เชิญร่ำสุรา
將進酒
ถังจิ่วชิง
唐酒卿
กอหญ้า แปล
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าปีนั้น” เสิ่นเจ๋อชวน สวมเสื้อคลุมตัวใหญ่เอ่ยช้าๆ “เหตุใดข้าจึงรับปาก เช่ออัน สวมต่างหูอันนี้”
เฟ่ยเซิ่งยืนอยู่ข้างหลังไกลออกไปมาก “เพราะนายท่านกับท่านรองรักใคร่ผูกพัน”
เสิ่นเจ๋อชวนยกมือขึ้นเด็ดดอกเหมยที่บังตัวเองออก เอ่ยว่า
“เพราะข้ารู้ว่ามีคนต้องจากไป
คนที่หายลับไปในหิมะจะไม่มีวันกลับมาอีก เว้นเพียงเช่ออัน”
.
เซียวฉือเหย่ สวมต่างหูให้หลันโจว สิ่งที่ประกาศชัดแจ้งคือความเผด็จการ
แต่สิ่งที่ซ่อนแฝงอยู่คือความรักใคร่ทะนุถนอม
ทุกครั้งเวลาเขาประคองดวงหน้าหลันโจวขึ้นมา
สายตาจะเร่าร้อนถึงเพียงนั้น นี่เป็นความรักที่มิอาจถอนตัว
เป็นความปรารถนาที่มิอาจเก็บซ่อน
.
เสิ่นเจ๋อชวนสวมต่างหูที่เช่ออันมอบให้ เป็นการประกาศความเป็นเจ้าของเช่นกัน
ในความเจ็บปวดและความแค้นของเขายังหลงเหลือความอบอุ่น
นี่คือความอ่อนโยนของเขา เขาจะมอบให้เซียวเช่ออันคนเดียวเท่านั้น
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 250 สงครามตั้งรับ
ยามโฉ่วสามเค่อ เมฆดำบดบังดวงจันทร์
หลังจัดกระบวนทัพเสร็จทหารม้าเปียนซาก็ถอนกองหน้าออก เปลี่ยนเป็นกองกำลังฝีมือดีที่บุกโจมตีระลอกแรก คบไฟที่พวกเขาชูขึ้นมาพลันดับลง กลองทรงกระบอกที่ดังมาตลอดคืนก็หยุด นอกเมืองตวนโจวพลันตกอยู่ในความมืดมิด เมื่อไม่มีคบไฟส่องสว่าง มือธนูบนกำแพงก็มองเห็นฝั่งตรงข้ามของคูเมืองไม่ชัด ทหารสอดแนมไต่ขึ้นไปบนหอสังเกตการณ์ที่เหลืออยู่ ทำใจกล้าเหยียบราวกั้น ชะเง้อคอมองสำรวจบนที่สูง
“เห็นไม่ชัด” จอนผมของทหารสอดแนมมีเหงื่อไหลไม่หยุด เขาทำสัญญาณมือบอกทหารบนกำแพง “มืดเกินไป!”
การจู่โจมอย่างหนักด้วยปืนใหญ่คานเดี่ยวและเครื่องยิงหินหยุดแล้ว นอกจากเสียงกีบเท้าม้าที่กระจัดกระจาย ภายในเมืองก็ไม่ทราบข่าวคราวอะไรอีก ทหารรักษาการณ์ผ่อนฝีเท้าให้เบาลงท่ามกลางความเงียบที่หาได้ยากยิ่งนี้ คล้ายกลัวจะทำให้บางอย่างตื่นตัว พวกเขาลุกขึ้นยืนตรงตำแหน่งของตัวเอง มีลางสังหรณ์ว่าพายุรุนแรงกำลังจะมาเยือน
ทหารรักษาการณ์ในทางลอดเริ่มถอยออกมาข้างนอกพร้อมลากศพออกมาด้วย เปิดทางให้ทหารม้าเสื้อแพร น้ำสะอาดสาดลงบนพื้นหิน ราดรดกีบเท้าม้า ชะล้างกลิ่นคาวเลือดเข้มข้นออกไป
ทหารม้าเปียนซาที่ยืนเรียงแถวหน้ากระดานเคลื่อนไหวแล้ว พวกเขาต้องผ่านกระดานข้ามที่พาดอย่างมั่นคง รวมตัวเป็นกำแพงหน้าประตูเมือง หลังการหยั่งเชิงหลายครั้ง พวกเขาก็สามารถจับทางทหารม้าเสื้อแพรได้ การจะรับมือกับเข็มเหล็กได้พวกเขาต้องรวมตัวกันเป็นก้อนอิฐและทุบมันให้แหลกลาญ!
ทหารรักษาการณ์บนกำแพงไม่กล้าเช็ดเหงื่อ ลูกกระเดือกของพวกเขาขยับไปมาขณะฟังเสียงกีบเท้าม้า นับถอยหลังในใจพร้อมกัน
ทหารม้าเปียนซาวิ่งมายังคูเมือง กีบเท้าม้าของทหารม้าเปียนซาย่ำลงบนกระดานข้ามแล้ว เสียงอึกทึกพลันดังก้องไปทั่วคูน้ำ
ตอนนี้แหละ!
ทหารรักษาการณ์โบกธง ตะโกนเสียงดังแหบแห้ง “ดัน…!”
ก้อนหินหนักบนกำแพงกลิ้งลงมาตามทางไม้ขนาดเล็ก ส่งเสียง “กลุกกลัก” ตอนอ้อมทางเล็กแคบ กระแทกขอบและลอยกระเด็นออกไป ตกกระแทกบริเวณเหนือคูน้ำเหมือนหยดน้ำฝน เหล่าทหารม้าเปียนซาที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดไม่อาจต้านทานการจู่โจมจากข้างบนได้ ถูกหินหนักกระแทกจนคนหงายหลังอาชาล้มลง กระดานข้ามขาดไปกว่าครึ่งทันที ทหารม้าเปียนซานับไม่ถ้วนตกลงไปในคูน้ำ
ประตูเมืองเปิดกว้าง เสิ่นเจ๋อชวนเป็นทัพกลาง เฉียวเทียนหยากับเฟ่ยเซิ่งเป็นปีกสองข้าง สามกองกำลังพุ่งออกไปพร้อมกัน กระบวนทัพของทหารม้าเปียนซาที่ยามนี้กระจัดกระจายมีช่องโหว่นับไม่ถ้วน ทหารม้าเสื้อแพรสบช่องก็โจมตี ฉีกทึ้งกองกำลังบุกโจมตีของเปียนซาจนแหลกละเอียด
ทหารดันหินบนกำแพงถูกเปลี่ยนออกไป ผู้ที่เข้ามาแทนที่คือพลธนู น้ำมันร้อนราดที่หัวธนูหุ้มด้วยปุยฝ้าย จุดไฟก่อนยิงลงไปข้างล่าง ทหารม้าเปียนซาไม่มีรถนำของทหารราบคอยคุ้มกัน ทั้งยังไม่มีชุดเกราะหุ้มกาย ธนูเพลิงเฉียดผ่านเสื้อผ้าก็ลุกไหม้ คูเมืองทั้งเส้นพลันสว่างโร่
ปีกขวาของเฟ่ยเซิ่งย่ำกระดานข้ามของเปียนซาพุ่งไปฝั่งตรงข้ามของคูเมือง เขาหมอบร่างกายลงครึ่งหนึ่งกลางลมแรง หวดแส้เฆี่ยนม้าขณะตรงไปข้างหน้า ตอนผ่านตำแหน่งของอิ่นชางก็ไถลตัวลงจากม้ากะทันหัน ใช้แขนข้างเดียวชักดาบของตาแก่ออก พอได้กำด้ามดาบของอิ่นชาง เขาก็เอียงคอออกแรงถูแก้มกับแขน เสียบดาบเล่มนี้ลงในฝักดาบข้างหลังของตัวเองที่ว่างเปล่า
เฟ่ยเซิ่งรั้งเชือกบังเหียนหันหัวม้า ควบทะยานไปยังแท่นส่งควันหมาป่าทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ต่อ
ทหารม้าเปียนซาตระหนักว่ามีทหารม้าเบานายหนึ่งกำลังฝ่าวงล้อมออกไปในความมืด ทหารม้าที่พวกเขาโยกย้ายมายังไม่ทันได้อุดช่องโหว่นั้นก็ถูกเสิ่นเจ๋อชวนที่ข้ามคูเมืองมาแล้วรัดคอออกแรงลากไป กองกลางและปีกซ้ายของทหารม้าเสื้อแพรล้วนมาเพื่อคุ้มกัน พวกเขาหันหลังให้คูเมืองที่ลุกเป็นไฟ ฟาดฟันข้าศึกอย่างเต็มที่กลางฝนธนู
ทหารม้าเปียนซาที่ถูกจู่โจมจนกระจัดกระจายตั้งแถวใหม่อย่างรวดเร็ว กระนั้นทหารม้าเสื้อแพรก็ไวมากเช่นกัน ทุกคนต่างอยู่บนอาชาเหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่มีฝ่ายใดได้เปรียบ ต้องวัดกันที่ดาบใครไวกว่าเท่านั้น
เฉียวเทียนหยาถูกโลหิตกระเด็นใส่จนแทบมองไม่เห็นเค้าเดิม เขาใช้แขนเสื้อเช็ดดาบ ผิวปากและตามเสิ่นเจ๋อชวนไป
“ฝู่จวิน” เฉียวเทียนหยาเช็ดดาบเสร็จ ถามว่า “ดาบข้าเล่มนี้ยังใช้งานดีอยู่หรือไม่”
เสิ่นเจ๋อชวนตอบกลางค่ำคืนที่สะเก็ดไฟระเบิดไปทั่ว “ไวเหมือนดาบหย่างซานเสวี่ย”
แขนเสื้อที่ขาดของเฉียวเทียนหยาเผยให้เห็นแขนของเขา เขามิได้สวมแม้กระทั่งเกราะแขน เหมือนดาบที่ไร้ฝักอย่างไรอย่างนั้น เขาเบี่ยงตัวกะทันหัน พูดทีเล่นทีจริง “อย่าพูดกับหยวนจั๋วเช่นนี้ จะเข้าใจผิดไปกันใหญ่ ข้าไม่ไว”
“เช่นนั้นข้าก็รู้สึก” ฉับพลันดาบหย่างซานเสวี่ยที่เสิ่นเจ๋อชวนถืออยู่ก็ยกขึ้นเฉียงๆ สกัดดาบโค้งข้างหลังให้เฉียวเทียนหยา โลหิตสาดเต็มหน้าเฉียวเทียนหยาท่ามกลางเสียงปาดคอ เขาพูดอย่างสุขุม “ดีใจแทนหยวนจั๋วยิ่งนัก”
ทหารม้าเสื้อแพรข้างหลังคืนสู่ตำแหน่งเดิม เสิ่นเจ๋อชวนไม่พูดอะไรอีก เขาลากดาบหย่างซานเสวี่ย หันหัวม้าและย่ำกีบเท้าม้าตรงไปทางปืนใหญ่คานเดี่ยวของพวกเปียนซา จากนั้นห้อตะบึง
ชายฉกรรจ์ที่ทำหน้าที่ส่งข่าวในกองทัพเปียนซาวิ่งเร็วรี่ภายในกองกำลัง โบกธงผืนเล็กชี้ไปที่ปืนใหญ่คานเดี่ยว “ถอยปืน!”
แต่ทหารม้าเสื้อแพรเร็วเกินไป แมงป่องที่เฝ้าอยู่ข้างปืนใหญ่คานเดี่ยวควงค้อนเหล็กต้อนรับเสิ่นเจ๋อชวน เขากำดาบหย่างซานเสวี่ย จังหวะที่กำลังจะปะทะกับแมงป่องเขากลิ้งตัวลงจากม้าในฉับพลัน เฟิงท่าซวงอียกกีบเท้าหลบทันที เจตนาของแมงป่องที่คิดจะทุบสองเข่าของเฟิงท่าซวงอีให้หักไม่ประสบความสำเร็จ จึงสบถคำด่าภาษาเปียนซาตอนหมุนตัวว่า “ไอ้เจ้าเล่ห์…”
เสิ่นเจ๋อชวนกระโดดลงบนพื้น แมงป่องรูปร่างสูงใหญ่กำยำ เสิ่นเจ๋อชวนเกาะหลังและไหล่ของเขา ใช้แขนข้างเดียวงัดศีรษะให้เอียงจนเผยลำคอออกมา ดาบหย่างซานเสวี่ยกดลงบนเนื้อตรงนั้นและปาดผ่าน ทว่ามือขวาอ่อนแรง ครั้งนี้เสิ่นเจ๋อชวนจึงพลาด มิได้ตัดคอแมงป่องจนขาด
ลำคอของแมงป่องมีเลือดพุ่งออกมา ส่วนค้อนเหล็กยังคงกวัดแกว่งไม่หยุด เขาเปล่งเสียงหอบหนักที่ฟังดูไม่เหมือนคน พลางใช้มือข้างที่ว่างเอื้อมไปข้างหลังคว้าตัวเสิ่นเจ๋อชวน
หยดเลือดไหลลงมาจากกระดูกคิ้วของเสิ่นเจ๋อชวน เขาต้านแรงมหาศาล คมดาบที่ปาดไปแล้ววาดกลับไปอีกครั้ง เหมือนกำลังเชือดวัวหรือแพะอย่างไรอย่างนั้น ใช้แรงเสียดสีบั่นคออีกฝ่ายจนขาดสะบั้น ความมุ่งมั่นที่จะเอาชีวิตอีกฝ่ายให้ได้ หากไม่ตายไม่ยอมเลิกรานี้ทำเอาทหารม้าเสื้อแพรข้างหลังหนังศีรษะชา
แมงป่องล้มลงกับพื้น ค้อนเหล็กและเสิ่นเจ๋อชวนกระเด็นออกไป
เฟิงท่าซวงอีวกกลับมาแล้ว เสิ่นเจ๋อชวนลุกขึ้นและขึ้นม้าอีกครั้ง เฉียวเทียนหยาใช้ปลายเท้าเขี่ยค้อนเหล็กขึ้นมาและถือไว้ในมือ ทุบไปที่ขาตั้งข้างหนึ่งของปืนใหญ่คานเดี่ยวอย่างแรงกระทั่งแตกและหักทันที ปืนใหญ่คานเดี่ยวล้มเอนมาทางนี้
เสียงไม้ระเบิดดังอยู่ข้างหู เปลวไฟลุกไหม้ทันใด
เฟ่ยเซิ่งถือคบไฟ ปีกขวาบุกเข้าไปใกล้แท่นส่งควันหมาป่า เขาพ่นลมหายใจออกมา ตอนลงจากม้าเซเล็กน้อย เขาใช้แขนอีกข้างเกาะขอบบันได จากนั้นวิ่งขึ้นข้างบนโดยใช้ทั้งมือและเท้าช่วย
ทหารม้าเปียนซาที่ไล่ตามกู่ร้องขณะพุ่งเข้าโจมตี ทหารม้าเสื้อแพรข้างล่างฟาดฟันกับพวกเขาอีกครั้ง
เฟ่ยเซิ่งวิ่งขึ้นบันไดอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงแท่นจุดไฟก็โยนคบไฟเข้าไป อ่างไฟที่แห้งสนิทลุกพรึ่บ เขาถอยหลังสองก้าว เอ่ยว่า “สำเร็จแล้ว…”
ทหารรักษาการณ์บนกำแพงเมืองร้องไห้โฮออกมา ตะโกนลงไปเบื้องล่าง “ติดแล้ว!”
เฟิงท่าซวงอีถอยหลัง เสิ่นเจ๋อชวนพูด “ถอย!”
ไฟที่แท่นส่งควันหมาป่าลุกโชน รออีกครู่หนึ่งแท่นส่งควันหมาป่าทางทิศตะวันออกจะลุกไหม้ตามลำดับ เฟ่ยเซิ่งกุมหน้าอก อยากจะเช็ดตา คิดไม่ถึงว่าลมที่พัดมาฉับพลันจะทำเอาเถ้าธุลีปลิวฟุ้ง ท้องฟ้าที่มืดครึ้มมาครึ่งคืนเริ่มแผลงฤทธิ์ น้ำฝนหลายหยดเป็นเพียงสัญญาณเตือนล่วงหน้าเท่านั้น ไม่รอให้ภายในเมืองตวนโจวได้ส่งเสียงยินดี พายุฝนก็กระหน่ำลงบนหน้าเฟ่ยเซิ่งเหมือนน้ำเย็นที่ราดรดใส่เขา
ฝนตก
ไฟบนแท่นส่งควันหมาป่าเหมือนบุปผาเปราะบางที่ไหวเอนท่ามกลางพายุ ถูกหยดน้ำโจมตีจนเงยหน้าไม่ขึ้น เปลวเพลิงค่อยๆ หดเล็กลง
เฟ่ยเซิ่งปราดไปหน้าแท่น ใช้มือบังฝนไว้ คำรามอย่างกราดเกรี้ยว “สวรรค์เฮงซวย!”
ตวนโจวที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งมาหลายวันต้องเผชิญกับพายุรุนแรงแน่นอน เมื่อฝนกระหน่ำเทลงมา คูเมืองของประตูตะวันออกจะไม่ขาดน้ำชั่วคราว แต่แท่นส่งควันหมาป่าย่อมยากจะจุดไฟได้อีก
“ติด ติดสิวะ…แม่งเอ๊ย!” เฟ่ยเซิ่งถูหินจุดไฟ ทว่าสายฝนที่มาเยือนกะทันหันตกหนักเกินไป ทำเอาสองมือของเขาเปียกไปหมด
จุดไฟไม่ติดแล้ว
ฝนนี้ตกลงมาอย่างฉับพลัน ตกหนัก แต่ก็หยุดเร็ว ขอเพียงถอยกลับเข้าไปในเมืองชั่วคราวได้ก็ยังมีโอกาส
เสิ่นเจ๋อชวนตัดสินใจทันที ตวัดดาบไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ “ถอยกลับ!”
เฟ่ยเซิ่งสองตาพร่ามัว เขาคิดว่าเป็นเพราะถูกน้ำฝนชะ เขาถูหินจุดไฟเหมือนคนบ้า มองสะเก็ดไฟที่ติดๆ ดับๆ
ตาแก่
เล็บของเฟ่ยเซิ่งที่หักไปตอนครูดประตูเต็มไปด้วยคราบเลือด เขามือสั่น วิ่งเข้าไปคุ้ยฟางแห้งในอ่างไฟที่ยังดับไม่สนิท
การเป็นผู้กล้าช่างยากเหลือเกิน
เฟ่ยเซิ่งเบิกสองตาที่แดงก่ำ ดึงสมุดที่ใช้รับฟังและบันทึกออกจากอกเสื้อ ยัดมันเข้าไปในอ่างไฟ จากนั้นยื่นหน้าเข้าไปและใช้ปากเป่าลม สำลักควันจนแทบหายใจไม่ออก
…ชั่วชีวิตนี้ของข้า
เฟ่ยเซิ่งเป่าไฟดวงเล็กๆ นั้นเพื่อให้เปลวไฟลามเลียไปยังสมุดบันทึก ทันใดนั้นเปลวไฟก็พวยพุ่งขึ้นมาเกือบเผาเส้นผมของเฟ่ยเซิ่ง เขาล้มลงกับพื้น ถ่มน้ำลายออกมาคำหนึ่ง
…เสียสละตัวเองเพื่อคนอื่นครั้งนี้เท่านั้น!
ควันหมาป่าที่ลุกไหม้สองครั้งเปลวเพลิงไม่สูงนักท่ามกลางสายฝนที่ตกหนัก แต่ก็เพียงพอแล้ว ประกายไฟเล็กๆ ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้สว่างขึ้น หลังจากนั้นแสงไฟนับไม่ถ้วนก็สว่างตามลำดับ ทอดยาวออกไปจากแท่นส่งควันหมาป่า กลายเป็นมังกรยาวที่คดเคี้ยว ติดบ้างดับบ้างกลางสายฝนที่เทลงมา
เฟ่ยเซิ่งก้าวฉับๆ ไปหน้าแท่น เตรียมตัวกระโดดลงไป แต่เสียงที่จะตะโกนออกมากลับติดอยู่ในลำคอ เขาถอยกลับมา หน้าแท่นส่งควันหมาป่ามีทหารม้าเปียนซามืดฟ้ามัวดิน แทบจะไม่เหลือช่องว่างอยู่เลย ยามอยู่ต่อหน้ากองกำลังขนาดใหญ่ที่ถูกโยกย้ายมาตรงนี้ องครักษ์เสื้อแพรปีกขวาก็ดูเรียวเล็กประหนึ่งยอดหญ้า
เฟ่ยเซิ่งตากฝนจนตัวเปียก เขาพลิกดาบซิ่วชุนของตัวเองที่ถูกฟันจนบิ่น พูดกับสายฝน “ข้าบอกเจ้าแต่แรกแล้ว การเป็นผู้กล้าล้วนไม่มีจุดจบที่ดี”
น้ำฝนตกกระทบใบหน้าเฟ่ยเซิ่ง เสียงดังสับสนเหมือนกำลังทะเลาะกับเขา โลหิตบนใบหน้าเฟ่ยเซิ่งถูกน้ำฝนชะล้างไป เขาโยนดาบซิ่วชุนทิ้ง ก้าวขึ้นไปบนขอบแท่นส่งควันหมาป่า พลันชักดาบของอิ่นชางออกมา ตะโกนไปยังตวนโจว “ฝู่จวิน!” หน้าอกเขาสะท้อนขึ้นลง “ตั้งป้ายวิญญาณให้ข้าด้วย สลักว่า ‘เฟ่ยเหล่าสือผู้ภักดีมีคุณธรรม’ ข้ากับตาแก่จะหันหน้าไปยังแม่น้ำฉาสือ เฝ้ารักษาตวนโจวให้ท่านหนึ่งหมื่นปี!”
เสิ่นเจ๋อชวนควบม้าห้อตะบึง น้ำฝนกระเด็นผ่านคิ้วตาเขา
ตวนโจว
จงปั๋ว
เขามิใช่สายลมหนาวที่พัดผ่านแดนนานแล้ว เบื้องหลังเขามีเงาคนนับไม่ถ้วน น้ำหนักที่หนักอึ้งกดทับอยู่บนบ่า กดเสิ่นเจ๋อชวนที่เคยล่องลอยอยู่ในโลกนี้กลับสู่ผืนดิน เขาย่ำเหยียบผืนแผ่นดินนี้ เขามิอาจ…
ฝู่จวินเงยหน้าท่ามกลางพายุ คำรามว่า “ฝ่าวงล้อม!”
เฟ่ยเซิ่งกระโดดลงจากแท่นส่งควันหมาป่า กลิ้งไปบนพื้นและลุกขึ้น ตวัดดาบตัดเข่าหน้าของม้าพันธุ์เตี้ย กระโจนเข้าใส่ข้าศึกพร้อมดินโคลน ทหารม้าเปียนซาถั่งโถมมาทางนี้ประหนึ่งฝูงมด ปีกขวาถูกทหารม้าเปียนซาโจมตีจนกระจัดกระจาย
ประกายดาบหย่างซานเสวี่ยกรีดผ่าสายฝน กีบเท้าม้าย่ำเหยียบศพคนฝ่าวงล้อมไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
เฟ่ยเซิ่งต้านรับดาบโค้ง ถูกดันจนถอยไปข้างหลัง ในชั่วเวลาคับขันนี้เอง เขาได้ยินเสียงระเบิดกลางเสียงพายุฝน เขาล้มตัวลงในดินโคลนทันใด กลิ้งตัวไปรอบหนึ่งแล้วถูหน้าพลางตะโกนด้วยความยินดี “กองหนุน!”
เสียงระเบิดจากทางทิศใต้ของตวนโจวดังขึ้นอีกครั้ง ฮั่วหลิงอวิ๋นอยู่ข้างหลังทหารม้าเปียนซา อาศัยปืนไฟของทหารม้าเสื้อแพรในการเปิดทาง เขาออกแรงบรรจุกระสุนโดยไม่ได้เช็ดน้ำฝนออก ควบทะยานเข้าไปในกองกำลังเปียนซาและยิงปืนทันที
ถานไถหู่ข้างหลังอดรนทนไม่ไหวแล้ว ชักดาบตะโกนก้อง “ไอ้พวกบัดซบเปียนซาหัวโล้น ปู่ของพวกเจ้ามาแล้ว!”
กองกำลังล่วงหน้าของทหารรักษาการณ์ตุนโจวมาถึงแล้ว!
ท้องฟ้าปกคลุมด้วยเมฆหนา ตอนฝนหยุดประตูเมืองปิดสนิทอีกครั้ง
เสิ่นเจ๋อชวนหอบหายใจ นิ้วมือแช่น้ำจนขาวซีด ตอนเขาลงจากม้า น้ำในรองเท้าหุ้มแข้งทะลักออกมา ย่ำไปบนพื้นแล้วเกิดเสียงดัง “แจ๊ะๆ” เขาพูด “ปลดดาบพักผ่อน”
ทหารม้าเสื้อแพรพากันลงจากม้า ยัดอาหารที่ทหารรักษาการณ์ยื่นให้ใส่ปาก เปลี่ยนดาบที่บิ่นและเข้าไปพักผ่อนในเพิงตรงเชิงกำแพง เวลามีค่า พวกเขาไม่มีเวลาเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยซ้ำ ได้แต่ห่อตัวด้วยผ้าห่มผืนบาง ดื่มชาร้อนไม่กี่อึก หัวพิงผนังกำแพงก็หลับทันที
ถานไถหู่ถอดหมวกเกราะ เดินตามเสิ่นเจ๋อชวนขึ้นไปบนกำแพงเมือง ส่วนฮั่วหลิงอวิ๋นตามติดข้างหลัง “ข้าเดินทางขึ้นไปทางเหนือของแม่น้ำฉาสือ ระหว่างทางพบว่าคนและสัตว์ในจุดพักม้าลั่วซาถูกสังหารเกลี้ยง เดิมคิดจะกลับตวนโจวมารายงานฝู่จวิน แต่ทหารม้าเปียนซามีจำนวนมากเกินไป ข้าจึงมุ่งไปทางทิศตะวันตก จุดแท่นส่งควันหมาป่าของตุนโจว”
เส้นผมเปียกชื้นของเสิ่นเจ๋อชวนแนบติดแก้ม เขาถาม “เขตสมรภูมิสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง”
“ทางม้าถูกตัดขาด” ถานไถหู่พูด “ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ เขตสมรภูมิเองก็หนักหน่วง”
พวกเขาขึ้นมาบนกำแพงเมือง นั่งลงใต้เชิงเทินที่ยังสมบูรณ์ ตรงนี้ตั้งเพิงแบบง่ายๆ ไว้ พื้นยังนับว่าแห้ง
เสิ่นเจ๋อชวนกางแผนที่ทางทหาร ถอดต่างหูพลอยโมราที่สกปรกจนกลายเป็นลูกปัดโคลนออกเก็บไว้ในอกเสื้อ เขามองแผนที่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “พอฝนตกหน้าประตูก็เฉอะแฉะ อาวุธหนักของพวกเปียนซาจะจมลงไป ก่อนตะวันขึ้นพวกเขาไม่จู่โจมง่ายๆ แน่นอน”
“แต่ก็คงไม่หยุดนานนัก” เฉียวเทียนหยาจิ้มไปที่ตุนโจว “พวกเขารู้แล้วว่ากองหนุนจากตุนโจวกำลังจะมา”
“ทหารรักษาการณ์ล้วนเป็นทหารราบ การเดินเท้าช้า กว่ากองกำลังหลักจะรุดมาถึงตวนโจวยังต้องใช้เวลาอีกหนึ่งคืน” ถานไถหู่ลูบรอยแผลเป็นบนดวงตา “กองกำลังล่วงหน้าของข้ามีเพียงสองพันคน”
เฟ่ยเซิ่งใกล้จะนอนลงไปเต็มที เขากอดดาบของอิ่นชาง ไม่มีแรงโวยวายอีก น้ำเสียงแหบแห้ง “แท่นส่งควันหมาป่าทางทิศตะวันออกเฉียงใต้จุดติดแล้ว พวกเราแค่ต้องรักษาเมืองให้ผ่านคืนนี้ไป…”
“ทหารม้าเปียนซาไวมาก” ฮั่วหลิงอวิ๋นขัดคำพูดของเฟ่ยเซิ่ง “ถ้าฮาเซินคิดจะสกัดกองหนุนจากตุนโจว ตอนนี้โยกย้ายกำลังไปทางใต้ก็ยังทัน พวกเรามิอาจเดิมพันเวลาไว้กับคืนนี้ได้จริงๆ”
ข้อได้เปรียบของฮาเซินคือการเข้าใจสภาพภูมิประเทศของจงปั๋ว ทหารรักษาการณ์ตุนโจวไม่ใช่ทหารม้าเสื้อแพร พวกเขาต้องใช้สองขาวิ่ง หากถูกทหารม้าเปียนซาขัดขวาง ย่อมเป็นไปได้ที่จะชะงักอยู่ด้านหลังตวนโจว ทำให้เวลาในการช่วยเหลือล่าช้าออกไป
“พวกเราต้องรักษาเมืองไว้จนกว่ากองหนุนจากเปียนจวิ้นจะมาถึง” นิ้วมือของฮั่วหลิงอวิ๋นเลื่อนจากทางม้าของเปียนจวิ้นมายังตวนโจว “ตอนท่านรองลงใต้เคยบอกว่า ขอเพียงฮาเซินเคลื่อนไหว ท่านจอมทัพก็จะอ้อมกลับมาเก๋อต๋าเล่อลอบโจมตีด้านหลังของฮาเซิน ไม่ว่าอย่างไร ฮาเซินก็มิอาจอยู่ในเขตแดนตวนโจวนานเกินไป กำแพงเมืองตวนโจวแข็งแรง ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหาร อย่างน้อยพวกเรายังต้องรักษาเมืองไว้อีกสองวัน”
รักษาเมืองอีกสองวัน
คำพูดนี้ทำเอาทุกคน ณ ที่นั้นหัวใจจมดิ่ง
เฉียวเทียนหยาหันหน้ามองออกไปนอกเชิงเทิน “นี่เป็นสงครามตัดสินเป็นตาย”
ผืนฟ้าขมุกขมัว แม่น้ำฉาสือที่เมื่อคืนยังนับว่าสวยสง่าบัดนี้กลับกลายเป็นปุยฝ้ายขาวซีด กำแพงเมืองหลังถูกฝนกลายเป็นสีดำ ทหารรักษาการณ์ทำความสะอาดสนามรบหน้าประตูเมืองอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าทหารของฝ่ายใด เมื่อกลายเป็นศพแล้วจะถูกวางซ้อนไว้ด้วยกัน ใบหน้าของคนเหล่านั้นซีดขาว แช่อยู่ในบ่อโคลนดูคล้ายหญ้าแห้งที่ขาดน้ำ
เสิ่นเจ๋อชวนเดินลงจากบันไดตามลำพังไปล้างหน้าข้างโอ่งน้ำ เขาใช้แขนข้างหนึ่งยันโอ่ง มองมือขวาของตัวเอง เขาจุ่มมือลงในน้ำสะอาด คราบเลือดบนผ้าเช็ดหน้าแผ่กระจายออกไปทันที
ผ้าเช็ดหน้าของอาเหย่สกปรกเสียแล้ว
เสิ่นเจ๋อชวนแกะผ้าเช็ดหน้าออก นิ้วมือที่บาดเจ็บสองนิ้วถูกรัดจนบวม เขาหมุนตัวกลับและนั่งลง บิดผ้าเช็ดหน้าจนแห้ง ผึ่งมันไว้บนหัวเข่า แหงนศีรษะขึ้น สายตาจับอยู่เบื้องบน
สายลมพัดต้นไม้ข้างๆ กระทั่งใบไม้ใบหนึ่งร่วงลงมา
เสิ่นเจ๋อชวนนั่งพิงโอ่งผล็อยหลับไปเช่นนี้
ฮาเซินใช้มือวักน้ำในแม่น้ำแล้วจุ่มหน้าลงไป จากนั้นหันไปทางทิศตะวันออก ทำท่าบอกลา ศีรษะคนข้างเท้าเขายาวต่อเนื่อง ดาบโค้งถูกโลหิตย้อมจนเป็นสีแดง ชุดหนังที่เพิ่งตัดใหม่เผยให้เห็นข้อมือทั้งสองข้าง ในกระเป๋าแขนเสื้อ
ปราชญ์สูงวัยวักน้ำจากแม่น้ำราดรดกระหม่อมฮาเซิน “เทพเจ้าโปรดคุ้มครองเหยี่ยวผู้กล้าของเผ่าฮั่นเสอ”
ฮาเซินเงยหน้าที่เปียกชื้นมองปราชญ์และถาม “ข้าจะชนะหรือไม่”
ปราชญ์โน้มตัวลงลูบหน้าผากฮาเซิน ดวงตาขุ่นมัวคู่นี้ผ่านกาลเวลาและประวัติศาสตร์มายาวนาน ดูเหมือนเขาจะแก่ชรายิ่งกว่าแม่น้ำฉาสือเสียอีก ปัญญาของเขาหาใช่สิ่งที่ปาอินสามารถเทียบชั้นได้ เขาคุกเข่าลง ประคองใบหน้าของฮาเซินและพูดเนิบช้า “เจ้ายืนอยู่ในจุดที่พวกเราไม่เคยไปถึงมาก่อน”
“แต่ยังมีหมาป่าอีกตัวเฝ้าอยู่ข้างหน้า” ฮาเซินพูด “ข้าฆ่าบิดาเขา”
“ราชาหมาป่ากัดพี่น้องของเจ้าจนตาย” ใบหน้าแก่ชราของปราชญ์ประหนึ่งเนินทรายรกร้างในทะเลทรายกว้างใหญ่ “ความเมตตาที่เทพเจ้าชื่อถีประทานให้มาพร้อมกับความเจ็บปวด เขาแย่งชิงทุ่งหญ้าและท้องฟ้าสีครามไป พวกเราไม่ตายไม่เลิกรามานานแล้ว”
หยดน้ำไหลลงจากใต้คางของฮาเซิน เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยเสียงทุ้ม “ข้าต้องชนะ”
เสิ่นเจ๋อชวนสะดุ้งตื่นเพราะเสียงปืนใหญ่ จังหวะที่ลืมตาเขารู้สึกเย็นเฉียบไปทั้งร่าง ท่ามกลางเสียงฝีเท้าสับสน เขาพันผ้าเช็ดหน้ากลับที่เดิมอย่างรวดเร็วและลุกขึ้นยืน
“จุดไฟ!”
คบไฟรอบด้านพลันสว่าง เสิ่นเจ๋อชวนย่ำบันไดขึ้นไปบนกำแพงเมือง
“ยังมีทหารม้าเปียนซากำลังข้ามแม่น้ำ” เฟ่ยเซิ่งมองไปไกลๆ “พวกเขากำลังรวมตัวมุ่งหน้ามาตวนโจว”
เสิ่นเจ๋อชวนดื่มน้ำขิงที่เฉียวเทียนหยาส่งให้ เอ่ยว่า “ฮาเซินมาแล้ว”
“ทหารม้าเปียนซาแบ่งกำลังแล้ว” แผ่นหลังของเฟ่ยเซิ่งมีเหงื่อเย็นซึม “แย่ละ พวกเขาจะบุกโจมตีทั้งสามด้าน!”
ทหารม้าเปียนซาเหมือนเหยี่ยวที่กำลังสยายปีกทั้งสองข้าง กองกลางรวมตัวเป็นกลุ่มก้อน จำนวนมากกว่าทหารม้าเปียนซาตอนกลางวันมาก ทหารม้าเปียนซาที่เป็นปีกสองข้างถือคบไฟวิ่งอ้อมไปอย่างรวดเร็ว
“แจ้งประตูทิศเหนือและทิศใต้” เสิ่นเจ๋อชวนทุบชามจนแตก ออกคำสั่งเสียงดัง “ต้านไว้สุดกำลัง!”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง เชิงเทินตรงหน้าก็พังไปครึ่งหนึ่งพร้อมเสียงดัง “โครม” ทหารม้าเสื้อแพรและทหารรักษาการณ์บนกำแพงวิ่งไปมา พลธนูวางธนูบนเชิงเทินที่เสียหายและน้าวสาย
กองกลางของฮาเซินไม่ได้เคลื่อนไหวเหมือนปีกทั้งสองข้าง เขานำเครื่องยิงหินและปืนใหญ่คานเดี่ยวทั้งหมดออกมาใช้ ก้อนหินหนักกระหน่ำลงมาบนกำแพงเมืองตวนโจว กระแทกกำแพงจนเศษหินกระเด็นไปทั่ว พลธนูไม่อาจน้าวธนูได้เลย
ทหารม้าเปียนซาข้างกายฮาเซินชูธง ทหารม้าข้างหลังหยุดลั่นกลองทรงกระบอก ยกแตรเขาสัตว์ขึ้นมาและเป่าในทันที ปีกทั้งสองข้างมาถึงประตูเหนือและประตูใต้แล้ว ธนูของประตูเหนือถูกยิงออกไปหนึ่งชุด ส่วนประตูใต้ได้แต่อาศัยการเขวี้ยงเครื่องมือทางการเกษตรออกไป
บรรดาเซียนเซิงในสนามม้ากำลังหลับพักผ่อน พลันได้ยินเสียง “โครม” ดังสนั่น พวกผู้หญิงร้องไห้โฮอย่างลนลาน กอดกันกลม
“ข้าศึกบุกตีเมืองแล้ว!” เกาจ้งสยงตัวสั่น กอดกระดาษกับพู่กันของตัวเองแน่น
รถกระทุ้งกระแทกครั้งแรกไม่สำเร็จ แต่เพียงไม่นานก็ได้ยินเสียงกระแทกดังกว่าเดิม ประตูเมืองชั้นนอกสุดถูกทำลาย เสียงโห่ร้องของทหารม้าเปียนซาลอดผ่านประตูแขวนเข้ามา ชาวบ้านในสนามทำอะไรไม่ถูก เบียดตัวถอยกรูดอย่างตื่นตระหนก
ทหารรักษาการณ์บนกำแพงกระโดดลงมา ชักดาบและตะโกนเข้าไปในสนามม้า “หนีเข้าไปในตรอก!” เขายังพูดไม่จบ ประตูแขวนก็ระเบิดออกพร้อมเศษไม้ ถูกรถกระทุ้งชนกระแทกจนเป็นรู
ทหารรักษาการณ์ชูมือขึ้น หอบหายใจรุนแรงจนหยาดเหงื่อและน้ำตาไหลรินพร้อมกัน ตอนด้านล่างของประตูแขวนถูกรถกระทุ้งชนจนกระเด็น เขาวิ่งออกไปเป็นคนแรก ตวัดดาบพุ่งเข้าหาศัตรูพลางตะโกน “ฆ่ามัน!”
ขงหลิ่งเข็นรถสี่ล้อ บรรดาเซียนเซิงตามหลังชาวบ้าน กรูกันไปที่เขตชุมชน
ทหารรักษาการณ์ต้านการบุกตีของทหารม้าเปียนซาไม่อยู่ ดาบโค้งตัดศีรษะของทหารรักษาการณ์เหมือนเกี่ยวข้าว เสียงกีบเท้าม้าไม่หยุดลงเลย ห้อตะบึงมายังกลุ่มคน
บรรดาเซียนเซิงวิ่งมาถึงปากตรอกแล้ว ในนั้นเต็มไปด้วยชาวบ้าน ผู้หญิงคนหนึ่งต้องจูงเด็กหลายคน ทั้งยังต้องแบกคนแก่ เพราะชายฉกรรจ์ล้วนไปต้านรับข้าศึกหน้าประตูแขวน คนที่เหลืออยู่เมื่อเผชิญหน้ากับทหารม้าเปียนซาก็ไร้เรี่ยวแรงโต้ตอบ
กระดาษของเกาจ้งสยงร่วงหล่นจากแขน ขาแข้งร่างกายสั่นเทา ยังไม่ทันเบียดตัวเข้าไปคอเสื้อด้านหลังก็ถูกเกี่ยวไว้เสียก่อน ร่างกายถูกทหารม้าลากออกไป เขาร้องเสียงดังอย่างตื่นตระหนก น้ำมูกน้ำตาไหล
ทหารม้าพูดอะไรบางอย่างแล้วถ่มน้ำลายใส่หน้าเกาจ้งสยงหนึ่งที
เกาจ้งสยงที่เดินมาถึงทางตันไม่รู้เอาเรี่ยวแรงมาจากที่ใด ถ่มน้ำลายใส่ทหารม้าเช่นกัน ตะโกนเสียงดัง “บัณฑิตฆ่าได้หยามไม่ได้!”
ทหารม้ากลิ้งตกจากหลังม้า ขงหลิ่งเหวี่ยงดาลประตูที่เก็บมาได้ใส่ทหารม้า ร้องเร่ง “เร็วเข้า เสินเวยรีบหนี!”
ทหารม้ากุมศีรษะด้านหลัง ลุกขึ้นควานหาดาบโค้งของตัวเอง
เกาจ้งสยงเดิมทีถอยหลังไปหลายก้าวแล้ว ครั้นเห็นขงหลิ่งกำลังรั้งท้ายก็ไม่ต้องเสียเวลาคิด ดึงสัมภาระที่คล้องแขนอยู่ออก ในนั้นมีพู่กันกับแท่นฝนหมึก เขาใช้มันทุ่มไปที่หัวของทหารม้า ทำเอาอีกฝ่ายที่ไม่ทันระวังล้มลงกับพื้นอีกครั้ง
ขงหลิ่งไม่ได้โยนดาลประตูทิ้ง ยกชายชุดคลุมพลางดันตัวเกาจ้งสยง สองคนวิ่งเข้าไปในตรอกต่อ เกาจ้งสยงยังหันกลับไปมองห่อสัมภาระของตัวเอง ร้องไห้พลางพูดว่า “แท่นฝน แท่นฝนหมึกอันนั้นของข้าแพงมาก!”
เฉียวเทียนหยาควบม้าผ่านไปอย่างรวดเร็ว เขานำทหารม้าเสื้อแพรปะทะกับทหารม้าเปียนซาซึ่งหน้า สองฝ่ายห้ำหั่นกันในความมืดมิดไร้แสง ชาวบ้านในตรอกปิดปากปิดจมูก ได้แต่สะอื้นไห้ไม่กล้าร้องเสียงดัง ได้ยินเพียงเสียงฆ่าฟันอย่างรุนแรง ขณะที่ทหารรักษาการณ์วิ่งผ่านไปไม่หยุด
เหยาเวินอวี้หมุนรถเข็น แนบตัวติดกำแพง แต่กลับไม่ได้ยินเสียงเฉียวเทียนหยาเลย
หลังผ่านไปครึ่งชั่วยาม ปากตรอกพลันมีคบไฟสว่าง
เฉียวเทียนหยาเช็ดเลือดที่ไหลลงจากคาง เงยหน้าเล็กน้อยมองเข้าไปข้างใน สายตากวาดผ่านเหยาเวินอวี้ มองไปยังขงหลิ่งและเอ่ยว่า “รบกวนเฉิงเฟิงเซียนเซิง พาทุกคนถอยกลับไปที่จวนด้วย”
ขงหลิ่งรับคำ ยามนี้ถึงได้โยนดาลประตูในมือทิ้ง ก้าวไปข้างหน้าอย่างเร่งร้อน ส่งเสียงเรียกชาวบ้านให้ตามไป เกาจ้งสยงรีบก้มลงเก็บกระดาษของตัวเอง
ท่ามกลางแสงไฟวูบไหว เฉียวเทียนหยาปราดเข้ามาหลายก้าว ประชิดเข้ามาหาเหยาเวินอวี้
เหยาเวินอวี้พูด “ฝู่จวิน…”
รถเข็นสี่ล้อกระแทกผนังกำแพงเบาๆ มือข้างหนึ่งของหยวนจั๋วยันที่เท้าแขนไว้ ก่อนจะถูกเฉียวเทียนหยาประคองใบหน้าประกบจูบในมุมมืดสลัวแห่งนี้ จุมพิตนี้ไม่อ่อนโยนแม้แต่น้อย ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดกลับแฝงไว้ด้วยความปรารถนารุนแรงจนน่าตกใจ
เฉียวเทียนหยาปล่อยเหยาเวินอวี้กะทันหัน เช็ดคราบเลือดที่เปื้อนคางให้หยวนจั๋ว ถอยหลังอย่างรวดเร็วและขึ้นม้าจากไป ทิ้งเหยาเวินอวี้ให้กุมตัวเองอย่างตกตะลึง
ฮาเซินหวดแส้เสียงดัง เขานำกองกำลังฝีมือดีบุกฝ่าคูเมือง พุ่งไปยังประตูตะวันออกพร้อมดินโคลน โดยมีรถกระทุ้งตามอยู่ข้างหลัง
ถานไถหู่โบกแขนร้องสั่ง “เตรียมพร้อม”
หน้าไม้ยักษ์บนกำแพงเมืองเคลื่อนไหวพร้อมเสียงดัง “แกร๊ก” ทหารรักษาการณ์สิบกว่านายตั้งธนูยาว หน้าไม้ยักษ์ที่อานุภาพทำลายล้างเหนืออาวุธใดๆ ต้องนำมาใช้รับมือกับฮาเซินเท่านั้น แต่โอกาสนั้นหายาก จำต้องทำให้ฮาเซินถอยหลังไปก่อน
ผิวน้ำในคูเมืองสั่นไหว ม้าของฮาเซินเพิ่งจะย่ำลงบนพื้นดาบก็พุ่งเข้ามา ดาบโค้งของเขารีบต้านรับ สกัดไว้ได้อย่างมั่นคง ท่ามกลางแสงไฟและฝุ่นดิน เขามองเห็นเสิ่นเจ๋อชวน สองคนไม่มีใครเป็นฝ่ายได้เปรียบในการปะทะกันครั้งแรก จังหวะที่ผละออกก็สามารถประเมินความร้ายกาจของฝ่ายตรงข้ามได้
เส้นผมสีแดงของฮาเซินปาดเฉียง เขาหมุนดาบโค้ง ใช้คมดาบเล็งไปที่เสิ่นเจ๋อชวนเหมือนกำลังเล็งเป้าแล้ว“เสิ่นเจ๋อชวน”
เสิ่นเจ๋อชวนเช็ดคมดาบเบาๆ เฟิงท่าซวงอียกกีบเท้าอ้อมหลบฮาเซิน ฉับพลันเขาก็บั่นศีรษะทหารม้าเปียนซาที่ติดตามฮาเซิน
ฮาเซินคิดถึงเซียวฉือเหย่ เซียวฉือเหย่ส่งศีรษะของอาชื่อกลับไป นี่เป็นการดูหมิ่นอย่างหนึ่ง เหมือนที่เขานำศีรษะของเซียวฟางซวี่ไปด้วยนั่นแหละ
สองฝ่ายต่างไร้ทางถอย ดาบเหล็กปะทะกันหลายครั้ง ทหารม้าเปียนซาดันทหารม้าเสื้อแพรถอยหลัง ทหารม้าเสื้อแพรต้านกลับอย่างดึงดัน กีบเท้าม้าของพวกเขาชนกันในดินโคลน มีคนร่วงตกลงไปอย่างต่อเนื่องกลายเป็นโคลนเละ
ทหารรักษาการณ์บนกำแพงเมืองผลักหินหนักที่เหลืออยู่ลงไปทั้งหมด แต่ทหารม้าเปียนซาที่ถูกหินกระแทกจนล้มลงยังมีกำลังเสริมมาเรื่อยๆ ราวกับไม่มีวันฆ่าได้หมด
เสิ่นเจ๋อชวนแตกต่างจากคู่ต่อสู้ที่ฮาเซินเคยพบเจอมา ยามอยู่ต่อหน้าการจู่โจมอย่างฉับพลันเช่นนี้เขายังคงมีสติสัมปชัญญะ เขาอาจไม่ได้แข็งแกร่งเท่าฮาเซิน แต่เจ้าเล่ห์มากพอ การจู่โจมอย่างหนักของฮาเซินเหมือนพุ่งเข้าไปในน้ำ เป็นความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงเพราะคว้าจับอีกฝ่ายไม่ได้ เสิ่นเจ๋อชวนเป็นคู่ต่อสู้ที่รับมือยากที่สุดของฮาเซิน
ฮาเซินพลิกแขนเก็บดาบโค้ง นำเหลิงชื่อออกมาแทน
น้ำมันบนกำแพงกระเด็นไปทั่วจนรอบด้านลุกไหม้ ฮาเซินชิงลงมือก่อน เหลิงชื่อของเขาสกัดทางดาบหย่างซานเสวี่ยที่แทงเฉียงเข้ามา ม้าศึกบุกไปข้างหน้าทันทีชนกับเฟิงท่าซวงอี แรงมหาศาลชนเสิ่นเจ๋อชวนไปยังประตูเมือง
จู่โจม!
ดาบหย่างซานเสวี่ยเกือบหลุดมือ ด้ามดาบดันสองนิ้วของเสิ่นเจ๋อชวนทำเอาแทบจะบิดกลับไป กระนั้นเสิ่นเจ๋อชวนกลับไม่รู้สึก เขาดันด้ามดาบกลับมา ใช้นิ้วมือที่เหลือสามนิ้วกำแน่น แล้ววางสันดาบบนแขน ใช้กระบวนท่าเดียวกับอิ่นชาง อาศัยศอกดันคมดาบปาดไปยังลำคอของฮาเซินในจังหวะที่บิดตัว
ฮาเซินหมอบหลบ ถือเหลิงชื่อกลับด้านจู่โจมหน้าอกเสิ่นเจ๋อชวน เสิ่นเจ๋อชวนคว้าข้อมือฮาเซินไว้ทันใดแต่กำลังไม่พอ ชั่วพริบตาแห่งความเป็นความตายนี้เอง เขาพลันกดเหลิงชื่อของฮาเซินลงด้านล่าง ทำให้การจู่โจมได้แต่แทงไปข้างเอว หลบเลี่ยงจุดสำคัญของตนไปได้
“ฝู่จวิน!” ถานไถหู่บนกำแพงเมืองเห็นฮาเซินโจมตีเสิ่นเจ๋อชวน จิตวิญญาณก็กระเจิดกระเจิงทันใด
ฮาเซินแทงถูกช่วงเอวของเสิ่นเจ๋อชวนแล้วคิดจะถอยหลัง แต่กลับพบว่านิ้วมือที่จับตัวเองไว้ประหนึ่งตะปูเหล็ก เสิ่นเจ๋อชวนแววตาเย็นเยียบขณะร้องสั่ง “ดัน!”
ทหารม้าเสื้อแพรข้างหลังที่ดูคล้ายกระจายตัวอย่างสับสนจัดกระบวนทัพใหม่ทันที ถอยตามเสิ่นเจ๋อชวนกลับสู่กองกลาง ก่อนจะกรูไปยังกองกำลังของฮาเซิน
หลงกลแล้ว!
ฮาเซินชักเหลิงชื่อออก แต่ม้าศึกของทหารม้าเสื้อแพรพุ่งเข้ามาแล้ว กองหน้าของเขาถูกกระแทกจนถอยหลังทันใด ก้นของม้าที่อยู่ข้างหลังตกลงไปในคูน้ำ หน้าไม้ยักษ์เหนี่ยวไกแล้ว แต่ระยะห่างยังคงไม่พอ
เสิ่นเจ๋อชวนสั่งเสียงเฉียบ “ดันอีก!”
กระดานข้ามบนคูน้ำหักไปจนแทบไม่เหลือ น้ำในคูกระเด็นขึ้นมา ฝนเพลิงบนกำแพงยังคงตกลงมาอย่างต่อเนื่อง กองกำลังบุกโจมตีของฮาเซินสลายตัวแล้ว ระหว่างถอยหลังเขาออกแรงกระชากเสิ่นเจ๋อชวนลงจากหลังม้า
เสิ่นเจ๋อชวนล้มลงในโคลน เขาไม่มีเวลาเช็ดหน้า ได้แต่กลิ้งตัวออกไปก่อน ดึงระยะห่างออกจากฮาเซิน เขาสกปรกยิ่งนัก ดูไม่ออกว่าส่วนไหนกำลังเลือดออก เลือดผสมกับน้ำโคลนก่อนจะถูกกลบไปท่ามกลางเสียงย่ำกีบเท้าม้า
ฮาเซินรู้จักคว้าโอกาส การประมือสองสามครั้งเมื่อครู่ทำให้เขาอ่านเสิ่นเจ๋อชวนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง บุรุษผู้นี้กำลังกายอ่อนแอจนแทบไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา เขากระโจนขึ้นมา อาศัยน้ำโคลนที่สาดออกไปปราดมาตรงหน้าเสิ่นเจ๋อชวนในทันที
เสิ่นเจ๋อชวนถือดาบสกัดไว้ ถูกแรงของฮาเซินกระแทกจนถอยไปครึ่งก้าว เขายื่นเท้าวาดออกไปในจังหวะที่ฮาเซินยังยืนไม่มั่นคงจนล้มลง แต่ฮาเซินใช้มือข้างเดียวยันพื้นและดีดตัวกลับขึ้นมาได้ทันที เหลิงชื่อหมุนอยู่ระหว่างนิ้วมืออย่างคล่องแคล่วเป็นพิเศษ เสิ่นเจ๋อชวนหลบเลี่ยง ดาบหย่างซานเสวี่ยปะทะกับเหลิงชื่อถี่รัวดัง “เช้งๆ”
ถานไถหู่บังเกิดไหวพริบในชั่วเวลาคับขัน ยกมือตะโกนว่า “จู่โจมด้วยไฟคุ้มกันฝู่จวิน!”
ทหารรักษาการณ์บนกำแพงฝ่าระเบิดน้าวธนู ฮาเซินถอยหลังไปเล็กน้อยตามคาด ครั้นมองขึ้นไปบนกำแพงชัดๆ ถึงได้รู้ว่าหลงกล บนกำแพงเมืองไม่มีน้ำมันแล้ว เขายังมิทันได้ถอนสายตากลับมาหน้าอกก็รู้สึกหนักอึ้ง เขาถูกเสิ่นเจ๋อชวนถีบไปข้างหลัง ฮาเซินคว้าข้อเท้าอีกฝ่ายในจังหวะที่ล้มไปข้างหลัง พาเสิ่นเจ๋อชวนล้มตามไปด้วย
น้ำโคลนสาดกระเด็นดัง “ซ่า” ผ้าเช็ดหน้าคลายออก สามนิ้วที่ยังมีความรู้สึกกำดาบหย่างซานเสวี่ยไม่แน่นจนหลุดไปด้านข้าง เสิ่นเจ๋อชวนสำลักโลหิตออกมาทันใด อยากลุกขึ้นแต่กลับมิอาจลุกได้ในทันที
ฮาเซินยืดตัวขึ้นอย่างว่องไว เห็นเสิ่นเจ๋อชวนจะคว้าดาบจึงลากข้อเท้าเขาไปข้างหลัง เสิ่นเจ๋อชวนที่อยู่ในน้ำโคลนคว้าได้เพียงอากาศ เขาตัดสินใจทิ้งดาบหย่างซานเสวี่ย ใช้มือข้างเดียวกดแผลตรงเอวไว้ อาศัยแรงจากเอวพลิกตัวขึ้นมา
การทำเช่นนี้แทบเอาชีวิตเขาเลยทีเดียว!
เสิ่นเจ๋อชวนหอบหายใจหนัก ข้อศอกจู่โจมไปที่หน้าผากฮาเซิน วิชาหมัดมวยสกุลจี้แข็งแกร่งดุดัน ฮาเซินถูกโจมตีจนคลายมือจากอาวุธ ทว่าก็ยังตอบสนองรวดเร็ว เหลิงชื่อในมือขวาหลุดมือจากนั้นเข้าไปอยู่ในมือซ้าย แทงไปที่ลำคอเสิ่นเจ๋อชวนอย่างคาดไม่ถึง
แขนข้างเดียวของเสิ่นเจ๋อชวนต้านไม่อยู่ เขาใช้สองแขนหนีบมือซ้ายของฮาเซิน ร่างกายครึ่งท่อนแหงนเงยเล็กน้อย เหลิงชื่อหยุดอยู่ใกล้เป้าหมายเพียงนิดเดียว เสิ่นเจ๋อชวนเลือดซึมออกจากไรฟัน เขาอมรสชาติคาวเค็มนั้นไว้ บิดมือซ้ายของฮาเซิน ยกเข่ากระแทกหน้าอกในจังหวะที่อีกฝ่ายโน้มตัวเข้ามา ฮาเซินล้มลงกับพื้นทันที
เสิ่นเจ๋อชวนเอียงศีรษะถ่มเลือดในปากออก ตอนฮาเซินเงยหน้าเขาใช้กำปั้นต่อยจนศีรษะหันไปอีกทาง ฮาเซินเบือนหน้ากลับมา มือข้างที่ว่างคว้าแขนเสิ่นเจ๋อชวนและพลิกกลับในจังหวะที่เขาเก็บแรง ทำให้เสิ่นเจ๋อชวนถูกทุ่มลงกับน้ำโคลนอีกครั้ง แขนขวาถูกบิดจนผิดรูป เขากระชากคอเสื้อฮาเซินตอนล้มลง ตะโกนว่า “ถานไถหู่!”
ถานไถหู่คำราม “ยิง!”
สะเก็ดไฟรอบหน้าไม้ยักษ์กระจัดกระจาย อึดใจที่ลูกธนูยาวพุ่งออกมา เกิดกระแสลมรุนแรงระลอกหนึ่ง ลูกธนูยาวนั่นตรงมายังฮาเซิน! ฮาเซินคว้าตัวเสิ่นเจ๋อชวนขึ้นมาและกลิ้งไปข้างหลัง กระโจนลงในคูน้ำกะทันหัน ลูกธนูยาวของหน้าไม้ยักษ์พุ่งลงไปในคู ก่อให้เกิดคลื่นน้ำ
เสิ่นเจ๋อชวนกินน้ำสกปรกไปหลายอึก สำลักจนเวียนหัวตาลาย ฮาเซินยังคงไม่ยอมปล่อยเขา ลากตัวเขาไปอีกฝั่งของคูน้ำ
“ศีรษะเจ้า” ฮาเซินชักดาบโค้งที่ข้างเอวออกมาอีกครั้ง “ข้าจะมอบให้เซียวฉือเหย่”
เสิ่นเจ๋อชวนแหงนลำคอ ถ่มดินทรายในปากทิ้งระหว่างหอบหายใจ จากนั้นหัวเราะออกมา นัยน์ตาเปี่ยมอารมณ์ของเขาหลุบลงครึ่งหนึ่ง ดูชั่วร้ายเป็นพิเศษ “ลมพัดมาแล้ว”
ฮาเซินวาดดาบโค้ง เสิ่นเจ๋อชวนยกขาขึ้นทันใดถีบไปที่หน้าอกฮาเซินอย่างแรง ชั่วขณะที่เหยียบยันฮาเซินไว้ เขาใช้มือซ้ายคีบมีดสั้นข้างขาออกมา สกัดดาบโค้งของฮาเซินจนชะงัก ฮาเซินออกแรงถอยไปข้างหลัง
เสิ่นเจ๋อชวนยืนขึ้นแล้วเกี่ยวดาบโค้งไว้ จู่โจมไปที่หน้าผากฮาเซินตอนถอยหลัง ฮาเซินเบี่ยงตัวอย่างซวนเซ เลียนแบบท่วงท่าของเสิ่นเจ๋อชวนก่อนหน้านี้ ย่อตัววาดเท้าออกไปกะทันหัน ทว่าเสิ่นเจ๋อชวนไม่ล้ม
ฮาเซินยันพื้นลุกขึ้น เวลานี้เองเสียงลมที่ถูกฉีกทึ้งก็ระเบิดออกกลางอากาศอีกครั้ง ลูกธนูคมกริบมาพร้อมกับเสียงอสนีทึบหนัก ตรึงอยู่ข้างกายฮาเซินกลางพายุฝน
ธนูป้าอ๋องเปียกฝน
นั่นมิใช่สายอสนีบนท้องฟ้า แต่เป็นกลุ่มอสนีบนพื้นดิน ทหารม้าหนักย่ำพื้นจนเกิดเสียงดังสนั่น ตอนบุกเข้ามาแม้แต่สายฝนยังถูกชนกระแทกจนกระเด็นไป เหมือนสัตว์ร้ายที่กระโจนออกมาในราตรีมืดมิดอย่างดุดัน ลั่งเถาเสวี่ยจินวิ่งฝ่าม่านฝน เซียวฉือเหย่ที่ร่างกายเต็มไปด้วยโลหิตประหนึ่งสายอสนีดำทะมึน พุ่งจากขอบฟ้ามายังสนามรบ
น้ำค้างแข็งเย็นเยียบผ่านแดน
หมาป่ามาแล้ว