เชิญร่ำสุรา
將進酒
ถังจิ่วชิง
唐酒卿
กอหญ้า แปล
“เจ้าก้าวเข้ามาในถิ่นของข้าทีละก้าว ปล่อยให้ข้าหยั่งเชิงเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า
จุดประสงค์ก็เพื่อค่ำคืนนี้ เพื่อลงเรือลำเดียวกับข้า”
เซียวฉือเหย่โน้มตัวไปข้างหน้าช้าๆ สายตาเย็นชา
“แต่หากคืนนี้ข้าสืบไม่ได้ว่าผู้บงการเบื้องหลังคือ… ไม่ล่วงรู้จุดประสงค์ของเจ้า
เจ้าก็จะเหยียบข้าลงไปอย่างแท้จริง ใช้ข้าเป็นแท่นเพื่อก้าวขึ้นไปใช่หรือไม่”
“เจ้าเป็นหมาป่าจมูกไว” เสิ่นเจ๋อชวนพูด
“ไฉนจึงพูดเหมือนตัวเองน่าสงสารเช่นนั้นเล่า หากข้ามิใช่ข้า
เจ้าไม่มีทางเปิดโอกาสให้ข้าเหยียบย่างเข้ามา พวกเราจะไม่มีแม้กระทั่งการสนทนากันด้วยซ้ำ
เจ้ากับข้าเป็นคนประเภทนี้แหละ แทนที่จะมาคาดคั้นข้า ไยจึงไม่ถามตัวเจ้าเองดูก่อนเล่า”
เซียวฉือเหย่พูด “เจ้าต่างหากที่เป็นสารเลว”
เสิ่นเจ๋อชวนตอบ “สารเลวที่มีเป้าหมายเดียวกันหาไม่ง่ายนะ”
เซียวฉือเหย่ไม่อ้อมค้อมกับเขาอีกตรงเข้าประเด็น
“บัดนี้เป็นเจ้าที่ต้องการยืมอำนาจข้า
ทว่าการเป็นพันธมิตรก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนบางอย่างจึงจะสำเร็จได้”
“พวกเรามีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน” เสิ่นเจ๋อชวนตอบ
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 48 ซ้อนแผน
หลี่เจี้ยนเหิงฝันร้าย
เขาฝันถึงคืนวันฝนตกในลานล่าสัตว์หนานหลิน กิ่งไม้คมหวดตีใบหน้าเขา เขากุมหัวหลบเลี่ยงอย่างลนลาน ม้าที่ขี่อยู่ควบทะยานไปข้างหน้า หลี่เจี้ยนเหิงหวาดกลัวและอยากจับเชือกบังเหียนแน่นๆ แต่กลับถูกเซียวฉือเหย่ที่หันกลับมากะทันหันคว้าคอเสื้อโยนลงจากม้า
“เช่ออันช่วยข้าด้วย!” หลี่เจี้ยนเหิงหล่นตุ้บลงบนพื้น คุกเข่าอ้อนวอน “เช่ออัน เช่ออัน! พวกเราเป็นพี่น้องกันนะ อย่าทิ้งข้าไว้ที่นี่!”
ท่ามกลางฟ้าแลบฟ้าร้อง ใบหน้าของเซียวฉือเหย่นิ่งขรึม พูดกับเขาอย่างเย็นชา “ตีให้สลบแล้วแบกไป!”
หลี่เจี้ยนเหิงน้ำตาพรั่งพรู มองเฉินหยางเดินเข้ามาใกล้ อดมิได้ที่จะกระถดตัวไปข้างหลังด้วยความกลัว โบกไม้โบกมือร้องเสียงดัง “ข้า…ข้าเป็นจักรพรรดิ! เจ้าทำเช่นนี้กับข้าได้อย่างไร”
ร่างกายของหลี่เจี้ยนเหิงที่ถอยไปข้างหลังชนใครบางคน เขาหันกลับไปมอง เห็นจักรพรรดิเสียนเต๋อก้มตัวลงกุมข้อมือเขาไว้ เขาร้องเรียกทันที “เสด็จพี่ เสด็จพี่ช่วยข้าด้วย!”
นิ้วมือของจักรพรรดิเสียนเต๋อรวบเข้าด้วยกันจนแน่น จิกเข้าไปในเนื้อหนังของหลี่เจี้ยนเหิง ไอเป็นโลหิตและเอ่ยเสียงเย็น “คนที่ช่วยเจ้าวันนี้ พรุ่งนี้ก็สามารถฆ่าเจ้าได้! เจ้าเข้าใจหรือไม่”
หลี่เจี้ยนเหิงดิ้นรนอย่างเจ็บปวด แต่ทำอย่างไรก็สลัดมือไม่หลุดเสียที สายฝนที่ตกลงมาจากท้องฟ้าพลันเปลี่ยนเป็นของเหลวเหนียวข้นหยดแล้วหยดเล่า หลี่เจี้ยนเหิงสัมผัสดูก็พบว่าโลหิตเต็มฝ่ามือ เขาแหงนหน้ามอง ท่ามกลางความมืดมีศีรษะของคนคนหนึ่งกลิ้งตกลงมา
หลี่เจี้ยนเหิงไม่รู้เอาเรี่ยวแรงมาจากไหน ทั้งผลักและถีบกว่าจะสลัดตัวออกจากการเกาะกุมของจักรพรรดิเสียนเต๋อได้ เขาหอบหายใจ ตะเกียกตะกายลุกขึ้นในดินโคลน ถีบหัวคนออกอย่างหวาดหวั่น แล้วร้องไห้ตะโกนกับเงาดำรอบตัว “ข้าเป็นจักรพรรดิ เรา…เราเป็นโอรสสวรรค์! พวกเจ้าใครจะฆ่าข้า หา?!”
“ฝ่าบาท” มีคนร้องเรียกเสียงเบา “ฝ่าบาท”
หลี่เจี้ยนเหิงลืมตาทันใด จ้องเพดานสีทองอย่างเหม่อลอย พึมพำออกมา “ใครจะฆ่าข้า…ใครจะฆ่าข้า…”
ไทเฮาใช้ผ้าซับเหงื่อให้หลี่เจี้ยนเหิง โน้มตัวลงมาเอ่ยว่า “เจี้ยนเหิง เสด็จแม่อยู่นี่!”
เจี้ยนเหิง!
หลี่เจี้ยนเหิงรู้สึกเศร้าสลด มารดาเขาด่วนจากไป จักรพรรดิหย่งอี๋ไม่เคยสนใจเขาเลย หลายปีมานี้แม้จะมีเพื่อนสำมะเลเทเมามากมาย แต่กลับไม่เคยมีใครเรียกเขาว่าเจี้ยนเหิงสักคำ
“เสด็จแม่…” หลี่เจี้ยนเหิงสะอื้นไห้ ร้องเรียก “ท่านแม่!”
ไทเฮาเบือนพระพักตร์ไปเล็กน้อย คล้ายกำลังเช็ดน้ำพระเนตร “เจ้าหมดสติไปหนึ่งคืน ข้ากลัวเหลือเกิน ตอนนี้ถ้าเจ้ายังเจ็บตรงไหนต้องบอกข้านะ”
หลี่เจี้ยนเหิงมองไทเฮา เห็นนางยังคงสวมชุดพิธีการของเมื่อคืน จะต้องเฝ้าอยู่ที่นี่ตลอดทั้งคืนเป็นแน่ หลี่เจี้ยนเหิงยันตัวลุกขึ้นทันที เห็นจอนผมของไทเฮาแซมด้วยสีขาว สองเนตรแดงก่ำ คนดูอิดโรยไม่น้อย
หลี่เจี้ยนเหิงรู้สึกอบอุ่นใจเหลือเกิน เขาเช็ดตาและจับแขนไทเฮา “ทำให้เสด็จแม่เป็นกังวลแล้ว ข้าไม่เป็นไร”
ไห่เหลียงอี๋คุกเข่าอยู่ข้างนอก เขาก็เฝ้าอยู่ที่นี่ตลอดทั้งคืนเช่นกัน เมื่อได้ยินเสียงพูดคุยดังมาจากข้างใน จึงรู้ว่าหลี่เจี้ยนเหิงฟื้นแล้ว ก็อดเบาใจมิได้
ผ่านไปครู่หนึ่ง เหล่านางกำนัลก้าวเข้ามาในห้องอย่างเบามือเบาเท้า ปรนนิบัติหลี่เจี้ยนเหิงล้างหน้า ไทเฮายกชามยาด้วยตัวเอง ชิมดูก่อนแล้วค่อยป้อนให้หลี่เจี้ยนเหิง
หลี่เจี้ยนเหิงดื่มยาหมดแล้ว สีหน้ายังคงไม่ดีนัก แต่เทียบกับเมื่อคืนนับว่าดีขึ้นมากแล้ว เขาสวมรองเท้าเดินออกมา เห็นไห่เหลียงอี๋ยังคุกเข่าอยู่ก็รู้สึกประทับใจมาก ก้าวขึ้นไปประคองอีกฝ่ายและพูด “เก๋อเหล่า เราไม่เป็นไร!”
ไห่เหลียงอี๋เกือบจะลุกไม่ขึ้น หลี่เจี้ยนเหิงจึงไม่ให้เขาอยู่ต่อ บอกให้เขาพาขุนนางใหญ่ที่คุกเข่าอยู่ข้างนอกกลับไป เหลือไว้เพียงข่งชิว เฉินอวี้และฟู่หลินเยี่ยที่สอบสวนนักโทษมาทั้งคืนเท่านั้น
“สืบได้ความอย่างไรบ้าง” หลี่เจี้ยนเหิงถามอย่างอดรนทนไม่ไหว “เสนาบดีข่งรีบบอกเรามาเถิด”
ข่งชิวโขกศีรษะก่อนตอบ “เมื่อคืนกรมอาญาสอบสวนทั้งคืน บัดนี้ได้ความว่าขันทีผู้ลงมือชื่อกุ้ยเซิง ได้รับมอบหมายจากนางข้าหลวงกองเครื่องเสวยฝูหลิงให้ทำหน้าที่ชิมอาหารในงานเลี้ยงเหล่าขุนนางพ่ะย่ะค่ะ”
“นางข้าหลวง?” หลี่เจี้ยนเหิงเอ่ยอย่างงุนงง “เหตุใดนางข้าหลวงผู้นี้จึงต้องทำร้ายเรา”
ข่งชิวตอบ “เหตุผลยังไม่แน่ชัดพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่เจี้ยนเหิงร้อนใจ “พวกเจ้าสืบสวนมาทั้งคืน ยังไม่ได้คำตอบอีกรึ!”
ข่งชิวกับอีกสองคนสบตากัน เขาเงียบไปครู่หนึ่ง “ฝ่าบาท ฝูหลิงรู้ตัวดีว่ายากจะหนีพ้นความผิด จึงกินยาทำให้ตัวเองกลายเป็นใบ้ ยินดีรับโทษทัณฑ์ทุกอย่างพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่เจี้ยนเหิงพลันเข้าใจอะไรบางอย่าง เขาพูด “นางเป็นเพียงนางข้าหลวงคนหนึ่ง จะทำเรื่องแบบนี้ทำไม นางต้องกลัวแน่ๆ ว่าถ้าถูกลงทัณฑ์อย่างหนักจะหลุดปากพูดอะไรออกมา ดังนั้นจึงกินยาทำให้ตัวเองเป็นใบ้ไปเสียก่อน! เรื่องนี้เบื้องหลังต้องมีคนบงการอยู่แน่นอน!”
ข่งชิวพูดต่อ “ฝ่าบาททรงปราดเปรื่อง กระหม่อมกับเพื่อนขุนนางอีกสองคนในสำนักตรวจการก็คิดเช่นนี้ ดังนั้นเมื่อคืนจึงตรวจสอบสตรีผู้นี้อย่างละเอียด พบว่าที่บ้านนางยังมีมารดาสูงวัยอยู่อีกคน อาศัยอยู่ในตรอกเปลี่ยวแห่งหนึ่งบนถนนตงหลง บ้านนางแม้จะเล็ก แต่นางข้าหลวงในวังคนหนึ่งไม่มีปัญญาซื้อได้แน่นอน ดังนั้นกระหม่อมจึงสืบต่อและพบว่า บ้านหลังนี้นางไม่ได้ซื้อมาด้วยเงินของตัวเองจริงๆ แต่มีพ่อค้าคนกลางที่ค้าคนบนถนนตงหลงตั้งใจขายให้นางด้วยเงินเชื่อ”
หลี่เจี้ยนเหิงคุ้นเคยกับถนนตงหลงเป็นที่สุด ฟังแล้วจับพิรุธได้ทันที “ในเมื่อบ้านนางมีแค่นางกับมารดาสูงวัย คิดว่าน่าจะไม่มีของมีค่าใดสามารถเอาไปค้ำประกันบ้านหลังหนึ่งได้กระมัง”
ข่งชิวพูด “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมก็รู้สึกว่าจุดนี้น่าสงสัยมาก ดังนั้นจึงเรียกตัวพ่อค้าคนกลางมาสอบถาม ได้ความว่าพ่อค้าคนกลางยอมขายบ้านให้นางด้วยเงินเชื่อ เพราะเห็นแก่หน้าทหารรักษาพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
หลี่เจี้ยนเหิงหัวใจสะดุด รู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนพรมตะปู นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนถาม “เรื่องนี้เกี่ยวข้องอันใดกับทหารรักษาพระองค์”
ข่งชิวตอบ “นี่เป็นเพราะหยวนหลิ่วผู้บังคับคดีขั้นหกของกองบังคับคดีภายใต้สังกัดกองกำลังรักษาพระองค์ตั้งใจไปเจรจากับพ่อค้าคนกลาง หยวนหลิ่วกับฝูหลิงแม้ยังมิได้หมั้นหมายกัน แต่กลับมีข่าวลือออกมานานแล้วว่าพวกเขามีสัมพันธ์กันอย่างลับๆ”
หลี่เจี้ยนเหิงลุกพรวดทันใด “ผู้บังคับการเซียวรู้เรื่องนี้หรือไม่”
ข่งชิวรู้ว่าเขากับเซียวฉือเหย่สนิทสนมกัน ชั่วขณะหนึ่งจึงเดาไม่ถูกว่าเขาจะปกป้องเซียวฉือเหย่หรือจะทำอย่างไรกันแน่ จึงได้แต่ตอบตามตรง “ฟังจากคำพูดของผู้บังคับการ น่าจะไม่ทราบเรื่องนี้พ่ะย่ะค่ะ”
หลี่เจี้ยนเหิงยืนอยู่ที่เดิม สีหน้าเปลี่ยนแปรไปมา สุดท้ายเอ่ยว่า “…กองกำลังรักษาพระองค์มีคนมากมาย เขาไม่รู้เรื่องก็ไม่แปลก เรื่องนี้อย่าเพิ่งแพร่งพรายออกไป พวกเจ้าออกไปเถิด เรียกตัวหานเฉิงกับเสิ่นเจ๋อชวนเข้ามา เราจะตกรางวัลให้!”
เซียวฉือเหย่ย่ำหิมะ ถีบประตูคุกกรมอาญา เจ้าหน้าที่ข้างในได้รับแจ้งล่วงหน้าแล้ว ยามนี้รีบเดินนำเซียวฉือเหย่เข้าไปข้างใน
ฝูหลิงถูกขังอยู่ข้างใน นางอายุเพียงยี่สิบสาม เนื่องจากถูกทรมาน ยามนี้มวยผมจึงยุ่งเหยิง นั่งนิ่งอยู่บนกองฟางไม่ขยับ
เซียวฉือเหย่ก้าวเข้าไปในห้องขัง เฉินหยางถอดเสื้อคลุมให้เขา เซียวฉือเหย่รูปร่างสูงใหญ่ ท่วงทีน่าเกรงขาม พอก้าวเข้ามาก็ทำให้ฝูหลิงกลัวจนตัวสั่น
ความจริงเซียวฉือเหย่สง่างามมาก ร่างกายเขามีทั้งกลิ่นอายความเสเพลและเฉียบคมผสมปนกัน ดังนั้นเขาจึงเป็นได้ทั้งคุณชายเจ้าสำราญและอสูรเย็นชาชั่วร้าย เขาสามารถเปลี่ยนหน้ากากไปมาได้ตามใจชอบ เมื่อหน้ากากถูกเปลี่ยนแล้ว แม้แต่ท่วงท่ากิริยาก็เปลี่ยนแปลงตามไปด้วยอย่างเหมาะเจาะพอดี
ยามนี้เขาคือคุณชายสูงศักดิ์ที่บังเอิญเดินผ่านมาทางนี้
เซียวฉือเหย่พิจารณาห้องขัง โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยมองหน้าต่างเล็กแคบ เห็นนอกหน้าต่างเป็นกำแพงสูงของคุกกรมอาญา ก็อดมิได้ที่จะถอนสายตากลับมาอย่างหมดความสนใจและยืดตัวขึ้นอีกครั้ง เขาหลุบตาหันไปด้านข้าง มองฝูหลิงที่อยู่บนพื้น
ฝูหลิงตัวแนบติดกำแพง รู้สึกว่าสายตานั้นเจือแววเหยียดหยันมาแต่กำเนิด
“นางข้าหลวงกองเครื่องเสวย” เซียวฉือเหย่พูด
ฝูหลิงไม่เงยหน้า เอาแต่จ้องรองเท้าหุ้มแข้งของเขา
เฉินหยางยกเก้าอี้เข้ามา เซียวฉือเหย่นั่งลง เขาใช้มือยันหัวเข่าข้างหนึ่ง แล้วมองไปที่กลางกระหม่อมของฝูหลิง “หยวนหลิ่วมีภรรยามีอนุแล้ว ยังจะเอาตัวไปเสี่ยงที่จะถูกยึดป้ายห้อยเอวและหาบ้านให้เจ้า เจ้าเป็นสาวงามล้ำเลิศเพียงใดกัน ถึงสามารถเป่าหูเขาให้ยอมทิ้งแม้กระทั่งชีวิตตัวเองได้ เงยหน้าให้ข้าดูซิ”
ฝูหลิงหดตัว ไม่สนใจเขา
เซียวฉือเหย่เอนกายท่อนบนกับพนักเก้าอี้ “อายุเขาจะเป็นพ่อเจ้าได้อยู่แล้ว เจ้าก็ยินดีงั้นรึ นางข้าหลวงไม่เหมือนนางกำนัล ถึงเวลาเมื่อถูกปล่อยออกมา ดีร้ายอย่างไรก็สามารถแต่งงานกับคนดีๆ ได้ หยวนหลิ่วเป็นเพียงขุนนางชั้นผู้น้อยขั้นหก ทั้งยังเป็นอันธพาลในหมู่ทหาร ไม่มีทั้งเงินตราและอำนาจ เจ้าติดตามเขาเป็นเพราะตาบอดหรือลุ่มหลงกันแน่”
ภายในห้องขังเงียบสนิท
“ตอนนี้ยังไม่พูดถึงหยวนหลิ่วแล้วกัน แต่เจ้าใช้วิธีการใดโน้มน้าวกุ้ยเซิงให้ลงมือ เจ้าเองก็ไม่มีเงิน ดังนั้นต้องเป็นคนอื่นแน่ที่ยุเขา เจ้าเป็นใบ้แล้ว ถูกกำหนดไว้แต่แรกว่าต้องเป็นแพะรับบาป เจ้านายของเจ้าฝีมือเหนือชั้น ใช้คนอย่างพวกเจ้าแล้วก็ถีบหัวส่ง เจ้าจะตายหรือไม่ ไม่เกี่ยวอันใดกับข้า แต่บัดนี้พวกเจ้ามาหาเรื่องข้าเซียวเช่ออันแล้วคิดจะตายไปง่ายๆ เช่นนี้รึ” เซียวฉือเหย่หัวเราะ “เป็นไปไม่ได้กระมังสาวน้อย”
เฉินหยางหันไปผงกศีรษะกับเจ้าหน้าที่ข้างหลัง ได้ยินเสียงโซ่ดังแกรกกราก หยวนหลิ่วที่เนื้อตัวสกปรกมอมแมมถูกลากเข้ามา
หยวนหลิ่วล้มลุกคลุกคลานเข้าไปหาฝูหลิง ตวาดเสียงเฉียบ “นังแพศยา! เจ้าแว้งกัดข้าเช่นนี้รึ!”
ฝูหลิงตัวสั่น ร่างกายแนบกำแพงขณะคลานหนีไปอีกด้าน หยวนหลิ่วคว้าข้อเท้านางไว้ แผดเสียงโหยหวน “ข้าเกี่ยวอันใดกับเจ้าด้วย ข้าดีต่อเจ้าถึงเพียงนั้น แต่เจ้ากลับตอบแทนข้าเช่นนี้!”
ฝูหลิงถูกฉุดกระชากจนหลั่งน้ำตาไม่หยุด นางถีบหยวนหลิ่วออก เปล่งเสียงแหบพร่าออกมาจากลำคอ
หยวนหลิ่วดึงตัวนางไว้ “มารดาสูงวัยของเจ้าป่วยหนัก ข้าเป็นคนแบกนางไปหาหมอ! เจ้าต้องการอะไรข้าล้วนหามาให้ เจ้าหลอกข้าไม่พอ ยังจะลากครอบครัวข้าทั้งหมดไปตายด้วย! เจ้ามันอสรพิษ!”
เสียงโซ่ดังขึ้น หยวนหลิ่วที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ถูกเฉินหยางรั้งโซ่ไว้ แต่เขายังคงยื่นมือออกไป พูดด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว “ข้าจะไม่ละเว้นเจ้าแน่! ต่อให้เป็นผีข้าก็ไม่ปล่อยเจ้าไป!”
เซียวฉือเหย่มองช่องหน้าต่างจากบนเก้าอี้อีกครั้ง สามารถมองเห็นท้องฟ้าเป็นช่องเล็กๆ ได้ วันนี้ไม่มีหิมะ ท้องฟ้าเต็มไปด้วยก้อนเมฆสีขาวทับถมกัน เขาเหมือนไม่รับรู้เสียงก่นด่าอย่างโกรธแค้นที่ดังอยู่เบื้องหน้า
หยวนหลิ่วคุกเข่านั่งลงบนพื้น แผดเสียงร้องไห้ ก่อนจะคลานเข้าไปหาเซียวฉือเหย่ โขกศีรษะอ้อนวอน “ผู้บังคับการ ผู้บังคับการ! ละเว้นข้าสักครั้งเถอะ! ข้าขอร้อง ข้าถูกภูตผีดลใจ หลังจากนี้ข้ายินดีเป็นวัวเป็นม้าตอบแทนท่าน!”
เซียวฉือเหย่มองเขา “คนที่จะเอาชีวิตเจ้ามิใช่ข้า ไปขอร้องผู้อื่นเถอะ โขกศีรษะเพื่อคนแก่และเด็กเล็กในบ้านเจ้าหลายๆ ที ถือว่าชดใช้กรรมที่แต่ก่อนเจ้าแอบไปมีความสุขลับหลังลูกเมีย”
หยวนหลิ่วจึงหันไปทางฝูหลิงแทน โขกศีรษะอ้อนวอน “เจ้าละเว้นข้าเถอะนะ! ปล่อยข้าไปได้หรือไม่ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้า! ข้าขอร้องเจ้า ข้าขอร้องเจ้าแล้ว! ครอบครัวข้ามีทั้งหมดแปดคน ข้าไม่อยากให้พวกเขาต้องตายอยู่ที่นี่ทั้งหมด!”
ฝูหลิงหลั่งน้ำตาไม่มองเขา
หยวนหลิ่วน้ำตาพรั่งพรูไม่หยุด เขากลัวแล้วจริงๆ โขกศีรษะจนเลือดออก “ฝูหลิง…ภาษิตว่าเป็นสามีภรรยาหนึ่งวัน ความผูกพันยืนยาวตลอดไป…แม้พวกเราจะยังมิได้เป็นสามีภรรยากัน แต่หลายปีมานี้ยังคงมีไมตรีอยู่ ข้าขอร้องเจ้า อย่าใส่ร้ายข้าเลย ชาติหน้าข้าจะเกิดเป็นบุตรชายเจ้า เป็นหลานชายเจ้าก็ได้! เจ้าละเว้นข้าเถอะ! บ้านหลังนั้นข้าต้องการแสดงความกตัญญูต่อมารดาเจ้า เจ้าทำแบบนี้ได้อย่างไร…” เขาแทบจะสะอื้นไห้ออกมา แต่ฝืนกลั้นไว้และพูดต่อ “เจ้าจะใช้มัน…มาเอาชีวิตครอบครัวข้าทั้งครอบครัวได้อย่างไร! เจ้ายังมีหัวใจอยู่หรือเปล่า!”
ฝูหลิงพูดอะไรบางอย่างด้วยน้ำเสียงแหบพร่าเจ็บปวด นางโขกศีรษะให้หยวนหลิ่ว ปากขยับไปมา ชัดเจนว่ากำลังขอโทษ
หยวนหลิ่วคลานเข่าเข้าไปประคองฝูหลิงไว้ เลือดไหลลงมาตามหน้าผาก พูดอย่างสะเทือนใจ “ข้าไม่ต้องการให้เจ้าโขกหัว ข้าต้องการให้เจ้าชี้แจงให้ชัดเจน! ข้าไม่อยากตาย…ฝูหลิง! อย่าทำร้ายข้า…”
เซียวฉือเหย่เห็นดังนั้นจึงเอ่ยว่า “การวางแผนลอบปลงพระชนม์ไม่มีทางถูกประหารคนเดียวแน่นอน เจ้าอยากตายก็ช่างเถิด แต่น่าสงสารมารดาเจ้า นางอายุมากขนาดนี้แล้ว ยังต้องถูกลงทัณฑ์ทรมาน คุกหลวงเป็นสถานที่เช่นไรเจ้าไม่รู้หรือ หากนางตกไปอยู่ในมือองครักษ์เสื้อแพร อาจถูกถลกหนังเลาะเอ็นก็เป็นได้”
ฝูหลิงแหงนหน้าร้องไห้
เซียวฉือเหย่พูด “นายของเจ้ามิได้บอกเจ้าหรือ ข้าจะทำให้คดีนี้มิอาจจบลงโดยเร็ว ยื้อไว้หนึ่งวันย่อมต้องรับโทษทัณฑ์อีกหนึ่งวัน เจ้าต้องถูกลงทัณฑ์ เขาต้องถูกลงทัณฑ์ มารดาเจ้าก็ต้องถูกลงทัณฑ์ด้วย จนกว่าข้าจะพอใจ ทุกคนค่อยบอกลากัน”
ฝูหลิงแผดเสียงสะอื้นใส่เขาอย่างเคียดแค้น
เซียวฉือเหย่ไม่สะทกสะท้าน เอาแต่มองนาง “โบราณว่าตีสุนัขต้องดูเจ้าของมิใช่หรือ กัดข้าเซียวเช่ออันแล้ว ทุกคนย่อมต้องทรมานไปด้วยกัน ข้าจะตีเจ้าให้บาดแผลเหวอะหวะ เจ็บปวดเหมือนตายทั้งเป็น ดูซิว่าใครจะทนไม่ไหวก่อน เฉินหยาง ลากตัวมารดานางเข้ามา”
เฉินหยางรับคำ ถอยไปที่ประตูห้องขัง
ฝูหลิงร้องตะโกนออกมาทันใด เสียงนางถูกทำลายไปแล้ว จึงได้แต่ร้องครางเหมือนสัตว์ที่สิ้นหวัง พุ่งเข้าไปหาเซียวฉือเหย่ หมอบอยู่บนพื้นและใช้นิ้วมือทำท่าเขียนหนังสือ
เซียวฉือเหย่ก้มหน้ามองดูครู่หนึ่ง “เอากระดาษกับพู่กันให้นาง ข้าต้องการคำตอบที่เป็นลายลักษณ์อักษร”
ฝูหลิงถูกเฉินหยางพาตัวไปลงนามประทับลายนิ้วมือ ในห้องขังเหลือเพียงเซียวฉือเหย่กับหยวนหลิ่ว หยวนหลิ่วเห็นเซียวฉือเหย่กำลังจะจากไป จึงรีบคว้าชายชุดคลุมของเขาไว้ทันที
“ผู้ ผู้บังคับการ!” หยวนหลิ่วพูด “หากไม่มีอะไรแล้ว…ข้าสามารถ…”
เซียวฉือเหย่สวมเสื้อคลุมตัวใหญ่ หันกลับมาถาม “เจ้ารับตำแหน่งผู้บังคับคดีตั้งแต่เมื่อใด”
หยวนหลิ่วรีบทำไม้ทำมือประกอบ “ปีที่สามหลังจากผู้บังคับการเข้ามารับตำแหน่ง”
เซียวฉือเหย่พูด “เช่นนั้นแสดงว่าติดตามข้าซีนะ”
หยวนหลิ่วพยักหน้าหงึกหงัก “ข้าเป็นคนของผู้บังคับการ!”
เซียวฉือเหย่อดนอนมาทั้งคืน ตอนนี้อารมณ์ขุ่นมัวเล็กน้อย เขาจับดาบและใช้ฝักดาบดันมือหยวนหลิ่วออก “คนของข้าไม่หน้าใหญ่ถึงขั้นสามารถสั่งให้พ่อค้าคนกลางบนถนนตงหลงขายบ้านด้วยเงินเชื่อได้ ทหารรักษาพระองค์เมื่อซื้อบ้านล้วนต้องรายงาน แต่เจ้ามิได้รายงาน นอกจากบ้านหลังนี้ เจ้ายังมีที่นานอกเมืองอีก ผู้บังคับคดีขั้นหกอย่างเจ้ามีชีวิตที่ไม่เลวเลยทีเดียว ใครเลี้ยงเจ้าอยู่กันแน่ เจ้าไม่รู้หรือ”
หยวนหลิ่วน้ำมูกน้ำตาไหล ตะโกนเสียงดังด้วยความเสียใจ “ข้าถูกคนหลอกลวง ไม่ควรละโมบของเล็กๆ น้อยๆ พวกนั้น ผู้บังคับการ ผู้บังคับการ! แต่ข้ามิได้ทรยศกองกำลังรักษาพระองค์…”
เซียวฉือเหย่แหงนคอที่ปวดเมื่อยเล็กน้อย ไม่ได้มองเขาอีก “บุตรชายเจ้าอายุเท่าไรแล้ว”
“สี่…สี่ขวบขอรับ”
“ข้าจะเลี้ยงดูเขาแทนเจ้า” เซียวฉือเหย่เอ่ยอย่างไร้อารมณ์ “คดีนี้จบลงเมื่อไร เจ้าจัดการตัวเองแล้วกัน”
ประตูห้องขังปิดลง หยวนหลิ่วทรุดลงกับพื้น
เซียวฉือเหย่เดินไปตามทางมืดสลัวอับชื้นภายในคุก ฟังเสียงร้องไห้ที่ดังอยู่ข้างหลัง แล้วรับคำสารภาพมาจากมือเฉินหยาง เขาเพิ่งก้าวออกจากประตูใหญ่ของคุกกรมอาญา ก็เห็นกู่จินเดินตรงเข้ามาอย่างเร็วรี่
“คุณชาย” กู่จินพูด “มารดาของฝูหลิงตายแล้วขอรับ”
เฉินหยางมุ่นคิ้ว “โชคดีที่วันนี้นายท่านไม่ได้เข้าวัง หาไม่แล้วฝูหลิงย่อมไม่มีห่วงอันใดอีก คำสารภาพนี้พวกเราย่อมไม่ได้มา”
“แค่กระดาษปึกหนึ่ง” เซียวฉือเหย่อาศัยแสงไฟพลิกอ่านคำสารภาพ “แม้แต่หน้าของอีกฝ่ายฝูหลิงยังไม่เคยเห็นด้วยซ้ำ มีหลักฐานแค่นี้ พวกเราไม่อาจจับใครได้ทั้งนั้น”
เฉินหยางพูด “ดีร้ายอย่างไรก็ล้างมลทินให้ทหารรักษาพระองค์ได้ นายท่านจะเข้าวังเอาคำสารภาพไปให้ฝ่าบาทเลยหรือไม่”
เซียวฉือเหย่เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ย้อนถาม “ทำไมทหารรักษาพระองค์ต้องล้างมลทินด้วยเล่า”
เฉินหยางกับกู่จินต่างตะลึงงันไป
เซียวฉือเหย่คลี่ยิ้มเย็นชา “ในเมื่อรับบทเป็นสัตว์ที่จนตรอก ย่อมต้องมีท่าทางเหมือนถูกโอบล้อมโจมตี พวกเขาร้อนใจอยากสาดน้ำครำใส่ข้าถึงเพียงนี้ ยังไม่พอหรอก ข้าไม่เพียงจะรับน้ำครำนี้ไว้ ยังจะเกลือกกลิ้งในโคลนอีกรอบด้วย ยิ่งสกปรกยิ่งดี เมื่อทำให้ข้าสกปรกแล้ว พวกเขาจะได้คิดว่าตัวเองแข็งแกร่งดุจกำแพงเหล็ก เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถปิดแผ่นฟ้าด้วยฝ่ามือได้ แม้แต่ผู้บังคับการทหารรักษาพระองค์ พวกเขายังเหยียบย่ำได้อย่างง่ายดาย รอให้ฝ่าบาททรงดึงสติกลับมาได้ ย่อมต้องสงสัย ย่อมต้องหวาดกลัว อำนาจฝ่ายฮวาเพิ่งถูกกำจัดไป ใครจะตั้งสมัครพรรคพวกขึ้นใหม่ ผู้นั้นย่อมรนหาที่ตาย”