทำให้พลาดโอกาสตามจับเช่ออัน ชวี่ตูเปลี่ยนจากโอบล้อมสังหารกลายเป็นปล่อยเสือเข้าป่าอย่างแท้จริง”
โชคชะตาของมนุษย์เป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้เลย ไม่ว่าจะเป็นลู่ก่วงไป๋ เสิ่นเจ๋อชวน เซียวฉือเหย่ เหยาเวินอวี้ หรือแม้แต่คนอื่นๆ ที่ไร้ชื่อเสียง สวรรค์มอบโจทย์ยากที่แตกต่างกันให้แต่ละคน พวกเขาลุกขึ้นมาและมีชีวิตอยู่ต่อไป คนเหล่านี้ที่เดิมถูกกักขังอยู่ในสถานการณ์บางอย่างสลัดตัวเองจนพ้นจากพันธนาการ กลียุคหมายความว่ากฎเกณฑ์ต่างๆ ของใต้หล้าไม่มีอยู่แล้ว ไม่ว่าใครก็ทุ่มเทต่อสู้ในสงครามครั้งนี้ได้ เมื่อมีคนยึดมั่นรักษาของที่ผุพังไว้ ก็ต้องมีคนใช้อาวุธฟาดฟันทำลายมันเช่นกัน
นี่เป็นยุคสมัยของขุนนางทุจริตและโจรผู้ร้าย
หมอกหนามาพร้อมกับความชื้น เม็ดฝนตกลงมา เฟ่ยเซิ่งกางร่มให้เสิ่นเจ๋อชวน พวกเขาควบม้ากลับ ในที่สุดฤดูใบไม้ร่วงก็มาเยือนฉือโจว ลมพัดแขนชุดคลุมของเสิ่นเจ๋อชวน เกือบทำเอาผ้าเช็ดหน้าสีครามของเขาปลิวไป จังหวะที่เขาคว้าผ้าเช็ดหน้า ใบไม้ที่ปลิดปลิวลงมาพัดผ่านร่างกาย
ใบไม้แห้งสีเหลืองหมุนวนขึ้นไป ถูกสายฝนกระหน่ำ ก่อนจะตกลงข้างเท้าเซียวฉือเหย่
กู่จินควบม้ากลับมา โบกธงผืนเล็กตะโกนว่า “ทางม้าข้างหน้าพังถล่มแล้ว นายท่าน พวกเราถูกขังอยู่ที่นี่!”
เซียวฉือเหย่พลิกตัวขึ้นม้า อูจื่ออวี๋ควบม้าออกมาจากด้านหลัง พูดกลางสายฝน “กำลังของเจาฮุยยังมาไม่ถึง อีกสิบหลี่ก็เป็นถูต๋าหลงฉีแล้ว ทหารม้าของฮาเซินอยู่ละแวกนี้!”
“รถขนเสบียงหนักเกินไป” ถานไถหู่เช็ดน้ำฝนบนใบหน้า “เว้นแต่พวกเราจะทิ้งเสบียงและใช้ทางอ้อม หาไม่แล้วคืนนี้ต้องเจอทหารม้าของฮาเซินแน่”
“เสบียงอาหารในเขตสมรภูมิไม่เพียงพอ เสบียงชุดนี้หากตกไปอยู่ในมือฮาเซิน ท่านอ๋องต้องแย่แน่” เฉินหยางรั้งเชือกบังเหียน หนาวจนใบหน้าแดงก่ำ “พวกเราอยู่ที่นี่ได้ แต่นายท่านต้องจากไป”
ตามคำสั่งทหารเมื่อหลายวันก่อน เซียวฉือเหย่เดินทางอ้อมแผ่นดินใหญ่หลีเป่ยขึ้นไปทางเหนือ ต้องผ่านทางม้าของค่ายพักแรมถาวรในอดีตและมอบเสบียงให้เจาฮุย จากนั้นเสบียงจะถูกลำเลียงต่อไปยังเขตสมรภูมิเพื่อมอบให้เซียวฟางซวี่ พวกเขาเดินทางมาถึงตรงนี้ เดิมสามค่ายใหญ่หลิ่วหยางของเจาฮุยควรมารับช่วงต่อ ทว่าเจาฮุยมิได้มา หนำซ้ำวันนี้มีพายุฝน เหมิ่งไม่สามารถบินออกไปสืบข่าวทางทหารได้ไกลนัก เซียวฉือเหย่จึงเหมือนถูกปิดตาทั้งสองข้าง
นัยน์ตาของเซียวฉือเหย่สุขุมจนน่ากลัว เขาปล่อยให้สายฝนไหลผ่านแก้ม เอ่ยเสียงขรึมท่ามกลางเสียงอึกทึก “เปลี่ยนทิศทาง พวกเราไปถูต๋าหลงฉี”
[1] หมัวมัวเป็นคำเรียกหญิงสูงวัย มีความหมายหลากหลาย ทั้งย่า ยาย แม่นม ป้า และยังเป็นคำเรียกหญิงรับใช้อาวุโสในเชิงยกย่อง รวมถึงนางข้าหลวงอาวุโสในวังด้วย
[2] ไม่ยอมให้มีเม็ดทรายในดวงตา อุปมาถึงผู้ที่มีนิสัยจริงจังหรือมาตรฐานสูงเป็นพิเศษ ไม่มองข้ามความผิดพลาดไปง่ายๆ
[3] เยี่ยน เป็นนกขนาดใหญ่ที่อยู่วงศ์เดียวกับเป็ด ลักษณะภายนอกคล้ายห่าน แต่ตัวเล็กกว่า