เชิญร่ำสุรา
將進酒
ถังจิ่วชิง
唐酒卿
กอหญ้า แปล
“เจ้าก้าวเข้ามาในถิ่นของข้าทีละก้าว ปล่อยให้ข้าหยั่งเชิงเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า
จุดประสงค์ก็เพื่อค่ำคืนนี้ เพื่อลงเรือลำเดียวกับข้า”
เซียวฉือเหย่โน้มตัวไปข้างหน้าช้าๆ สายตาเย็นชา
“แต่หากคืนนี้ข้าสืบไม่ได้ว่าผู้บงการเบื้องหลังคือ… ไม่ล่วงรู้จุดประสงค์ของเจ้า
เจ้าก็จะเหยียบข้าลงไปอย่างแท้จริง ใช้ข้าเป็นแท่นเพื่อก้าวขึ้นไปใช่หรือไม่”
“เจ้าเป็นหมาป่าจมูกไว” เสิ่นเจ๋อชวนพูด
“ไฉนจึงพูดเหมือนตัวเองน่าสงสารเช่นนั้นเล่า หากข้ามิใช่ข้า
เจ้าไม่มีทางเปิดโอกาสให้ข้าเหยียบย่างเข้ามา พวกเราจะไม่มีแม้กระทั่งการสนทนากันด้วยซ้ำ
เจ้ากับข้าเป็นคนประเภทนี้แหละ แทนที่จะมาคาดคั้นข้า ไยจึงไม่ถามตัวเจ้าเองดูก่อนเล่า”
เซียวฉือเหย่พูด “เจ้าต่างหากที่เป็นสารเลว”
เสิ่นเจ๋อชวนตอบ “สารเลวที่มีเป้าหมายเดียวกันหาไม่ง่ายนะ”
เซียวฉือเหย่ไม่อ้อมค้อมกับเขาอีกตรงเข้าประเด็น
“บัดนี้เป็นเจ้าที่ต้องการยืมอำนาจข้า
ทว่าการเป็นพันธมิตรก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนบางอย่างจึงจะสำเร็จได้”
“พวกเรามีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน” เสิ่นเจ๋อชวนตอบ
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 49 ประกายเยียบเย็น
เซียวฉือเหย่ยังไม่ได้เข้าวัง เสิ่นเจ๋อชวนเข้าเฝ้าหลี่เจี้ยนเหิงในตำหนักหมิงหลี่ก่อนและได้รับแต่งตั้งเป็นเจิ้นฝู่กองกำลังองครักษ์เสื้อแพรยศขุนนางขั้นห้า ป้ายห้อยเอวของเขาถูกเปลี่ยนเป็นป้ายทองแดงเคลือบทองลายเซี่ยจื้อ[1]ก่ายเมฆ ด้านหนึ่งมีคำว่า ‘อารักขา’ อีกด้านหนึ่งมีคำว่า ‘ตามเสด็จ’
ครั้งนี้หานเฉิงได้รับการปูนบำเหน็จเพียงเล็กน้อย จึงรู้สึกไม่สบอารมณ์นัก เขารู้ว่าตัวเองถูกเสิ่นเจ๋อชวนใช้เป็นก้อนหินเพื่อไต่เต้าขึ้นไป แต่ก็รู้เช่นกันว่า บัดนี้เสิ่นเจ๋อชวนกำลังเป็นที่โปรดปราน จะขัดแย้งกับอีกฝ่ายมิได้เด็ดขาด
เมื่อกลับถึงห้องโถงของสำนักองครักษ์เสื้อแพร เพื่อนองครักษ์ต่างมาแสดงความยินดี เสิ่นเจ๋อชวนขอบคุณทุกคน พอหานเฉิงเห็นคนแยกย้ายกันไปพอสมควรแล้ว จึงพูด “เจ้าพกป้ายทองเป็นครั้งแรก เรื่องบางอย่างคงยังไม่กระจ่างแจ้งนัก”
เสิ่นเจ๋อชวนทำทีอ่อนน้อม “ใต้เท้าผู้บัญชาการโปรดชี้แนะด้วย”
หานเฉิงพอใจทีเดียว “ป้ายทองอารักขานี้เวลาเข้าเวรต้องพกไว้ข้างเอวเสมอ เวลาหยุดห้ามเอาออกมา ปกติแม้จะต้องตามเสด็จแต่ยังคงมีตำแหน่งหน้าที่ในสิบสองกอง ทว่าจะทำตัวเหมือนแต่ก่อนมิได้ เวลาพูดจาต้องระวังรอบคอบ ก่อนหน้านี้แม้เจ้าเคยปฏิบัติภารกิจมาแล้ว แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน หากมีภารกิจเข้ามา ถ้าเป็น ‘คำสั่งจับกุม’ ยังมิต้องรีบจับคน ต้องไปสำนักตรวจสอบอาญาก่อน ให้ผู้ตรวจสอบอาญาลงนามรับรอง ถ้าเป็น ‘คำสั่งท้องถิ่น’ นั่นหมายความว่าเจ้าต้องออกจากชวี่ตูไปสืบคดีในท้องถิ่น ก่อนออกไปต้องไปกรมอาญาและสำนักตรวจการเพื่อลงนามประทับตรา”
เสิ่นเจ๋อชวนรับฟังคำชี้แนะอย่างนอบน้อม
หานเฉิงเห็นเขามีท่าทีนอบน้อมไม่แตกต่างไปจากตอนก่อนเลื่อนขั้น ก็อดบังเกิดความรู้สึกเอ็นดูไม่ได้ พูดต่อ “แต่ก่อนสำนักตะวันออกยืนอยู่บนหัวพวกเรา ออกไปข้างนอกเจอขันทีสำนักตะวันออก พวกเราต้องก้มศีรษะค้อมเอว แต่ตอนนี้ยี่สิบสี่กรมกองว่างเปล่าขาดคน สำนักตะวันออกมีก็เหมือนไม่มี ถึงเวลาที่พวกเขาเห็นพวกเราแล้วต้องโค้งกายคารวะบ้าง พวกเราไม่ต้องไว้หน้าขันทีอีกต่อไป แต่มีเรื่องหนึ่งที่เจ้าต้องจดจำไว้ นั่นคือองครักษ์เสื้อแพรแม้จะรับคำสั่งจากจักรพรรดิ แต่ยังคงต้องคบหากับสามตุลาการ เวลาออกไปปฏิบัติงานในท้องถิ่นส่วนใหญ่ล้วนไปกับผู้ตรวจการของสำนักตรวจการ ทุกคนดูเหมือนอำนาจแยกขาดจากกัน แต่ความจริงแล้วยังคงต้องพึ่งพาอาศัยกัน ดังนั้นเวลาทำงานต้องผูกมิตรกับขุนนางจากสามตุลาการให้ดี จะใช้อารมณ์กับพวกเขาไม่ได้เด็ดขาด หากไม่ระวังแล้วเกิดความขัดแย้งขึ้น การปฏิบัติหน้าที่ต่อจากนี้ย่อมลำบาก”
เรื่องพวกนี้เสิ่นเจ๋อชวนจดจำได้ขึ้นใจแล้ว แต่สีหน้าเขากลับเหมือนเพิ่งเคยฟังเป็นครั้งแรก จดจ่อตั้งใจ
สุดท้ายหานเฉิงก็ให้หน้าเขา “หากเจ้าจะปั้นคนใหม่ๆ ขึ้นมา ไปดูรายชื่อที่ห้องทะเบียนแล้วเลือกคนเองเถิด”
เสิ่นเจ๋อชวนกล่าวขอบคุณ ออกจากประตูแล้วเดินไปตามระเบียงทางเดิน หาได้รีบร้อนไปเลือกคนที่ห้องทะเบียนไม่ ตอนเขาออกจากประตูวัง เห็นเซียวฉือเหย่นั่งรออยู่บนรถม้า
เสิ่นเจ๋อชวนชะงักเท้า ทำท่าจะหันหลัง
เซียวฉือเหย่เลิกม่านครึ่งหนึ่ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบช้า “ได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว เบี้ยหวัดย่อมสูงขึ้น เชิญข้าดื่มสุราสักหน่อย คงไม่ถึงขั้นไม่อยากควักเงินกระมัง”
เสิ่นเจ๋อชวนเห็นติงเถากับกู่จินยืนอยู่สองฝั่งอย่างเตรียมพร้อม จึงพ่นลมหายใจเยียบเย็นออกมา คลี่ยิ้มสุขุม “ได้ซี กำลังจะไปหาเจ้าอยู่พอดี”
สองคนไปเรือนที่เซียวฉือเหย่ใช้เลี้ยงต้อนรับอาจารย์ ในห้องมีโต๊ะเก้าอี้ ตั้งฉากบังลมที่สลักลายนูนไว้เพื่อกั้นแบ่งพื้นที่เป็นสี่ส่วน ตรงกลางเป็นโต๊ะปลายเชิดเรียบง่ายและประณีต นับเป็นสถานที่ที่ดีในการดื่มสุราสนทนากัน
ในห้องอากาศร้อน สองคนต่างถอดเสื้อคลุมออก
เซียวฉือเหย่นั่งขัดสมาธิด้วยท่วงท่าผ่อนคลาย แต่เสิ่นเจ๋อชวนกลับนั่งทับส้นเท้าอย่างสำรวม เซียวฉือเหย่จึงยิ้มพูด “หากจะกล่าวถึงอากัปกิริยา เจ้ากลับดูเหมือนคนที่มาจากตระกูลสูงศักดิ์มากกว่าข้า อาจารย์จี้กังสอนเรื่องพวกนี้ให้เจ้าด้วยหรือ”
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นผลมาจากไม้ลงโทษของราชครูฉีที่ตีลงบนร่างเขา แต่เสิ่นเจ๋อชวนไม่ตอบ พูดเพียง “วันนี้มารอหน้าประตูวัง มีเรื่องใดหรือ”
เซียวฉือเหย่มองสาวใช้ยกสุราอาหารออกมา รอให้คนปิดประตูลงแล้วจึงพูดว่า “เจ้ากำลังจะมาหาข้ามิใช่หรือ เจ้าพูดก่อนดีกว่า”
“ข้าเห็นเจ้ามิได้เข้าวังเข้าเฝ้าฝ่าบาท เมื่อคืนยุ่งง่วนทั้งคืน คงจะอยู่ในคุกของกรมอาญากระมัง” เสิ่นเจ๋อชวนจิบชาร้อนหลายอึกเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น “ฝูหลิงสอบสวนง่ายมากซีนะ”
“ใช่” เซียวฉือเหย่รินสุราให้ตัวเอง “คนที่ตรวจสอบง่ายดูไม่เหมือนคนที่เจ้าจะเลือกใช้”
“นางมีมารดาสูงวัย ทั้งยังเป็นคนใจอ่อน จุดอ่อนมีมากมายถึงเพียงนั้น บงการง่ายเป็นที่สุด แต่ก็เปลี่ยนคำพูดได้ง่ายดายที่สุดเช่นกัน” เสิ่นเจ๋อชวนยิ้มตอบ “เจ้าพูดถูก หากเป็นข้าจะไม่ใช้คนประเภทนี้เด็ดขาด”
“ทว่าหลันโจว” เซียวฉือเหย่ดื่มสุราขณะพิศมองเขา รอให้ลำคอชุ่มชื้นและเอ่ยว่า “เจ้าจะใช้คนแบบใด ข้าล้วนไม่แปลกใจทั้งนั้น”
“ข้าก็เป็นคน” เสิ่นเจ๋อชวนรับกาสุราจากเซียวฉือเหย่ “ยังคงมีความรู้สึกอยู่บ้าง”
“แต่ความรู้สึกนั้นกลับมิได้มอบให้ข้าแม้แต่ส่วนเดียว” เซียวฉือเหย่พูดอย่างเสียดาย
เสิ่นเจ๋อชวนรินสุราช้าๆ “เจ้าเองก็ไม่ต่างกัน”
“ข้ายื่นมือออกไปหลายครั้ง” แววตาของเซียวฉือเหย่เป็นมิตร “แต่เจ้ากลับทำเป็นมองไม่เห็น ดึงดันจะเป็นศัตรูกับข้าให้ได้”
“หากการบอกข้อมูลที่ไม่สลักสำคัญอันใดก็ถือเป็นการยื่นมือออกมา” เสิ่นเจ๋อชวนวางกาสุราและมองเขา “พันธมิตรเช่นนี้ออกจะราคาถูกเกินไปหน่อย”
“ดังนั้นเจ้าจึงหันไปร่วมมือกับซีหงเซวียนแทน” เซียวฉือเหย่พูด “นั่นมันตัวอะไรกัน ดีกว่าคุณชายรองของเจ้างั้นหรือ”
“ตอนคุณชายรองกดข่มข้าดูน่าเกรงขามกว่าตอนนี้” เสิ่นเจ๋อชวนพูด “ผู้มีความสามารถย่อมต้องก้าวสู่ที่สูง เรื่องนี้จะโทษผู้อื่นมิได้”
“ข้าจะโทษเจ้าได้อย่างไร” เซียวฉือเหย่พูดผ่านไอร้อนที่ลอยขึ้นมาจากหม้อ “เมื่อคืนมิได้ใช้เท้าเหยียบย่ำข้า ในใจคงอึดอัดมากกระมัง”
“เปล่าเลย” เสิ่นเจ๋อชวนยิ้มน้อยๆ
“บางครั้งแววตาเจ้าก็ช่างโหดเหี้ยมเหลือเกิน” เสิ่นเจ๋อชวนยังไม่ทันตอบ เซียวฉือเหย่ก็พูดต่อ “แน่นอน ต้องโหดหน่อยจึงจะสนุก”
เสิ่นเจ๋อชวนอดทนครู่หนึ่งก่อนพูด “รสนิยมของเจ้าพิเศษจริงๆ”
“เจ้าก็เหมือนกันนี่” เซียวฉือเหย่พูดอย่างกำกวม “คนที่ชอบถูกกัด ข้าก็เพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก”
“พูดเรื่องสำคัญเถิด” เสิ่นเจ๋อชวนถาม “มาหาข้ามีเรื่องใด”
“ดื่มสุราอย่างไรเล่า” เซียวฉือเหย่ดื่มสุราในจอกจนหมด “ถือโอกาสคุยกับเจ้าด้วย พ่อค้าคนกลางบนถนนตงหลงมีคนหนุนหลังอยู่ แต่พวกเขากับข้าเป็นเหมือนน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับน้ำคลอง[2] ดังนั้นที่ผ่านมาทุกคนล้วนอยู่ร่วมกันอย่างสงบ แต่ครั้งนี้พวกเขาใส่ความข้า ข้าย่อมต้องตรวจสอบดูว่าพวกเขาพึ่งพาใครอยู่”
เสิ่นเจ๋อชวนคีบอาหารในหม้อ
เซียวฉือเหย่พูด “ตรวจสอบดูแล้วกลับพบแต่ซีหงเซวียน ประหลาดแท้ ครั้งก่อนตอนอยู่ที่นี่ เจ้ายังตั้งใจบอกข้าว่าแปดสกุลใหญ่จะร่วมมือกันจู่โจมข้า แต่คล้อยหลังเจ้ากลับร่วมมือกับพวกเขาเหยียบย่ำข้า ข้าขบคิดไปมา ไม่เข้าใจว่าเจ้าคิดอะไรอยู่กันแน่ แต่พอกลับลำดับเสียใหม่ก็เข้าใจจุดประสงค์ของเจ้า”
เสิ่นเจ๋อชวนกินปลาเหมือนแมว กินอย่างเกลี้ยงเกลางดงาม เขามิได้เงยหน้า เพียงส่งเสียงตอบรับว่า “อืม” เป็นการบอกว่าตัวเองฟังอยู่
เซียวฉือเหย่หมุนจอกสุราบนโต๊ะ “ข้าควรเอาแผนการที่จะ ‘เหยียบย่ำข้า’ ไปอยู่หน้า ‘การร่วมมือของแปดสกุลใหญ่’ เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมสมเหตุสมผล เป้าหมายของเจ้าหาได้อยู่ที่การโค่นล้มข้าไม่ เจ้ายุให้ซีหงเซวียนลงมือ สนับสนุนให้เขาไปผูกมิตรกับสกุลอื่น แต่เจ้ากลับนำเรื่องนี้มาบอกข้า ต้องการให้ข้าหาทางรับมือ ใช้ตำแหน่งหน้าที่และอำนาจที่แท้จริงของข้าในแปดกองกำลังทำให้สกุลสูงศักดิ์อื่นๆ ไม่ยอมร่วมมือกับซีหงเซวียน นี่เรียกว่าอะไร ศิลปะในการสร้างความแตกแยกกระมัง ทั้งหมดล้วนอาศัยการยุแยงด้วยคำพูด แปดสกุลใหญ่จับมือเป็นพันธมิตรกันไม่สำเร็จเป็นเรื่องเล็ก แต่การทิ้งความขัดแย้งระหว่างพวกเขาไว้ จึงจะเป็นจุดเริ่มต้นของการทำการใหญ่ของเจ้าอย่างแท้จริง”
เสิ่นเจ๋อชวนมองเขา “เพียงเพราะเจ้าสืบได้ความว่า บุคคลที่อยู่เบื้องหลังพ่อค้าคนกลางบนถนนตงหลงคือซีหงเซวียน จึงคิดเรื่องพวกนี้ขึ้นมาน่ะหรือ”
“ร่องรอยบางอย่างที่เหลืออยู่” เซียวฉือเหย่พูด “เจ้าเช็ดไม่สะอาด ตอนซีกู้อันอยู่ในคุกของกรมอาญา ซีหงเซวียนขายชีวิตเขาเพื่อแลกกับตำแหน่งขุนนาง คิดดูแล้วนั่นน่าจะเป็นความคิดของเจ้า หาไม่แล้วซีหงเซวียนไม่มีทางเชื่อฟังเจ้าถึงเพียงนี้แน่
“เดิมทีข้าคิดว่าเจ้ารีบร้อนอยากก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง เพียงเพื่อจะได้สืบสวนสาเหตุที่จงปั๋วพ่ายศึกอย่างสะดวก” เซียวฉือเหย่รินสุรา “ใครจะคิดว่าเจ้ามีแผนการยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ ทำให้แปดสกุลใหญ่แตกแยกมีผลดีอันใดกับเจ้า เจ้ารู้หรือไม่ว่ารอบนอกชวี่ตูมีแปดเมืองโอบล้อมอยู่ พวกเขาดำรงอยู่มานานยิ่งกว่าสกุลหลี่ เจ้าดูฮวาซือเชียนสิ ก่อกบฏในลานล่าสัตว์เป็นคดีใหญ่ถึงเพียงนั้น ไทเฮายังคงไม่เป็นอะไร แล้วไฉนเจ้าจึงคิดเพ้อฝันว่า อาศัยกำลังเจ้าคนเดียวจะสร้างความแตกแยกในหมู่พวกเขาได้ หากปัดหมอกควันในชวี่ตูออกและมองดูชัดๆ เจ้าจะเห็นว่าพวกเขาหยั่งรากลึกลงไปใต้ดินและเกี่ยวพันกันอย่างสลับซับซ้อน คงอยู่เช่นนี้มาหลายร้อยปีแล้ว”
เสิ่นเจ๋อชวนหยุดตะเกียบ ยามเขานั่งอย่างสำรวมเช่นนี้ ดูเหมือนกำลังจะเสวนาปรัชญากระนั้น เขาไม่โกรธ ท่าทียังคงสงบนิ่งมาก “ข้าขอถามเจ้าเพียงเรื่องเดียว”
เซียวฉือเหย่ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนพูด “เชิญ”
เสิ่นเจ๋อชวนเอ่ย “ตลอดเวลาที่ผ่านมาสกุลฮวากับสกุลเซียวต่างฝ่ายต่างคานอำนาจกัน เหตุการณ์ในลานล่าสัตว์หนานหลินทำให้สกุลฮวาดูเหมือนจะเพลี่ยงพล้ำ สกุลเซียวเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่เจ้าชนะแล้วหรือ”
เซียวฉือเหย่บีบจอกสุราแน่น
ท้องฟ้านอกหน้าต่างมืดสลัว ในห้องยังคงมิได้จุดโคม เงาของเสิ่นเจ๋อชวนที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างดูผอมมาก เขาพูด “เจ้าตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่า สิ่งที่ตัวเองต้องเผชิญหน้ามิใช่เพียงสกุลฮวาสกุลเดียว บางทีตอนแรกเจ้าอาจยังปลอบใจตัวเองได้ว่าพวกเขาแค่ต้องการแปดกองกำลัง แต่เจ้าลองดูจงปั๋วหกโจวสิ แล้วเจ้าจะเข้าใจว่าสิ่งที่พวกเขาต้องการมิใช่เพียงแค่นี้แน่นอน”
“จงปั๋วพ่ายศึกยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน” เซียวฉือเหย่ที่อยู่ในเงามืดเงียบไปครู่หนึ่ง “เจ้ามั่นใจถึงเพียงนี้เชียวหรือว่าเป็นฝีมือของพวกเขา”
“นี่เป็นบัญชีที่มั่วไปหมด” เสิ่นเจ๋อชวนพูด “พวกเราพิจารณาเรื่องจงปั๋วพ่ายศึกกลับไปกลับมา อยากดูให้แน่ชัดว่าเป็นความผิดของใครกันแน่ แต่ความจริงแล้วนี่มิใช่เรื่องที่คนคนเดียวจะสามารถบงการได้แน่นอน อีกทั้งในความพ่ายแพ้ของจงปั๋ว ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่จวบจนวันนี้ยังไม่มีผู้ใดคิดหาคำตอบได้”
เซียวฉือเหย่พูด “เพราะเหตุใด”
“นั่นซี เพราะเหตุใด” เสิ่นเจ๋อชวนพูด “พวกเปียนซาบุกเข้ามา ทุกคนต่างได้รับความเสียหาย จงปั๋วคนตายไปหลายหมื่นเป็นเพียงปัญหาชั่วคราวเท่านั้น แต่ปัญหาใหญ่ที่ตามมาภายหลังคือจงปั๋วหกโจวจะขาดเงินภาษีไปอีกหลายปี ประชากรจะโยกย้ายอย่างไร ที่นาจะแบ่งสรรใหม่อย่างไร เมืองที่ถูกทำลายจะบูรณะซ่อมแซมอย่างไร เมื่อคลังแผ่นดินรับผิดชอบไม่ไหว จงปั๋วย่อมกลายเป็นช่องโหว่ของบ้านเมือง สิ่งที่ยากที่สุดยังคงเป็นการก่อตั้งกองทหารรักษาการณ์ขึ้นใหม่ หากไม่มีกำลังทหารเพียงพอ จงปั๋วยังคงต้องถูกจู่โจมอีกครั้ง ทหารจากหลีเป่ยและฉี่ตงที่มาช่วยจะยืนหยัดได้สักเพียงใด เรื่องนี้เกี่ยวพันโดยตรงกับความปลอดภัยของชวี่ตู ปัญหาเหล่านี้ก่อนที่จงปั๋วจะพ่ายศึกไม่เคยมีใครคิดหรือ หรือว่าคิดแล้วถึงได้ทำเช่นนี้ บางทีแปดสกุลใหญ่อาจมิใช่ตัวการหลัก แต่เรื่องแบบนี้ หากไม่มีอำนาจของพวกเขาย่อมทำไม่สำเร็จ
“ทุกครั้งที่ต้าโจวเกิดการเปลี่ยนแปลง ล้วนหนีไม่พ้นพวกเขา ยี่สิบห้าปีก่อนตอนจักรพรรดิหย่งอี๋ครองราชย์ นั่นเป็นจุดพลิกผันที่ทำให้สกุลฮวาเรืองอำนาจ เพื่อยึดกุมอำนาจ ไทเฮาสังหารรัชทายาทที่มีความสามารถและเปี่ยมด้วยคุณธรรม แปดสิบปีก่อนสมัยจักรพรรดิหย่งอันครองราชย์ ราชสำนักเป็นของสกุลเหยา สกุลเหยามีผู้มีความสามารถถึงสามคน สภาขุนนางถูกเรียกขานว่า ‘สภาเหยา’ หนึ่งร้อยปีก่อนเจวี๋ยซีเปิดท่าเรือหย่งอี๋ ทำให้สกุลซีเปรียบเหมือนกุญแจสู่ยุ้งฉางของต้าโจว พวกเขายึดนาเกลือบริเวณปากอ่าวของทะเลซวีไห่ทางทิศตะวันตก กลายเป็นมหาเศรษฐีในใต้หล้า ชนชั้นสูงสกุลหลี่จะแต่งงานยังต้องยืมเงินจากพวกเขา เรื่องราวเหล่านี้ไม่มีเรื่องใดเกิดจากบุญคุณความแค้นส่วนตัว พวกเขาผลัดกันเป็นหัวมังกรเมื่อมีการเปลี่ยนจักรพรรดิ ไม่เคยมีสกุลใดตกต่ำหรือพ่ายแพ้อย่างแท้จริงมาก่อน
“สกุลสามัญมิอาจให้กำเนิดทายาทสูงศักดิ์ ขุนนางเลื่องชื่อในต้าโจวที่สามารถบงการราชสำนักได้มีเพียงไม่กี่คนที่มาจากสกุลสามัญ ต้องใช้เวลากี่ปีจึงจะมีคนอย่างฉีฮุ่ยเหลียนสักคน ใช้เวลากี่ปีจึงจะมีคนอย่างไห่เหลียงอี๋สักคน พวกเขาเหมือนลายพู่กันบนอักษรแบบหวัด แม้จะฟันผ่าอุปสรรคจนปรากฏตัวออกมาได้ แต่ก็เป็นเพียงลายเส้นบางเบาในหน้าประวัติศาสตร์ที่ตวัดผ่านไปอย่างรวดเร็วเท่านั้น
“หากจะกล่าวถึงบุคคลคนหนึ่งที่สามารถยืนอยู่อย่างมั่นคงท่ามกลางตาข่ายเหล็กของสกุลสูงศักดิ์ทั้งหลาย คนผู้นั้นเจ้าคุ้นเคยดีเป็นที่สุด” เสิ่นเจ๋อชวนมองเซียวฉือเหย่ เอ่ยชัดทุกคำพูด
“หลีเป่ยอ๋องเซียวฟางซวี่ชาติตระกูลต่ำต้อย ถือกำเนิดที่เชิงเขาหงเยี่ยน อายุสิบห้าเข้าเป็นทหารที่ด่านลั่วสยา อายุยี่สิบเลื่อนขั้นเป็นทหารรักษาการณ์ด่านลั่วสยา อายุยี่สิบสามพ่ายศึกใต้เขาหงเยี่ยน อายุยี่สิบหกสร้างสนามม้าลั่วสยา อายุยี่สิบแปดก่อตั้งกองทหารม้าลั่วสยา อายุสามสิบทำศึกกับชนเผ่าฮั่นเสอของเปียนซาอีกครั้ง อายุสามสิบสองข้ามเขาหงเยี่ยน อายุสามสิบห้าควบทะยานไปทั่วเทือกเขาหงเยี่ยนฝั่งตะวันออก นับแต่นั้นมาทหารม้าลั่วสยาถูกยุบ เปลี่ยนเป็นทหารม้าเหล็กหลีเป่ย เขาเองก็มิใช่ทหารรักษาการณ์ด่านลั่วสยาอีกต่อไป แต่ได้รับการอวยยศถึงสามครั้งและได้รับแต่งตั้งเป็นอ๋องต่างแซ่[3]แห่งต้าโจวหลีเป่ยอ๋อง เขตแดนหลีเป่ยถูกกำหนดชัดเจนนับแต่นั้นเป็นต้นมา อาณาจักรต้าโจวครอบคลุมพื้นที่ของเทือกเขาหงเยี่ยนทั้งหมด
“พวกเจ้าสกุลเซียวกับแปดสกุลใหญ่มิได้ต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันเท่านั้น แต่ยังเป็นการต่อสู้ระหว่างชนชั้นสูงกับชนชั้นล่าง ผู้ที่ฝ่าประตูก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดได้คือเซียวฟางซวี่ เจ้ากับแปดขั้วอำนาจใหญ่มิอาจอยู่ร่วมกันได้ตั้งนานแล้ว”
เสิ่นเจ๋อชวนหลุบตาเล็กน้อย วางชามกับตะเกียบตรงหน้าให้เรียบร้อย “หากคิดจะสร้างพันธมิตร อย่างน้อยก็ต้องแสดงความจริงใจเหมือนกับข้า มิใช่พูดถึงบัญชีของทหารรักษาพระองค์แค่ไม่กี่คำ ของพวกนั้นไม่มีค่าสำหรับข้า”
ฉากบังลมกันเสียงลมไว้ สองคนที่นั่งตรงข้ามกันในความมืดต่างมีความคิดในใจ หน้าต่างมีแสงสว่างเล็กน้อย ประกายหิมะส่องลงมาด้านข้างของคนทั้งสองจางๆ สะท้อนความเยียบเย็นในราตรีอันมืดมิด ดาบหลางลี่และดาบหย่างซานเสวี่ยวางอยู่ตรงข้ามกัน แม้มิได้ชักออกจากฝัก ทว่าภายในห้องกลับมีประกายเย็นเยียบของคมดาบ
[1] เซี่ยจื้อ เป็นสัตว์ในเทพนิยายจีน ลักษณะคล้ายแพะที่มีเขาแหลมกลางศีรษะ สามารถแยกแยะถูกผิดได้โดยสัญชาตญาณ เป็นสัญลักษณ์แห่งความยุติธรรม
[2] น้ำบ่อไม่ยุ่งเกี่ยวกับน้ำคลอง หมายถึงต่างฝ่ายต่างไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน
[3] สมัยราชวงศ์หมิงจักรพรรดิจะพระราชทานบรรดาศักดิ์และเบี้ยหวัดให้เชื้อพระวงศ์ที่มีความดีความชอบ รวมถึงมอบดินแดนให้ปกครอง บรรดาศักดิ์เหล่านั้นได้แก่ อ๋อง กง โหว ปั๋ว จื่อ หนาน แต่ก็มีกรณีที่ผู้มีความดีความชอบมิใช่เชื้อพระวงศ์และได้รับพระราชทานยศกับดินแดนเช่นกัน กรณีนี้เซียวฟางซวี่ได้รับแต่งตั้งเป็นอ๋องทั้งที่มิได้แซ่หลี่ นับเป็นหวังที่แตกต่างจากฉู่อ๋อง (หลี่เจี้ยนเหิง) ที่เป็นเชื้อพระวงศ์