เชิญร่ำสุรา
將進酒
ถังจิ่วชิง
唐酒卿
กอหญ้า แปล
สุนัขชั่ว ปะทะ สุนัขบ้า
จงปั๋วหกโจวถูกประเคนยกให้แก่ศัตรูต่างแคว้น เสิ่นเจ๋อชวนถูกคุมตัวมายังเมืองหลวง
ถูกประนามหยามเหยียดจากทุกคน เมื่อเซียวฉือเหย่ได้ข่าว ก็มิร้องขอให้ผู้ใดลงมือแทน
เขาหมายมั่นจะเตะเสิ่นเจ๋อชวนให้พิการด้วยตนเอง
ทว่าใครจะรู้เล่าว่าเจ้าคนอ่อนแอขี้โรคนี่จะแว้งกัดเขาเสียจนเลือดสาด
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความบาดหมางระหว่างชายหนุ่มทั้งสอง
ที่จำต้องฉีกทึ้งกันทุกครายามเผชิญหน้ากัน
“โชคชะตาต้องการให้ข้าเฝ้าอยู่ที่นี่ชั่วชีวิต แต่นี่หาใช่เส้นทางที่ข้าเลือกไม่…
ทรายเหลืองกลบฝังพี่น้องข้า ข้าไม่อยากยอมจำนนให้กับชีวิตอันว่างเปล่าอีกแล้ว
ราชโองการมิอาจช่วยเหลือทหารของข้าได้
ราชสำนักมิอาจเลี้ยงดูม้าของข้าให้อิ่มได้…
ข้าไม่อยากทุ่มเทรับใช้พวกเขาด้วยชีวิตอีกแล้ว…
ข้าจะข้ามเขาลูกนั้นไป… ข้าจะต่อสู้เพื่อตัวเองสักครั้ง”
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 4 ทายาทคนโฉด
รองเท้าศึกย่ำเหยียบหิมะที่ทับถม เดินอ้อมข้างกายเสิ่นเจ๋อชวน ผู้มาใช้ปลายเท้าเขี่ยใบหน้าเสิ่นเจ๋อชวน ด้านหน้าของรองเท้าเปื้อนคราบเลือดเล็กน้อย เสียงที่ลอดออกมาจากหมวกเกราะทุ้มหนัก “เสิ่นเว่ยคือบิดาของเจ้ารึ”
เสิ่นเจ๋อชวนมิอาจห้ามเลือดที่ไหลออกจากปากได้ ใช้มือปิดก็ปิดไม่อยู่ จึงมิได้ตอบ
คนผู้นี้มองพินิจเขาจากมุมสูง “ข้าถามเจ้าอยู่”
เสิ่นเจ๋อชวนอมเลือดไว้เต็มปาก ก้มศีรษะส่งเสียงตอบว่า “อืม”
จี้เหลยเห็นสบโอกาส จึงพูดยุอยู่ด้านข้าง “เขาเป็นบุตรคนที่แปดของเสิ่นเว่ย ชื่อว่าเสิ่น…”
คนผู้นี้ยกแขนขึ้นถอดหมวกเกราะ เผยให้เห็นใบหน้าอ่อนเยาว์ เหยี่ยวไห่ตงชิง[1]ที่บินวนอยู่บนท้องฟ้าทิ้งตัวลงบนไหล่เขาพร้อมลมหนาว หอบเอาเกล็ดหิมะปลิวขึ้นเล็กน้อย เขามองเสิ่นเจ๋อชวนเหมือนมองรองเท้าคู่เก่า สายตานั้นไม่รู้ว่าเหยียดหยันหรือรังเกียจ คมกริบเยียบเย็นประหนึ่งใบมีด
เสิ่นเจ๋อชวนไม่รู้จักเขา แต่กลับรู้จักทหารม้าเหล็กหลีเป่ย
ตอนนั้นเสิ่นเว่ยล่าถอยไปทางทิศตะวันตกจนถึงฉือโจว นั่นเป็นแนวป้องกันด่านสุดท้ายของจงปั๋ว ทหารม้าเหล็กหลีเป่ยเดินทางจากเหนือลงใต้ ซื่อจื่อเซียวจี้หมิงเสี่ยงอันตรายเดินทัพกลางหิมะสามวันโดยไม่หยุดพัก ข้ามแม่น้ำปิงเหอรุดไปฉือโจว ใครจะคิดว่าแม้แต่ฉือโจวเสิ่นเว่ยก็มิอาจรักษาไว้ได้ ส่งผลให้ทหารม้าเหล็กหลีเป่ยถูกโอบล้อม หากไม่เพราะเซียวจี้หมิงมีกองหนุน น่ากลัวว่านั่นคงเป็นสงครามที่โหดร้ายทารุณอีกครา
หลังสงครามครั้งนี้ สิ่งที่หลีเป่ยชิงชังที่สุดก็คือสกุลเสิ่นในจงปั๋ว
คนผู้นี้หาใช่เซียวจี้หมิง แต่ในเมื่อเขาสามารถควบม้าเข้ามาในชวี่ตูได้และมีเหยี่ยวเกาะบนไหล่ คิดว่าจะต้องเป็นบุตรชายคนเล็กของหลีเป่ยหวัง น้องชายแท้ๆ ของเซียวจี้หมิงเซียวฉือเหย่แน่นอน
เดิมจี้เหลยคิดจะยุแยง แต่พอเห็นรองขุนพลเจาฮุยด้านหลังเซียวฉือเหย่แล้ว ก็ไม่กล้าพูดจายั่วยุอีก
เซียวฉือเหย่โยนหมวกเกราะให้เจาฮุย ริมฝีปากคลี่ยิ้ม สายตาคมกริบดุจใบมีดเมื่อครู่เหมือนน้ำแข็งที่ละลาย ท่าทางเหยาะแหยะเสเพลพลันปรากฏออกมา ทำให้แม้แต่ชุดเกราะที่สวมใส่อยู่ยังดูไม่เหมาะกับเขา
“ใต้เท้าจี้” เขาเอามือพาดไหล่จี้เหลย “ปล่อยให้ท่านรอนานเสียแล้ว”
จี้เหลยมองเซียวฉือเหย่แล้วหัวเราะ “เอ้อร์กงจื่อ[2] ไม่พบกันสองปี ไฉนจึงเห็นข้าเป็นคนอื่นคนไกลเช่นนี้เล่า”
เซียวฉือเหย่ชี้ดาบข้างเอวตัวเอง “ตอนนี้ข้ามีดาบแล้ว นับเป็นทหารไปครึ่งตัว”
จี้เหลยเหมือนเพิ่งมองเห็น ยิ้มตามและเอ่ยชม “ดาบดี! เอ้อร์กงจื่อเดินทางมาคุ้มกันฝ่าบาทครั้งนี้ หนทางยากลำบาก ประเดี๋ยวเข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้ว คืนนี้พวกเราไปดื่มสุรากัน!”
เซียวฉือเหย่ทำท่าเสียดาย ส่งสายตาบอกให้จี้เหลยมองรองขุนพลเจาฮุยที่อยู่ข้างหลัง “พี่ใหญ่ส่งคนมาคอยจับตาดูข้า ดื่มสุราแบบนี้จะสนุกได้อย่างไร รออีกสองสามวันให้ข้าจัดการเรื่องต่างๆ เรียบร้อยก่อน ข้าค่อยเลี้ยงเจ้า”
เจาฮุยคารวะจี้เหลยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
จี้เหลยยิ้มรับคำ พูดกับเซียวฉือเหย่ “เช่นนั้นเข้าวังก่อนเถิด ขบวนเกียรติยศรออยู่”
สองคนยิ้มสนทนากันอย่างเป็นธรรมชาติขณะเดินเข้าวัง เจาฮุยเดินตามข้างหลัง ก่อนจากไปเขาชำเลืองมองเสิ่นเจ๋อชวนแวบหนึ่ง องครักษ์จิ่นอีด้านข้างเข้าใจทันที ลากตัวเสิ่นเจ๋อชวนกลับไป
จี้เหลยมองส่งเซียวฉือเหย่เข้าวัง รอจนรอบด้านเหลือแต่คนของตัวเอง เขาจึงถ่มน้ำลายออกมา รอยยิ้มบนใบหน้าหายวับไป เหลือเพียงความหงุดหงิดขัดใจอัดแน่นเต็มท้อง
เดิมเขาคิดจะใช้นิสัยวู่วามของเจ้าหนุ่มผู้นี้ ทำให้เสิ่นเจ๋อชวนตายโดยบังเอิญ คิดไม่ถึงว่าเจ้าคนไม่เอาไหนผู้นี้จะเหมือนนกรู้ ถึงกับปล่อยวางได้อย่างง่ายดาย ถีบเท้าออกไปแค่ทีเดียวก็ละเว้นเสิ่นเจ๋อชวนเสียแล้ว
เซียวฉือเหย่เข้าวัง เจาฮุยส่งผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งให้ เขาเดินไปพลางเช็ดมือไปพลาง
เจาฮุยพูดเสียงเบา “เมื่อครู่กงจื่อถีบเขาเช่นนั้นเสี่ยงเกินไป หากทายาทสุนัขเสิ่นผู้นั้นตาย ไท่โฮ่วต้องไม่พอพระทัยแน่”
รอยยิ้มของเซียวฉือเหย่หายวับ สิ่งที่สะสมอยู่บนคิ้วและในดวงตามีแต่ความมืดทะมึน เขาเพิ่งกลับจากสมรภูมิ ความดุร้ายและไอสังหารเก็บงำไม่มิด ทำเอาขันทีที่นำทางไม่กล้าเงี่ยหูแอบฟังพวกเขาคุยกันอีก
เซียวฉือเหย่ตอบเสียงเย็นชา “ข้าก็ต้องการถีบให้ตายนั่นแหละ สุนัขเฒ่าเสิ่นทำให้จงปั๋วโลหิตไหลนอง ศพทหารในหลุมยุบฉาสือฝังมาครึ่งเดือนแล้วยังฝังไม่หมด บัดนี้สกุลฮวากลับจะปกป้องเชื้อสายของสุนัขเฒ่าผู้นี้ไว้เพราะสัมพันธ์ส่วนตัว ใต้หล้าจะมีเรื่องสมหวังเช่นนี้ด้วยรึ อีกอย่าง พี่ใหญ่รุดเดินทางเป็นพันหลี่เพื่อมาโจมตีศัตรู หลังสงครามครั้งนี้กลับมิอาจได้รับการอวยยศใดๆ อีก เพราะเกียรติยศของหลีเป่ยอยู่ในระดับสูงสุดแล้ว หลีเป่ยกลายเป็นเสี้ยนหนามในใจไท่โฮ่วไปเสียแล้ว”
เจาฮุยพูด “ซื่อจื่อมักบอกว่าพระจันทร์เมื่อเต็มดวงแล้วย่อมแหว่ง[3] ชวี่ตูอวยยศปูนบำเหน็จครั้งนี้เกินครึ่งคงเป็นงานเลี้ยงที่หงเหมิน[4]มากกว่า กงจื่อ ทัพใหญ่ปักหลักอยู่ร้อยหลี่นอกชวี่ตู ในเมืองมีแต่หูตาของสกุลสูงศักดิ์ ยามนี้จะวู่วามไม่ได้เป็นอันขาด”
เซียวฉือเหย่โยนผ้าเช็ดหน้าคืนให้เจาฮุย “ข้ารู้น่า”
“อาเหย่มาแล้วหรือ”
เสียนเต๋อตี้ป้อนอาหารให้นกแก้ว
เดรัจฉานมีขนตัวนี้ถูกเลี้ยงดูจนแสนรู้ยิ่ง อ้าปากพูดตามเสียนเต๋อตี้ “อาเหย่มาแล้ว อาเหย่มาแล้ว! อาเหย่ถวายบังคมฝ่าบาท! ฝ่าบาท ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี!”
มือของเซียวจี้หมิงถืออาหารสัตว์ ตอบว่า “น่าจะมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“สองปีแล้วสินะ” เสียนเต๋อตี้เล่นกับนกแก้ว “ไม่ได้เจอเขาสองปีแล้ว เด็กคนนี้เหมือนพ่อเจ้า โตเร็ว โตขึ้นแล้วเกรงว่าคงตัวสูงกว่าเจ้าเสียอีก”
เซียวจี้หมิงตอบ “ร่างกายสูงขึ้นพ่ะย่ะค่ะ แต่ยังมีนิสัยเหมือนเด็ก อยู่บ้านก่อเรื่องวุ่นวายไม่หยุด”
เสียนเต๋อตี้อยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ไอออกมาเสียก่อน พันหรูกุ้ยยกน้ำชามาให้ เสียนเต๋อตี้จิบน้ำชาครู่หนึ่ง ยังไม่ทันได้เอ่ยอันใดก็ได้ยินขันทีข้างนอกรายงานว่า เซียวฉือเหย่มาถึงแล้ว
“เข้ามา” เสียนเต๋อตี้นั่งลงบนที่ประทับ แขนข้างหนึ่งวางพาดที่เท้าแขน “เข้ามาให้เราดูหน่อย”
ขันทีเลิกม่านอย่างระมัดระวัง เซียวฉือเหย่ก้าวเข้ามา คุกเข่าลงบนพื้นพร้อมไอหนาว โขกศีรษะถวายบังคมเสียนเต๋อตี้
เสียนเต๋อตี้อมยิ้มเอ่ย “เด็กดี เจ้าสวมชุดเกราะแล้วดูน่าเกรงขามมาก เราได้ยินว่าสองปีก่อนเปียนซาสิบสองเผ่าปล้นเส้นทางขนส่งเสบียงและจุดพักม้าแถบชายแดน เจ้าแสดงฝีมือจับเป็นพวกเขาได้หลายคนใช่หรือไม่”
เซียวฉือเหย่หัวเราะ “ฝ่าบาททรงชมเกินไปแล้ว คนจับได้หลายคนก็จริง แต่ล้วนเป็นทหารปลายแถวพ่ะย่ะค่ะ”
สองปีก่อนเปียนซาสิบสองเผ่าปล้นเส้นทางขนส่งเสบียงกวนเป่ย เซียวฉือเหย่นำทัพออกรบครั้งแรก สุดท้ายถูกพวกหัวโล้นเปียนซาโจมตีจนแตกพ่าย ยังคงเป็นเซียวจี้หมิงที่ช่วยจัดการให้เขา ตอนนั้นเหตุการณ์นี้กลายเป็นเรื่องขบขัน ทำให้เซียวฉือเหย่กลายเป็นคนไร้ความสามารถที่ทุกคนต่างรู้ดี
เสียนเต๋อตี้เห็นท่าทางเขาแล้ว อ่อนโยนยิ่งกว่าเดิม “เจ้าอายุยังน้อย ควบม้าวาดทวนได้นับว่าเก่งแล้ว แต่พี่ใหญ่ของเจ้าเป็นหนึ่งในสี่ยอดขุนพลของต้าโจว ปกติเขาคงชี้แนะวิธีการรบให้เจ้าไม่น้อยกระมัง จี้หมิง เราว่าอาเหย่รู้จักพัฒนาตัวเอง เจ้าอย่าเข้มงวดเกินไปนักเลย”
เซียวจี้หมิงรับคำ
เสียนเต๋อตี้พูดต่อ “ครั้งนี้ทหารม้าเหล็กหลีเป่ยมีความดีความชอบในการคุ้มกันเรา นอกจากการปูนบำเหน็จครั้งใหญ่เมื่อวาน วันนี้ยังต้องตกรางวัลให้อาเหย่อีกเล็กน้อย”
เซียวจี้หมิงลุกขึ้นคำนับ “ฝ่าบาททรงเมตตา นับเป็นวาสนาของเขา ทว่าเขายังมิได้สร้างความดีความชอบแม้แต่น้อย จะรับรางวัลยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
เสียนเต๋อตี้ชะงักไป “เจ้าเร่งเดินทางเป็นพันหลี่ ข้ามแม่น้ำปิงเหอ คุณงามความชอบไร้ขีดจำกัด ครานี้อย่าว่าแต่อาเหย่เลย แม้แต่ภรรยาเจ้าลู่อี้จือ เราก็ต้องตกรางวัลให้ อาเหย่ หลีเป่ยเป็นพื้นที่สำคัญแถบชายแดน เจ้าอายุยังน้อย อยู่ที่นั่นนานเข้าย่อมไม่พ้นรู้สึกเบื่อหน่าย บัดนี้เราต้องการให้เจ้ามาอยู่ชวี่ตู ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองเกียรติยศ[5]อย่างมีความสุข เจ้ายินดีหรือไม่”
เดิมเซียวฉือเหย่ก้มหน้าไม่ขยับ พอได้ยินคำพูดนี้จึงเงยหน้าขึ้น “ฝ่าบาทพระราชทานรางวัล กระหม่อมย่อมยินดีอยู่แล้ว บ้านกระหม่อมมีแต่ขุนศึกที่ห้าวหาญ ปกติเวลาจะฟังเพลงยังหาที่ฟังไม่ค่อยได้ บัดนี้ได้อยู่ในชวี่ตู กระหม่อมมีแต่จะสุขใจจนลืมบ้านเกิด”
เสียนเต๋อตี้ทรงพระสรวลเสียงดัง “เจ้าหนุ่มผู้นี้ เราจะให้เจ้ามาเป็นทหารองครักษ์ เจ้ากลับคิดถึงแต่การเที่ยวเล่นหาความสำราญ คำพูดนี้หากบิดาเจ้าได้ยินเข้า น่ากลัวว่าคงหนีไม่พ้นถูกตีแน่นอน”
บรรยากาศภายในท้องพระโรงผ่อนคลาย เสียนเต๋อตี้ชวนพวกเขาพี่น้องอยู่กินข้าวด้วยกัน ขณะกำลังจะออกไป ได้ยินเสียนเต๋อตี้ถาม “ได้ยินว่าฉี่ตงก็ส่งคนมา เป็นผู้ใดหรือ”
เซียวจี้หมิงตอบ “เป็นลู่ก่วงไป๋จากเปียนจวิ้นพ่ะย่ะค่ะ”
เสียนเต๋อตี้คล้ายอ่อนเพลียเล็กน้อย พิงเก้าอี้โบกมือเอ่ย “บอกให้เขามาพรุ่งนี้แล้วกัน”
เซียวฉือเหย่เดินตามเซียวจี้หมิงออกไป สองพี่น้องยังเดินไปไม่ไกล ก็เห็นคนที่คุกเข่าอยู่ใต้ระเบียงทางเดิน พันหรูกุ้ยก้าวเข้าไปค้อมกายยิ้มทัก “ขุนพลลู่ ขุนพลลู่!”
ลู่ก่วงไป๋ลืมตา พูดอย่างเหนื่อยล้า “พันกงกง”
พันหรูกุ้ยบอก “ท่านไม่ต้องคุกเข่าแล้วละ วันนี้ฝ่าบาททรงเหนื่อยแล้ว พรุ่งนี้จึงจะพบท่าน”
ลู่ก่วงไป๋เป็นคนเงียบขรึมพูดน้อย เขาผงกศีรษะ ลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอกพร้อมพี่น้องสกุลเซียว ครั้นออกจากประตูวังขึ้นม้าแล้ว เซียวจี้หมิงจึงถาม “เหตุใดท่านจึงคุกเข่าอยู่ตลอด”
ลู่ก่วงไป๋ตอบ “ฝ่าบาทไม่ยอมพบข้า”
สองคนเงียบไปครู่หนึ่ง รู้ดีแก่ใจถึงต้นสายปลายเหตุ ลู่ก่วงไป๋ไม่ถือสา หันไปชำเลืองมองเซียวฉือเหย่ “ฝ่าบาททรงปูนบำเหน็จให้เจ้าหรือ”
เซียวฉือเหย่ถือเชือกบังเหียน “กักขังข้าน่ะสิไม่ว่า”
ลู่ก่วงไป๋ยื่นมือไปตบไหล่เซียวฉือเหย่ “นี่ใช่การกักขังเจ้าที่ไหน เป็นการพันธนาการพี่ใหญ่กับพ่อเจ้าต่างหาก”
เซียวฉือเหย่ฟังเสียงกีบเท้าม้าอยู่พักหนึ่งก่อนพูด “ตอนฝ่าบาทตรัสถึงพี่สะใภ้ข้า ข้าเกือบจะหลั่งเหงื่อเย็นออกมาอยู่แล้ว”
ลู่ก่วงไป๋กับเซียวจี้หมิงหัวเราะพร้อมกัน ลู่ก่วงไป๋ถาม “หวังเยีย[6]กับอี้จือสบายดีหรือไม่”
เซียวจี้หมิงพยักหน้า เสื้อคลุมตัวใหญ่ของเขาคลุมทับชุดขุนนาง บดบังชุดเกราะ ทำให้เขามิได้ดูอ่อนเยาว์ห้าวหาญเหมือนเซียวฉือเหย่ แต่กลับทำให้คนมิอาจละสายตา “ล้วนสบายดี ท่านพ่อยังเป็นห่วงบาดแผลที่ขาของท่านขุนพลอยู่เสมอ ครั้งนี้ตั้งใจสั่งให้ข้านำยาที่ใช้อยู่ประจำมาให้ อี้จือก็สบายดี ทว่าตั้งแต่ตั้งครรภ์นางรู้สึกคิดถึงพวกท่านทีเดียว นางเขียนจดหมายไว้มากมาย ข้านำติดตัวมาด้วย ประเดี๋ยวไปที่จวนย่อมได้เห็น”
ลู่ก่วงไป๋รั้งเชือกบังเหียนกะทันหัน “ที่บ้านมีแต่บุรุษ ไม่มีสตรีคอยอยู่เป็นเพื่อนนาง หลีเป่ยย่างเข้าฤดูหนาวแล้วอากาศหนาวเหน็บ หลังจากข้านำทหารออกจากเปียนจวิ้น รู้ข่าวนี้แล้วก็กังวลมาตลอดทาง”
“นั่นสิ” เซียวฉือเหย่หันไปด้านข้าง “ฉือโจวอันตรายถึงเพียงนั้น พี่ใหญ่ตกอยู่กลางวงล้อม สั่งข้าไม่ให้เขียนจดหมายกลับบ้านเพราะกลัวพี่สะใภ้จะร้อนใจ สงครามครั้งนี้เกิดขึ้นปุบปับ ตอนออกจากบ้านพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้เพิ่งรู้ว่ากำลังจะมีบุตร”
เซียวจี้หมิงเป็นคนเก็บงำความรู้สึกมาแต่ไหนแต่ไร ยามนี้เอ่ยเพียง “ครั้งนี้ท่านพ่อปักหลักอยู่ที่บ้านก็เพราะต้องการปกป้องอี้จือ ไม่ต้องห่วงหรอก หลังปีใหม่ข้ากลับบ้านแล้วจะไม่ไปไหนทั้งนั้น”
ลู่ก่วงไป๋ถอนหายใจ “สองสามปีมานี้หลีเป่ยอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลม นำทัพออกมาแต่ละครั้งล้วนต้องใคร่ครวญให้ดี ครานี้น่าแค้นเสิ่นเว่ยนักที่ขี้ขลาดไม่ทำศึก ทิ้งความวุ่นวายเช่นนี้ไว้ ตอนข้าเดินทัพผ่านหลุมยุบฉาสือ โลหิตที่ไหลนองสูงกว่ากีบเท้าม้าด้วยซ้ำ เขายากที่จะหนีพ้นโทษประหาร จึงเผาตัวเองตายเสียก่อน ทว่าเรื่องนี้ประหลาดทีเดียว จี้หมิง เจ้าจับกุมบุตรชายเขาเข้าเมืองหลวง เห็นเงื่อนงำใดๆ บ้างหรือไม่”
เซียวจี้หมิงกระชับเสื้อคลุมท่ามกลางสายลม “เสิ่นเว่ยแบ่งแยกบุตรสายตรงกับบุตรสายรองอย่างชัดเจนมาตลอด บุตรผู้นี้เป็นบุตรลำดับที่แปดที่เกิดจากอนุ ตระกูลฝ่ายมารดาไร้ที่พึ่ง เขาถูกทิ้งอยู่ในตวนโจว ไม่รู้เรื่องก็นับว่าสมเหตุสมผล แต่ฝ่าบาททรงยืนกรานถึงเพียงนี้ ใช่ว่าจะไร้เหตุผลเสียทีเดียว”
เซียวฉือเหย่สวมหมวกเกราะ “โทสะของปวงชนยากบรรเทา ฝ่าบาททรงมอบอำนาจทางทหารของจงปั๋วหกโจวให้เสิ่นเว่ยด้วยองค์เอง บัดนี้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เขาย่อมต้องฆ่าคนเพื่อแสดงความเป็นธรรม”
กระนั้นอำนาจปกครองในอาณาจักรต้าโจวหาใช่ของเขาเองไม่ แต่เป็นของไท่โฮ่วที่นั่งอยู่หลังม่าน บัดนี้สถานการณ์ตึงเครียด ทุกคนต่างจับตาดูเสิ่นเจ๋อชวนอยู่ หากเขายอมรับผิดและตายไปทุกคนย่อมพอใจ แต่หากเขาไม่ตาย ย่อมต้องกลายเป็นเสี้ยนหนามในใจของหลายคน ตอนนี้สกุลเซียวในหลีเป่ยมียศสูงสุด แม้แต่สกุลชีผู้นำในฉี่ตงยังต้องถอยหลบ เซียวจี้หมิงเริ่มจากเป็นหนึ่งในสี่ยอดขุนพลและได้รับฉายา ‘อาชาเหล็กแห่งปิงเหอ’ จากนั้นได้เป็นน้องเขยของลู่ก่วงไป๋แห่งเปียนจวิ้นในฉี่ตง หากพิจารณาดูให้ดี เขาสามารถโยกย้ายทหารม้าเหล็กหลีเป่ย ทั้งยังสามารถอาศัยตระกูลฝ่ายภรรยาสั่งย้ายทหารรักษาการณ์ในเปียนจวิ้นได้ ชวี่ตูจึงจำต้องระวัง
“ไท่โฮ่วทรงยืนกรานละเว้นชีวิตเขา” ริมฝีปากบางของลู่ก่วงไป๋เม้มแน่น “จุดประสงค์ก็เพื่อบ่มเพาะหมาในตัวหนึ่งที่วันหน้าสามารถยึดครองจงปั๋วได้อย่างชอบธรรม ทั้งยังยอมก้มหัวฟังคำสั่งนาง ถึงเวลานั้น ในวังเสริมสร้างอำนาจของฝ่ายใน นอกวังควบคุมบงการหลีเป่ย คนผู้นี้จะกลายเป็นหายนะร้ายแรง จี้หมิง เด็กคนนี้มิอาจเก็บไว้ได้!”
บนถนนลมแรงพัดมาพร้อมหิมะ ยามสัมผัสผิวหน้าให้รู้สึกเหมือนถูกกรีดด้วยมีดดาบ สามคนล้วนไม่เอ่ยวาจาใด ท่ามกลางความเงียบอันยาวนาน เจาฮุยด้านหลังที่เงียบมาตลอดควบม้าขึ้นหน้ามา
“ก่อนหน้านี้กงจื่อถีบเขาไปหนึ่งที ใช้กำลังถึงแปดส่วน ตรงตำแหน่งหัวใจพอดี ข้าเห็นลมหายใจเขาแผ่วอ่อน ตอนล้มลงกับพื้นแผลเก่ามีเลือดออก” เจาฮุยครุ่นคิด “แต่กลับมิได้ตายในทันที”
เซียวฉือเหย่ถือเชือกบังเหียน “ถูกสอบสวนหลายวัน ทั้งยังถูกทัณฑ์โบย เดิมทีเหลือเพียงลมหายใจสุดท้ายเท่านั้น เท้าข้างนั้นของข้าเป็นการส่งเขาลงสู่ปรโลก หลังจากคืนนี้ไปหากเขาไม่ตาย ข้ายอมรับว่าเขาดวงแข็ง”
เจาฮุยขมวดคิ้ว “รูปร่างเขาดูเป็นคนอ่อนแอ ตลอดทางโรคลมหนาวยังไม่บรรเทา ตามหลักควรสิ้นใจตายไปนานแล้ว กระนั้นเขากลับรอดชีวิตมาจนถึงวันนี้ได้ เรื่องนี้ออกจะประหลาด ซื่อจื่อ…”
เซียวจี้หมิงปรายตามองพวกเขา สองคนหุบปากไม่เอ่ยวาจาอีก เขาทอดสายตามองไปเบื้องหน้าท่ามกลางลมแรง เงียบงันครู่หนึ่งก่อนพูด “จะรอดหรือไม่ ล้วนเป็นโชคชะตา”
ลมแรงพัดกระโชก เกราะเหล็กที่สวมอยู่บนตัวม้าใต้ชายคาสองข้างทางกระทบกันจนเกิดเสียงดังแกร๊งๆ ไอสังหารท่ามกลางหิมะพลันสลายไป เซียวจี้หมิงนั่งตัวตรงบนหลังม้า ควบม้ามุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างสุขุม
เจาฮุยก้มศีรษะค้อมกายอยู่บนหลังม้า ก่อนจะควบทะยานตามไป
สีหน้าของเซียวฉือเหย่ที่ซ่อนอยู่ใต้หมวกเกราะมองเห็นไม่ชัด ลู่ก่วงไป๋ทุบไหล่เขาหนึ่งที “อย่างไรเขาก็เป็นพี่ใหญ่เจ้า”
เซียวฉือเหย่คล้ายหัวเราะ พึมพำว่า “…โชคชะตาหรือ”
[1] ไห่ตงชิง หรือ Gyrfalcon เป็นนกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในตระกูลเหยี่ยว ดวงตาแหลมคม กล้ามเนื้อทรงพลัง เป็นนกนักล่าที่น่าเกรงขาม
[2] กงจื่อ เป็นคำเรียกบุตรชายของผู้เป็นเจ้า ต่อมาเรียกรวมไปถึงบุตรชายของผู้มีอำนาจฐานะ อาจแปลได้ว่าท่านชายหรือคุณชาย เอ้อร์ แปลว่าสอง เอ้อร์กงจื่อเป็นคำเรียกทายาทลำดับที่สองของผู้เป็นเจ้า
[3] พระจันทร์เมื่อเต็มดวงแล้วย่อมแห่วง ใช้เปรียบเปรยถึงเรื่องต่างๆ เมื่อพัฒนามาถึงระดับหนึ่ง ย่อมเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางตรงกันข้าม
[4] งานเลี้ยงที่หงเหมินเป็นสำนวนจีน หมายถึงงานเลี้ยงที่หวังปองร้ายแขกผู้มาร่วมงาน มีที่มาจากเหตุการณ์ในสงครามฉู่-ฮั่นเมื่อ 206 ปีก่อนคริสตกาล โดยภายหลังสิ้นสุดราชวงศ์ฉิน เซี่ยงอวี่จากรัฐฉู่และหลิวปังจากรัฐฮั่นได้แย่งชิงความเป็นใหญ่กัน ต่อมาหลิวปังสามารถโจมตีและยึดเมืองเสียนหยางซึ่งเป็นศูนย์กลางอำนาจได้ก่อน เซี่ยงอวี่จึงวางแผนจัดงานเลี้ยงฉลองให้กับความสำเร็จของหลิวปังที่หมู่บ้านหงเหมินและซุ่มซ่อนกำลังทหารไว้โดยมีเจตนาลอบสังหารอีกฝ่าย ทว่าภายหลังหลิวปังหนีเอาตัวรอดได้ด้วยไหวพริบ
[5] กองเกียรติยศมีหน้าที่ดูแลราชรถ รักษาความปลอดภัย รวมถึงตั้งขบวนเกียรติยศเวลาองค์เหนือหัวเสด็จไปยังที่ต่างๆ สมัยหลังถูกยุบรวมให้เป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังจิ่นอี
[6] หวังเยีย คำสรรพนามเรียกผู้มีบรรดาศักดิ์เป็นหวัง (อ๋อง) ด้วยความเคารพ