เชิญร่ำสุรา
將進酒
ถังจิ่วชิง
唐酒卿
กอหญ้า แปล
สุนัขชั่ว ปะทะ สุนัขบ้า
จงปั๋วหกโจวถูกประเคนยกให้แก่ศัตรูต่างแคว้น เสิ่นเจ๋อชวนถูกคุมตัวมายังเมืองหลวง
ถูกประนามหยามเหยียดจากทุกคน เมื่อเซียวฉือเหย่ได้ข่าว ก็มิร้องขอให้ผู้ใดลงมือแทน
เขาหมายมั่นจะเตะเสิ่นเจ๋อชวนให้พิการด้วยตนเอง
ทว่าใครจะรู้เล่าว่าเจ้าคนอ่อนแอขี้โรคนี่จะแว้งกัดเขาเสียจนเลือดสาด
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความบาดหมางระหว่างชายหนุ่มทั้งสอง
ที่จำต้องฉีกทึ้งกันทุกครายามเผชิญหน้ากัน
“โชคชะตาต้องการให้ข้าเฝ้าอยู่ที่นี่ชั่วชีวิต แต่นี่หาใช่เส้นทางที่ข้าเลือกไม่…
ทรายเหลืองกลบฝังพี่น้องข้า ข้าไม่อยากยอมจำนนให้กับชีวิตอันว่างเปล่าอีกแล้ว
ราชโองการมิอาจช่วยเหลือทหารของข้าได้
ราชสำนักมิอาจเลี้ยงดูม้าของข้าให้อิ่มได้…
ข้าไม่อยากทุ่มเทรับใช้พวกเขาด้วยชีวิตอีกแล้ว…
ข้าจะข้ามเขาลูกนั้นไป… ข้าจะต่อสู้เพื่อตัวเองสักครั้ง”
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 8 สงสัย
ทหารรักษาพระองค์กำลังผลัดเปลี่ยนเวร แต่ละคนหนาวจนต้องหดมือหดเท้า
ทหารรักษาพระองค์ในนครหลวงชวี่ตูเดิมคือกองกำลังรักษาพระองค์แปดเมือง เปรียบดังผนังทองแดงกำแพงเหล็กของวังหลวง ตามหลักแล้ว งานเบ็ดเตล็ดอย่างการคุมตัวนักโทษไม่ใช่หน้าที่ของพวกเขา แต่ภายหลังแปดกองกำลังผงาดขึ้นมา ภาระหน้าที่ของสองฝ่ายจึงสลับกัน ทหารรักษาพระองค์กลายเป็นภาระของชวี่ตู ไม่เพียงถูกยกเลิกการฝึกในค่ายฝึกทหาร ยังกลายเป็นทหารรับใช้ในชวี่ตูอย่างแท้จริง บัดนี้ทหารรักษาพระองค์ล้วนเป็นพวกที่ไม่เคยจับอาวุธต่อสู้ในสนามรบ แค่สืบยศทางสายเลือดและดำรงตำแหน่งไปวันๆ
เก่อชิงชิงเป็นนายกองร้อยกองกำลังจิ่นอี ไม่นับเป็นขุนนางในชวี่ตูแต่อย่างใด แต่เขากลับสามารถประจบเอาใจทหารรักษาพระองค์ที่มีหน้าที่คุมตัวนักโทษได้ หากเป็นขุนนางยศใหญ่กว่านี้ เขาย่อมไม่กล้าติดสินบนส่งเดช เนื่องจากทุกคนล้วนทำงานอยู่ในชวี่ตูเหมือนกัน ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องติดต่อพบเจอกัน อีกทั้งเก่อชิงชิงยังใจกว้างกับทุกคนเป็นพิเศษ ดังนั้นทหารรักษาพระองค์จึงหลับตาข้างลืมตาข้าง ปล่อยให้จี้กังรับผิดชอบงานเบ็ดเตล็ดที่เดิมทีเป็นหน้าที่ของตนไป
เก่อชิงชิงทักทายทหารรักษาพระองค์และนำซาลาเปาร้อนๆ ที่ซื้อมาแบ่งให้ทุกคน จี้กังยังไม่ออกมา หัวหมู่ธงเล็กเห็นเขาทำท่าครุ่นคิด จึงเอ่ยว่า “หากพี่ชิงร้อนใจก็เข้าไปตรวจดูแทนพวกเราพี่น้องเถิด”
เก่อชิงชิงตอบ “ทำแบบนั้นขัดต่อกฎระเบียบ”
หัวหมู่ธงเล็กกัดซาลาเปาไปพลางโบกมือไปพลาง ส่งสัญญาณบอกให้ทหารรักษาพระองค์ที่เฝ้าประตูหลังอยู่เปิดทาง “พี่ชิงหาใช่ใครอื่น อีกอย่างพวกเราล้อมวัดเจาจุ้ยแห่งนี้ไว้แน่นหนาแล้ว คนไม่มีทางหนีออกไปได้หรอก”
เก่อชิงชิงไม่ปฏิเสธอีก หมุนตัวเดินเข้าไปในวัดเจาจุ้ย
จี้กังนั่งอยู่ใต้ชายคา เห็นเก่อชิงชิงมาก็ลุกขึ้นยืน “ถึงเวลาแล้วหรือ”
“ไม่เป็นไร ฟ้ายังไม่สว่าง ท่านอาจี้อยู่ต่อได้อีกครู่หนึ่ง” เก่อชิงชิงพูดและมองไปรอบวัด “สถานที่แห่งนี้คนมิอาจอยู่ได้ ตอนนี้เป็นช่วงฤดูเหมันต์ที่อากาศหนาวเหน็บ ค่ำหน่อยข้าจะเอาผ้านวมมาให้”
จี้กังเห็นเขาเหมือนมีเรื่องในใจ จึงถาม “มีเรื่องใดหรือเปล่า”
เก่อชิงชิงพูดอย่างลังเล “หาใช่เรื่องใหญ่แต่อย่างใด ทว่าเมื่อครู่ข้าเจอเอ้อร์กงจื่อสกุลเซียวบนถนน”
เสิ่นเจ๋อชวนเงยหน้า “เอ้อร์กงจื่อ…”
“เซียวฉือเหย่” เก่อชิงชิงตอบ “บุตรชายคนเล็กของหลีเป่ยหวัง คนที่คราวก่อน…ทำร้ายเจ้า ข้าเห็นฝีเท้าเขาไม่มั่นคง ร่างกายยังมีกลิ่นสุรารุนแรง เมื่อคืนคงดื่มจนเมามาย”
“ขอเพียงมิใช่เซียวจี้หมิงก็พอ” จี้กังหันกลับไปพูดกับฉีไท่ฟู่ “ไท่ฟู่ไม่ได้ออกไปข้างนอกยี่สิบปี เกรงว่าคงไม่รู้จักสี่ยอดขุนพลแห่งต้าโจวในปัจจุบัน หลีเป่ยหวังมีบุตรชายที่ดี เซียวจี้หมิงผู้นั้นร้ายกาจยิ่ง”
เสิ่นเจ๋อชวนกลับถามเก่อชิงชิง “พี่ชิง เขาถามอะไรท่านหรือเปล่า”
เก่อชิงชิงขบคิดอย่างละเอียดก่อนตอบ “เขาถามข้าว่าจะไปไหน ข้าบอกว่าจะไปเข้าเวรที่สำนักโดยใช้ทางลัด เขาบอกว่าเส้นทางนี้ดูไม่เหมือนสามารถทะลุไปถนนเสินอู่ได้ ข้าจึงพูดกลบเกลื่อน คิดว่าชนชั้นสูงอย่างเขาคงไม่ไปตรวจสอบด้วยตัวเองดอกกระมัง”
“แต่หากเกี่ยวพันกับสกุลเซียว ระวังไว้ก่อนย่อมดีกว่า ประเดี๋ยวเจ้ายังคงต้องเข้าวัง ลงบันทึกในสมุดบันทึกการเข้าเวรไว้สักหน่อย” จี้กังใช้หิมะถูมือสองข้าง “ชวนเอ๋อร์ ฝึกหมัดมวยได้แล้ว”
“ช้าก่อน” เสิ่นเจ๋อชวนนัยน์ตาดำสนิท “ในเมื่อเป็นตรอกซอยในเขตชุมชน เขาเป็นชนชั้นสูง ตอนเช้าจะมาเดินอยู่บนถนนเส้นนี้ได้อย่างไร”
เก่อชิงชิงอึ้งไป “จะว่าไปก็ใช่…สถานเริงรมย์ล้วนอยู่บนถนนตงหลง ไกลจากเขตชุมชนพอสมควร เขาดื่มสุราทั้งคืนจนเมามาย อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ ไฉนจึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้”
“เฝ้าตอรอกระต่าย[1]อย่างไรเล่า” ฉีไท่ฟู่ห่มม่านเก่าขาด พลิกตัวหันก้นออกด้านนอก “เรื่องของสกุลเสิ่นเกี่ยวพันกับสกุลเซียว ข้าได้ยินว่าการถีบครั้งนั้นของเขา ชัดเจนว่าหมายเอาชีวิตเจ้าหนุ่มผู้นี้ ทว่าบัดนี้คนกลับยังปกติดี แล้วเขาจะไม่สงสัยได้อย่างไร”
“หากเขาไม่มีใจ ย่อมไม่ควรเอ่ยถามคำถามที่สอง” เสิ่นเจ๋อชวนคิดถึงเท้าข้างนั้นที่ถีบตนแล้ว ยังรู้สึกกลัวไม่หาย
“แย่แล้ว” เก่อชิงชิงสีหน้าเปลี่ยนไป “ต้องโทษข้าที่สะเพร่าเอง บัดนี้จะทำอย่างไรดี เกรงว่าป่านนี้คนคงอยู่ระหว่างทางแล้ว!”
เสิ่นเจ๋อชวนหันไปหาฉีไท่ฟู่ “ไม่เป็นไร ในเมื่อเซียนเซิงเดาได้ตั้งแต่แรก แสดงว่าต้องมีแผนการรับมือ”
เจาฮุยมาถึงสำนักองครักษ์จิ่นอี ผู้ช่วยผู้บัญชาการที่เดินทางมาพร้อมกับเขาแม้จะยศเดียวกัน แต่กลับมิกล้าหยิ่งผยอง เขาเดินนำเจาฮุยมาจนถึงห้องเก็บบันทึกการเข้าเวร “ขุนพลเจาต้องการตรวจสอบอะไรหรือ นี่คือสมุดบันทึกการเข้าเวรของสิบสองกองย่อยในวันนี้”
เจาฮุยหยิบสมุดบันทึกขึ้นมาเปิดดูด้วยท่าทางเคร่งขรึม “การตรวจตราภายในวังลำบากพี่น้ององครักษ์จิ่นอีทุกท่านแล้ว สองวันก่อนข้าได้รับความช่วยเหลือจากนายกองร้อยคนหนึ่งที่ชื่อเก่อชิงชิง วันนี้จึงตั้งใจมาขอบคุณเขา มิทราบว่าวันนี้เขาเข้าเวรหรือไม่”
“นายกองร้อยในสิบสองกองย่อยมีมากมาย รายชื่อล้วนอยู่ในนั้นทั้งหมด” ผู้ช่วยผู้บัญชาการพูดขณะเดินไปที่ผนัง บนนั้นแขวนสมุดลำดับการเข้าเวรของสิบสองกองย่อยแยกไว้อย่างชัดเจน ทว่าของสิ่งนี้เจาฮุยมิอาจแตะต้องได้ นี่เป็นข้อห้ามในวัง
ผู้ช่วยผู้บัญชาการถาม “ท่านขุนพลรู้หรือไม่ว่าเขาสังกัดกองใด”
เจาฮุยตอบ “ได้ยินว่าเข้าเวรเช้า คงไม่พ้นกองราชรถ กองพระกลดและกองฝึกคชสาร”
ผู้ช่วยผู้บัญชาการตรวจดูอย่างละเอียดในบันทึกการเข้าเวรของกองย่อยที่แจ้งมา ครู่หนึ่งผ่านไป จึงหันมาพูดกับเจาฮุย “ท่านขุนพล ไม่มีชื่อคนผู้นี้เข้าเวรในวันนี้ จะให้ข้าค้นหาให้ท่านในกองย่อยอื่นอีกหรือไม่”
เจาฮุยปิดสมุดในมือลงเบาๆ “ไม่ต้องแล้วละ เดี๋ยวข้าไปหาเขาเอง”
ตอนเจาฮุยออกจากห้องเก็บบันทึกการเข้าเวร ฟ้าเพิ่งสว่าง เขาเดินกลับตามทางเดิม ก้าวยาวๆ ออกจากวัง
บนถนนเสินอู่เพิ่งกวาดหิมะที่ทับถมอยู่ออก แต่ถนนลื่น คนหามเกี้ยวที่ทำหน้าที่รับส่งผู้สูงศักดิ์มิกล้าประมาท เดินอย่างระมัดระวัง เน้นความปลอดภัย
เจาฮุยเดินผ่านเกี้ยวหลังหนึ่ง เหลือบเห็นคนหามเกี้ยวพกดาบยาวที่เอว คิดไม่ถึงว่าการเหลือบมองครั้งนี้จะทำให้เขามุ่นคิ้ว
“ช้าก่อน” เจาฮุยขวางเกี้ยวไว้ “นี่เป็นเกี้ยวของผู้บัญชาการหรือ”
คนหามเกี้ยวเป็นองครักษ์จิ่นอีดังคาด ผู้ที่เป็นหัวหน้าตอบ “รู้ว่าพวกเรารับใครมา ยังจะกล้าขวางทางอีก รีบหลีกไปซะ!”
เจาฮุยยกมือขึ้นแสดงป้ายห้อยเอวหลีเป่ยของตน
องครักษ์จิ่นอีที่เป็นหัวหน้าขออภัย “ล่วงเกินท่านขุนพลแล้ว!”
ม่านเกี้ยวขยับ มือบางข้างหนึ่งเลิกม่านขึ้น ดวงหน้างามชำเลืองมองเจาฮุยอย่างเกียจคร้าน ก่อนเอ่ยเสียงหวานกับคนในเกี้ยว “ใต้เท้า มาหาท่านน่ะ”
จี้เหลยดื่มสุรามาทั้งคืนเพิ่งจะกลับ นั่งอยู่ในเกี้ยวอย่างวางโต พูดกับเจาฮุย “ขุนพลเจา มีธุระอันใดหรือ”
เจาฮุยเอาแต่จ้ององครักษ์จิ่นอีที่เป็นหัวหน้าผู้นั้น “ไม่มีอะไร ได้ยินว่าเมื่อคืนกงจื่อดื่มสุรากับใต้เท้า ใต้เท้าเพิ่งจะกลับหรือ”
จี้เหลยยิ้มตอบ “ที่แท้ก็เป็นห่วงเอ้อร์กงจื่อนี่เอง! เช้านี้ข้าตื่นมา กงจื่อก็กลับจวนแล้ว ซื่อจื่อตามหาคนอยู่หรือ”
“เป็นข้าที่ไม่วางใจเอง” เจาฮุยทำความเคารพ “รบกวนใต้เท้าแล้ว”
“มิเป็นไร ข้าเองก็เพิ่งออกมา” จี้เหลยโบกมือ “เมื่อครู่ใครล่วงเกินท่านขุนพล รีบขอขมาท่านขุนพลซะ”
องครักษ์จิ่นอีที่เป็นหัวหน้าคุกเข่าข้างเดียว พูดกับเจาฮุย “ข้าน้อยเก่อชิงชิง มีตาแต่ไร้แวว ล่วงเกินท่านขุนพลไป ยินดีรับโทษทัณฑ์!”
เจาฮุยมิได้ดูผิด บนป้ายห้อยเอวที่แขวนอยู่ข้างดาบ เขียนชื่อเก่อชิงชิงอยู่จริงๆ
เซียวฉือเหย่ฟังเจาฮุยเล่าจบ ยังคงเอาขาพาดโต๊ะขณะอ่านบทละคร
เจาฮุยพูด “ดูท่าเขาจะมิได้โกหก เป็นเพราะยังไม่ทันได้เข้าวังก็ถูกส่งไปรับจี้เหลยเสียก่อน”
“นั่นสิ” เซียวฉือเหย่ตอบอย่างไม่ใส่ใจ “หอชิงจวินอยู่ใกล้ เขาย่อมไปทันอยู่แล้ว”
“แต่ข้ารู้สึกแปลกๆ” เจาฮุยใช้นิ้วโป้งลูบด้ามดาบ
เซียวฉือเหย่พลิกหน้าหนังสือ “เจ้ายังคิดไม่ออกรึ”
“คิดไม่ออก”
“ข้าจะบอกให้” เขาลุกขึ้นนั่งทันใด ไขว่ห้างและยันมือข้างหนึ่งบนหัวเข่า “เจ้าเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมพี่ใหญ่ ฝ่าบาทเสด็จไปต้อนรับด้วยองค์เอง ขบวนเกียรติยศขององครักษ์จิ่นอีสิบสองกองตามมาข้างหลัง ไฉนยามนี้เขาจึงจำเจ้าไม่ได้เล่า”
“เรื่องนี้พูดยาก” เจาฮุยตอบ “บางทีอาจไม่ได้ตั้งใจจดจำกระมัง”
“เจ้าไม่ได้เปลี่ยนชุดด้วยซ้ำ ทั้งยังมีดาบพก ต่อให้เขาจำไม่ได้ ใช้หัวสมองสักหน่อยก็มิกล้าตวาดด่าผู้อื่นกลางถนนอย่างใจกล้าเช่นนั้นหรอก” เซียวฉือเหย่พูด “อีกอย่าง ข้าว่าความจำเขาไม่เลวทีเดียว แม้แต่ข้ายังจำได้แม่นยำ”
“ข้าเพียงรู้สึกว่าบังเอิญยิ่งนัก” เจาฮุยขบคิด “บังเอิญเจอเข้าพอดี”
“สิ่งที่ต้องการก็คือความบังเอิญนี่แหละ” เซียวฉือเหย่โยนบทละครทิ้ง “เจ้าเสิ่น…”
“เสิ่นเจ๋อชวน” เจาฮุยพูด
“ปล่อยให้เขาไปอยู่ในวัดเจาจุ้ย กลับเหมือนพวกเราพ่ายแพ้ไปตาหนึ่ง” เซียวฉือเหย่เอ่ยด้วยแววตาครุ่นคิด
เก่อชิงชิงถอดปลอกคอกันลมและเช็ดเหงื่อ
อู๋ไฉเฉวียนวิ่งเข้ามาจากข้างนอก รีบพูดไม่หยุด “ขอบคุณ ขอบคุณมากพี่ชิง! โชคดีที่ได้ท่าน!”
เก่อชิงชิงพูด “เรื่องเล็ก ล้วนเป็นพี่น้องกัน”
อู๋ไฉเฉวียนฉีกยิ้ม หันไปตะโกนบอกคนของห้องเก็บบันทึกการเข้าเวร “เหล่าสวี! วันนี้บันทึกชื่อพี่ชิงนะ เขาช่วยหามเกี้ยวแทนข้า เมื่อคืนข้าถูกลมหนาว เช้าวันนี้เวียนหัวยิ่งนัก โชคดีที่ได้พี่ชิงช่วยเหลือ”
เก่อชิงชิงก้มหน้าเช็ดเหงื่อ “เจ้าถูกลมหนาว ประเดี๋ยวไปดื่มน้ำแกงเนื้อแพะที่แผงลอยสกุลสวีด้วยกันเถอะ”
อู๋ไฉเฉวียนรีบพูด “ดีเลย ข้าเลี้ยงเอง! เหล่าสวี ได้ยินหรือเปล่า ประเดี๋ยวไปด้วยกัน!”
“อย่าเก็บเรื่องนี้มาใส่ใจเลย” เก่อชิงชิงตบหลังอู๋ไฉเฉวียน “พักรักษาตัวให้ดี คราวหน้าหากไม่สบายก็ไม่ต้องปิดบังไว้เหมือนครั้งนี้ แค่บอกข้าก็พอ”
อู๋ไฉเฉวียนผงกศีรษะเหมือนลูกสุนัข อยากกินน้ำแกงเนื้อแพะจนไม่สนใจอันใดอีกแล้ว
ในที่สุดตอนกลางคืนฉีไท่ฟู่ก็ได้ห่มผ้านวม เขานั่งอยู่ตรงข้ามเสิ่นเจ๋อชวน “อีกครึ่งเดือนก็จะถึงเทศกาลเจิ้งตั้น[2]แล้ว ชวี่ตูจะจัดงานเลี้ยงเหล่าขุนนาง ถึงเวลาผู้ว่าการมณฑลและผู้ว่าการเขตต่างๆ ตลอดจนผู้ตรวจการจะเดินทางเข้าเมืองหลวงมาร่วมอวยพร สถานการณ์ในตอนนี้ข้าไม่กระจ่างแจ้งนัก เจ้าเล่าให้ข้าฟังที”
เสิ่นเจ๋อชวนสวมเสื้อผ้าเนื้อบางท่ามกลางหิมะ อยู่ในท่าเริ่มต้นของวิชาหมัดมวยสกุลจี้ ทว่าขมับกลับมีแต่เหงื่อ เขาพูด “หลีเป่ยหวังป่วยมานานปี เรื่องทางทหารล้วนให้ซื่อจื่อเซียวจี้หมิงเป็นผู้รับผิดชอบ คิดว่าครั้งนี้เขาคงไม่เดินทางมาเมืองหลวง ครั้งนี้ฉี่ตงห้าจวิ้นมีความดีความชอบในการคุ้มกันฝ่าบาท คนแรกที่มารับการอวยยศคือลู่ก่วงไป๋หนึ่งในสี่ยอดขุนพล สองสามวันนี้จอมทัพชีน่าจะเดินทางมาถึง เมื่อเป็นเช่นนี้ อำนาจทางทหารอันยิ่งใหญ่สองฝ่ายของต้าโจวย่อมอยู่ใน…”
“ช้าก่อน” ฉีไท่ฟู่หยิบไม้ลงโทษ[3]ออกมาจากผ้าห่ม “สี่ยอดขุนพลคือใครบ้าง”
“อาชาเหล็กแห่งปิงเหอเซียวจี้หมิง ควันสัญญาณพัดทรายลู่ก่วงไป๋ วายุชักนำเปลวอัคคีชีจู๋อิน อสนีฟาดแท่นหยกจั่วเชียนชิว”
“ข้าเคยได้ยินเพียงชื่อของจั่วเชียนชิวเท่านั้น แต่ข้าก็รู้ว่าลู่ก่วงไป๋คงเป็นบุตรชายของเปียนซาปั๋วลู่ผิงเยียน แม้ภายหลังลู่ผิงเยียนจะประจำการอยู่ที่ทะเลทรายในเปียนจวิ้น แต่ก่อนหน้านี้เขามาจากหลีเป่ย เป็นพี่น้องร่วมสาบานกับหลีเป่ยหวังเซียวฟางซวี่ ลู่ก่วงไป๋ผู้นี้หากมีพี่สาวหรือน้องสาว จะต้องเป็นสะใภ้สกุลเซียวแน่นอน ใช่หรือไม่”
“ขอรับ” เสิ่นเจ๋อชวนหลั่งเหงื่อ “น้องสาวของลู่ก่วงไป๋ก็คือหลีเป่ยซื่อจื่อเฟย[4]”
“แล้วอำนาจทางทหารอันยิ่งใหญ่สองฝ่ายมาจากไหน” ฉีไท่ฟู่พูด “มีสายสัมพันธ์นี้อยู่ สกุลลู่ย่อมเป็นเหมือนหมุดที่หลีเป่ยวางไว้ในฉี่ตง ภายในซับซ้อนวุ่นวายยิ่งนัก อีกอย่างชวี่ตูยังมีแปดกองกำลัง แปดกองกำลังลงไปยังมีทหารรักษาพระองค์ แปดกองกำลังแม้กำลังคนจะไม่เท่าหลีเป่ยและฉี่ตง ความห้าวหาญก็สู้มิได้ แต่เจ้าพึงระลึกไว้ว่า ชวี่ตูต่างหากคือหัวใจของอาณาจักรต้าโจว พวกเขากุมชะตาของตี้หวัง[5]อยู่”
ฉีไท่ฟู่ประเมินน้ำหนักของไม้ลงโทษ คว้าน้ำเต้ามาจิบสุราหลายคำเพื่ออบอุ่นร่างกาย
“เจ้ายังต้องจำไว้ว่า องครักษ์จิ่นอีแม้มิอาจเรียกได้ว่าเป็น ‘ทหาร’ แต่ความว่องไวในการลงมือยังเหนือกว่า ‘ทหาร’ ด้วยซ้ำ เมื่อตี้หวังจะใช้ทหาร ย่อมต้องสนับสนุนขุนนางใหญ่และขุนศึกที่ห้าวหาญ ขุนศึกทำศึกอยู่นอก อาจไม่สามารถปฏิบัติตามคำสั่งเจ้านายได้ หากบีบแน่นเกินไป เกรงว่ายากจะประสบความสำเร็จ หากผ่อนปรนเกินไป ย่อมน่ากลัวว่าจะกลายเป็นพยัคฆ์ ความเหมาะสมนี้ยากกะเกณฑ์ จำต้องใช้ยาให้ถูกกับโรค รู้จักปรับเปลี่ยนพลิกแพลงจึงจะดี กระนั้นองครักษ์จิ่นอีกลับแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาเป็นสัตว์ร้ายของตี้หวัง โซ่ล่ามถูกตี้หวังถือไว้แต่เพียงผู้เดียว จะคลายหรือจะรัด จะโปรดปรานหรือไม่ไยดี ล้วนขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของตี้หวัง ดาบเช่นนี้ สุนัขเช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็นเจ้า เจ้าจะชอบหรือไม่”
เสิ่นเจ๋อชวนฝืนอดทนอีกครู่หนึ่ง “เมื่อชอบ…ย่อมตามใจ! โปรดปรานและไว้ใจเกินไปย่อมกลายเป็นหายนะ”
“พี่ชายเจ้าสอนเจ้าไม่น้อยเลย” ฉีไท่ฟู่พูด “ถูกต้อง เจ้าพึงจดจำไว้ จดจำให้ดี! โปรดปรานและไว้ใจเกินไปย่อมกลายเป็นหายนะ เข้าใกล้บัณฑิตออกห่างคนประจบ แม้นี่จะเป็นแนวทางของปราชญ์ผู้ทรงธรรม แต่ยามตัวเราอยู่ในสถานการณ์ ดำขาวปะปนกัน จะแยกแยะให้ชัดเจนได้อย่างไรว่าใครคือปราชญ์ผู้ทรงธรรม ใครคือคนพาลช่างประจบ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าแม้จะเป็นปัญญาชนผู้ทรงธรรม หลายเรื่องก็ยังมิอาจทำได้ ทว่าคนช่างประจบกลับทำได้ คนพาลกลับทำได้ ตี้หวังอาศัยอยู่ในวังมานาน ต้องรู้จักหลักการถ่วงดุลอำนาจ ทั้งยังต้องรับฟังเสียงของเหล่าขุนนาง เจ้าดูซี เมื่อมีองครักษ์จิ่นอี จึงได้มีสำนักตะวันออก เมื่อมีหลีเป่ย จึงได้มีฉี่ตง”
ฉีไท่ฟู่เงียบไป ก่อนจะถามต่อ
“น้ำเต็มย่อมล้น พระจันทร์เต็มดวงแล้วย่อมแหว่ง เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดครานี้สกุลเซียวจึงเกลียดชังสกุลเสิ่น ไม่เพียงเพราะหลังสงครามครั้งนี้หลีเป่ยมิอาจได้รับยศถาบรรดาศักดิ์อีก แต่สาเหตุเป็นเพราะหากสกุลเซียวทำสงครามอีกครา แพ้ก็คือแพ้ ชนะก็คือแพ้ พวกเขาเดินมาจนสุดทางแล้ว”
เสิ่นเจ๋อชวนพูด “ชนะก็คือแพ้?”
“ชนะก็คือแพ้! แม้เซียวจี้หมิงคว้าชัยในสงครามได้ แต่ก็ต้องสูญเสียน้องชายไปทันทีมิใช่หรือ วันหน้าหากเขายังคว้าชัยอีก ย่อมอันตรายเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งส่วน ครั้งนี้คนที่ต้องเสียไปคือน้องชาย แต่ครั้งหน้าอาจเป็นภรรยา บิดา หรือแม้แต่ตัวเขาเอง”
[1] เฝ้าตอรอกระต่าย เป็นสำนวนหมายถึง นั่งรอให้เหยื่อหรือโอกาสเข้ามาหาเอง มาจากตำนานที่เล่าถึงสมัยจั้นกั๋วมีชาวนาเห็นกระต่ายตัวหนึ่งวิ่งมาชนตอไม้ตาย นับแต่นั้นมาเขาจึงไม่ไปทำนา นั่งรอให้กระต่ายวิ่งมาชนตอไม้ตายอีก
[2] เทศกาลเจิ้งตั้นเป็นอีกชื่อของเทศกาลปีใหม่จีน
[3] ไม้ลงโทษ คือไม้ที่อาจารย์ในสำนักศึกษาใช้ตีสั่งสอนลูกศิษย์ คล้ายไม้เรียวของไทย แต่หน้ากว้างและหนากว่า ลักษณะคล้ายไม้บรรทัด
[4] ซื่อจื่อเฟย ตำแหน่งชายาของซื่อจื่อ (องค์รัฐทายาท)
[5] ตี้หวัง เป็นคำเรียกรวมของกษัตริย์ในยุคศักดินา แต่แท้จริงแล้วตี้กับหวังศักดิ์ไม่เท่ากัน ตี้มาจากหวงตี้หรือฮ่องเต้ ส่วนหวังหรืออ๋องเป็นบรรดาศักดิ์ของเจ้าผู้ครองแคว้นที่มีที่ดินในปกครอง แต่ยังอยู่ภายใต้อำนาจของหวงตี้