生死谷
หุบเขาคร่าวิญญาณ
鄭丰เจิ้งฟง
เขียน
HUNZA
แปล
โปรย
หุบเขาเร้นลับที่ปราศจากทางออก
เหล่าเด็กน้อยถูกพาตัวมารับการฝึกฝนอันแสนโหดเหี้ยม
เพื่อให้พวกเขาเติบใหญ่กลายเป็นนักฆ่า
เป็นอาวุธสังหารที่กุมความเป็นไปของแว่นแคว้น
ในยุคที่แผ่นดินระส่ำระส่ายนี้
เผยรั่วหลัน คุณหนูหกแห่งจวนขุนนาง
เสี่ยวหูจื่อ บุตรชายเพียงคนเดียวของเสนาบดีอู่
แม้มีชาติกำเนิดสูงส่ง หากแต่เด็กทั้งสอง
กลับถูกลักพามาได้อย่างง่ายดาย
ไม่พ้นต้องตกลงสู่นรกไร้ปราณี
ที่ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงพวกเขาไป
พี่น้องสองร้อยคน
ด่านทั้งสาม
มีเพียงแปดคนเท่านั้นที่จะได้กลับบ้าน!
ต้นฉบับนี้ยังไม่ใช่ฉบับสมบูรณ์
บทที่ 2 ถูกจับ
หลังการแข่งขันเตะลูกหนังของค่ายมังกรเขียวกับพยัคฆ์ขาวเสี่ยวหูจื่อนั่งอยู่บนบ่าของเด็กตัวโตอย่างเลิ่งจื่อภายใต้การห้อมล้อมของพรรคพวกฝ่ายเดียวกัน มุ่งหน้าไปยังร้านขายขนมเปี๊ยะแห่งหนึ่งในตลาด เสี่ยวหูจื่อล้วงเงินจากอกเสื้อออกมากำหนึ่งเอ่ยอย่างใจกว้างว่า “วันนี้ข้าเลี้ยงขนมเปี๊ยะงาพวกเจ้าเอง ใครอยากจะกินเท่าไรก็กินตามสบาย กินให้อิ่มก็แล้วกัน”
เสียงโห่ร้องของเด็ก ๆ ดังขึ้นเซ็งแซ่พร้อมกับยื่นมือไปหยิบขนมเปี๊ยะกันคนละชิ้นกินจนปากเลอะงาเต็มไปหมด เด็กน้อยทั้งหลายกินไปแล้วยังไม่หนำใจ ต่างคนต่างหยิบขนมกันอีกคนละหลายชิ้นถือเอาไว้ในมือ จากนั้นเดินกรูไปนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างตลาด คุยกันถึงเรื่องการแข่งขันวันนี้อย่างสนุกสนาน รวมถึงการแข่งขันที่ดุเดือดและกล้าหาญของเสี่ยวหูจื่อที่เอาชนะลิ่วเอ๋อได้ เสี่ยวหูจื่อคิดถึงตอนแข่งตัวต่อตัวกับลิ่วเอ๋อแล้วถูกเตะเข้าที่น่องอย่างแรง จึงเลิกขากางเกงขึ้นดู เห็นว่าตรงจุดที่ถูกเตะบัดนี้กลายเป็นรอยช้ำสีเขียวอมม่วงขนาดใหญ่ เมื่อลูบลงไปก็แสบร้อนเจ็บปวดไม่น้อย บังเกิดความเดือดดาลขึ้นในใจก่อนเอ่ยขึ้นว่า “พวกเจ้าดูสิ ตอนแข่งตัวต่อตัวข้าถูกลิ่วเอ๋อเตะเข้าให้”
เด็ก ๆ กรูเข้ามาดูขาของเขา คนหนึ่งแลบลิ้นเอ่ยขึ้นว่า“บวมขนาดนี้เชียว” อีกคนหนึ่งพูดขึ้นว่า “ดูไม่ออกเลยว่าเจ้าลิ่วเอ๋อมันจะโหดถึงเพียงนี้”
เสี่ยวหูจื่อเอ่ยอย่างแค้นใจ “ใช่สิ เจ้าลิ่วเอ๋อนั่นออกแรงเตะข้าขนาดนี้มันน่าโมโหนัก เขามาจากบ้านไหนหรือ”
เด็ก ๆ มองหน้ากันไปมา ไม่มีใครรู้เลยสักคน
เสี่ยวหูจื่อแปลกใจยิ่งนักเอ่ยขึ้นว่า “ข้าเห็นว่าเขามาเล่นเตะลูกหนังที่นี่น่าจะปีหนึ่งได้แล้ว ทำไมยังไม่มีใครรู้ว่าเขามาจากบ้านไหนกันอีก”
เด็กคนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “เขตตะวันออกมีแต่จวนคนใหญ่คนโตผู้ลากมากดีทั้งนั้น ข้างในมีใครอยู่บ้างก็ไม่รู้” อีกคนหนึ่งกล่าว “ข้าเจอลิ่วเอ๋อก็ตอนที่มาเล่นเตะลูกหนังเท่านั้น ปกติไม่เคยเห็นเขาเดินเล่นอยู่บนถนนเลยด้วยซ้ำ ดีไม่ดีอาจเป็นลูกของพ่อบ้านในจวนหลังไหนสักแห่ง”
เสี่ยวหูจื่อเกิดความอยากรู้ขึ้นมาจึงตัดสินใจว่า “หลังจากการแข่งขันครั้งหน้าจบลง ข้าจะทำเป็นไม่สนใจ แล้วแอบไปซ่อนอยู่ในตรอก รอให้เขากลับไปแล้วค่อยสะกดรอยตาม จะต้องรู้แน่ว่าเขามาจากบ้านไหน”
แต่ทว่าบ่ายวันรุ่งขึ้นลิ่วเอ๋อมิได้ปรากฏตัวตามนัดหมาย แม้มังกรเขียวและพยัคฆ์ขาวจะแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตายเพียงใด สุดท้ายแล้วค่ายพยัคฆ์ขาวยังคงเป็นผู้ชนะ หลังจากนั้นอีกเจ็ดแปดวัน ลิ่วเอ๋อก็ยังไม่โผล่หน้ามาเลยสักครั้ง มังกรเขียวและพยัคฆ์ขาวแข่งขันกันสองฝ่ายผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ เสี่ยวหูจื่อย่อมไม่รู้เรื่องที่คุณหนูหกแห่งสกุลเผยติดตามมารดาไปยังอารามเมฆขาวแล้วพบเข้ากับแม่ชีเฒ่าประหลาด จากนั้นถูกมารดากักบริเวณไม่ให้ออกไปไหน เขาถามข่าวจากเด็ก ๆ ค่ายมังกรเขียวด้วยความประหลาดใจยิ่งยวด เด็ก ๆเหล่านี้ก็ไม่รู้ประวัติความเป็นมาของลิ่วเอ๋อเช่นกัน ได้แต่บอกว่า “เขามักจะไปไหนมาไหนตามลำพัง แล้วก็ยังไม่ค่อยพูดอะไร พวกเราก็เลยไม่รู้ว่าเขาเป็นคนจากบ้านไหนกันแน่”
เวลาผ่านไปประมาณครึ่งเดือน บ่ายวันนี้ เสี่ยวหูจื่อ เลิ่งจื่อและเด็ก ๆ คนอื่น นัดกันไปเดินเล่นในตลาด จู่ ๆ พลันได้ยินเสียงคนตะโกนโหวกเหวกขึ้นว่า “เก็บตลาด เก็บตลาด”
เสี่ยวหูจื่อและเด็กคนอื่น ๆ ต่างเคยเห็นมือปราบเมืองฉางอันบุกเข้ามาที่ตลาดอย่างเอิกเกริกอยู่เป็นระยะ อ้างว่ามาจับพ่อค้าเถื่อนและหัวขโมยทั้งหลาย แต่ที่จริงแล้วเป็นการมารีดไถเก็บเงินจากพ่อค้าแม่ขายแถวนี้ มีเด็กคนหนึ่งพูดยิ้ม ๆว่า “เหอะ เก็บตลาดงั้นหรือ อย่างนี้ต้องมีเรื่องสนุกให้ดูอีกแล้วสิ”
เด็ก ๆ ทั้งอยากรู้อยากเห็นทั้งตื่นเต้นสนุกสนาน หลังจากส่งเสียงโห่ร้องกันไปพักหนึ่งจึงตัดสินใจเข้าไปมุงดูเหตุการณ์กันในตลาด เด็ก ๆ ในกลุ่มเดินไปเล่นไปจนมาถึงตลาดของเมืองเขตตะวันออก เห็นพ่อค้าหาบเร่แผงลอยแต่ละคนถอนหายใจเฮือก ๆ ล้วงเงินอีแปะออกมานับเพื่อเตรียมมอบให้กับเจ้าหน้าที่เหล่านั้น
ผ่านไปไม่นาน เห็นมือปราบประจำเมืองสิบกว่าคนแต่งกายทะมัดทะแมง ถือกระบองยาวอยู่ในมือ ส่งเสียงตวาดดังมาจากใจกลางตลาดดูน่าเกรงขามยิ่งนัก เด็กๆ คุยกันว่ามือปราบเหล่านี้คงได้แต่ทำท่าทำทาง ส่งเสียงตวาดไปไม่กี่คำ หลังจากได้เงินแล้วก็คงจากไป แต่คาดไม่ถึงว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่เป็นไปอย่างที่คิด มือปราบทั้งหลายมิได้เข้ามารีดเงินจากพ่อค้าแม่ค้า แต่เดินค้นหาไปตามถนน เมื่อพบเด็กขอทานสวมเสื้อผ้าขาดเก่าจะยกกระบองขึ้นตีแล้วมัดตัวพาออกไป
พวกของเสี่ยวหูจื่อเห็นแล้วให้หวาดกลัวยิ่งนัก เด็กคนหนึ่งเอ่ยเสียงสั่น ๆ ขึ้นว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมมือปราบถึงเอาแต่จับตัวเด็ก ๆ ”
มีเด็กอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “ได้ยินว่าพวกขุนนางเชื้อพระวงศ์ก่อนจะออกเดินทางไปไหน มักจะสั่งให้มือปราบจับตัวขอทานไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือคนแก่ออกไปทั้งหมดเพื่อให้ถนนหนทางดูสะอาดเป็นระเบียบ ไม่ให้ขัดหูขัดตาขุนนางใหญ่พวกนั้น”
เด็กที่เอ่ยขึ้นก่อนหน้านี้ถามอย่างวิตกว่า “แล้วจับไปไหน จะปล่อยตัวออกมาไหม”
อีกคนหนึ่งตอบกลับว่า “คงจะเอาไปขังในคุกเมืองฉางอันกระมัง ข้าคิดว่าผ่านไปสักวันสองวันก็น่าจะปล่อยตัวออกมาแล้ว ไม่อย่างนั้นพวกขอทานในคุกมีตั้งเยอะ ต้องหาข้าวให้พวกเขากินให้อิ่มคงไม่ใช่เงินจำนวนน้อย ๆ “
เสี่ยวหูจื่อเห็นมือปราบกลุ่มนั้นเดินเข้าใกล้มาเรื่อย ๆ เกิดสังหรณ์ใจไม่ดี ร้องบอกพรรคพวกว่า “พวกนั้นมาทางนี้กันแล้ว รีบหนีเร็ว” เด็กคนอื่นได้ยินแล้วรีบย่อตัวให้ต่ำ วิ่งตรงไปยังประตูทางออกของตลาดอย่างร้อนรน
เสี่ยวหูจื่อวิ่งพรวดออกไปได้หลายสิบก้าว พลันสังเกตเห็นว่าเลิ่งจื่อไม่ได้อยู่ข้างกายจึงร้อนใจหันหลังกลับไปดู เขาเห็นเลิ่งจื่อยังยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่เลียนิ้วมืออวบ ๆ ทั้งสิบนิ้วอย่างเอร็ดอร่อย เสี่ยวหูจื่อได้แต่ร้องในใจว่าแย่แล้ว รีบวิ่งกลับไปอีกครั้งอย่างรวดเร็ว แต่ทว่าสายเกินไปเสียแล้ว บัดนี้มือปราบสองคนมาถึงด้านหลังของเลิ่งจื่อ คนหนึ่งยกกระบองตีเข้าที่ศีรษะของเขาอย่างแรง เลิ่งจื่อยืนนิ่ง ยกมือลูบหัวของตนเองด้วยท่าทางงุนงง มือปราบสองคนผลักเลิ่งจื่อให้นอนลงกับพื้น หยิบเชือกขึ้นมาเพื่อจะมัดตัวเขาเอาไว้
เสี่ยวหูจื่อทั้งแปลกใจทั้งโมโหตะโกนดังขึ้นว่า “ปล่อยเขานะ” เขาวิ่งตรงไปข้างหน้า พุ่งชนกลางหลังของมือปราบนายหนึ่ง มือปราบนายนั้นไม่ทันระวังตัวจึงถูกชนล้มลงกับพื้น เสี่ยวหูจื่อรีบฉุดเลิ่งจื่อให้ลุกขึ้น ออกแรงดันก้นเขาเต็มที่ “รีบหนีเร็ว รีบหนีเร็ว”
เลิ่งจื่อเป็นเด็กปัญญาอ่อน ไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแม้แต่น้อย ยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ สีหน้าเหลอหลาเหม่อลอย เมื่อเสี่ยวหูจื่อผลักตัวเขาไม่เขยื้อนจึงร้อนใจระคนโมโห ตอนนี้เองที่มือปราบคนอื่น ๆ กรูกันเข้ามายกกระบองในมือพร้อมกับก่นด่าเขา “เจ้าเด็กแสบ บังอาจขัดขวางการทำงานพวกเรา” “เด็กขอทานไม่ยอมให้จับดี ๆ ก็ตีมันก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
เสี่ยวหูจื่อถูกผู้ใหญ่หลายคนล้อมเอาไว้เช่นนี้รู้ดีว่าคงจะหนีรอดได้ยาก จึงรีบร้อนเอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่ใช่เด็กขอทาน ข้าเป็นคนสกุลอู่” เขายังพูดไม่ทันขาดคำ มือปราบก็ยกกระบองตีลงมาที่เขาและเลิ่งจื่ออย่างไม่ไยดี ตั้งใจตีพวกเขาให้หมอบไปกับพื้น
เสี่ยวหูจื่อถูกกระบองตีไปหลายทีเจ็บร้าวไปทั่วตัว ได้แต่ยกมือป้องศีรษะนอนขดตัวกลมบนพื้น จนกระทั่งการกระหน่ำตีของมือปราบซาลง เขาจึงค่อยเงยหน้าเหลือบตาขึ้นมอง เห็นมือปราบอีกกลุ่มหนึ่งยังคงถือกระบองไล่ตีไล่จับเด็กขอทานที่วิ่งหนีไปตามถนนที่อยู่ห่างออกไป ยังดีที่พรรคพวกของเสี่ยวหูจื่อต่างรู้ตัวกันก่อน ป่านนี้คงวิ่งหนีกันไปไกลแล้ว มีเด็กขอทานที่เขาไม่รู้จักอีกหลายคนไม่โชคดีขนาดนั้น แต่ละคนถูกมือปราบไล่ตามจับจนทัน มัดตัวเอาไว้แน่นหนา
เสี่ยวหูจื่อคิดในใจว่า พวกเขามาจับตัวขอทาน แต่ข้าไม่ได้เป็นขอทานสักหน่อย ถ้าบอกชาติตระกูลตนเองไป พวกเขาย่อมจะปล่อยตัวข้าไป ดังนั้นเขาจึงพยายามลุกขึ้นยืนกำลังจะเอ่ยปากอธิบายกับมือปราบที่อยู่ตรงหน้า คิดไม่ถึงว่ามือปราบที่ยืนอยู่ด้านหลังนึกว่าเขาจะหาทางตอบโต้ จึงยกไม้กระบองขึ้นฟาดเข้าที่หลังศีรษะอย่างแรง เสี่ยวหูจื่อรู้สึกเจ็บแปลบท้ายทอย ภาพเบื้องหน้าดับวูบ จากนั้นหมดสติไป
เมื่อเสี่ยวหูจื่อฟื้นขึ้นมาอีกครั้งเขารู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวไปทั่ว ตั้งแต่ศีรษะ ใบหน้า ลำตัวไปจนถึงหน้าท้อง จากท่อนแขนไปจนถึงสองขา ทั่วทั้งตัวไม่มีที่ไหนไม่เจ็บ เขาเจ็บเสียจนอยากให้ตนเองไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีกเลยด้วยซ้ำ ในความเจ็บปวดเขารู้สึกได้ถึงร่างกายที่สั่นไหว คล้ายกับกำลังอยู่ในรถม้า เขาลองขยับมือและเท้า เมื่อพบว่าทั้งมือเท้าถูกมัดด้วยเชือกปอแน่นหนาจึงตกใจ ‘ข้าขยับตัวไม่ได้ นี่ข้าถูกคนจับตัวมาหรือ’
เขาพยายามสงบสติอารมณ์ หันหน้ามองไปรอบ ๆเห็นรถม้าคันนี้มีขนาดกว้างขวางมาก ข้างกายเขายังมีเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันถูกมัดตัวด้วยเชือกเส้นใหญ่นอนอยู่ในรถ สองตาของพวกเขาปิดสนิทไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย
เสี่ยวหูจื่อชะเง้อมองรอบด้าน เห็นจุดที่ไกลออกไปมีเด็กตัวใหญ่นอนอยู่คนหนึ่ง ดูแล้วคล้ายจะเป็นเลิ่งจื่อ เขาใจหายวูบ ‘เลิ่งจื่อก็ถูกจับตัวมาด้วย’ เขาคิดต่อ ‘ถูกจับตัวมาก็ดีแล้ว อย่างน้อยเขาก็ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ถูกพวกมือปราบถ่อยพวกนั้นตีจนตาย’ เขาคิดต่อไป ‘พวกนั้นจะพาเราไปที่ไหน คุกเมืองฉางอันหรือ แล้วข้าจะหาทางหนีไปได้อย่างไร ถ้าหากแม่ใหญ่รู้เรื่องที่ข้าถูกมือปราบจับเข้าคุก จะต้องไล่ข้าออกจากจวนสกุลอู่ เพื่อจะได้ไม่ต้องเห็นหน้าข้าอีกเป็นแน่ เช่นนี้เท่ากับสมความตั้งใจของนางแล้ว’
เมื่อคิดถึงแม่ใหญ่ จิตใจเบื้องลึกก็เกิดความหวาดกลัวขึ้นมา รวมถึงความเคียดแค้นและเกลียดชัง เขาได้แต่บังคับให้ตนเองไม่ไปคิดถึงนาง และไม่คิดถึงเรื่องราวบัดซบทั้งหลายภายในคฤหาสน์สกุลอู่
รถม้าเคลื่อนตัวไปข้างหน้าตามหนทางขรุขระ เวลาผ่านไปนานแล้วก็ยังไม่หยุดเสียที ตัวของเสี่ยวหูจื่อปวดระบมไปหมด เขารู้สึกหัวหนักสมองตื้อ อยากจะส่งเสียงครางบรรเทาความเจ็บปวดหากลำคอกลับแห้งผากจนไม่อาจเปล่งเสียงออกมา เมื่อถูกเขย่าไปมาในรถม้าเป็นเวลานาน เขาก็หมดสติไปอีกครั้งท่ามกลางความเจ็บปวดที่รุมเร้า
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด เสี่ยวหูจื่อเหมือนคนหลับ ๆ ตื่น ๆ ยามที่ตื่นเขารู้สึกได้ว่ารถม้ายังคงเคลื่อนตัวโขยกเขยกไปด้านหน้า มีบางครั้งที่หยุดนิ่ง มีบ้างครั้งที่รู้สึกได้ถึงเม็ดฝนปรอย ๆ อยู่ด้านนอก ลมเย็นพัดกรูเข้ามา บางครั้งเขารู้สึกร้อนผ่าวจนเหงื่อไหลโซมกายราวกับตัวจะหลอมละลาย ในใจของเสี่ยวหูจื่อเกิดความกังขาและหวั่นวิตกมากขึ้น “รถม้าคันนี้น่าจะเดินทางได้ครึ่งวันแล้ว คุกหลวงเมืองฉางอันไม่น่าไกลเพียงนี้ พวกเขาจะพาเราไปไหนกันแน่”
เขาได้ยินเสียงผู้ชายหลายคนสนทนากันอยู่ที่นอกตัวรถ เสียงดังอู้อี้ฟังไม่ชัดเจน รู้แค่ว่าจนถึงบัดนี้ไม่มีใครเข้ามาตรวจดูอาการของเด็ก ๆ ในนี้ว่าเป็นหรือตายอย่างไร เสี่ยวหูจื่อมองไปรอบด้าน เห็นเด็กคนอื่น ๆยังคงนอนหมดสติไม่รู้สึกตัว เกิดสะดุดใจขึ้นมา “ถึงจะถูกตีจนสลบไป แต่เวลาผ่านมานานขนาดนี้ก็น่าจะฟื้นได้แล้ว หรือพวกเขาถูกวางยาสลบ”
เขาตะลอนเที่ยวเล่นอยู่ข้างนอกมานานเคยได้ยินพวกอันธพาลประจำถนนพูดถึงวิธีการงัดแงะขโมยสิ่งของกันอยู่บ้าง รู้ว่ามียาสลบชนิดหนึ่งที่สามารถทำให้คนนอนหมดสติได้นานถึงสิบวันสิบคืนโดยไม่ฟื้นขึ้นมา จึงเกิดความรู้สึกกระวนกระวายใจในทันใด “โธ่เอ๊ย แย่แน่ๆ นี่ข้าคงถูกพวกคนร้ายที่ไหนลักพาตัวเข้าให้ แต่ว่าคนที่จับข้ามาพวกนั้นเป็นมือปราบที่มาเก็บตลาดไม่ใช่หรือ แล้วเหตุใดจึงกลายเป็นพวกโจรร้ายไปเสียได้” เขาคิดต่อไป “มือปราบก็ดี โจรร้ายก็ดี จะจับพวกเด็กขอทานไปทำอะไร”
เขาขบคิดจนหัวแทบแตกก็ไม่อาจเข้าใจ ดวงตากลอกดูรอบด้านอย่างสนใจ พบว่าแผ่นกระดานข้างศีรษะมีร่องเล็ก ๆ ร่องหนึ่ง สามารถกักน้ำฝนเอาไว้ได้เล็กน้อย เขาเริ่มคุ้นชินกับความเจ็บปวดบนตัว คุ้นชินกับร่างกายที่ถูกมัดเอาไว้ด้วยเชือกอย่างแน่นหนา แม้จะขยับตัวลำบากแต่กระนั้นสิ่งที่ทรมานที่สุดคืออาการกระหายน้ำ เมือเห็นว่ามีน้ำเจิ่งอยู่ในร่องไม้ จึงรีบชะโงกหน้าเข้าไปสูดน้ำเข้าปากเล็กน้อยพร้อมกับอธิษฐานขอให้สวรรค์ส่งฝนตกลงมาอีกหลาย ๆ ครั้ง
หลังจากนั้นผ่านไปอีกนานเท่าไรไม่รู้ จากการดิ้นรนของเสี่ยวหูจื่อทำให้เชือกที่มัดแน่นคลายลงเล็กน้อย แต่เขาทำได้เพียงหันคอไปซ้ายขวา ยกมือยกเท้าได้อีกเล็กน้อยเท่านั้น ความเจ็บปวดบนตัวยังคงไม่หายไป แต่ดีที่ตอนนี้รู้สึกชาหนึบไปบ้างทำให้พอทนความเจ็บปวดได้ไหว เขาคิดในใจว่า ข้าถูกพวกสุนัขมือปราบตีไม่ยั้งมือ หวังว่ากระดูกจะไม่หัก เส้นเอ็นไม่เป็นไรก็พอ ส่วนพวกแผลฟกช้ำดำเขียวอะไรนั่น ขอแค่ข้านอนนิ่ง ๆไม่ขยับตัว อีกไม่นานก็คงจะหายดีเองกระมัง
ยามท้องฟ้าใกล้มืด รถม้าพลันหยุดชะงัก มีคนเดินมาที่ตัวรถปัดผ้าม่านหน้ารถขึ้นมองเข้ามาในที่สุด เสี่ยวหูจื่อรีบร้อนหลับตาลงแสร้งทำเป็นหมดสติ รอจนกระทั่งเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง จึงค่อยๆลืมตาขึ้นเป็นเส้นเล็ก ๆ และแอบมอง เห็นคนที่มามีสองคน คนหนึ่งตัวอ้วนเตี้ย อีกคนหนึ่งหัวล้าน พวกเขาสวมเสื้อผ้าสีดำ หน้าตาน่ากลัวดูแล้วมิใช่พวกมือปราบ น่าจะเป็นพวกโจรร้ายมากกว่า คนชุดดำสองคนจับตัวเด็ก ๆ พลิกตรวจดู หลังแน่ใจว่าไม่มีใครตายแล้วจึงพยักหน้าจากไป ปล่อยผ้าม่านหน้ารถลง
เสี่ยวหูจื่อคิดในใจ ‘สองคนนี้ไม่ใช่คนดีแน่ พวกเขาจับเด็ก ๆ อย่างเรามาไม่รู้จะพาไปไหน ถ้าหากจะฆ่าพวกเราคงจะลงมือโยนศพไว้ข้างทางรกร้างนานแล้ว ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาจับตัวพวกเราเดินทางมาด้วย’
จู่ ๆ เสี่ยวหูจื่อก็ถูกจับแขนเอาไว้แน่น มีคนคว้าแขนซ้ายของเขาแล้วกระชากอย่างแรงออกมานอกตัวรถ ล้มกลิ้งอยู่บนพื้นดินแข็งกระด้าง
เสี่ยวหูจื่อหัวคะมำจนตาพร่าเลือน อุทานด้วยความตกใจอย่างกลั้นไม่อยู่
เขาลืมตาขึ้นมา เห็นคนอ้วนเตี้ยก้มหน้าลงมองตนเองพลางแสยะยิ้มจนเห็นปากที่มีแต่ฟันผุ ๆ “ข้าบอกแล้วไม่ผิดว่าเจ้านี่มันฟื้นอยู่”
คนหัวล้านที่อยู่ข้าง ๆ ตาเหล่ปากเบี้ยวรูปร่างอัปลักษณ์สิ้นดี เขายกหัวแม่มือให้พร้อมกับร้องชมเชย “ท่านถูมีสายตายอดเยี่ยม”
คนอ้วนเตี้ยเอ่ยขึ้นอย่างลำพองใจ “ข้าติดตามหัวหน้าใหญ่ทำงานมาเจ็ดแปดปีแล้ว ไม่มีแผนการชั่วร้ายอะไรที่ไม่เคยเจอ ไม่ว่าใครก็ไม่อาจรอดพ้นตาทิพย์ของข้าไปได้”
คนหัวล้านอัปลักษณ์กล่าวว่า “ก็นั่นน่ะสิ เจ้าเด็กนี่มันเจ้าเล่ห์นัก ถึงจะแกล้งทำเป็นนอนหลับก็ยังหนีไม่พ้นสายตาวิเศษของท่านถูไปได้” น้ำเสียงที่เอ่ยเต็มไปด้วยการประจบประแจง
เห็นได้ชัดว่าชายอ้วนเตี้ยชอบฟังคำยกยอ แสยะปากยิ้มก่อนนิ่วหน้าเอ่ยขึ้นว่า “แต่ประหลาดแท้ ยาสลบของแม่เฒ่าจินทำไมถึงไม่มีผลกับเขา”
คนหัวล้านอัปลักษณ์ผสมโรงต่อ “นับว่าประหลาดแท้ เด็กคนอื่น ๆ ในรถยังสลบเหมือนกับคนตายไม่มีผิด”
ชายอ้วนเตี้ยจ้องมองเสี่ยวหูจื่ออยู่อีกพักหนึ่งก่อนตบหัวตัวเองดังเพี้ยะ “จริงด้วย เจ้าดูสิ เจ้าเด็กนี่หน้าตาบวมปูด แสดงว่าถูกพวกมือปราบสุนัขตีจนหมดสติไปแน่ ๆ เขาไม่ได้ดมยาสลบของแม่เฒ่าจิน ดังนั้นจึงฟื้นขึ้นมาเร็วกว่าคนอื่น”
คนหัวล้านอัปลักษณ์พยักเพยิดเอ่ยชมต่อไป “ท่านถูคาดเดาเรื่องราวได้ราวกับผู้วิเศษ อาตมาเลื่อมใสยิ่งนัก”
เสี่ยวหูจื่อได้ยินเขาเรียกตนเองว่า ‘อาตมา’ จึงคิดในใจว่า ที่แท้แล้วเป็นหัวโล้น ไม่ใช่หัวล้าน เจ้านี่เป็นหลวงจีนเสียด้วย
ชายอ้วนเตี้ยกล่าวต่อไป “ยังต้องเดินทางอีกสามสี่วัน พวกเราควรทำอย่างไรกับเจ้านี่ดี”
หลวงจีนอัปลักษณ์เอ่ยขึ้น “ท่านถูย่อมมีแผนการดี ๆ อยู่แล้ว อาตมาล้วนแต่ฟังคำสั่งของท่าน จะไม่ให้เกิดความผิดพลาดแม้แต่น้อย”
ชายอ้วนเตี้ยมีฉายาว่า ‘ถูโก่วฟู’ หรือคนฆ่าสุนัข คนที่เกรงใจจะเรียกขานเขาว่า ‘ท่านถูโก่ว’ แต่ทว่ามีคำว่า ‘โก่ว’ที่แปลว่าสุนัขอยู่ในชื่อเรียกด้วยฟังไม่ค่อยรื่นหู ดังนั้นหลวงจีนที่เอาแต่ประจบสอพลอจึงได้เรียกเขาว่า ‘ท่านถู’
ถูโก่วฟูคิดไปคิดมาก็ถามหลวงจีนอัปลักษณ์ขึ้นว่า “เจ้าว่าควรทำอย่างไรดี”
หลวงจีนอัปลักษณ์ตอบว่า “ถ้าหากกลัวเขาจะก่อเรื่องยุ่งยากก็สังหารเขาแล้วโยนทิ้งอยู่ข้างถนนก็แล้วกัน”
เสี่ยวหูจื่อได้ยินแล้วหน้าตาแปรเปลี่ยนคิดในใจว่า เจ้าหลวงจีนนี่อ้าปากก็จะฆ่าคน ไม่เหมือนผู้ทรงศีลเลยแม้แต่น้อย
ยังดีที่ถูโก่วฟูส่ายหน้า “หัวหน้าใหญ่มีคำสั่งให้พวกเราไปเมืองหลวงเพื่อจับตัวเด็กมายี่สิบคน มือปราบพวกนั้นมันไร้ประโยชน์จริง ๆ จับมาได้แค่สิบเจ็ดคน ถ้าหากน้อยไปอีกคนหนึ่ง ก็เท่ากับขาดไปสี่คน ท่านหัวหน้าจะต้องบันดาลโทสะแน่”
หลวงจีนอัปลักษณ์รีบเปลี่ยนคำพูดทันใด “ท่านถูพูดได้ถูกต้อง อย่างนั้นก็ฆ่าเขาไม่ได้เด็ดขาด”
ถูโก่วฟูนิ่งเงียบก่อนเอ่ยว่า “แต่ว่าเราจะผ่อนการป้องกันจนทำให้เขาหนีไปไม่ได้เด็ดขาด ถ้าอย่างไรจับตัวเขามัดเอาไว้แล้วใช้ผ้าปิดตา หาอะไรอุดหู ให้เขามองไม่เห็น ฟังไม่ได้ยิน แล้วยังขยับตัวไม่ได้ อย่างนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับนอนสลบ”
เสี่ยวหูจื่อรู้สึกถึงท้องที่ร้องเพราะความหิว ปากแห้งผากเพราะกระหายน้ำ ถ้าหากให้พวกนี้จับตัวเขาทำเช่นนั้น คิดว่าจะทนอยู่ได้ถึงสามวันห้าวันงั้นหรือ ไม่นานจะต้องหิวตายหรือไม่ก็กระหายน้ำตาย ดังนั้นเขาจึงละล่ำละลักเอ่ยว่า “นายท่านทั้งสอง ข้าไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงฟื้นขึ้นมา ถ้าหากพวกท่านต้องการให้ข้านอนหลับต่อไปข้าก็จะนอนหลับต่อไป ไม่สร้างความยุ่งยากให้พวกท่านเป็นอันขาด”
ถูโก่วฟูนิ่วหน้าโต้กลับว่า “เจ้าฟื้นแล้วก็ฟื้นแล้ว อีกอย่างตอนนี้พวกเราไม่มียาสลบของแม่เฒ่าจินที่จะทำให้เจ้าหมดสติต่อไปด้วย แล้วจะวางใจได้อย่างไร”
เสี่ยวหูจื่อไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรไปชั่วขณะ จึงเอ่ยว่า “ในเมื่อข้าฟื้นขึ้นมาแล้ว ก็ให้ช่วยนายท่านทั้งสองทำงานสักเล็กน้อยจะดีหรือไม่”
ถูโก่วฟูถามขึ้นอย่างข้องใจว่า “เจ้าจะทำงานอะไรได้”
เสี่ยวหูจื่อเอ่ยขึ้นว่า “ข้าหุงข้าว เลี้ยงม้า อาบน้ำม้า คอยเฝ้ารถ งานอะไรข้าก็ทำเป็น ทั้งสองท่านต้องการให้ข้าทำงานอะไรข้ายินดีทั้งสิ้น”
ถูโก่วฟูและหลวงจีนอัปลักษณ์ได้ยินเช่นนั้นหันมาสบตากันต่างคิดในใจว่า ต่อไปมีเจ้าหนูนี่คอยทำงานให้ พวกเราก็จะได้สบายขึ้นอีกหน่อย โอกาสเช่นนี้จะปล่อยไปได้อย่างไร
ถูโก่วฟูเหล่ตามองเสี่ยวหูจื่อเอ่ยขึ้นว่า “ถ้าหากแก้เชือกให้เจ้าแล้ว จะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าจะไม่หาโอกาสหลบหนี”
เสี่ยวหูจื่อตอบกลับว่า “นายท่านทั้งสอง ข้าไม่รู้ว่าจะหนีไปอย่างไรอยู่ดี”
ถูโก่วฟูเห็นท่าทางของเขาดูซื่อ ๆ จึงคิดในใจว่า มันก็แค่เด็กคนหนึ่ง คงไม่รู้ทิศทางว่าจะไปที่ไหน อีกทั้งยังไม่มีเงินติดตัวจะหนีไปไหนได้ อย่างไรจะต้องตามพวกเราอยู่แล้ว คิดว่าเจ้าหนูนี่คงไม่กล้าหนีไปไหนส่งเดช ดังนั้นจึงพยักหน้าพลางเอ่ยว่า “ได้ ว่าตามนี้แล้วกัน หากเจ้ากล้าหนี ข้าจะฆ่าเจ้าทันที” จากนั้นออกคำสั่งให้หลวงจีนแก้เชือกที่มัดตัวเขาอยู่ ชี้ไปยังลำธารเล็กที่อยู่อีกด้านหนึ่ง “ไป เจ้าไปล้างเนื้อล้างตัวล้างคราบเลือดที่อยู่บนตัวให้สะอาดตรงลำธารโน่น”
เสี่ยวหูจื่อถูกจับมัดมาไม่รู้เป็นเวลานานเท่าไร พอหลวงจีนแก้เชือกให้จึงรู้สึกมือเท้าอ่อนเปลี้ยไม่มีแรง ขยับตัวอย่างยากลำบาก หลังจากพยายามอยู่ครู่หนึ่งค่อยคลานลุกขึ้นมาได้ เขาเงยหน้าขึ้นมอง รอบด้านเป็นพื้นที่รกร้างไร้ผู้คน ตัวรถมีม้าใหญ่สองตัวลากอยู่ ตอนนี้หยุดอยู่ข้างทางดินแคบเล็กสายหนึ่ง รอบด้านไร้ซึ่งผู้คนและที่พักอาศัย มองไปที่ไหนมีแต่พงหญ้าและต้นไม้ขึ้นครึ้ม เห็นได้ว่าออกห่างจากเมืองฉางอันมาไกลพอสมควร
เขาเดินโขยกเขยกไปจนถึงริมลำธารเล็ก ถอดเสื้อกางเกงนั่งยอง ๆ ล้างหน้าล้างตัวที่สกปรกมอมแมมไปพลางตรวจดูร่องรอยฟกช้ำบนร่างกายไปพลาง เขาเห็นรอยฟกช้ำดำเขียวกระจายไปทั่วทั้งตัวและแขนขา เห็นได้ชัดว่าเป็นร่องรอยถูกมือปราบกลุ่มนั้นทำร้ายขณะอยู่ในตลาด ยังดีที่ไม่หนักหนาสาหัส ดูเหมือนกระดูกและเส้นเอ็นไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด หลังจากล้างหน้าตาเนื้อตัวจนสะอาดแล้วรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า เขาก็สวมเสื้อผ้า พับแขนเสื้อขึ้นแล้วเริ่มทำงานทันที
ตั้งแต่พลบค่ำไปจนถึงเวลากลางดึกของวัน เสี่ยวหูจื่อวิ่งรับคำสั่งทำงานจากถูโก่วฟูและหลวงจีนหลายอย่าง ตั้งแต่อาบน้ำม้า ป้อนหญ้าให้ม้ากิน ทำความสะอาดล้อรถ จนถึงต้มน้ำหุงหาอาหาร คอยเฝ้าดูรถม้า นับจำนวนคน ไม่ว่าจะให้ทำอะไรเขาทำได้อย่างดีและรวดเร็ว
หลวงจีนอัปลักษณ์ผู้นั้นมีนามว่า หลวงจีนเท้าเปล่า เคยชินกับการประจบสอพลอถูโก่วฟู มาบัดนี้มีเจ้าหนูนี่มาคอยรับใช้ตนเองย่อมรู้สึกพึงพอใจยิ่งนัก ถึงกับเอ่ยชมเขาไม่ขาดปาก “เจ้าหนูนี่ทำอะไรคล่องแคล่ว ไม่ว่าให้ทำงานอะไรก็ทำได้หมด ท่านถูมีสายตาเฉียบแหลมยิ่งนัก”
ถูโก่วฟูเองรู้สึกพอใจในตัวเสี่ยวหูจื่ออย่างยิ่ง เอ่ยว่า “เจ้าหนูนี่ท่าทางโง่ ๆ เซ่อ ๆ แต่นิสัยว่านอนสอนง่ายซื่อ ๆ ข้าถูโก่วฟูมีสายตาเฉียบคมอยู่แล้ว ตอนนี้หาคนช่วยงานพวกเรามาได้คนหนึ่ง ต่อไปพวกเราสองคนย่อมอยู่สบายมากขึ้นกว่าเดิม”
หลังจากนั้น รถม้ายังคงเคลื่อนตัวไปตามทางดินรกร้าง ถูโก่วฟูและหลวงจีนเท้าเปล่าต่างเชื่อใจในตัวเสี่ยวหูจื่อยิ่งนัก ไม่ว่ามีงานอะไรก็สั่งให้เขาไปทำ ตัวเองนั่งยกขาไขว่ห้างอยู่ตรงที่นั่งหน้ารถกันอย่างสบายอารมณ์
เสี่ยวหูจื่อถูกมือปราบเหล่านั้นทำร้ายด้วยไม้กระบอง ไม่ได้รับบาดเจ็บหนักหนาแต่อย่างใด เมื่อเวลาผ่านไปหลายวันตอนนี้อาการดีขึ้นได้เจ็ดแปดส่วน มือเท้าใช้ได้การได้ดี แม้เขาจะเป็นคนนิสัยซื่อตรง แต่ก็ไม่ใช่คนโง่ ย่อมเกิดความคิดจะหลบหนีขึ้นมา เขามักมองออกไปนอกตัวรถเป็นระยะ คาดคะเนว่าตอนนี้อยู่ห่างจากเมืองฉางอันมากเพียงใด วางแผนว่าตนเองจะหาทางหลบหนีกลับไปฉางอันได้อย่างไร เขาวางแผนในใจว่า ‘หากข้าฉวยโอกาสที่พวกเขากำลังนอนหลับแอบหนีไปกลางดึก คิดว่ากว่าพวกเขาจะรู้ตัวอีกทีคงเป็นเวลาฟ้าสางแล้ว ถึงตอนนั้นข้าหนีไปตามทางดินน่าจะกลับเมืองฉางอันได้ จากนั้นข้าก็หลบอยู่แต่ในบ้านคิดว่าพวกเขาคงหาตัวไม่เจอ คนพวกนี้คิดว่าข้าเป็นเด็กขอทานข้างถนน คิดไม่ถึงหรอกว่าข้าจะเป็นคนในจวนเสนาบดีอู่ ขอแค่ข้าไม่ออกจากบ้าน คิดว่าโจรร้ายเหล่านี้คงไม่กล้าบุกเข้าจวนเสนาบดีไปจับตัวข้าแน่’ แต่แล้วเขาก็คิดขึ้นมาได้ ‘แล้วเลิ่งจื่อจะทำอย่างไร ข้าจะทิ้งเขาเอาไว้แล้วหลบหนีไปเพียงลำพังไม่ได้’
เขาเคยลองดูหน้าตาของเด็ก ๆที่อยู่ในรถทีละคน รู้ว่านอกจากเลิ่งจื่อแล้วเด็กคนอื่น ๆ เขาไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน เมืองฉางอันกว้างใหญ่ เดิมทีมีเด็กขอทานอยู่ข้างถนนใหญ่ใกล้ตลาดเป็นร้อยคน มือปราบจับตัวมาส่งเดชสิบกว่าคน เขาย่อมไม่มีทางรู้จักทั้งหมดแน่ ตอนนั้นเขาอยู่กับพรรคพวกที่เล่นเตะลูกหนังด้วยกัน เห็นพวกเขาหลบหนีได้อย่างปลอดภัยกับตา เด็กที่ถูกจับมาเหล่านี้ล้วนแต่เป็นคนที่เขาไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนทั้งสิ้น
ในเมื่อไม่รู้จักเด็ก ๆ เหล่านี้เขาก็ไม่มีแก่ใจจะไปไยดี แต่ทว่าเขาไม่มีทางทิ้งเลิ่งจื่อเอาไว้ ถ้าจะหนีต้องพาเจ้ายักษ์นี่ไปด้วย เขาเคยลองเรียกเลิ่งจื่อให้ตื่นอยู่หลายครั้งแต่ไม่ว่าจะเขย่าอย่างไรเลิ่งจื่อก็ไม่ยอมตื่นจนเขาร้อนรน ไม่รู้แม่เฒ่าจินคนนั้นใช้ยาสลบอะไรถึงทำให้เลิ่งจื่อหมดสติราวกับสุนัขขี้เกียจที่กำลังนอนอาบแดดอยู่ข้างถนนได้เยี่ยงนี้ ไม่ว่าจะเรียกอย่างไรก็ไม่ตื่น เตะไปก็ไม่กระดิก แล้วอย่างนี้เขาควรทำเช่นไรดี เขาครุ่นคิดว่า ถ้าจะหนีไปเพียงลำพังก็ไม่ยาก แต่ถ้าต้องแบกเลิ่งจื่อที่ยังนอนหมดสติไม่รู้สึกตัวไปด้วยกัน นับเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างยิ่ง ถ้าหากพาเลิ่งจื่อไป จำเป็นต้องจัดการถูโก่วฟูและหลวงจีนเท้าเปล่าให้ได้เสียก่อน แล้วสองคนนี้ก็รูปร่างกำยำล่ำสัน เป็นพวกโจรร้ายที่ฆ่าคนได้ไม่กะพริบตา แล้วจะคว่ำผู้ใหญ่สองคนได้อย่างไร หากไม่ระวังตัวให้ดีทำให้พวกเขาเกิดความสงสัย ถึงเวลาก็คงถูกฆ่าทันที เขารู้ตัวดีว่ากำลังตกอยู่ในอันตรายยิ่งยวด จำเป็นต้องระมัดระวังตัว ไม่ทำการวู่วาม
ผ่านมาอีกสามวัน เสี่ยวหูจื่อยังคงคิดไม่ออกว่าจะพาเลิ่งจื่อหนีไปด้วยได้อย่างไร คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก จำเป็นต้องทำตัวเชื่อฟังขยันขันแข็งคอยรับใช้คนทั้งสอง มีบางครั้งที่เขานั่งอยู่บนรถ มองทิวทัศน์นอกหน้าต่างที่ขึ้น ๆ ลง ๆ ไปตามจังหวะเคลื่อนไหวของรถม้าผ่านสายตาไป ในใจก็ครุ่นคิดว่าบางทีการจากเมืองฉางอัน จากจวนสกุลอู่ไปอาจมิใช่เรื่องเลวร้าย ข้าอยู่บ้านสกุลอู่มาหลายปี มีวันไหนที่อยู่อย่างมีความสุขบ้าง แม่ใหญ่อยากให้ข้าหายสาบสูญไปตลอดกาล คนอื่น ๆ ก็ไม่เคยทำดีกับข้ามาก่อน ทั้งสกุลอู่มีแต่เลิ่งจื่อเท่านั้นที่ดีกับข้า ทั้งสองคนนี้ไม่รู้จะพาพวกเราไปที่ใด บางทีอาจจะเป็นสถานที่ที่ดีกว่าจวนสกุลอู่ก็เป็นได้ เมื่อคิดเช่นนี้ จึงรู้สึกว่าการถูกลักพาตัวมานั้นอาจมิใช่เรื่องเลวร้ายอย่างที่คิด ถึงขนาดคาดหวังและรอคอยกับอนาคตที่จะมาถึง
พลบค่ำวันนี้ ทั้งสามคนขับรถม้ามาจอดพักอยู่นอกหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เสี่ยวหูจื่อเพิ่งตักน้ำจากริมแม่น้ำมาอาบให้ม้าพลันได้ยินเสียงแหบใหญ่ดังขึ้นอยู่ท้ายรถม้า “ถูโก่ว เท้าเปล่า ได้คนครบหรือไม่”
เสียงของถูโก่วฟูละล่ำละลักตอบกลับอย่างนอบน้อมว่า“เรียนหัวหน้าใหญ่ อยู่ในรถกันหมดแล้ว พวกเราจับตัวจากเมืองฉางอันได้ทั้งหมดยี่สิบคน ใช้ยาสลบของแม่เฒ่าจินทำให้พวกมันสลบไป แต่ระหว่างทางไม่รู้ว่าทำไมถึงตายไปสามคน พวกเรากลัวศพจะส่งกลิ่นเหม็นจึงได้โยนทิ้งไว้ข้างทาง”
น้ำเสียงแหบแห้งเปล่งคำว่าเหอะขึ้นมาคำหนึ่งก่อนเอ่ยขึ้นว่า “เหลือแค่สิบเจ็ดคนหรือ ไหนดูสิ” จากนั้นมีเสียงเปิดผ้าม่านหน้ารถ
ยามนี้เสี่ยวหูจื่อยกถังน้ำมาถึงข้างตัวม้า เขารีบวางถังน้ำ ย่อตัวลงต่ำแอบมองลอดขาม้าออกมา เห็นผู้มาใหม่เป็นนักพรตวัยกลางคนสวมเสื้อนักพรตสีดำทั้งชุด ใบหน้าดูเหลืองซีด มีความเมตตาคล้ายเป็นนักพรตผู้มีบารมีสูงฉาบอยู่ แตกต่างจากน้ำเสียงแหบใหญ่ของเขายิ่งนัก
นักพรตชะโงกศีรษะมองไปในรถ ชี้นิ้วนับไปทีละคนก่อนเอ่ยว่า “มีแค่สิบหกคน”
ถูโก่วฟูและหลวงจีนอัปลักษณ์หันมาสบตากัน สายตามองไปยังเสี่ยวหูจื่อ
นักพรตหันหลังกลับมาเห็นเสี่ยวหูจื่อที่ซ่อนอยู่หลังม้า นิ่วหน้าถามขึ้นว่า “เจ้าเด็กนั่นเป็นใคร”
หลวงจีนอัปลักษณ์หลงคิดว่าตนเองฉลาดจึงละล่ำละลักตอบไปว่า “นั่นเป็นเด็กในหมู่บ้านที่มาอาสาไปตักน้ำทำงานให้พวกเรา”
นักพรตขมวดคิ้ว แววสังหารปรากฏขึ้นทันที เสียงที่เอ่ยเย็นกระด้าง “ข้าบอกให้พวกเจ้าทำทุกอย่างเป็นความลับ หรือพวกเจ้าผ่านหมู่บ้านแต่ละแห่งก็จะต้องเรียกเด็กๆออกมาช่วยอาบน้ำม้าให้พวกเจ้า?”
ถูโก่วฟูเห็นสีหน้าของนักพรตเหี้ยมเกรียม รีบยกมือตบหน้าหลวงจีนอัปลักษณ์พร้อมกับก่นด่าว่า “บัดซบ ต่อหน้าหัวหน้าใหญ่เจ้ายังกล้าโกหกปิดบัง” เขาหันไปเอ่ยกับนักพรตอย่างนอบน้อมว่า “เรียนท่านหัวหน้า เจ้าเด็กนี่เป็นหนึ่งในคนที่จับมาจากเมืองฉางอัน ตอนนั้นมันถูกพวกมือปราบตีสลบไป ไม่ได้ดมยาสลบของแม่เฒ่าจิน จึงได้ฟื้นขึ้นมาระหว่างทาง เจ้านี่รู้จักสถานการณ์ดี ระหว่างทางติดตามช่วยทำงานให้พวกเราไม่กล้าคิดหลบหนี”
สายตาของนักพรตดุดัน ถลึงมองถูโก่วฟูด่าขึ้นว่า “เพราะเหตุนี้ระหว่างทางผ่านที่ใดมาบ้าง เจ้านี่ก็เห็นหมดแล้ว”
ถูโก่วฟูกลืนน้ำลายอย่างไม่รู้ควรตอบอย่างไรดี เกิดความหัวเสียขึ้นในใจ ‘ถ้ารู้แต่แรกว่าเจ้านี่จะทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากข้าน่าจะฆ่ามันไปตั้งแต่แรก ตอนนี้ไม่ทันกาลเสียแล้ว’
นักพรตเอ่ยเสียงเข้มว่า “ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะมีสมองอยู่บ้าง แต่ที่แท้โง่จนไม่รู้จะโง่อย่างไร เจ้าหนูนี่ฟื้นขึ้นมาเจ้าไม่ฆ่ามันเสียทันทีแต่ให้มันติดตามมาตลอดทาง มองเห็นเส้นทางที่ผ่านมา หูได้ยินสิ่งที่พวกเจ้าคุยกันด้วย”
หลวงจีนอัปลักษณ์ก้มหน้าไม่กล้าโต้แย้ง หน้าผากของถูโก่วฟูมีเหงื่อเม็ดโตไหลย้อย เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนทั้งเกรงกลัวและกริ่งเกรงนักพรตผู้นี้มากเพียงใด
นักพรตตวาดขึ้นคำหนึ่ง “ยังไม่รีบลงมือจัดการ”
ถูโก่วฟูชักมีดสั้นที่เอวออกมาทันที รับคำว่า “ขอรับ ข้าน้อยจะจัดการเจ้าหนูนี่เดี๋ยวนี้”
เสี่ยวหูจื่อได้ยินแล้วนิ่งอึ้งไปก่อนสำนึกขึ้นได้ว่า ‘แย่แล้ว นักพรตจะให้ถูโก่วฆ่าข้าปิดปาก’ ในความรีบร้อน เขาไม่ทันโยนแปรงสำหรับแปรงขนม้าในมือทิ้ง หากหมุนตัววิ่งหนีทันที ถูโก่วฟูก้าวยาว ๆ ไล่ตามเสี่ยวหูจื่อพลางตวาดขึ้นว่า “เจ้าหนูหยุดเดี๋ยวนี้”
เสี่ยวหูจื่อมั่นใจในฝีเท้าของตนเองค่อนข้างมาก มีผู้ใหญ่ไม่น้อยที่วิ่งไล่ตามเขาไม่ทัน แต่คิดไม่ถึงเพิ่งวิ่งหนีไปได้เพียงสี่ห้าจั้ง[1] ก็รู้สึกหลังคอถูกคว้าเอาไว้แล้วจับตัวโยนลงพื้นอย่างแรง
เสี่ยวหูจื่อคิดจะพลิกตัวลุกขึ้นยืนกลับรู้สึกว่าแผ่นหลังหนักอึ้ง ตอนนี้มีฝ่าเท้าข้างหนึ่งเหยียบอยู่บนนั้น เขาถูกถูโก่วฟูจับตัวได้แล้ว
ถูโก่วฟูคำรามเสียงดัง “คิดจะหนีหรือ บังอาจเกินไปแล้ว” เขายกมีดสั้นในมือต้องการฟันคอเสี่ยวหูจื่อ
เสี่ยวหูจื่อแตกตื่นด้วยความหวาดกลัว เขาไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดีนอกจากตะโกนเสียงดังขึ้นในยามคับขันว่า “อย่าฆ่าข้า อย่าฆ่าข้า อย่าฆ่าข้า เห็นแก่ความชอบที่ข้ารับใช้ท่านมาหลายวันนี้อย่าฆ่าข้าเลย อย่าฆ่าข้าเลย”
ถูโก่วฟูคิดแต่เอาชีวิตเขาเสียโดยเร็วเพื่อมิให้เกิดเรื่องผิดพลาดในภายหลังแล้วถูกหัวหน้าใหญ่ตำหนิลงโทษเอาได้ จึงร้องด่ากลับไปว่า “ไอ้เด็กเวร จะตายอยู่แล้วยังจะพูดมากอยู่ได้” เขายกมีดสั้นขึ้นก่อนตวัดลงอย่างแรง เสี่ยวหูจื่อตกใจกลัวจนต้องหลับตาทั้งสองข้าง สองมือกำเข้าหากันแน่น รอความตายที่กำลังมาถึง
ในยามนี้เอง เสียงแหบแห้งของนักพรตดังขึ้นอยู่เหนือศีรษะ “ช้าก่อน”
ถูโก่วฟูชะงักมือทันใด หันหน้ากลับไปมองนักพรตเอ่ยขึ้นอย่างยำเกรงว่า “ท่านหัวหน้ามีสิ่งใดสั่งการ”
นักพรตเดินขึ้นหน้ามา ย่อตัวลง ยกขาเตะทีหนึ่งเพื่อพลิกตัวเสี่ยวหูจื่อให้นอนหงายอยู่บนพื้นแทน เสี่ยวหูจื่อลืมตาขึ้นมอง เห็นเพียงใบหน้าเหลืองซีดของนักพรตอยู่ใกล้เพียงแค่สามฉื่อ จากนั้นรู้สึกแน่นที่ลำคอ มือของนักพรตยามนี้คว้าเข้าที่คอหอย เสี่ยวหูจื่อหายใจยากลำบาก รู้ดีว่านักพรตออกแรงนิ้วมืออีกเล็กน้อยก็สามารถบีบคอเขาหัก ส่งตัวไปพบยมบาลได้ทันที เขาไม่กล้าเปล่งเสียงพูด ยิ่งไม่กล้าดิ้นรน ได้แต่ลืมตามองนักพรต ร่างกายสั่นเทิ้มไม่หยุด
ใบหน้าเหลืองซีดของนักพรตเต็มไปด้วยความเย็นชา ท่าทีดูมีเมตตาปรานีก่อนหน้านี้หายวับอย่างไร้ร่องรอย เหลือเพียงใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอำมหิตเหี้ยมโหด เขาก้มลงมองเสี่ยวหูจื่อ ขมวดคิ้วพิจารณาหน้าตาท่าทางของเขาก่อนเอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้ามีชื่อว่าอะไร”
เสี่ยวหูจื่อตอบเสียงสั่น ๆ “ข้า ข้าชื่อเสี่ยวหูจื่อ”
นักพรตพยักหน้ากล่าวขึ้นว่า “เสี่ยวหูจื่อ ข้าเห็นว่าเจ้าคล่องแคล่ว ฝีเท้ารวดเร็ว ข้าจะให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ เจ้าอยากมีชีวิตรอดไหม”
เสี่ยวหูจื่อกำลังเผชิญอยู่ระหว่างความเป็นกับความตายเพียงแค่เส้นยาแดง ในใจเกิดความหวาดกลัวขึ้นอย่างมิอาจสรรหาคำบรรยาย เขาตะเบ็งเสียงตอบไปว่า “ข้าอยากมีชีวิตรอด”
นักพรตพ่นเสียงขึ้นจมูกคราหนึ่ง คลายนิ้วออกเล็กน้อย เสี่ยวหูจื่อรู้สึกได้ถึงแรงที่ผ่อนออกไป รู้ว่าต้องฉวยโอกาสนี้พูดอะไรบ้างจึงเอ่ยขึ้นรวดเร็วว่า “ข้าอยากจะมีชีวิตรอด อย่าฆ่าข้า ท่านต้องการให้ข้าทำอะไรข้ายินดีทำทุกอย่าง”
นักพรตฟังแล้วยังคงไม่เอ่ยปาก ราวกับกำลังขบคิดสิ่งใดอยู่ เสี่ยวหูจื่อรู้ดีกว่าชีวิตของตนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจเพียงชั่วขณะของนักพรตผู้นี้ ก็รู้สึกเคร่งเครียด บนหน้าผากมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นด้วยความหวาดกลัว ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรอีกเพื่อให้นักพรตยอมรับปากไม่สังหารเขา
นักพรตจ้องเขาอยู่ชั่วขณะหนึ่งก่อนเสียงแหบแห้งจะดังขึ้น “ได้ ข้าจะให้โอกาสเจ้ามีชีวิตต่อไป ต่อไปเจ้าจะต้องเรียกข้าว่าหัวหน้าใหญ่ ข้าจะส่งตัวเจ้าไปที่หุบเขาตึกศิลา เจ้าจงตั้งใจฝึกฝนวิชาอยู่ที่นั่น พยายามผ่านด่านทั้งสามให้ได้ หากเจ้าผ่านด่านทั้งสามได้แล้วจะกลายเป็นลูกศิษย์อย่างเป็นทางการ เข้าสู่สำนักของข้า เจ้ายอมหรือไม่”
เสี่ยวหูจื่อฟังไม่เข้าใจ ‘ผ่านด่านทั้งสาม’‘เป็นลูกศิษย์อย่างเป็นทางการ’‘เข้าสู่สำนัก’ หมายความว่าอย่างไรกัน เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเหตุใดนักพรตคนหนึ่งจะต้องเรียกตนเองเป็นหัวหน้าใหญ่ รู้แค่เพียงว่าเขาจะได้มีชีวิตอยู่รอดต่อไปไหนเลยยังจะใส่ใจอนาคตที่ยังมาไม่ถึง จึงรีบลนลานพยักหน้ารับ
นักพรตที่ถูกเรียกว่า “หัวหน้าใหญ่”ดูพึงพอใจ ผินหน้ากล่าวกับถูโก่วฟูและหลวงจีนอัปลักษณ์ว่า “เอาละ พาตัวเขาไปที่หุบเขา จากนี้จะเป็นอย่างไรก็ต้องดูความสามารถของเขาเอง”
ถูโก่วฟูและหลวงจีนอัปลักษณ์ถอนหายใจโล่งอก รับคำอย่างพร้อมเพรียง
ดังนั้นเสี่ยวหูจื่อจึงได้กลับไปยังรถม้า ออกเดินทางต่อไปพร้อมกับหัวหน้าใหญ่ ถูโก่วฟูและหลวงจีนอัปลักษณ์ เขาเกือบต้องจบชีวิตน้อย ๆ ไปเสียแล้ว การรับรู้เรื่องนี้ทำให้เขาหวาดกลัวยิ่งนัก ยิ่งทำงานด้วยความขยันขันแข็ง ระมัดระวังมากขึ้นกว่าเดิม ด้วยเกรงจะสร้างความขุ่นเคืองใจให้กับหัวหน้าใหญ่ จนเปลี่ยนใจลงมือสังหารเขาเสียเอง
รถม้าเดินทางต่อไปอีกสองวัน เช้าตรู่ของวันนี้ รถม้าเริ่มขึ้นทางลาดเหมือนจะเข้าสู่เขตภูเขา เสี่ยวหูจื่อลอบมองออกไปเห็นทางบนเขาทั้งชันทั้งแคบ รถม้าสะเทือนมากขึ้นเรื่อย ๆ เดินทางไปเช่นนี้ได้อีกครึ่งวัน ทางบนเขาก็ยิ่งชันยิ่งแคบมากขึ้นจนสุดท้ายก็ไม่อาจขับรถม้าต่อไปได้
หัวหน้าใหญ่ออกคำสั่งกับถูโก่วฟูและหลวงจีนอัปลักษณ์ว่า “พวกเจ้าช่วยกันแบกเด็กสิบหกคนออกไป” เขากล่าวกับเสี่ยวหูจื่อว่า “ส่วนเจ้า ตามข้ามา” จากนั้นออกเดินนำหน้าไปเป็นคนแรก เสี่ยวหูจื่อก้าวเท้าเดินตามไปติด ๆ แต่ทว่าหัวหน้าใหญ่มีฝีเท้ารวดเร็ว พริบตาเดียวก็ถูกเขาทิ้งห่างอยู่ด้านหลังถึงสิบกว่าจั้ง
เดินไปได้ระยะหนึ่ง หัวหน้าใหญ่เห็นว่าเสี่ยวหูจื่อเดินได้ช้าเหลือเกิน จึงยืนมือไพล่หลังรอเขาอยู่กับที่ จนกระทั่งเสี่ยวหูจื่อไล่ตามมาทัน จึงยื่นมือคว้าคอเสื้อ ยกตัวเขาลอยขึ้นจากพื้น เร่งฝีเท้าราวกับบินได้ขึ้นภูเขา เสี่ยวหูจื่อไม่เคยวิ่งเร็วเช่นนี้มาก่อน เกิดความประหลาดใจยิ่งยวด ลอบคิดขึ้นว่า หัวหน้าใหญ่คนนี้มีวรยุทธ์ร้ายกาจจริง ๆ ขนาดเอาตัวข้ามาด้วยยังวิ่งได้ราวกับพายุ
เดินทางมาจนใกล้ถึงยอดเขา นักพรตและเสี่ยวหูจื่อยืนอยู่ริมหน้าผาแห่งหนึ่ง นักพรตชี้ลงไปด้านล่างพลางเอ่ยว่า “สถานที่ที่ข้าจะพาเจ้าไปก็คือหุบเขาแห่งนั้น”
เสี่ยวหูจื่อถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “ขอถามท่านหัวหน้าใหญ่ ข้าจะต้องตั้งใจฝึกวิชา ผ่านด่านสามด่านในหุบเขาแห่งนี้หรือ”
หัวหน้าใหญ่ตอบว่า “ถูกต้อง ลูกน้องของข้าได้นำตัวเด็กสองร้อยคนมาฝึกวิชาในหุบเขาแห่งนี้ เจ้าจำเป็นต้องเก่งกาจเหนือเด็กพวกนั้น จะต้องเป็นที่หนึ่งให้ได้จึงถือว่าผ่านด่านสำเร็จ”
เสี่ยวหูจื่อตะลึงงันเล็กน้อย คิดในใจว่า เด็กสองร้อยคนนี่ นอกจากข้าและเด็กอีกสิบหกคนที่ถูกจับจากเมืองฉางอัน ยังไม่รู้ว่าคนอื่น ๆ มาจากที่ไหนอีก เขาพยักหน้ารับ ถามขึ้นอย่างอยากรู้อีกว่า “ถ้าหากผ่านด่านไม่ได้เล่า”
หัวหน้าใหญ่เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “ถ้าผ่านด่านไม่ได้ จะถูกส่งตัวไปเป็นทหารบุกเบิกพื้นที่รกร้างแดนเหนือ อย่าได้คิดเลยว่าจะได้กลับมาเหยียบดินแดนจงหยวนอีกตลอดชีวิต
เสี่ยวหูจื่อสีหน้าตาแตกตื่น รวบรวมความกล้าถามขึ้นอีกว่า “หากข้าผ่านทั้งสามด่าน ข้าสามารถกลับบ้านได้หรือไม่”
หัวหน้าใหญ่หัวเราะเสียงดัง เสียงหัวเราะของเขาแหบแห้ง “หากเจ้าผ่านด่านทั้งสามได้ ข้าจะให้เจ้ากลับบ้าน”
เสี่ยวหูจื่อพยักหน้าหงึกหงัก เกิดความหวังขึ้นมาริบหรี่
ในตอนนี้เอง หัวหน้าใหญ่ยื่นมือมาคว้าเสื้อด้านหลังของเสี่ยวหูจื่อกระโจนตัวลงไปในหุบเขา เสี่ยวหูจื่อร้องด้วยความตกใจ รู้สึกตัวลอยเคว้งราวกับก้อนเมฆ ดิ่งลงสู่ก้นหุบเขา หัวหน้าใหญ่คล่องแคล่วราวกับมนุษย์วานร ประเดี๋ยวกระโดดลงบนชะง่อนหิน ประเดี๋ยวคว้ากิ่งต้นไม้เอาไว้ทะยานลงในหุบเขาอย่างรวดเร็ว เสี่ยวหูจื่อทั้งหวาดกลัวทั้งวิตก แอบลืมตาขึ้นมองรอบด้าน แต่ทว่ารอบด้านมีเพียงเมฆหมอกปกคลุม มองไปมีแต่สีขาวโพลน จนเห็นอะไรไม่ชัดเจน
หลังจากทะยานตัวไปได้ระยะหนึ่ง สุดท้ายจึงลงมาถึงก้นหุบเขา เสี่ยวหูจื่อรู้สึกเวียนหัวตาลาย ทันทีที่เท้าแตะพื้นร่างทั้งร่างอ่อนระทวยเกือบล้มลง เขารีบยื่นมือประคองตัวกับผนังหิน จึงพอฝืนการทรงตัวเอาไว้ได้ แต่กระนั้นยังรู้สึกถึงอาการสั่นสะท้านไปทั้งตัว
หัวหน้าใหญ่ทอดสายตาไปไกล ๆ ส่งเสียงผิวปากขึ้นครั้งหนึ่ง ไม่นานนักก็เห็นบุรุษหัวโตสวมเสื้อผ้าสีดำทั้งชุด มีผ้าคาดเอวผืนใหญ่สีม่วงวิ่งมารับหน้าอย่างรวดเร็ว เขาแสดงความคารวะต่อหัวหน้าใหญ่อย่างนอบน้อม เอ่ยขึ้นว่า “โต่วเส้าถูคารวะหัวหน้าใหญ่”
เสี่ยวหูจื่อเห็นว่าโต่วเส้าถูรูปร่างไม่สูง แต่มีศีรษะใหญ่มาก ดูไม่ได้สัดส่วนกับรูปร่างแสนสั้นของเขาเอาเสียเลย ทำให้รูปลักษณ์ดูประหลาดพิลึก จึงเอาแต่จ้องมองอย่างสนใจ
หัวหน้าใหญ่กล่าวว่า “ยังมีอีกสิบกว่าคน สองวันนี้คงจะมากันครบ เรื่องนี้มอบให้อยู่ในความดูแลของเจ้าแล้วกัน” พูดแล้วผลักตัวเสี่ยวหูจื่อไปหาชายหัวโตคนนั้น
โต่วเส้าถูคำนับอย่างนอบน้อมเอ่ยขึ้นว่า “ข้าน้อยรับคำสั่งท่านหัวหน้า” ก่อนเดินมาจับแขนเสี่ยวหูจื่อลากตัวให้เดินตามเขาไป เสี่ยวหูจื่อเกิดความตื่นตระหนก หันหลังกลับไปคิดจะเอ่ยวาจากับหัวหน้าใหญ่ หากคนผู้นั้นหายตัวอย่างไร้ร่องรอยไปไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด
[1] 1 จั้งเท่ากับ 10 ฉื่อหรือประมาณ 2.5 เมตร