เชิญร่ำสุรา
將進酒
ถังจิ่วชิง
唐酒卿
กอหญ้า แปล
“เซียนเซิงคืนชีวิตนี้ให้ข้าแล้ว อาเหย่”
เสิ่นเจ๋อชวนหลอมละลายในกลิ่นอายอันคุ้นเคยนี้
ใช้แก้มถูไถแผ่นหลังของเซียวฉือเหย่ เหมือนสัตว์ตัวน้อยที่ตามกลิ่นมา “อาเหย่…”
เซียวฉือเหย่ยกมือขึ้นกดเสิ่นเจ๋อชวนไว้
หันศีรษะมาครึ่งหนึ่ง จะมองตาเขา
เสิ่นเจ๋อชวนลืมตา ในนั้นกลับไม่มีแววล้อเล่น
เขาขยับปลายนิ้วเข้าไปใกล้แก้มของเซียวฉือเหย่
เอ่ยว่า “ข้าเป็นของเจ้า ไม่ว่าเป็นหรือตาย เจ้าก็เป็นของข้าเช่นกัน”
ในที่สุดเขาก็เผยส่วนที่คมกริบและโหดเหี้ยมออกมา
พูดต่อว่า “หากใครพรากเจ้าไปจากข้างกายข้า ข้าจะฆ่ามันเสีย”
ต่อให้เป็นพญายมก็ไม่ได้
“ข้าอยากอยู่กับเจ้าไปจนอายุร้อยปี” เสิ่นเจ๋อชวนจุมพิตจอนผมเซียวฉือเหย่เบาๆ
“ในสถานที่ที่ไม่มีคนเอื้อมถึง”
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 204 ไทเฮา
เดือนสองเซียวฉือเหย่นำทัพไปตวนโจว เสิ่นเจ๋อชวนให้รถเสบียงออกเดินทางไปก่อน ถานไถหู่ที่อยู่ในตุนโจวเตรียมพร้อมแล้ว เซียวจี้หมิงที่อยู่ทางตอนเหนือส่งอูจื่ออวี๋นำทหารม้าเหล็กหลีเป่ยห้าพันไปรออยู่ทางทิศเหนือของเขาลั่วซาน หากสถานการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลง ย่อมสามารถร่วมมือกับค่ายซาซานโจมตีตวนโจวได้
วันนี้สายลมหอบพัดละอองหิมะมา ชานเมืองกว้างใหญ่ไพศาล ทอดสายตามองไปมีแต่ความว่างเปล่า เซียวฉือเหย่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อย เกราะหนักจมอยู่ในหิมะบางๆ ยามยืนอยู่หน้าเสิ่นเจ๋อชวนดูประหนึ่งกำแพง
“เขาลั่วซานยังมีโจรผู้ร้ายหลงเหลืออยู่” เสิ่นเจ๋อชวนสวมชุดคลุมตัวใหญ่ จ้องมองเขา “ตอนเจ้าข้ามเขตไปต้องระวัง”
เหมิ่งทิ้งตัวลงบนไหล่ของเซียวฉือเหย่ เขาพูด “ข้าจำได้ สงครามครั้งนี้ต้องเร็ว อย่างช้าที่สุดเดือนสามข้าก็กลับมาแล้ว ทหารที่เจ้าส่งไปเติงโจวถ้าไม่พอก็บอกจอมทัพชี นางสามารถโยกย้ายกำลังมาจากหอประตูเทียนเฟยได้อีก มิใช่ปัญหา”
หิมะพัดผ่านจอนผม เกาะอยู่ตรงคอเสื้อเสิ่นเจ๋อชวน เซียวฉือเหย่ยกมือขึ้นบังกระหม่อมให้ จู่ๆ ก็คิดถึงถ้อยคำหนึ่ง
ภรรยาข้ายังเยาว์วัย เอ่ยคำพูดเอาใจปลอบโยนนาง
ปีนี้หลันโจวอายุแค่ยี่สิบสองเท่านั้น อีกหลายสิบปีข้างหน้ายังต้องยืนเคียงบ่าเคียงไหล่เขา วันหน้าเขาต้องทำศึกเหนือใต้ เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย คิดมากเกินไปย่อมทำให้หวาดกลัว
เซียวฉือเหย่กลายเป็นคนเข้มแข็งเพราะเสิ่นเจ๋อชวน และกลายเป็นคนอ่อนแอก็เพราะเสิ่นเจ๋อชวน เขาต้องปกป้องคนผู้นี้ไปจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต ดังนั้นสงครามทุกครั้งเขาจึงยินดีทุ่มเทเต็มที่ ทว่าแม้แต่เซียวฟางซวี่ที่แข็งแกร่งยังพบจุดจบไม่คาดฝัน หลังจากนั้นเซียวฉือเหย่ขบคิดอะไรมากมายเหลือเกิน เขาทั้งรักคนคนนี้ และเป็นกังวลเพราะคนคนนี้ บางทีคนอื่นบนโลกนี้อาจจะไม่ได้ต้องการเขาเซียวเช่ออัน แต่เสิ่นหลันโจวต้องการ
“ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นี่” เสิ่นเจ๋อชวนใช้ฝ่ามือลูบใบหน้าเซียวฉือเหย่ พูดเสียงเบา “ระหว่างทางอย่าได้ลอบมีสัมพันธ์กับคนอื่นเด็ดขาด แค่มองแวบเดียวก็มิได้”
เซียวฉือเหย่พลันกอดเสิ่นเจ๋อชวนไว้ทันที กลางหิมะโปรยปราย เขาเป่าลมหายใจร้อนระอุ รู้สึกว่าตัวเองติดค้างหลันโจวมากมายถึงเพียงนั้น เห็นอยู่ชัดๆ ว่าแม้กระทั่งเวลานอนหลันโจวยังขาดเขามิได้
“เจ้าจงอยู่ในที่ที่ปลอดภัย” เซียวฉือเหย่ถูไถจอนผมของเสิ่นเจ๋อชวน เอ่ยเสียงค่อย “อย่าให้ลมหิมะแผ้วพาน”
พูดจบก็ไม่รอให้เสิ่นเจ๋อชวนตอบ เซียวฉือเหย่ปล่อยคนทันที เขาสวมหมวกเกราะ พลิกตัวขึ้นขี่ลั่งเถาเสวี่ยจิน จากนั้นหันหัวม้า นำทหารม้าเหล็กหลีเป่ยมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก
เฟ่ยเซิ่งเห็นเสิ่นเจ๋อชวนยืนนิ่งไม่ขยับ จึงกางร่มยืนอยู่ข้างนอกบังหิมะให้ฝู่จวิน เสิ่นเจ๋อชวนกำผ้าเช็ดหน้าสีครามแน่น ยืนอยู่ท่ามกลางหิมะจนกระทั่งรอบด้านเงียบสนิท
ชวี่ตูอากาศแจ่มใสติดกันหลายวัน มองเห็นนกตัวเล็กบินเฉียงผ่านมาระหว่างชายคาซ้อนของวังหลวงเป็นครั้งคราว รัชทายาทเรียนรู้เร็วมาก แม้จะยังไม่มีอำนาจตัดสินใจ แต่กลับสามารถนั่งฟังข้อราชการในตำหนักหมิงหลี่ได้ นางเอ่ยปากน้อยครั้ง ทว่าเฉินอวี้มองเห็นความจดจ่อในราชกิจจากดวงตาคู่นั้น
ครึ่งปีที่ผ่านมา หลี่เจี้ยนถิงนอกจากศึกษาตำราและคัดอักษรแล้ว ไม่มีความชื่นชอบอย่างอื่น ทุกวันนางจะตื่นแต่เช้า แม้กระทั่งเวลาป่วยยังไม่ฉวยโอกาสแอบขี้เกียจ ก่อนหน้านี้สำนักตรวจการเคยตำหนิหลี่เจี้ยนเหิง แต่กับหลี่เจี้ยนถิงพวกเขากลับหาข้อบกพร่องมิได้ ในสายตาของขุนนางวาจาที่ช่างจับผิดเหล่านี้ รัชทายาทองค์นี้ดูเหมือนรัชทายาทมากที่สุดนับจากรัชทายาทในรัชศกหย่งอี๋ แม้แต่ข่งชิวที่ตอนแรกอคติกับนางยังไม่ตำหนินางง่ายๆ แล้ว
ไม่รู้ว่าเซวียซิวจั๋วใช้วิธีการใดสังหาร ‘หลิงถิง’ ไปโดยสิ้นเชิง บัดนี้โลกใบนี้มีแต่หลี่เจี้ยนถิงเท่านั้น
หมู่นี้ไทเฮามักจะปวดพระเศียร เดิมทีในตำหนักยังจุดเครื่องหอมบ้าง แต่ตอนนี้ถูกหลิวเซียงกูกูดับไปแล้ว เพราะดมแล้วรู้สึกทรมาน ผมขาวตรงจอนผมนางเพิ่มมากขึ้น ความแก่ชรากำลังกร่อนทำลายผู้มีอำนาจที่มีบทบาทในมรสุมครั้งต่างๆ ในชวี่ตูมาตลอดเวลาสามสิบปี ยามเผชิญกับใบหน้าอ่อนเยาว์ของหลี่เจี้ยนถิง นางยิ่งรู้สึกว่าตัวเองแม้ยังมีปณิธานแต่เรี่ยวแรงกลับไม่อำนวย
“เมื่อวานหานเฉิงถวายฎีกา ยังคงขอนำทัพไปปราบปรามฉือโจว” เฮ่อเหลียนโหวนั่งอยู่เบื้องล่าง บ่นกับไทเฮา “เกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้แล้ว ไฉนเขายังเอาแต่คิดถึงจงปั๋วอยู่ได้!”
ไทเฮาให้หลิวเซียงกูกูบีบนวดพระอังสา เอนกายพิงตั่ง อ่านฎีกาของหานเฉิง “เสิ่นเจ๋อชวนยึดฝานโจวได้แล้ว บัดนี้กำลังจะยกทัพไปตวนโจว หลังฤดูใบไม้ผลิย่อมกลายเป็นพยัคฆ์ในจงปั๋ว หานเฉิงสังหารอาจารย์เขาจนก่อเป็นความแค้นใหญ่หลวง ย่อมต้องหวาดกลัวอยู่แล้ว”
เฮ่อเหลียนโหวไม่อยากสนใจความแค้นส่วนตัวของหานเฉิง เรื่องที่เขาร้อนใจตอนนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ปีที่แล้วตั้งแต่เดือนเก้าเป็นต้นมา ขุนนางฝ่ายลงมือปฏิบัติที่นำโดยเซวียซิวจั๋วร่วมกับสำนักตรวจการ ตรวจที่นาในแปดเมืองเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการรังวัดที่นาใหม่ ปีก่อนๆ ก็ทำเช่นนี้ แต่ล้วนทำไปตามธรรมเนียมเท่านั้น ขุนนางตรวจตราเดินทางถึงแปดเมืองพอเป็นพิธีก็ถือว่าตรวจเสร็จ กลับมาแล้วร่างตัวเลขที่ทุกคนพึงพอใจและส่งให้สภาขุนนาง เท่านี้ก็สามารถกลบเกลื่อนไปได้
กระนั้นครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าเซวียซิวจั๋วต้องการเอาจริง
“ในอดีตข้าเคยบอกพวกเจ้าแล้วว่าให้หมู่บ้านเกษตรเบื้องล่างสำรวมหน่อย แต่พวกเจ้ามีใครฟังบ้าง ฤดูหนาวปีที่แล้วมีคนหนาวตายไปมากน้อยเพียงใด นอกจากตี๋เฉิง จิ้นเฉิงและเฉวียนเฉิงที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ว คนอื่นๆ ต่างยินดีทำตัวเป็นเต่าหดหัว” ไทเฮาโยนฎีกาลงบนโต๊ะตัวเล็ก ไข่มุกตะวันออกบนติ่งหูแกว่งไกวไปมาตามเสียงตวาด “พันลิ่นจะไปหาเรื่องเซวียเหยียนชิงทำไม ตอนนี้เซวียเหยียนชิงจะร่วมมือกับพวกเฉินอวี้ตรวจสอบเรื่องนี้ โอกาสนี้มิใช่พันลิ่นเป็นคนหยิบยื่นให้เขารึ!”
เฮ่อเหลียนโหวยกท่านหญิงจ้าวเยวี่ยให้แต่งงานกับน้องชายของพันลิ่น ตอนนี้สกุลเฟ่ยของพวกเขากับสกุลพันคือตั๊กแตนบนเชือกเส้นเดียวกัน[1] เดิมทีเป็นเพราะเห็นว่าสกุลพันมีทายาทถึงสามคนเป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนัก คือพันเสียงเจี๋ย พันลิ่นและพันอี้ เกี่ยวดองกับสกุลพันแล้วย่อมเท่ากับได้เตรียมพร้อมล่วงหน้า แต่ใครจะคิดว่าพันลิ่นผู้นี้จะเป็นคนรับมือยากเช่นนี้เล่า!
เฮ่อเหลียนโหวไม่กล้ารับผิดชอบแทนพันลิ่น แต่ก็มิอาจปล่อยให้พันลิ่นตกต่ำเช่นนี้ได้ บัดนี้พันลิ่นติดชะงักอยู่ตรงช่องว่างก่อนขึ้นรับตำแหน่งสำคัญอย่างเสนาบดีกรมพระคลัง เขาปฏิบัติงานสำคัญแต่กลับไม่ได้เลื่อนตำแหน่งเสียที เป็นใครก็ต้องร้อนใจทั้งนั้น กลัวก็แต่พันลิ่นจะเพลี่ยงพล้ำในการต่อสู้ระหว่างสองฝ่าย ยกตำแหน่งในกรมพระคลังให้กับพวกตระกูลสามัญ
“เฉิงจือนิสัยใจร้อน ไม่รู้ไปล่วงเกินเซวียซิวจั๋วเข้าที่ใด” เฮ่อเหลียนโหวร้อนใจเหมือนมดบนเตา พูดอ้อนวอน “แต่พันเสียงเจี๋ยและพันอี้ล้วนจงรักภักดีต่อไทเฮา จ้าวเยวี่ยของพวกเราท่านก็เห็นนางมาตั้งแต่เล็ก กับคุณหนูสามเรียกได้ว่า…”
“ข้าว่าเจ้ากินดีหมีหัวใจเสือมากระมัง!” ไทเฮาขัดเขา ถึงกับยืดตัวตรงและตำหนิ “การเมืองในราชสำนักเต็มไปด้วยความขัดแย้ง เจ้ายังกล้าดึงสาวน้อยของข้ามาเกี่ยวข้องด้วยรึ ตอนแรกข้าให้จ้าวเยวี่ยแต่งให้บุตรชายสกุลหาน เจ้าไม่ยอม อยากจะละโมบในผลประโยชน์เล็กน้อยของสกุลพัน บัดนี้เมื่อเกิดเรื่องขึ้นก็ต้องรับผิดชอบด้วยตัวเอง!”
น้อยครั้งที่ไทเฮาจะบันดาลโทสะเช่นนี้ นางกำนัลและขันทีทั้งในและนอกตำหนักพากันคุกเข่าลงพร้อมกัน ทุกคนหมอบลงบนพื้นกลั้นหายใจ เฮ่อเหลียนโหวไหนเลยจะกล้านั่งต่อ ลนลานคุกเข่าลง คลานเข่าไปข้างหน้าและตบหน้าตัวเองหลายที “ไทเฮาบรรเทาโทสะด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
“คุณหนูสามแต่งไปฉี่ตงแล้ว” ไทเฮาพูดอย่างเคร่งขรึม “เป็นฮูหยินใหญ่ของชีสืออวี่ มีบรรดาศักดิ์ติดตัวเป็นเรื่องเป็นราว จะพูดหรือทำสิ่งใดล้วนมีคนจับตาดูอยู่ตลอด เรื่องที่หมู่บ้านเกษตรของพวกเจ้ายึดครองที่นาของชาวบ้านไม่เกี่ยวข้องกับนาง วันหน้าอย่าได้เอ่ยคำพูดนี้อีก เจ้าเองก็อายุปูนนี้แล้ว จะพูดจาอะไรยังต้องให้ข้าสอนอีกหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ พ่ะย่ะค่ะ…” เดิมเฮ่อเหลียนโหวไม่ใช่คนใจกล้าอยู่แล้ว ทายาทสายตรงของพวกเขาสกุลเฟ่ยในรุ่นนี้มีเพียงท่านโหวน้อยเฟ่ยซื่อและท่านหญิงจ้าวเยวี่ย เฟ่ยซื่อสำมะเลเทเมาทั้งวัน บัดนี้แม้กระทั่งตำแหน่งขุนนางเป็นเรื่องเป็นราวยังไม่มี ดังนั้นเฮ่อเหลียนโหวจึงลังเลเรื่องการแต่งงานของท่านหญิงจ้าวเยวี่ยมาก คิดไม่ถึงว่ายังคงเกิดเรื่องจนได้
ไทเฮาลุกขึ้น ให้หลิวเซียงกูกูประคองและไปยืนข้างกายเฮ่อเหลียนโหว เฮ่อเหลียนโหวอายุมากถึงเพียงนี้แล้ว ดีร้ายอย่างไรก็เป็นผู้มีบรรดาศักดิ์คนหนึ่ง คุกเข่าเช่นนี้ย่อมเสียหน้า ไทเฮาสงบอารมณ์เล็กน้อย เอ่ยว่า “เจ้าลุกขึ้นเถิด ทำเช่นนี้ดูได้ที่ไหน”
เฮ่อเหลียนโหวคลานลุกขึ้น ประสานมือยืนอยู่ข้างไทเฮาอย่างสงบเสงี่ยม ไม่กล้าเข้าใกล้นัก
ไทเฮาเงยพระพักตร์เล็กน้อย มองตามชายคาวังหลวงไปยังท้องฟ้าใสกระจ่าง ขบคิดครู่หนึ่ง “เฟ่ยซื่อก็อายุพอสมควรแล้ว การเรียนไม่สำเร็จ เช่นนั้นก็ควรเดินเส้นทางทหาร บัดนี้แปดกองกำลังมีตำแหน่งว่างมากมาย ให้เขาไปอยู่ในนั้นตั้งใจเรียนรู้ให้ดี ข้าไม่ได้ขอให้เขาสร้างผลงาน แค่สำรวมขึ้นบ้างก็พอ รอให้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ได้แล้ว ย่อมสามารถเลื่อนตำแหน่งเข้าไปในกรมกลาโหมได้”
เฮ่อเหลียนโหวถูกไทเฮาพูดแทงใจดำ เขามีเฟ่ยซื่อเป็นบุตรชายเพียงคนเดียว เลี้ยงดูอยู่ในเรือนหลังตั้งแต่เล็ก ออกมาข้างนอกดื่มสุราแสวงหาบุปผาเจนจัดทุกอย่าง แต่กลับไม่แตกฉานในวิชาความรู้ นิสัยดื้อรั้นหัวแข็ง เป็นสหายรักของพันลิ่น บัดนี้แม้แต่เซวียซิวจั๋วเขายังไม่ยอมให้หน้า ขลุกอยู่บนถนนตงหลงทั้งวัน ปกติเชื่อฟังเพียงคำพูดของพี่สาวเท่านั้น
เฮ่อเหลียนโหวดวงตาเปียกชื้น เขายกแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำตา “ไทเฮาเป็นพระมารดาผู้เมตตาของแผ่นดิน อุตส่าห์เวทนาอนุเคราะห์เขา เดิมทีกระหม่อมก็อยากให้เขาไปอยู่แปดกองกำลัง แต่นิสัยเช่นนั้นของเขา…เฮ้อ!”
ไทเฮาเบื่อหน่ายเฮ่อเหลียนโหวยิ่งนัก นางเข้าใจความหมายของเฮ่อเหลียนโหว บัดนี้แปดกองกำลังมิใช่หน่วยงานที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์และมีหน้าที่รักษาความปลอดภัยในชวี่ตูอย่างเดียวอีกต่อไป ด้วยเรื่องของจงปั๋ว วันหน้าไม่แน่แปดกองกำลังอาจถูกส่งออกไปทำสงคราม เฮ่อเหลียนโหวไม่ต้องการให้บุตรชายไปเสี่ยงชีวิต เกรงว่าเฟ่ยซื่ออยู่ในสนามรบจะเป็นอันตราย จึงอยากให้ไทเฮาส่งเฟ่ยซื่อเข้าไปอยู่ในหกกรม
แต่บัดนี้ชวี่ตูมิใช่ใต้หล้าของตระกูลสูงศักดิ์อีกต่อไปแล้ว ภัยจากภายนอกและปัญหาภายในล้วนเป็นเรื่องเร่งด่วนทั้งนั้น เสิ่นเจ๋อชวนไม่ถูกกำจัด ใช้เวลาสั้นๆ เพียงครึ่งปีก็กลายเป็นจงปั๋วเซียวจู่[2] สมคบกับหลีเป่ย หากไม่เพราะทหารม้าเปียนซาโจมตีอย่างหนัก น่ากลัวว่าพวกเขาคงยกทัพมาชวี่ตูแล้ว ชีจู๋อินส่งจดหมายถึงชวี่ตูหนึ่งฉบับ บอกว่าเดือนสี่จะนำทัพไปปราบเผ่าชิงสู่ ส่วนเซวียซิวจั๋วก็บีบคั้นเข้ามาทุกก้าว แม้จะบอกว่าเป็นความแค้นส่วนตัวกับพันลิ่น แต่ฎีกาที่ผู้อื่นร้องเรียนล้วนเป็นความจริง แปดเมืองรุกล้ำที่นาชาวบ้านเป็นเรื่องจริง หากถูกตรวจสอบหลังฤดูใบไม้ผลิย่อมเป็นศึกหนักอีกครั้ง
สถานการณ์มาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเฮ่อเหลียนโหวยังจะตัดช่องน้อยแต่พอตัว ห่วงที่นาเล็กน้อยเหล่านั้นในหมู่บ้านเกษตรของตน เกรงว่าจะถูกริบไป
ไทเฮาคิดถึงสมัยเสียนเต๋อ ฮวาซือเชียนกับเว่ยไหวกู่ใครบ้างที่มิใช่ขุนนางมากความสามารถ เฮ่อเหลียนโหวในตอนนี้คือกระสอบฟาง[3] พันเสียงเจี๋ยเป็นหญ้าเหนือกำแพง หานเฉิงเป็นหมาป่าที่มักใหญ่ใฝ่สูง ไทเฮารับมือกับสภาขุนนางอย่างเหนื่อยใจเหลือเกิน
“เซวียซิวจั๋วตรวจสอบที่นาในแปดเมืองเพื่อปูทางในการขึ้นครองราชย์ให้รัชทายาท” ไทเฮาแววตาลึกล้ำ “ตอนนี้ยังไม่ถึงคราวที่รัชทายาทจะออกหน้า…เจ้ากลับไปพูดกับพันเสียงเจี๋ยให้ชัดเจน อาศัยช่วงเวลานี้ตอนที่หิมะยังไม่ละลาย เปิดยุ้งฉางแจกเสบียงในตันเฉิงและฉวนเฉิง จัดการกับบัญชีในมือให้สะอาด ที่นาที่ไม่จำเป็นพวกนั้นก็คืนไปซะ เซวียซิวจั๋วยังไม่มีอำนาจถึงขั้นปิดแผ่นฟ้าด้วยฝ่ามือข้างเดียวได้ ในเมื่อเขาจะตรวจสอบก็ให้เขาตรวจสอบ”
เฮ่อเหลียนโหวตระหนก “สมุดบัญชีเหล่านั้นหากตกไปอยู่ในมือเขา ย่อมยากที่จะพลิกสถานการณ์ได้อีก!”
ไทเฮามองเฮ่อเหลียนโหว เอ่ยว่า “พันลิ่นดำรงตำแหน่งในกรมพระคลังมานาน ผลการประเมินขุนนางล้วนออกมาดี ลูกน้องของเขาก็ล้วนมีความสามารถ ต่อให้เซวียซิวจั๋วผลักดันให้สำนักตรวจการลงมือตรวจสอบ แต่เขามิอาจข้ามกรมพระคลังไปได้ บันทึกจำนวนที่นาในปีก่อนๆ ล้วนอยู่ที่กรมพระคลัง การตรวจสอบบัญชีก็เป็นหน้าที่หลักของกรมพระคลัง พันลิ่นสามารถหลีกเลี่ยงข้อครหา ส่งคนที่ไว้ใจได้ไปจัดการแทนก็ใช้ได้แล้วมิใช่หรือ สกัดเขาไว้เช่นนี้ กำลังของเซวียซิวจั๋วย่อมไม่มีที่จะใช้”
เฮ่อเหลียนโหวตรึกตรองอย่างละเอียด “ลูกน้องของพันลิ่นคนหนึ่งมีนามว่าเหลียงชุยซาน ก่อนหน้านี้จักรพรรดิเทียนเชินสนับสนุนขึ้นมาในเหตุการณ์คูระบายน้ำอุดตัน เคยได้รับคำชี้แนะจากพันลิ่น ปีที่แล้วคนผู้นี้ได้รับผลการประเมินดีเยี่ยมจากสำนักตรวจการ พอมีชื่อเสียงในกลุ่มขุนนางตระกูลสามัญอยู่บ้าง บ้านเขาอยู่ในชวี่ตู ไม่มีภูมิหลังสักเท่าใด บงการง่ายเป็นที่สุด”
“ขอเพียงสกุลพันผ่านพ้นปัญหาครั้งนี้ไปได้” ไทเฮาพูด “ย่อมสามารถพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง”
ในเมื่อที่นาในแปดเมืองมีปัญหา เช่นนั้นเฉวียนเฉิงของสกุลเซวียจะสะอาดได้สักเท่าไร เซวียซิวจั๋วกล้าแตะต้องบัญชีที่นาของแปดเมือง ก็คือแตะต้องผลประโยชน์ของตระกูลสูงศักดิ์ เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงผลประโยชน์ในอนาคตของตระกูลสูงศักดิ์ ภาษีที่นาเมื่อตรวจสอบขึ้นมาความผิดถึงชีวิต ไทเฮาต้องการให้พันลิ่นใช้เหลียงชุยซานอุดช่องโหว่ในตันเฉิงไว้ ขอเพียงเรื่องนี้ผลักดันต่อไม่สำเร็จ ก่อกวนบัญชีให้เกิดความสับสน ย่อมสามารถเล่นงานเซวียซิวจั๋วในราชสำนักได้ หันไปตรวจสอบเฉวียนเฉิงของพวกเขาสกุลเซวียแทน
ไทเฮาถอดสร้อยประคำบนข้อมือ โยนลงบนตั่งท่ามกลางแสงสนธยา ควันธูปในห้องพระด้านหลังม้วนตัวลอยขึ้นมาอย่างอ่อนช้อย ขับเน้นให้อาภรณ์ของนางดูสูงส่งล้ำค่า หากไม่เพราะเส้นผมขาวโพลน ก็แทบมองไม่เห็นความชราเลย
[1] ตั๊กแตนบนเชือกเส้นเดียวกัน อุปมาถึงการมีชะตากรรมเดียวกัน
[2] เซียวจู่ เป็นคำเรียกเจ้าผู้ครองพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งอย่างไม่เป็นทางการ จงปั๋วเซียวจู่ แปลได้ว่า เจ้าแห่งจงปั๋ว
[3] กระสอบฟาง ใช้เปรียบเปรยถึงคนไม่เอาไหน