[ทดลองอ่าน] เชิญร่ำสุรา 將進酒 ตอนที่ 9

 เชิญร่ำสุรา
將進酒

 

ถังจิ่วชิง
唐酒卿

กอหญ้า แปล

 

สุนัขชั่ว ปะทะ สุนัขบ้า

จงปั๋วหกโจวถูกประเคนยกให้แก่ศัตรูต่างแคว้น เสิ่นเจ๋อชวนถูกคุมตัวมายังเมืองหลวง
ถูกประนามหยามเหยียดจากทุกคน เมื่อเซียวฉือเหย่ได้ข่าว ก็มิร้องขอให้ผู้ใดลงมือแทน
เขาหมายมั่นจะเตะเสิ่นเจ๋อชวนให้พิการด้วยตนเอง
ทว่าใครจะรู้เล่าว่าเจ้าคนอ่อนแอขี้โรคนี่จะแว้งกัดเขาเสียจนเลือดสาด
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความบาดหมางระหว่างชายหนุ่มทั้งสอง
ที่จำต้องฉีกทึ้งกันทุกครายามเผชิญหน้ากัน

“โชคชะตาต้องการให้ข้าเฝ้าอยู่ที่นี่ชั่วชีวิต แต่นี่หาใช่เส้นทางที่ข้าเลือกไม่…
ทรายเหลืองกลบฝังพี่น้องข้า ข้าไม่อยากยอมจำนนให้กับชีวิตอันว่างเปล่าอีกแล้ว
ราชโองการมิอาจช่วยเหลือทหารของข้าได้
ราชสำนักมิอาจเลี้ยงดูม้าของข้าให้อิ่มได้…
ข้าไม่อยากทุ่มเทรับใช้พวกเขาด้วยชีวิตอีกแล้ว…
ข้าจะข้ามเขาลูกนั้นไป… ข้าจะต่อสู้เพื่อตัวเองสักครั้ง”

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 9 เลื่อนตำแหน่ง

 

ตั้งแต่ย่างเข้าปลายปี ผู้คนบนท้องถนนในชวี่ตูส่วนใหญ่ต่างสวม ‘เน่าเอ๋อ[1]’ ที่ตัดจากกระดาษดำประดับทอง เทศกาลเจิ้งตั้นกำลังจะมาถึง ชาวบ้านทั่วไปนึ่งขนมและต้มเนื้อ วังหลวงจัดซื้อข้าวของที่ต้องใช้ในงานเลี้ยงเหล่าขุนนางล่วงหน้าครึ่งเดือน กองมหรสพยุ่งง่วนจนเท้าไม่ติดพื้น พวกขันทีกลับได้ผลประโยชน์ไปอย่างเต็มที่

เซียวฉือเหย่พลิกสมุดดังพึ่บพั่บ “ขุนนางจากภายนอกเข้ามาในเมืองหลวง ย่อมขาดมิได้ที่จะมอบ ‘กำนัลน้ำแข็ง[2]’ แด่ขุนนางในเมืองหลวง แต่พันหรูกุ้ยช่างเหิมเกริมนัก ไล่เรียงรายการอย่างชัดเจน ต้องจ่ายเงินตามรายการจึงจะไม่เกิดปัญหา”

“นี่ยังเป็นเพียง ‘เศษเงิน’ ช่วงต้นปีเท่านั้น” ลู่ก่วงไป๋เกลี่ยฟองชา “ข้าจะบอกตัวเลขให้เจ้าฟัง ขันทีน้อยที่อยู่ภายใต้การปกครองของพันหรูกุ้ย เงินที่ได้รับในปีหนึ่งๆ ยังมากกว่างบทหารสองปีของค่ายกองพันที่ชายแดนด้วยซ้ำ ต้าโจวใช้ทหารทุกปี ทุกครั้งเวลากรมพระคลังสั่งให้พวกเราออกรบ ล้วนอ้อนวอนเสียงอ่อนเสียงหวาน แทบจะบูชาพวกเราเหมือนบิดาบังเกิดเกล้า แต่พอเสร็จศึก พวกเรากลับกลายเป็นตัวน่ารังเกียจที่มาทวงหนี้พวกเขา”

“ผู้มีเงินจึงจะเป็นผู้มีอำนาจ” เซียวฉือเหย่ยิ้มพูด

“ก่อนปีใหม่ตอนเดินทางมาคุ้มกันฝ่าบาท พวกเราต้องเดินทัพฝ่าหิมะลงมาจากหลีเป่ย อาชาและทหารเหนื่อยยากเพียงใด ชุดเกราะของม้าศึกก็ต้องเร่งซ่อมแซมให้เสร็จก่อนเข้าฤดูใบไม้ผลิ ติดเงินโรงผลิตชุดเกราะไว้นานแล้ว เรื่องทุกอย่างล้วนต้องใช้เงิน” เจาฮุยคิดคำนวณในใจอย่างละเอียด “ตอนยังไม่เข้ามาในชวี่ตู เงินค่าเสบียงอาหารของหลีเป่ยถูกหัก จำต้องใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง ซื่อจื่อเฟยของพวกเราเวลามีเทศกาลยังไม่กล้าสั่งตัดเสื้อผ้าแพงๆ ให้คนในจวนด้วยซ้ำ พันหรูกุ้ยเป็นเพียงขันทีคนหนึ่ง เงินที่ได้รับกลับมากกว่าเงินภาษีทั้งหมดของตวนโจว ข้าหลวงตรวจการเมื่อถูกส่งออกไปตรวจตราท้องถิ่นต่างๆ แต่ละคนวางโตกดข่มผู้อื่น แล้วเป็นอย่างไร พออยู่ในชวี่ตูแม้แต่ผายลมยังมิกล้าด้วยซ้ำ!”

“ยากจนยิ่งนัก” ลู่ก่วงไป๋ทอดถอนใจ “ต้องกลุ้มใจกับเรื่องเงินทุกปี ครานี้จี้หมิงเดินทางเข้าเมืองหลวง ด้วยเห็นแก่หน้าเขา กรมพระคลังคงมิกล้าประวิงเวลาอีก รีบยื่นหนังสือเข้าสภาขุนนาง พันหรูกุ้ยก็อนุมัติแต่โดยดี ก่อนออกจากเมืองหลวงเงินน่าจะจ่ายลงมาแล้ว”

“พวกเรามีพี่ใหญ่” เซียวฉือเหย่ปิดสมุด หันไปมองลู่ก่วงไป๋ “แล้วท่านคิดจะทำเช่นไร”

“ฝ่าบาทไม่ยอมพบข้า” ลู่ก่วงไป๋พูด “สกุลลู่มิได้รับการยอมรับในชวี่ตู แปดสกุลใหญ่เห็นพวกเราเป็นคนเถื่อนในทะเลทรายมาตลอด สกุลฮวายิ่งไม่เคยเห็นพวกเราอยู่ในสายตา แต่จะให้ข้าติดสินบนพันหรูกุ้ย ข้าก็ไม่มีเงิน ที่บ้านยากจนแทบไม่มีข้าวสารจะกรอกหม้อแล้ว ที่อื่นยังสามารถเพาะปลูกในพื้นที่นาทหาร[3]ได้ ดีร้ายอย่างไรก็เป็นวิธีรับมือในช่วงคับขัน แต่เปียนจวิ้นของพวกเรามีแต่ผืนทรายทอดยาวเป็นหมื่นหลี่ อยากได้นาสักผืนก็ไม่มี การเร่งเดินทัพออกมาครั้งนี้ เสบียงอาหารที่ทหารสองหมื่นกินมาตลอดทางล้วนมาจากเงินส่วนตัวของจอมทัพชี ข้าจะเอ่ยคำพูดไม่น่าฟังสักคำ โชคดีที่จอมทัพชีเข้าใจ หาไม่แล้วทหารข้าคงมิอาจเดินทางข้ามหอประตูเทียนเฟยมาได้แน่ ทว่าจอมทัพชีจะมีเงินสักเท่าไรเชียว เงินของนางล้วนมาจากสินเจ้าสาวที่เหล่าไท่เฟย[4]เก็บไว้ให้นางในอดีต! กองกำลังส่วนตัวของนางอดอยากจนแทบจะเอากางเกงออกไปขายแล้ว! กรมพระคลังพูดจาวกวนกับข้าทุกวัน จะละเว้นไม่จ่ายเงินก้อนนี้ ทิ้งบัญชีข้าไว้แบบนั้นโดยไม่ยอมจัดการ ด้วยเห็นว่าข้าลู่ก่วงไป๋เป็นคนบ้านนอก มิอาจทำอันใดได้”

ลู่ก่วงไป๋โมโหอย่างเห็นได้น้อยครั้ง เขาจนปัญญาแล้ว เนื่องจากเปียนจวิ้นเป็นพื้นที่ชายแดนติดทะเลทราย เขาเป็นทหารรักษาการณ์ที่ปะทะกับทหารม้าเปียนซามากที่สุดหากไม่นับหลีเป่ย แต่ละปีเหนื่อยยากแทบตาย ต้องใช้ชีวิตอยู่ใต้ดาบโค้งของศัตรู ไม่ได้นอนเต็มอิ่ม ทั้งยังไม่เคยได้กินอิ่มท้องเลยสักครั้ง ชวี่ตูกดข่มเขา ทำให้เปียนซาปั๋วกลายเป็นยาจกที่เชื้อพระวงศ์ทุกคนรู้กันทั่ว เงินบำเหน็จที่ได้รับพระราชทาน ครอบครัวเขาไม่เคยเหลือเก็บไว้เลย ล้วนถูกนำไปเป็นเงินอุดหนุนกองทัพจนหมด

เซียวจี้หมิงแต่งกายเรียบร้อย สาวใช้เดินเข้ามาอย่างเป็นระเบียบ ภายในห้องเหลือเพียงพวกเขาสี่คน เซียวจี้หมิงยกถ้วยชาขึ้นมาจิบน้ำชาคำหนึ่ง เอ่ยอย่างไม่เร็วไม่ช้า “ปีนี้ประจวบเหมาะ ได้ร่วมงานเลี้ยงกับเหล่าขุนนางในวันเจิ้งตั้นพอดี ชีจู๋อินน่าจะมาถึงแล้วกระมัง”

ลู่ก่วงไป๋พูด “ถูกต้อง ก่อนหน้านี้ข้ากังวลใจ แต่คิดดูอีกทีก็ช่างเถิด ปล่อยให้พวกเขายื้อเวลาต่อไป ยื้อจนท่านจอมทัพเดินทางมาถึงชวี่ตู พวกเขาค่อยขอพรให้ตัวเองแล้วกัน”

เซียวจี้หมิงพูด “ตอนนี้นางเป็นที่ยอมรับในชวี่ตูมากที่สุด แม้แต่นักเลงที่ปล่อยเงินกู้เถื่อนในชวี่ตูยังต้องไว้หน้านาง เงินที่กรมพระคลังค้างอยู่ก่อนหน้านี้ต้องจ่ายแน่ แต่เจ้ามิอาจพึ่งพานางได้ตลอด เปียนจวิ้นมีความสำคัญ เมื่อวานได้ยินว่าปีนี้กรมพระคลังจะให้เจ้ารับสมัครทหารอีกแล้ว”

ลู่ก่วงไป๋ลูบขอบถ้วยชา “รับทหาร? อย่าเพ้อฝันไปหน่อยเลย จงปั๋วเกิดเรื่อง พวกเขารักตัวกลัวตาย จึงนึกขึ้นได้ว่าจะปล่อยให้พวกเปียนซาสิบสองเผ่าบุกเข้ามาทางเปียนจวิ้นไม่ได้เป็นอันขาด พวกเขาคิดว่าทหารสองหมื่นของข้ายังไม่เพียงพอ ทหารรับสมัครได้ แต่เงินจะยอมจ่ายหรือไม่เล่า ข้าไม่มีปัญญาเลี้ยง ปีนี้ต่อให้เอาดาบมาพาดคอข้า ข้าก็ไม่ทำ”

เซียวฉือเหย่พลันยืดตัวตรง “นั่นสิ ปกติกรมพระคลังจ่ายงบทหารและค่าเสบียงให้จงปั๋วเร็วที่สุด ครานี้คนตายหมดแล้ว เงินไม่พูดถึง แต่เสบียงอาหารเล่า ตอนทหารม้าเปียนซาหนีไป มิอาจขนเสบียงมากมายถึงเพียงนั้นไปด้วยได้”

สามคนที่เหลือมองเขา

ลู่ก่วงไป๋พูด “เจ้าเด็กโง่ อย่าเพ้อฝันอีกเลย เสบียงอาหารพวกนั้นถูกเก็บกลับคืนมาและนำไปมอบให้ขุนนางของสิบสามเมืองในมณฑลเจวี๋ยซีแทนเบี้ยหวัดที่ค้างไว้เมื่อปีก่อนแล้ว เหตุผลที่กรมพระคลังบ่ายเบี่ยง เจ้าเดาไม่ได้หรือ ไม่กี่ปีมานี้ แปดสกุลใหญ่กลายเป็นแปดกองกำลัง เครื่องมือเครื่องใช้ล้วนเป็นของดีที่สุดในต้าโจว เงินพวกนี้ล้วนดึงมาจากภาษีโดยตรง จำนวนสองล้านตำลึง[5]เจ้าลองคิดดู ใครๆ ก็รู้ว่าบัญชีนี้บ้าระห่ำเกินไป ทว่าไท่โฮ่วไม่ทรงติดใจ ฮวาเก๋อเหล่าไม่ติดใจ ในกรมพระคลังใครจะกล้าเอ่ยถึงเล่า ท้องพระคลังเงินหายไปส่วนหนึ่ง ปีก่อนเจวี๋ยซีสิบสามเมืองประสบภัยพิบัติจากแมลง เก็บเกี่ยวผลผลิตไม่ได้แม้แต่น้อย ไหนเลยจะมีเงินบรรเทาภัยพิบัติ ล้วนอาศัยผู้ว่าการมณฑลเจวี๋ยซีเจียงชิงซานออกคำสั่งบังคับให้ขุนนางน้อยใหญ่เปิดยุ้งฉางส่วนตัวช่วยเหลือผู้ประสบภัย เจียงชิงซานทำเช่นนี้เพื่อช่วยเหลือประชาชนหลายแสนคน แต่กลับกลายเป็นที่เกลียดชังของขุนนางน้อยใหญ่ในเจวี๋ยซี ช่วงก่อนปีใหม่ได้ยินว่าเจ้าหนี้มายืนขวางหน้าประตูบ้านเขา เขาเป็นถึงข้าหลวงใหญ่ประจำมณฑลยศขุนนางลำดับรองขั้นสอง แต่มารดาอายุแปดสิบที่บ้านกลับยังต้องทอผ้าใช้หนี้! หากชวี่ตูยังไม่จ่ายเงิน ก็เท่ากับบีบให้คนตายจริงๆ  สุดท้ายยังคงเป็นไห่เก๋อเหล่ายื่นหนังสือกราบทูล เจรจากับสภาขุนนางและพันหรูกุ้ยอยู่ครึ่งเดือน จึงจ่ายเงินส่วนที่ขาดได้จนครบ”

เจาฮุยอดพูดมิได้ “จะว่าต้าโจวยากจน แต่เงินสินบนกลับมีจำนวนมหาศาล กระนั้นพวกที่ทำงานจริงชีวิตกลับต้องแขวนอยู่บนอันตราย ความเป็นอยู่อัตคัดขัดสน เดินทางมาชวี่ตูครั้งนี้ มิสู้อย่ามาเลยดีกว่า เห็นแล้วช่างน่าสลดใจยิ่งนัก”

นอกห้องหิมะตก ทว่าภายในห้องกลับไม่มีบรรยากาศของการฉลองปีใหม่ เรื่องวุ่นวายทับถมอยู่มากมาย บรรยากาศเฉลิมฉลองของชวี่ตูเป็นเพียงหมอกควันที่ลอยอยู่ฉากหน้าเท่านั้น บาดแผลฉกรรจ์ยังไม่หายดี แต่กลับต้องปกปิดไว้ น้ำหนองเปรอะเปื้อนไปทั่ว ทว่าหิมะตกลงมาถูกเวลายิ่งนัก บดบังได้อย่างงดงาม ถึงอย่างไรก็มองไม่เห็น ทุกคนมาร่วมเมามายไปด้วยกันเถอะ

 

กลางดึก พันหรูกุ้ยหลับตานั่งอยู่บนตั่ง กระดาษสีขาวชิ้นเล็กวางอยู่ข้างมือ สะดวกให้เขาใช้เช็ดทำความสะอาดมือหลังเข้าฌานเสร็จ เสี่ยวฝูจื่อไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ ยืนรออยู่บนแท่นวางเท้าอย่างระมัดระวัง มือประคองห่อใส่พู่กันไว้

ผ่านไปครึ่งชั่วยาม พันหรูกุ้ยพรูลมหายใจยาวและลืมตาขึ้น เสี่ยวฝูจื่อยื่นพู่กันให้ทันที พันหรูกุ้ยมุ่นคิ้วเขียนอักษรหลายตัวบนฝ่ามือเขา

เสี่ยวฝูจื่อประจบ “หมู่นี้เหลาจู่จงได้รับการชี้แนะจากฝ่าบาท ดูเหมือนเซียนมากขึ้นทุกที เมื่อครู่หลานเฝ้าดูอยู่ คล้ายมีไอสีม่วง[6]ลอยออกมาด้วย!”

พันหรูกุ้ยเช็ดมือ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดเจ้าจึงมิได้เข้ากองซือหลี่เสียที”

เสี่ยวฝูจื่อตอบ “เพราะเหลาจู่จงเอ็นดูข้า”

“เอ็นดูเจ้านั้นเป็นเรื่องหนึ่ง” พันหรูกุ้ยปากระดาษเช็ดมือใส่อกเสี่ยวฝูจื่อ “แต่ไม่รู้กาลเทศะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ฝ่าบาททรงศึกษาค้นคว้าหลักคำสอนของศาสนาเต๋ามาสองปี ยังมิเคยเห็นมีไอสีม่วงลอยขึ้นมา ข้าเป็นเพียงขี้ข้าคนหนึ่ง จะบรรลุก่อนฝ่าบาทได้อย่างไร แบบนั้นมิเท่ากับเกินหน้าเกินตาหรือ”

เสี่ยวฝูจื่อส่งชาร้อนให้พันหรูกุ้ย เอ่ยหน้าทะเล้น “เหลาจู่จงเป็นนายของข้า ดังนั้นเหลาจู่จงก็คือท้องฟ้าของข้า ข้าเห็นเหลาจู่จงเข้าฌานแล้ว ให้รู้สึกเหมือนเห็นไท่ซั่งเหล่าจวิน[7]ลงมาเยือนโลกมนุษย์! ไหนเลยจะคิดอะไรมากมาย”

“อืม” พันหรูกุ้ยบ้วนปาก “เรื่องกตัญญูยังนับว่าเจ้ามีความสามารถ”

เสี่ยวฝูจื่อหัวเราะคิกๆ ยืนอยู่ข้างเท้าพันหรูกุ้ย “ใกล้ถึงเทศกาลเจิ้งตั้นแล้ว ข้าต้องแสดงความกตัญญูต่อเหลาจู่จง ช่วงก่อนปีใหม่ตอนไปเลือกซื้อของ ข้าเห็นหญิงงามล้ำเลิศคนหนึ่งในหมู่บ้านเกษตรของฉู่หวัง ข้าลองสืบดูแล้ว คิดว่าฝ่าบาทคงไม่ต้องการ นำมาแสดงความกตัญญูต่อท่านเหมาะยิ่งนัก”

พันหรูกุ้ยถาม “งามล้ำเลิศเพียงใด เทียบกับคุณหนูสามได้หรือไม่ อีกอย่าง นั่นมิใช่คนของฉู่หวังหรือ ฉู่หวังนิสัยแย่เช่นนั้น ทั้งเผด็จการและเอาแต่ใจ น่ากลัวว่าคงไม่ตกลงง่ายๆ กระมัง”

เสี่ยวฝูจื่อตอบ “ต่อให้ฉู่หวังสูงศักดิ์เพียงใด แต่จะสูงศักดิ์ไปกว่าฝ่าบาทหรือ ฝ่าบาทยังไม่ทรงว่ากระไร เช่นนั้นมอบให้เหลาจู่จงมิใช่สมควรแล้วหรือ อีกอย่าง เรื่องนี้ท่านอย่าได้กังวลเลย ข้ารับรองว่าก่อนฤดูใบไม้ผลิจะต้องจัดการให้ท่านเรียบร้อยแน่ ถึงเวลาท่านพบนางแล้ว จะรับหรือไม่รับย่อมขึ้นอยู่กับวาสนาของนาง”

พันหรูกุ้ยวางถ้วยชา “ไม่ต้องรีบร้อน ข้าเองหาใช่คนที่ละโมบในทรัพย์สินหมกมุ่นในกาม ไหนๆ เจ้าก็เอ่ยถึงฉู่หวังแล้ว เช่นนั้นเอ้อร์กงจื่อสกุลเซียวที่สำมะเลเทเมาไม่ต่างจากเขา หมู่นี้เป็นอย่างไรบ้าง”

เสี่ยวฝูจื่อทุบขาให้พันหรูกุ้ย “คิกๆ! เหลาจู่จง เอ้อร์กงจื่อสกุลเซียวผู้นี้ร้ายกาจโดยแท้ หลังจากเข้ามาในชวี่ตู เขาก็ดื่มสุรากับทุกคนตั้งแต่คืนแรกจวบจนวันนี้ งานการมิทำ เอาแต่ดื่มสุราหาความสำราญ พวกฉู่หวังล้วนชอบคลุกคลีกับเขา คนประเภทเดียวกันมักชอบอยู่ด้วยกันจริงๆ!”

“แบบนั้นก็ดี…แต่อย่างไรเสียเขาก็เป็นคนสกุลเซียว ฝ่าบาทให้เขาอยู่ในกองเกียรติยศนับว่าใกล้ชิดเกินไป ทำให้คนมิอาจวางใจ” พันหรูกุ้ยใคร่ครวญอย่างละเอียดครู่หนึ่ง พลันหัวเราะออกมา “ข้าคิดถึงสถานที่ดีๆ ได้แล้ว เหมาะที่จะส่งเขาไปอยู่จริงๆ สวมรองเท้า ข้าจะไปตำหนักหมิงหลี่รับใช้ฝ่าบาท!”

 

วันต่อมาในงานเลี้ยงเหล่าขุนนางเนื่องในเทศกาลเจิ้งตั้น ขณะที่งานเลี้ยงกำลังจะเลิกรา พลันได้ยินเสียนเต๋อตี้เอ่ยถาม “อาเหย่ หลายวันนี้อยู่ในชวี่ตูสบายดีหรือไม่”

เซียวฉือเหย่หยุดปอกส้มและตอบ “ทูลฝ่าบาท สบายดีพ่ะย่ะค่ะ”

เสียนเต๋อตี้หันไปหาเซียวจี้หมิง “เราคิดไปคิดมา ให้อาเหย่อยู่กองเกียรติยศยังคงเสียดายความสามารถของเขา เขาเองก็เป็นเด็กที่เคยเข้าสู่สมรภูมิ ให้รับใช้อยู่ตรงหน้าข้าออกจะอึดอัดเกินไป มิสู้เอาอย่างนี้ ให้อาเหย่ไปเป็นทหารรักษาพระองค์ดีกว่า เดิมทีผู้บังคับการทหารรักษาพระองค์คือซีกู้อัน แต่บัดนี้เขายังต้องดูแลแปดกองกำลังด้วย ยากจะแบ่งเวลาอย่างแท้จริง ให้อาเหย่ดำรงตำแหน่งนี้แทนเขาก็แล้วกัน”

ลู่ก่วงไป๋ขมวดคิ้วทันที

ดีร้ายอย่างไรกองเกียรติยศก็ได้อยู่หน้าพระพักตร์ เกิดอะไรขึ้น ฝ่าบาทย่อมมิอาจทำเป็นมองไม่เห็น แต่ทหารรักษาพระองค์นับเป็นตัวอะไร ตอนนี้ทหารรักษาพระองค์ก็คือทหารรับใช้ในชวี่ตู นี่คือการให้รางวัลหรือ จะเรียกว่าให้รางวัลได้ด้วยหรือ!

ลู่ก่วงไป๋ทำท่าจะลุกขึ้น กลับเห็นเซียวฉือเหย่ถวายบังคมเสียแล้ว

“ตำแหน่งผู้บังคับการฟังดูน่าเกรงขาม เหมือนแม่ทัพอย่างไรอย่างนั้น” เซียวฉือเหย่ยิ้มพูดด้วยท่าทางไม่อินังขังขอบ “ขอบพระทัยฝ่าบาท!”

ฮวาเก๋อเหล่าหัวเราะฮ่าๆ “ฝ่าบาททรงพระปรีชาสามารถ! ซื่อจื่อ คนผู้นี้สะท้อนแวววีรบุรุษตั้งแต่เยาว์วัยจริงๆ”

เสียงแสดงความยินดีดังก้องงานเลี้ยง เซียวจี้หมิงอมยิ้มไม่พูดจา เอาแต่มองเซียวฉือเหย่

ลู่ก่วงไป๋จิบสุรา ก้มหน้าพูดกับเจาฮุยที่อยู่ด้านข้าง “…จัดการเช่นนี้ ชัดเจนว่าเป็นการจู่โจมจี้หมิง”

 

พองานเลี้ยงเลิก เซียวฉือเหย่ก็หายไปไม่เห็นเงา

เพื่อนเสเพลทั้งหลายจะแสดงความยินดีที่เขาได้เลื่อนตำแหน่ง เขาจึงพาคนเหล่านั้นไปดื่มสุราจนดึกดื่น ตอนออกมาคนเดินโซซัดโซเซ

ฉู่หวังหลี่เจี้ยนเหิงอายุมากกว่าเซียวฉือเหย่หลายปี เป็นคนเสเพลคนหนึ่งอย่างแท้จริง ก่อนขึ้นเกี้ยวเขากระตุกแขนเสื้อเซียวฉือเหย่ พูดอย่างเมามาย “เจ้าร้ายกาจนี่! ทหารรักษาพระองค์เชียวนะ ไม่ต้องเดินตรวจตราด้วย ว่างชะมัด แต่ยังคงได้รับเบี้ยหวัดตามเดิม มีเงินแถมยังไม่ต้องเสี่ยงชีวิต เรื่องดีๆ ในใต้หล้าไฉนจึงเป็นของเจ้าไปเสียหมด แอบหาความสำราญอยู่คนเดียว!”

เซียวฉือเหย่ฉีกยิ้มเช่นกัน ยิ้มเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าเขา “นั่นสิ ถึงได้รีบมาเลี้ยงสุราเจ้าอย่างไรเล่า อีกหน่อยพวกเราสองคนจะเป็นใหญ่ในชวี่ตู!”

“ใช่ ใช่!” หลี่เจี้ยนเหิงออกแรงตบไหล่เซียวฉือเหย่ “ต้องมีปณิธานแบบนี้! อีกสองวันเจ้ามาที่จวนข้า ข้าจะให้คน…ฉลองให้เจ้าอีก…”

เซียวฉือเหย่มองเกี้ยวจากไปไกลแล้วพลิกตัวขึ้นม้า ม้าของเขาเป็นม้าที่เพาะพันธุ์จากม้าในป่าและนำมาฝึกให้เชื่องใต้เทือกเขาหงเยี่ยน ห้าวหาญสง่างาม ดำสนิททั้งตัว มีเพียงตรงหน้าอกที่เป็นสีขาวราวหิมะ

เซียวฉือเหย่กระตุ้นม้าไปข้างหน้า ร้านรวงสองข้างทางจะจุดโคมไฟส่งเขา แต่เขากลับยกมือห้าม “ดับไฟเถอะ ไม่ต้องส่อง”

ลูกจ้างร้านค้าต่างมองหน้ากัน มิกล้าขัดคำสั่ง โคมไฟถูกดับไปทีละดวง บนถนนมีเพียงความมืดสลัวและความหนาวเย็นของหิมะ

เซียวฉือเหย่ผิวปาก เหยี่ยวไห่ตงชิงบนผืนฟ้าราตรีได้ยินเสียงและโฉบลงมา เขาควบม้าทะยานไป ม้าศึกใต้ร่างพ่นลมหายใจร้อนระอุ ก่อนจะห้อตะบึงอย่างรวดเร็ว

ลมแรงที่พัดปะทะร่างกายทำให้ไอร้อนจากสุราในตัวเซียวฉือเหย่หายไป เขาควบทะยานไปทั่วเหมือนสัตว์ร้ายที่ถูกกักขัง เสียงกีบเท้าม้ากระแทกพื้นดังสนั่น เซียวฉือเหย่ควบม้าเร็วไปบนถนนอันว่างเปล่า รอยยิ้มบนใบหน้าเลือนหายในความมืด เหลือไว้เพียงความเงียบที่เย็นชาและเดียวดาย

ม้าวิ่งไปนานเท่าใดก็สุดรู้ ทันใดนั้นเซียวฉือเหย่กลิ้งตกลงไป กระแทกหิมะที่ทับถมอยู่บนพื้น ศีรษะฝังจมอยู่ในหิมะ ม้ายกเท้าขึ้นเขี่ยตัวเขาและก้มหัวลงสัมผัส เหยี่ยวไห่ตงชิงเกาะอยู่บนหลังม้า เอียงคอจ้องมองเขา

เซียวฉือเหย่อดทนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะใช้แขนยันตัวและอาเจียนออกมา ผ่านไปเนิ่นนาน เขาลุกขึ้นนั่งพิงกำแพง แหวนกระดูกปันจื่อบนนิ้วค่อนข้างหลวม ยามนี้ไม่รู้หล่นหายไปที่ใด เขาค้นหาในหิมะ แต่กลับได้ยินเสียงคนร้องถามไม่ไกลออกไปนัก

“ใครน่ะ”

เซียวฉือเหย่ไม่สนใจ

หัวหมู่ธงเล็กกองกำลังรักษาพระองค์ถือโคมไฟส่องดู “ไฉนดึกดื่นป่านนี้…ใต้เท้า?”

เซียวฉือเหย่เอียงศีรษะถาม “เจ้ารู้จักข้ารึ”

หัวหมู่ธงเล็กผู้นั้นส่ายหน้าตอบตามตรง “ไม่ทราบว่าท่านเป็นใต้เท้าท่านใด…”

“ข้าเป็นลูกพี่ของเจ้า” เซียวฉือเหย่โยนเสื้อคลุมตัวใหญ่ที่สกปรกทิ้ง หลุบตามองหาแหวนปันจื่อต่อ เขาสบถด่าด้วยความหงุดหงิด “เอาโคมไฟมาให้ข้า ส่วนเจ้าไสหัวไปได้”

หัวหมู่ธงเล็กขยับเข้าไปใกล้ “ใช่เอ้อร์กงจื่อหรือไม่ พวกเราเพิ่งได้รับคำสั่ง แต่ตอนนี้ฟ้ายังไม่สว่าง สอบสวนคนตอนนี้ออกจะเช้าเกินไปหน่อย พรุ่งนี้ท่านค่อยมาก็ยังทัน…”

เซียวฉือเหย่ยื่นมือออกไป หัวหมู่ธงเล็กส่งโคมไฟให้ เขาถาม “ที่นี่ที่ใด”

หัวหมู่ธงเล็กตอบอย่างนอบน้อม “ที่นี่คือข้างกำแพงเมืองชวี่ตู วัดเจาจุ้ยขอรับ”

เซียวฉือเหย่พูด “เจ้าไปได้แล้ว”

หัวหมู่ธงเล็กถอยหลังกำลังจะจากไป กลับได้ยินเซียวฉือเหย่ถามต่อ

“เสิ่นเจ๋อชวนอยู่ที่นี่รึ ในกำแพงนั่น?”

“ใช่แล้วขอรับ” หัวหมู่ธงเล็กกระวนกระวายกว่าเดิม “คนถูกขังอยู่ใน…”

“ให้เขาออกมา”

หัวหมู่ธงเล็กอึ้งไป รีบปฏิเสธ “จะได้อย่างไรกัน! ถึงจะเป็นผู้บังคับการก็ทำเช่นนี้มิได้! ฝ่าบาทมีรับสั่งอย่างเข้มงวด…”

เซียวฉือเหย่ชูโคมไฟ “ในกองกำลังรักษาพระองค์ ข้าใหญ่ที่สุด”

หัวหมู่ธงเล็กเลียบเคียงถาม “ท่านจะฆ่า จะฆ่าเขา…”

“ให้ตาย ข้าจะเรียกเขาออกมาร้องเพลงต่างหาก!” เซียวฉือเหย่ปัดโคมไฟทิ้งกะทันหัน ไฟดับลงทันที เขายืนอยู่ในความมืดสลัว แววตาอันตราย

 

[1] เน่าเอ๋อ เป็นเครื่องประดับศีรษะของสตรีจีนสมัยโบราณชนิดหนึ่ง ทำจากผ้าแพรหรือกระดาษสีดำประดับสีทอง ตัดเป็นรูปดอกไม้หรือแมลง

[2] กำนัลน้ำแข็งเป็นรูปแบบหนึ่งของสินบนที่ขุนนางท้องที่จ่ายให้ขุนนางในเมืองหลวง ได้ชื่อมาจากการที่ขุนนางท้องที่อ้างว่าจะซื้อน้ำแข็งมาดับร้อนให้ขุนนางในเมืองหลวงช่วงฤดูร้อน นอกจากนี้ยังมีกำนัลถ่านไฟในฤดูหนาว

[3] นาทหาร เริ่มต้นตั้งแต่สมัยฮั่นตะวันตก กองทหารใดที่มีทหารจำนวนมากและรักษาการณ์อยู่ในพื้นที่หนึ่งเป็นเวลานานจะต้องบุกเบิกที่ดินเพื่อทำนา จุดประสงค์หลักเพื่อให้กองทัพมีเสบียงเพียงพอ

[4] ไท่เฟยเป็นคำที่ใช้เรียกมเหสีหรือชายาของกษัตริย์พระองค์ก่อน เหล่า แปลว่าสูงวัย

[5] ตำลึง หรือเหลี่ยง เป็นหน่วยมาตราชั่งและหน่วยเงินของจีนสมัยโบราณ 1 ตำลึงเท่ากับ 1,000 อีแปะ (เหวิน) 16 ตำลึงเท่ากับ 1 ชั่ง

[6] สมัยโบราณชาวจีนเชื่อว่าไอสีม่วงเป็นลางบอกเหตุมงคล

[7] ไท่ซั่งเหล่าจวิน หรือเต้าเต๋อเทียนจุน เป็นเทพเจ้าผู้ให้กำเนิดลัทธิเต๋า

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า