[ทดลองอ่าน] เชิญร่ำสุรา 將進酒 ตอนที่ 6

 เชิญร่ำสุรา
將進酒

 

ถังจิ่วชิง
唐酒卿

กอหญ้า แปล

 

สุนัขชั่ว ปะทะ สุนัขบ้า

จงปั๋วหกโจวถูกประเคนยกให้แก่ศัตรูต่างแคว้น เสิ่นเจ๋อชวนถูกคุมตัวมายังเมืองหลวง
ถูกประนามหยามเหยียดจากทุกคน เมื่อเซียวฉือเหย่ได้ข่าว ก็มิร้องขอให้ผู้ใดลงมือแทน
เขาหมายมั่นจะเตะเสิ่นเจ๋อชวนให้พิการด้วยตนเอง
ทว่าใครจะรู้เล่าว่าเจ้าคนอ่อนแอขี้โรคนี่จะแว้งกัดเขาเสียจนเลือดสาด
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความบาดหมางระหว่างชายหนุ่มทั้งสอง
ที่จำต้องฉีกทึ้งกันทุกครายามเผชิญหน้ากัน

“โชคชะตาต้องการให้ข้าเฝ้าอยู่ที่นี่ชั่วชีวิต แต่นี่หาใช่เส้นทางที่ข้าเลือกไม่…
ทรายเหลืองกลบฝังพี่น้องข้า ข้าไม่อยากยอมจำนนให้กับชีวิตอันว่างเปล่าอีกแล้ว
ราชโองการมิอาจช่วยเหลือทหารของข้าได้
ราชสำนักมิอาจเลี้ยงดูม้าของข้าให้อิ่มได้…
ข้าไม่อยากทุ่มเทรับใช้พวกเขาด้วยชีวิตอีกแล้ว…
ข้าจะข้ามเขาลูกนั้นไป… ข้าจะต่อสู้เพื่อตัวเองสักครั้ง”

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 6 กักบริเวณ

 

วันที่เสิ่นเจ๋อชวนเข้าไปในวัดเจาจุ้ย ชวี่ตูอากาศปลอดโปร่งอย่างหาได้ยาก หิมะสีขาวปกคลุมกระเบื้องหลังคาวังหลวง กำแพงสีแดงตัดกับต้นเหมยสีเขียว แสงอาทิตย์ส่องลงบนหลังคา สาดเงาแสงลงมาหน้าฝ่าเท้า

เขาเพิ่งหายจากการป่วยหนัก ผอมแห้งจนเห็นกระดูก ความฝันและเรื่องราวในอดีตก่อนอายุสิบห้าเปรียบเหมือนเถ้าธุลี พอลืมตาขึ้นก็ถูกสายลมหนาวเหน็บพัดจนสลายหายไปสิ้น

เก่อชิงชิงก้าวลงจากบันไดก่อน จากนั้นหันกลับไปมองเขา “ได้เวลาแล้ว”

เสิ่นเจ๋อชวนประคองตัวกับเสาก้าวลงบันไดช้าๆ ยามร่างกายอยู่ใต้แสงอาทิตย์ เขารู้สึกไม่คุ้นเคยนัก แต่ก็ไม่ตระหนกลนลาน ความไร้เดียงสาในวัยเยาว์เหมือนถูกบดทำลายไปในความซีดเซียว นอกจากท่าทางอ่อนแอแล้วก็มองไม่เห็นสิ่งอื่นใดอีก

 

จี้เหลยรออยู่หน้าประตูวัดเจาจุ้ย เสี่ยวฝูจื่อคอยตามอยู่ด้านข้าง เสี่ยวฝูจื่อเงยหน้ามองวัดโบราณแห่งนี้และจุปากอุทาน “วัดแห่งนี้ยิ่งใหญ่ตระการตา ดูแล้วไม่เหมือนสถานที่ขังคนเลยจริงๆ”

“เจ้าไม่รู้อดีตของมัน” จี้เหลยพูด “แรกเริ่มวัดเจาจุ้ยเป็นวัดที่เชื้อพระวงศ์มาจุดธูปกราบไหว้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ข้างในเคยบูชาคำสอนที่เขียนด้วยลายพระหัตถ์ของหย่งอี๋ตี้ ในยุคที่รุ่งเรืองที่สุด พระภิกษุชั้นสูงทั่วหล้าล้วนมาชุมนุมกันที่นี่ การเสวนาปรัชญาเป็นที่นิยมในสมัยนั้น”

“หลายปีมานี้ไฉนจึงไม่เคยได้ยินผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายเอ่ยถึงที่นี่เลยเล่า” เสี่ยวฝูจื่อพิจารณาประตูวัด “วัดแห่งนี้ดูเก่าโทรมทีเดียว คงไม่ได้ซ่อมบำรุงนานแล้วกระมัง”

จี้เหลยตั้งสติครู่หนึ่งก่อนเล่า “ยี่สิบปีแล้ว ในอดีตไท่จื่อ[1]ผู้มีความผิดยุยงแปดกองกำลังในชวี่ตูหมายก่อกบฏ หลังพ่ายแพ้เขาหนีมาซ่อนตัวที่นี่ ต่อสู้อยู่ในวัดเหมือนสัตว์จนตรอกที่ดิ้นรนหาทางรอด สุดท้ายโลหิตกระเซ็นใส่รูปปั้นพระพุทธองค์ ไท่จื่อฆ่าตัวตาย นับแต่นั้นมาอดีตจักรพรรดิก็ไม่ทรงย่างกรายมาที่นี่อีกเลย ปลดชื่อวัดออกและตั้งชื่อใหม่ว่าเจาจุ้ย[2]

“ยี่สิบปีเชียวหรือ” เสี่ยวฝูจื่อบีบเสียงด้วยท่าทางประหลาดใจ “ตอนนั้นข้ายังไม่เกิดด้วยซ้ำ ใต้เท้าจี้ก็เพิ่งเข้ากองกำลังจิ่นอีกระมัง”

จี้เหลยไม่ตอบคำถามนี้ หันไปด้านหลังและตำหนิ “ไฉนจึงยังมาไม่ถึงอีก”

เสี่ยวฝูจื่อยังคงเดินวนรอบป้ายศิลาที่สลักคำว่า ‘เจาจุ้ย’ จากนั้นถามจี้เหลย “แต่ที่ผ่านมาก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าข้างในขังใครไว้นี่นา”

จี้เหลยเหมือนรำคาญอย่างยิ่ง “คนที่ถูกขังอยู่ข้างในล้วนเป็นขุนนางใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับไท่จื่อผู้มีความผิด ขุนนางทั่วไปทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ถูกประหารเก้าชั่วโคตร คนที่เหลืออยู่มีน้อยยิ่งนัก ยี่สิบปีแล้ว ใครจะยังจำได้เล่า!”

อีกทางหนึ่งรถนักโทษแล่นเข้ามาใกล้ เก่อชิงชิงคำนับจี้เหลย “ใต้เท้า ผู้น้อยพาคนมาแล้วขอรับ”

“ส่งตัวเข้าไป” จี้เหลยพูดกับเสิ่นเจ๋อชวน “จากกันวันนี้เกรงว่าคงไม่มีโอกาสได้พบกันอีก ฝ่าบาททรงเมตตา เจ้าใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ซาบซึ้งบุญคุณครั้งนี้ให้ดีเถอะ”

เสิ่นเจ๋อชวนทำเหมือนไม่ได้ยิน เขาเข้าไปในวัดเจาจุ้ย ประตูเคลือบสีแดงที่ลอกล่อนขยับพร้อมเสียงดังสนั่น เขายืนอยู่ในประตูและมองจี้เหลย จี้เหลยถูกสายตานั้นจับจ้องโดยไม่ทันตั้งตัว ขณะกำลังจะอาละวาด กลับเห็นใบหน้าที่ชำระล้างจนสะอาดของเสิ่นเจ๋อชวนเผยรอยยิ้ม

บ้าไปแล้ว

จี้เหลยคิดในใจ แต่หูกลับได้ยินเสียงของเสิ่นเจ๋อชวน

“ใต้เท้าจี้” น้ำเสียงเขาราบเรียบ “พบกันใหม่วันหน้า”

ประตูสีชาดปิดสนิทดังปัง พาให้ฝุ่นฟุ้งขึ้นไม่น้อย เสี่ยวฝูจื่อปิดจมูกไอสำลักขณะถอยหลังหลายก้าว กลับเห็นจี้เหลยยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ

จี้เหลยถูกเรียกหลายครั้งกว่าจะดึงสติกลับมาได้ เขาก้าวขึ้นม้าเร็วๆ รอจนแผ่นหลังถูกแสงอาทิตย์สาดส่องแล้ว จึงเอ่ยว่า “…ถุย อัปมงคล!”

 

เซียวฉือเหย่ขี่ม้าอยู่บนถนน บังเอิญเจอจี้เหลยพอดี เขาหยุดม้าและคลี่ยิ้มกว้าง “เหล่าจี้ ไม่ได้เข้าเวรอยู่หรือ”

จี้เหลยมองม้าศึกใต้ร่างของเซียวฉือเหย่ด้วยสายตาปรารถนา “วันนี้คุมตัวทายาทคนโฉดผู้นั้นไปที่วัด กำลังจะกลับวัง เอ้อร์กงจื่อ อาชาดีทีเดียว! ได้ยินว่าท่านฝึกเองหรือ”

“ข้าว่างนี่นา” เซียวฉือเหย่หวดแส้ม้ากลางอากาศเสียงดัง เหยี่ยวไห่ตงชิงบนท้องฟ้าทิ้งตัวลงบนหัวไหล่เขาทันที “ฝึกเหยี่ยวขี่ม้า ข้ามีความสามารถอยู่แค่นี้แหละ”

“หลังปีใหม่เมื่อรับตำแหน่งแล้ว ท่านต้องไม่มีเวลาว่างแน่” จี้เหลยพูด “ขอต้อนรับชนชั้นสูงคนใหม่ของชวี่ตู พรุ่งนี้ข้าไม่ต้องเข้าเวร ไปดื่มสุราด้วยกันเป็นอย่างไร”

เซียวฉือเหย่ตอบ “ถ้าสุราไม่ดี ข้าไม่ไป”

จี้เหลยหัวเราะออกมา “สุราดี แน่นอนว่าต้องเป็นสุราดี! หากมิใช่สุราดีใครจะกล้าเชิญเอ้อร์กงจื่ออย่างท่านมาดื่มเล่า ไว้ตอนเย็นข้าจะไปเชื้อเชิญที่บ้าน ซื่อจื่อมีเวลาว่างออกไปเล่นสนุกด้วยกันหรือไม่”

เซียวฉือเหย่ลูบแหวนปันจื่อ[3]ที่ทำจากกระดูก “พี่ใหญ่ข้าน่ะหรือ เขาไม่สนใจเรื่องพวกนี้หรอก ทำไม มีข้าไปคนเดียวยังไม่พออีกรึ”

จี้เหลยรีบพูด “ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น เอ้อร์กงจื่อ ตกลงตามนี้แล้วกัน”

เซียวฉือเหย่รับคำ ควบม้าทำท่าจะจากไป ก่อนจากไปเขาเหมือนนึกบางอย่างขึ้นได้ “ทายาทคนโฉดผู้นั้นเป็นอย่างไรบ้าง ขายังเดินได้หรือไม่”

“เดินน่ะเดินได้” จี้เหลยตอบ “แต่ดูแล้วไม่คล่องแคล่วนัก ถูกลงโทษด้วยทัณฑ์ไม้พลองจะมีสักกี่คนที่ไม่ทิ้งบาดแผลชั่วชีวิตไว้ เดินได้ก็นับว่าโชคดีแล้ว”

เซียวฉือเหย่ควบม้าจากไปโดยไม่ได้เอ่ยคำพูดใดอีก

 

ตอนค่ำข้ารับใช้ในวัดเจาจุ้ยนำอาหารมาส่ง เสิ่นเจ๋อชวนจุดตะเกียง แต่กลับมิได้แตะต้องอาหาร เขาถือตะเกียงน้ำมัน เดินไปตามระเบียงทางเดินเล็กๆ ข้างวิหารใหญ่รอบหนึ่ง

ที่นี่มีฝุ่นสะสมเป็นเวลานาน ห้องบางห้องชำรุดทรุดโทรม ประตูหน้าต่างพังหมดแล้ว เสิ่นเจ๋อชวนเห็นโครงกระดูกหลายโครง แค่ลมพัดมาก็พังทลาย เนื่องจากไม่เห็นสิ่งมีชีวิตอื่นใด เขาจึงเดินกลับวิหารใหญ่

รูปปั้นพระพุทธองค์ถล่มลงมาแล้ว โต๊ะบูชาเก่าคร่ำคร่า แต่กลับแข็งแรงมาก ด้านล่างขนาดกำลังพอเหมาะ เสิ่นเจ๋อชวนแขวนผ้าม่านเก่าขาดและเอนกายลงนอนทั้งเสื้อผ้า เมื่อเจอความเย็นก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ขา เขาอดทนกับความเจ็บและหลับตาคำนวณเวลา

ครึ่งคืนหลัง หิมะโปรยปรายลงมา เสิ่นเจ๋อชวนได้ยินเสียงนกเค้าแมวร้องสองที เขาลุกขึ้นและเลิกผ้า เห็นจี้กังกำลังก้าวเข้ามาจากหน้าประตู

“กินข้าวซะ” จี้กังเปิดห่อผ้า “แล้วฝึกหมัดมวย ตอนกลางคืนที่นี่กันลมมิได้ อากาศหนาวเย็นเกินไป หากหลับไปอาจารย์กลัวเจ้าจะล้มป่วย”

เสิ่นเจ๋อชวนมองไก่ย่างที่ห่อด้วยกระดาษน้ำมัน “ระหว่างป่วยห้ามกินเนื้อสัตว์ อาจารย์ ท่านกินเถิด”

จี้กังฉีกไก่ย่างให้เขา “เหลวไหล! ตอนนี้เจ้าต้องกินให้อิ่มท้อง อาจารย์ชอบกินตูดไก่ ชอบกินมากตั้งแต่ตอนอยู่บ้านแล้ว เจ้าเหลือไว้ให้ข้า”

เสิ่นเจ๋อชวนพูด “ข้าจะเอาอย่างท่าน ท่านกินสิ่งใด ข้าก็กินสิ่งนั้น”

จี้กังชำเลืองมองเขา ก่อนจะหัวเราะออกมา “เจ้าเด็กดื้อ”

ศิษย์อาจารย์แบ่งไก่ย่างกัน จี้กังเหมือนมีฟันเหล็กกระนั้น แม้แต่กระดูกไก่ยังเคี้ยวจนละเอียด เขายื่นน้ำเต้าให้เสิ่นเจ๋อชวน “ถ้าหนาวจนทนไม่ไหวก็ดื่มสุรา แต่อย่าดื่มเยอะ เอาอย่างพี่ชายเจ้า ดื่มพอประมาณ”

หลายวันมานี้พวกเขามิได้พูดถึงจงปั๋ว มิได้พูดถึงตวนโจว ยิ่งมิได้พูดถึงหลุมยุบฉาสือ อาจารย์หญิงกับจี้มู่เหมือนบาดแผลของพวกเขาที่แม้ไม่เอ่ยออกมาทว่ารู้ดีแก่ใจ พวกเขาต่างคิดว่าสามารถปกปิดเก็บงำมันไว้ได้ กลับไม่รู้ว่าโลหิตไหลซึมออกมาแล้ว ความเจ็บนี้ยังคงอยู่

เสิ่นเจ๋อชวนจิบสุราหนึ่งคำและส่งให้จี้กัง

จี้กังไม่รับ เขาพูด “เลิกแล้ว อาจารย์ไม่ดื่มแล้ว”

ภายในวิหารเงียบงันต่อไป เมื่อไม่มีประตูขวางกั้น หิมะจึงโปรยปรายอยู่ตรงหน้า กลายเป็นทิวทัศน์เพียงอย่างเดียวกลางค่ำคืนอันยาวนาน

จี้กังถาม “เหม่ออะไร”

เสิ่นเจ๋อชวนร้องเรียก “อาจารย์”

“มีสิ่งใดก็พูดมา”

“ข้าขอโทษ”

จี้กังเงียบไปครู่ใหญ่ “หาใช่ความผิดของเจ้าไม่”

เสิ่นเจ๋อชวนบีบนิ้วเข้าด้วยกันแน่น เขาจ้องมองหิมะ ราวกับแค่กะพริบตา น้ำตาก็จะไหลรินออกมา น้ำเสียงเขาฝาดเฝื่อน “ท่านไปตามหาพวกเราที่ฉาสือหรือ”

จี้กังค่อยๆ ขยับตัวไปพิงโต๊ะบูชา ร่างกายซ่อนอยู่ในเงามืด เขาเหมือนเพิ่งหาเสียงของตัวเองเจอ ผ่านไปเนิ่นนานจึงตอบ “ใช่ ข้าหาจนเจอ”

หาจนเจอ

จี้กังค้นหาบุตรชายที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยลูกธนูเจอในหลุมลึกกลางหิมะ เขากระโดดลงไป เหยียบศพที่ซ้อนกันจนเป็นชั้นหนาเหล่านั้นและพลิกร่างของจี้มู่ขึ้นมา

จี้มู่เพิ่งอายุยี่สิบสามเท่านั้น เพิ่งได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหมู่ธงเล็ก[4]ของกองทหารรักษาการณ์ในตวนโจว ชุดเกราะเป็นของใหม่ วันที่สวมใส่ ฮวาพิงถิงห้อยยันต์คุ้มครองให้ลูกชายบนห่วงของชุดเกราะ ตอนจี้กังพบเขา เขาหนาวจนร่างกายเป็นสีเขียวม่วง หนาวตายอยู่กับเพื่อนทหารของเขา

เสิ่นเจ๋อชวนเงยหน้าเล็กน้อย “อาจารย์ ข้าขอโทษ”

จี้กังแก่แล้ว เขาถูเส้นผมสีขาว “เขาเป็นพี่ชายนี่ สมควรแล้วละ นั่นล้วนมิใช่ความผิดของเจ้า”

หิมะตกลงมาอีกพักหนึ่ง

จี้กังหดมือเท้าและเอ่ย “ใครจะไปรู้ว่าพวกหัวโล้นเปียนซาจะมา เขาเป็นทหาร ต้องอยู่แนวหน้าสุด นี่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ข้าสอนหมัดมวยให้เขา อีกทั้งเขายังมีนิสัยแบบนั้น ถ้าเจ้าจะให้เขาหนี มิสู้ฆ่าเขาให้ตายเสียดีกว่า ปกติเขาเห็นคนเหนื่อยยากลำบากยังนิ่งเฉยมิได้ แล้วเขาจะ จะหนีไปได้อย่างไร

“มิใช่ความผิดของพวกเจ้าเลย เป็นเพราะอาจารย์ไม่ดีเอง ดื่มสุราไม่บันยะบันยัง อาจารย์หญิงของเจ้าด่าข้ามานาน ข้าก็เลิกไม่ได้เสียที ตอนทหารม้าบุกมา วิชาหมัดมวยข้าก็ไม่ดี ข้าอายุปูนนี้ แก่แล้ว ไม่ได้เรื่องแล้ว ไร้ประโยชน์ตั้งนานแล้ว”

น้ำเต้าถูกปัดจนเกือบล้ม เสิ่นเจ๋อชวนคว้าจับไว้ ไม่เอ่ยคำพูดใดๆ

“แก่แล้ว ไม่ได้เรื่องแล้ว” ศีรษะคนพลันชะโงกออกมาจากด้านหลังรูปปั้นพระพุทธองค์ “แก่แล้ว ไม่ได้เรื่องแล้ว!”

จี้กังกระโจนขึ้นมาประหนึ่งเสือดาว ตวาดถาม “ใครน่ะ!”

คนผู้นี้ผมเผ้ายุ่งเหยิงมอมแมม ค่อยๆ ยื่นตัวออกมาและพูดตามจี้กัง “ใคร ใคร!”

จี้กังได้ยินเสียงของอีกฝ่ายชัด เขากดตัวเสิ่นเจ๋อชวนไว้ อุทานด้วยความตกตะลึง “ฉีไท่ฟู่[5]!”

คนผู้นี้หดหัวกลับไปทันใด ถีบรูปปั้นพระพุทธองค์ร้องโวยวายเสียงดัง “มิใช่! ข้ามิใช่ไท่ฟู่!”

จี้กังไล่ตามไปด้านหลังรูปปั้นพระพุทธองค์ เห็นเขาจะมุดรูหนี จึงอดคว้าข้อเท้าของคนผู้นี้ไว้ไม่ได้ คนผู้นี้พลันแผดเสียงร้องเหมือนสุกรถูกเชือด เขาตะโกน “เตี้ยนซย่า[6]! เตี้ยนซย่ารีบหนีไป!”

เสิ่นเจ๋อชวนปิดปากเขาและช่วยจี้กังลากคนกลับมา “เขาเป็นใครหรือ” เสิ่นเจ๋อชวนถาม

“เจ้าอายุยังน้อย ไม่เคยได้ยินชื่อเขา” จี้กังน้ำเสียงไม่มั่นคง กดคนไว้ขณะพูด “ฉีไท่ฟู่ ดียิ่ง! ท่านยังมีชีวิตอยู่! ใต้เท้าโจวล่ะ ใต้เท้าโจวอยู่ที่นี่ด้วยหรือไม่”

ฉีไท่ฟู่ตัวเล็กผอมแห้ง สู้แรงคนทั้งสองมิได้ จึงถลึงตาตอบเสียงค่อย “ตายแล้ว เขาตายแล้ว! ข้าตายแล้ว เตี้ยนซย่าก็ตายแล้ว ทุกคนตายหมดแล้ว!”

จี้กังเอ่ยเสียงขรึม “ไท่ฟู่ ข้าคือจี้กัง! รองผู้บัญชาการกองกำลังจิ่นอีจี้กัง!”

ฉีไท่ฟู่ยังตกใจไม่หาย ยืดคอขึ้นด้วยความสงสัย มองหน้าจี้กัง “เจ้ามิใช่จี้กัง เจ้าเป็นผีร้าย!”

จี้กังเอ่ยอย่างสลดใจ “ไท่ฟู่! รัชศกหย่งอี๋ที่ยี่สิบสาม ข้าคุ้มกันท่านเข้าเมืองหลวง ไท่จื่อเตี้ยนซย่ามารอต้อนรับที่นี่ ท่านลืมไปแล้วหรือ”

ดวงตาของฉีไท่ฟู่สาดประกายวาวระยับ เอ่ยอย่างคลุ้มคลั่ง “พวกเขาฆ่าไท่จื่อ…ไท่จื่อเตี้ยนซย่า!” เขาสะอึกสะอื้น “จี้กัง ใต้เท้าจี้! เจ้าพาเตี้ยนซย่าหนีไปเถอะ! วังบูรพา[7]ตกเป็นเป้าโจมตีของทุกคนแล้ว เตี้ยนซย่าผิดอันใด!”

จี้กังคลายมืออย่างห่อเหี่ยว “ไท่ฟู่…ปีที่ยี่สิบเก้าจี้เหลยรับโจรเป็นบิดา ข้าถูกขับออกจากนครหลวงชวี่ตู เร้นกายอยู่ในยุทธภพมายี่สิบปี แต่งภรรยาและให้กำเนิดบุตรในตวนโจวมณฑลจงปั๋ว”

ฉีไท่ฟู่จ้องมองเขาอย่างเหม่อลอย “…เตี้ยนซย่าเพิ่งจากไป แต่พระนัดดายังคงอยู่! เจ้าพาเขาหนีไป เจ้า เจ้าพาเขาไป!”

จี้กังอดหลับตาลงมิได้ “รัชศกหย่งอี๋ที่สามสิบ ไท่จื่อฆ่าตัวตายที่นี่ วังบูรพาไม่มีผู้ใดรอดชีวิต”

ฉีไท่ฟู่แหงนหน้าพึมพำ “ใช่ ใช่แล้ว…” เขาร้องไห้เหมือนเด็กคนหนึ่ง “ไฉนจึงกลายเป็นเช่นนี้ได้”

คืนนี้จี้กังเหนื่อยกายและเหนื่อยใจเหลือเกิน เขารำพึง “หลังจากกันประหนึ่งเมฆลอยล่องมิหยุดนิ่ง กาลเวลาดั่งสายน้ำพริบตาเดียวก็สิบปี[8] คิดไม่ถึงว่าพบกันอีกครา พวกเราจะอยู่ในสภาพเช่นนี้”

ฉีไท่ฟู่พลิกตัวปิดหน้า “เจ้าก็ถูกขังเหมือนกันหรือ ยอมถูกขังเถิด แล้วปล่อยให้พวกเขาฆ่าปัญญาชนในใต้หล้านี้ให้หมด”

จี้กังพูด “ลูกศิษย์ข้าต้องรับผิดแทนบิดา”

ฉีไท่ฟู่ตอบ “รับผิดแทนบิดา…ดีนี่ บิดาเขาเป็นใคร ทำให้ฝ่าบาทกริ้วงั้นหรือ”

จี้กังถอนใจ “ปีที่แล้ว เสิ่นเว่ยพ่ายศึก…”

คิดไม่ถึงว่าพอฉีไท่ฟู่ได้ยินคำว่า ‘เสิ่นเว่ย’ เขาหันขวับกลับมาทันใด ใช้ทั้งมือและเท้าคลานเข้าไปหาเสิ่นเจ๋อชวน “นี่คือบุตรชายของเสิ่นเว่ยหรือ”

จี้กังตระหนักถึงความผิดปกติ หมายจะห้ามปราม ทว่าฉีไท่ฟู่กลับกระโจนเข้าไปไวกว่าเขา นิ้วมือผอมแห้งคว้าตัวเสิ่นเจ๋อชวนไว้ เอ่ยอย่างดุดัน “เสิ่นเว่ย! เสิ่นเว่ยฆ่าเตี้ยนซย่า!”

เสิ่นเจ๋อชวนตาไวมือเร็ว คว้าข้อมือของฉีไท่ฟู่ไว้ จากนั้นจี้กังจับตัวฉีไท่ฟู่ “ไท่ฟู่! พระนัดดาตายเพราะเหตุใด วันนี้ท่านก็จะให้ลูกศิษย์ข้าตายด้วยเหตุเดียวกันหรือ ไม่ว่าเสิ่นเว่ยจะทำเรื่องเลวทรามต่ำช้าเพียงใดก็ไม่เกี่ยวกับลูกศิษย์ข้า!”

ฉีไท่ฟู่หอบหายใจหนักหน่วง เอ่ยเสียงสั่น “ในเมื่อเขาเป็นบุตรชายของเสิ่นเว่ย บุตรชายของเสิ่นเว่ย…”

“ตอนเกิดเขาเป็นบุตรชายของเสิ่นเว่ย” จี้กังจับตัวฉีไท่ฟู่ไว้และโขกศีรษะทันใด “แต่ภายหลังเขาเป็นบุตรชายข้าจี้กัง คืนนี้หากข้าเอ่ยคำเท็จ ขอให้ไม่ตายดี! ไท่ฟู่ ท่านจะฆ่าบุตรชายข้าหรือ”

 

[1] ไท่จื่อ เป็นคำเรียกโอรสของจักรพรรดิที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท

[2] เจาจุ้ย แปลว่าเปิดเผยบาป

[3] ปันจื่อ เดิมเป็นเครื่องมือสำหรับยิงธนู ใช้สวมที่นิ้วโป้งเพื่อป้องกันไม่ให้นิ้วมือถูกสายธนูบาด ด้านล่างมีร่องเพื่อให้สะดวกต่อการเหนี่ยวสาย ภายหลังนิยมสวมใส่เป็นเครื่องประดับที่แสดงถึงฐานะอันสูงส่ง อาจทำจากกระดูกสัตว์ เขาสัตว์ หยก หรือโลหะ

[4] หัวหมู่ธงเล็ก (เสี่ยวฉี) เป็นตำแหน่งทางทหารในสมัยโบราณของจีน ประกอบด้วยทหารสิบนาย ดูแลควบคุมโดยหัวหมู่ธงใหญ่ (จ่งฉี) อีกทอดหนึ่ง หัวหมู่ธงใหญ่มีกำลังพลห้าสิบนาย

[5] ไท่ฟู่ เป็นชื่อตำแหน่งขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ทำหน้าที่สนับสนุนและช่วยเหลือจักรพรรดิปกครองแผ่นดิน รวมถึงเป็นพระอาจารย์ของจักรพรรดิด้วย ในบางยุคสมัยเป็นพระอาจารย์ของไท่จื่อโดยเฉพาะ แต่โดยมากจะเป็นยศที่ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ขุนนางเท่านั้น

[6] เตี้ยนซย่า เป็นคำที่ใช้เรียกพระบรมวงศานุวงศ์ด้วยความเคารพ ระดับต่ำกว่าปี้ซย่า (ฝ่าบาท) ที่ใช้เรียกกษัตริย์เท่านั้น สมัยฮั่นเรียกไท่จื่อและหวังทั้งหลายว่าเตี้ยนซย่า ตั้งแต่สมัยสามก๊กเป็นต้นมา ไท่โฮ่วและหวงโฮ่วก็เรียกเตี้ยนซย่าด้วย

[7] วังบูรพา หรือตงกง เป็นที่ประทับของไท่จื่อ นอกจากนี้ยังใช้หมายถึงไท่จื่อได้ด้วย

[8] ตัดตอนมาจากบทกลอน ‘พบพานสหายเก่าริมน้ำไหว’ ของเหวยอิงอู้กวีสมัยราชวงศ์ถัง

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า