[ทดลองอ่าน] โชคลาภหมื่นล้านบันดาลรัก ตอนที่ 46

โชคลาภหมื่นล้านบันดาลรัก
天降横财一百亿

เจียงจื่อกุย 江子归 เขียน
เหวินหรง แปล

 

— โปรย —

สวี่รุ่ย อดีตคุณหนูไฮโซต้องตกระกำลำบากทำงานทุกอย่าง
เพื่อหาเงินเลี้ยงชีพและย่าผู้รักเธอสุดหัวใจ
ยังไม่ทันจบมหาวิทยาลัย เธอกลับต้องเสียชีวิตขณะขับรถรับจ้าง

สวรรค์บันดาลให้เธอย้อนเวลากลับมาเจ็ดปีก่อน
พร้อมกับระบบผลาญเงินที่แต่ละครั้งจะเพิ่มจำนวนเงิน
และระยะเวลาในการใช้เงินขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงหนึ่งหมื่นล้านหยวน!
สำหรับคุณหนูที่เคนใช้ชีวิตอู้ฟู่ การใช้เงินมือเติบอย่างนี้นับเป็นแค่เรื่องขี้ปะติ๋ว

แต่เงื่อนไขของภารกิจคือ หลังจบการทดลองระบบผลาญเงินแล้ว
จะริบสิ่งของทุกอย่างที่ใช้เงินภารกิจซื้อกลับคืน
เธอจึงต้องวางแผนหรือกระทั่งเล่นเล่ห์หาช่องโหว่ด้วยการใช้เงินต่อเงิน
เพื่อที่จะมีเงินเป็นของตัวเอง

ดังนั้นไม่ว่าธุรกิจอะไรที่เธอรู้ว่าจะเติบโตในอนาคต เธอล้วนลงทุนทั้งหมด
ขณะเดียวกันเธอยังต้องกลับมาสานสัมพันธ์กับคนในครอบครัว
ที่ชาติก่อนเธอเคยคิดว่าเกลียดเธออย่างตาและน้าชายด้วย
ชีวิตใหม่ของสวี่รุ่ยจึงยุ่งวุ่นวายอย่างช่วยไม่ได้

 

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ

สำนักพิมพ์อรุณ

 

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

46

 

สวี่รุ่ยเดาได้นานแล้วว่าเป้าหมายของการโจมตีเป็นเธอ แต่ยังไม่มีเวลาขบคิดว่าใครลงมือ

ตอนนี้ได้ฟังและลองตรองดูอีกครั้ง อันที่จริงก็ชัดเจนแล้วว่าเป็นใคร เธอไม่ได้ทำให้ใครมากมายขุ่นเคืองสักหน่อย

หนึ่งคือตระกูลเจิ้ง ส่วนอีกหนึ่งน่าจะเป็นจ้าวอีอี คู่อริของห่าวชิว

เรื่องของตระกูลเจิ้งจบไปแล้ว ครอบครัวของพวกเขาคงไม่เปลืองแรงด้วยการให้คนตามมาถึงฮ่องกงเพื่อถ่ายรูปแค่ไม่กี่รูป เห็นได้ชัดว่าต้องการจะแฉรูปให้คนอื่นรู้ เรื่องรูปถ่ายไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรกับตระกูลเจิ้งเลยสักกระผีก

มีเพียงในสังคมที่จ้าวอีอีอยู่เท่านั้นจึงจะเข้าใจว่ารูปถ่ายประเภทนั้นเอาไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง

ดูคล้ายว่าจ้าวอีอีจะรู้แล้วว่าใครเป็นประชาสัมพันธ์ให้ห่าวชิว

แต่สวี่รุ่ยคิดไม่ถึงว่าจ้าวอีอีจะมักง่ายและหัวรุนแรงยิ่งกว่าเธอซะอีก

คังซูเสียนเห็นสวี่รุ่ยครุ่นคิดอย่างหนักพักหนึ่งจนคิ้วชนกันจึงถาม “เธอคิดออกแล้วใช่ไหมว่าใคร”

สวี่รุ่ยพยักหน้า แล้วเล่าเหตุการณ์ก่อนนี้คร่าวๆ โดยไม่ปิดบังว่าจ้าวอีอีใส่ร้ายป้ายสีเธออย่างไร และเธอตอบโต้อีกฝ่ายผ่านทางบริษัทประชาสัมพันธ์ด้วยวิธีไหน

คังซูเสียนฟังจบพลันขมวดคิ้ว “ทำไมถึงไม่บอกเรื่องแบบนี้กับคนในครอบครัวล่ะ จะบุ่มบ่ามตอบโต้เขาทำไม”

เอมี่กล่าวเสียงติดจะดูแคลนอยู่บ้าง “ยายดาราเด็กนั่นรังแกคุณเพราะเห็นว่าไม่มีคนหนุนหลัง หล่อนถึงได้กล้าลงมือตามอำเภอใจ”

คังซูเสียนมองหน้าสวี่รุ่ย พลันรู้สึกตัวว่าหล่อนใช้น้ำเสียงเข้มงวดไปหน่อย จึงถอนหายใจ “น้าไม่เข้าใจจริงๆ ตากับหลานจะทะเลาะกันข้ามวันข้ามคืนได้ที่ไหน ทำไมน้าเล็กของเธอต้องปิดบังตาเรื่องที่เธอกลับไปอยู่เมือง C ด้วย เท่าที่น้าเห็น ถ้าเธอบอกเรื่องนี้กับตา หรือถ้าเธอพักอยู่กับเขาก็คงไม่มีเรื่องเลวร้ายแบบนี้เกิดขึ้น”

ตากับหลานไม่ทะเลาะกันข้ามวันข้ามคืนอะไร

เวลาสวี่รุ่ยทะเลาะกับตา วันถัดมาตาจะสั่งพี่เลี้ยงไม่ให้เอาข้าวมาให้เธอกิน เว้นแต่สวี่รุ่ยจะขอโทษและบอกว่าตัวเองทำผิดตรงไหน และจะไม่ทำแบบนี้อีก

สวี่รุ่ยไม่มีทางขอโทษ หากไม่ให้เธอกิน เธอก็ไม่กิน อดข้าวมื้อเดียวไม่ทำให้หิวตาย

เธอยังกินขนมได้ แอบขโมยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปได้ และยังแอบเข้าห้องครัวได้ ดีกว่าอาหารบนโต๊ะเป็นไหนๆ

นอกจากนี้ เรื่องที่สวี่รุ่ยไปเมือง C ยังเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เธอกลับไปอยู่กับบิดา ซึ่งทิ่มแทงจุดอ่อนของตา ทุกครั้งที่เอ่ยถึงเรื่องแม่ตัดสายสัมพันธ์กับครอบครัว ตาจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ด่าทอนิสัยและความประพฤติของพ่อและบรรพบุรุษสิบแปดชั่วโคตรแบบสาดเสียเทเสีย

หากกล่าวว่าการที่สวี่รุ่ยอยู่กับน้าชายที่ฮ่องกงโดยไม่เห็นตาอยู่ในสายตาเป็นการขีดเส้นแบ่งแยก อย่างนั้นการที่สวี่รุ่ยไปหาพ่อที่เมือง C แล้วพักอาศัยที่นั่นก็เป็นการแยกตัวจากตาอย่างชัดเจน

ถ้าน้าชายพูดออกไปจริงๆ แค่ถูกด่าเปิงชุดใหญ่ยังถือว่าดี ร้ายแรงหน่อยก็ถูกตาหมายหัว ต่อไปอย่าได้หวังว่าจะอยู่อย่างสงบสุข

บนโลกใบนี้ไม่มีใครใจแคบและแค้นฝังหุ่นเท่าตาอีกแล้ว

ด้วยเหตุนี้ เวลาสวี่รุ่ยลำบากในภพที่แล้ว จึงคิดแต่จะโทร.หาน้าชาย ไม่เคยมีความคิดจะโทร.หาตาเลยสักครั้ง ขนาดหลับฝันยังคิดออกเลยว่า ช่วงที่เธอมีสภาพย่ำแย่อย่างนั้น ตาจะพูดอะไรบ้าง

การที่ตาใจดีตอนงานเลี้ยงคราวก่อน บางทีอาจแกล้งทำเป็นสงสารก็ได้

มนุษย์เราก็เป็นอย่างนี้ ถึงจะยากลำบากแต่กลับไม่ยอมก้มหัวให้ใครง่ายๆ เช่นเดียวกับพวกที่ยื่นขอกองทุนสวัสดิการสำหรับคนยากจน ก็สามารถเล่าเรื่องราวโชคร้ายที่ประสบได้อย่างไม่ติดขัด แต่กลับไม่ได้เป็นนักเรียนยากไร้จริงๆ

โชคดีที่ตลอดหลายเดือนนั้นได้รับเงินช่วยเหลือจากตระกูลลั่ว ทำให้สวี่รุ่ยผ่านพ้นมาได้

แม้ลำบากบ้าง แต่ก็ดีกว่าเมื่อก่อน ดีกว่านักเรียนยากไร้ตัวจริงมากนัก

สวี่รุ่ยเป็นคนมองโลกในแง่ดี คนอื่นอาจมองว่าเป็นการแสวงหาความสุขท่ามกลางความทุกข์ยาก ทว่าเธอกลับพึงพอใจ และไม่เคยกล่าวโทษใคร

ทว่าความเงียบงันของเธอในสายตาของคังซูเสียนเปลี่ยนเป็นความหมายอื่น

คังซูเสียนรีบอธิบาย “เธออย่าเข้าใจผิด ไม่ใช่ว่าน้าไม่เต็มใจจะให้เธออยู่ที่ฮ่องกง แต่ดูอย่างตอนนี้ พอเธอเกิดเรื่องที่แผ่นดินใหญ่ น้าก็ไปช่วยเธอลำบาก”

เอมี่พูดบ้าง “ใช่ค่ะ กลับกันถ้าเป็นนักแสดงฮ่องกง เราจัดการได้ง่ายมาก”

สวี่รุ่ยรู้ว่าคังซูเสียนร้อนตัว แม้หล่อนจะไม่พอใจที่เธออยู่ฮ่องกงนาน แต่หล่อนไม่มีทางพูดตรงๆ ยิ่งกว่านั้น หล่อนก็พูดไม่ผิด จ้าวอีอีทำงานอยู่ที่แผ่นดินใหญ่ ลำบากที่จะช่วยอย่างที่บอกจริงๆ

ถึงจะยากเย็น แต่คังซูเสียนก็ยังเอ่ย “ถ้าเธอไม่อยากบอกตา น้าจะไปดื่มน้ำชากับพวกคุณนายไฮโซทั้งหลาย แล้วลองคิดหาวิธีอื่น แต่อาจลำบากหน่อย”

“ขอบคุณค่ะน้า แต่ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้นหรอกค่ะ”

สวี่รุ่ยซาบซึ้งในความเมตตาของหล่อนอักโข ความจริงพอจัดการเรื่องรูปถ่ายเรียบร้อยแล้ว เรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับจู้อวิ๋นอวิ๋นสักเท่าไร ที่เหลือก็เป็นเรื่องของเธอคนเดียวแล้ว

คังซูเสียนชะงัก “เธอจะขอบคุณอะไรน้า จะให้น้ามองเธอถูกเปิดโปงเรื่องอื้อฉาวได้ยังไง”

สวี่รุ่ยเม้มปาก “ตอนนี้รูปถูกเก็บกวาดหมดแล้ว หล่อนจับจุดอ่อนอะไรไม่ได้อีก ยังจะเปิดเผยข่าวอื้อฉาวได้อีกเหรอคะ”

เอมี่ยิ้ม “เชอร์รี คุณเป็นคุณหนู ไม่รู้หรอกว่าวงการนี้วุ่นวายแค่ไหน ไม่กี่วันก่อนมีนางเอกสองคนตบกันเพื่อแย่งบทละครตัวหนึ่ง ตบกันจริงๆ นะคะ ขนาดหน้าเป็นรอยแดงยังมีคนหนึ่งเป็นฝ่าย ‘เสนอตัว’ ให้ผู้กำกับก่อนเลย…”

คังซูเสียนส่ายหน้า “เธอพูดเรื่องพวกนี้กับเชอร์รีทำไม ฝั่งแผ่นดินใหญ่อาจไม่เละเทะขนาดนั้นก็ได้”

เอมี่ยักไหล่ “ใครจะไปรู้ล่ะคะ ป้องกันไว้หน่อยไม่เห็นจะเป็นอะไร และใช่ค่ะ แค่คุณจู้พูดสักคำ เชอร์รีก็ไม่จำเป็นต้องกังวลถึงเรื่องหยุมหยิมพวกนี้อีก”

สวี่รุ่ยยังไม่อยากไปขอร้องตา อีกอย่าง ทันทีที่เธอพูดก็จะเปิดเผยว่าเธอไปหาบิดาที่เมือง C และตอนนี้อยู่กับย่า

มีปัญหาเยอะแยะ

ดูจากตอนคุยโทรศัพท์กันครั้งก่อน ตาไม่มีท่าทางเหมือนคนป่วยสักนิด แค่นี้ก็พอแล้ว ถ้าเขาเข้ามายุ่ง เธอจะต้องถูกควบคุมจนขยับตัวไม่ได้แน่ หากคุยกันมากเข้าเดี๋ยวก็ได้ทะเลาะกันใหญ่โตอีก

ให้เป็นแบบนี้ดีกว่า ทำดีต่อกันอย่างห่างๆ เหมือนชาติก่อนก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ

กระทั่งเงินค่าขนมหนึ่งล้านนั่น สวี่รุ่ยก็คิดจะคืนให้ ทว่าถ้าทำเช่นนั้น ตาจะต้องโมโหมากแน่ แม้เธอจะอยากเห็นตาเต้นเร่าๆ ด้วยความกรุ่นโกรธ แต่พอคิดถึงปฏิกิริยาของตาคืนนั้นเลยพับเก็บความคิดนี้ไป

บางทีตาหลานอาจไม่โกรธกันข้ามวันข้ามคืนก็เป็นได้

แต่ถึงอย่างนั้นเธอกับตาก็ควรอยู่ห่างกันหน่อยน่าจะดีกว่า แค่ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันเป็นครั้งคราวยังพอจะหาข้อดีของกันและกันได้ เหมือนตอนงานเลี้ยงที่ทำให้เธอซาบซึ้งอยู่บ้าง

สวี่รุ่ยไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ หลังกินอาหารเย็นที่บ้านตระกูลจู้เสร็จ คนรับใช้ก็จัดเก็บสินค้าที่เธอซื้อทุกชิ้นจนเสร็จเรียบร้อย ถูกบรรจุแน่นเอี้ยดในกล่องหลายใบ โชคดีที่เป็นที่นั่งโดยสารชั้นหนึ่ง ไม่งั้นน้ำหนักต้องเกินแน่

 

เมื่อกลับจากฮ่องกงมาถึงเมือง C สวี่รุ่ยก็เริ่มส่งของขวัญคริสต์มาส หลายคนในบ้านรวมถึงเพื่อนบ้านล้วนได้รับกันทั่วหน้า

แม้ได้สวี่รุ่ยกับเซี่ยซือหย่าช่วยพูดคุยกับเพื่อนบ้านให้ ทว่าหลังจากม่ายซือเยี่ยนไปโรงเรียน ต่อให้จี้จวี๋ฟางจะเล่นไพ่กับเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ๆ หลายครั้งหลายหน แต่หล่อนก็ยังไม่ชิน กลับชอบไปเต้นออกกำลังกายที่ลานกว้างมากกว่า ดังนั้นหล่อนจึงทำงานอยู่แต่ในบ้าน หรือไม่ก็อ่านหนังสือสองสามเล่ม

สวี่รุ่ยดูออกว่าย่าเบื่อ จึงเสนอความคิด “เมื่อก่อนย่าเคยพูดไม่ใช่เหรอคะว่าสวนผลไม้ของอาดีมากๆ แถมบ่อน้ำก็มีเป็ดเยอะ เอามาเชือดกินสักตัวยังช่วยให้กระปรี้กระเปร่า…ทำไมย่าไม่ลองไปอยู่กับอาสักพักล่ะคะ จะได้มีญาติๆ และคนรู้จักเป็นเพื่อนคุย”

จี้จวี๋ฟางรู้สึกว่าตั้งแต่หลานสาวเรียนชั้นมัธยมปลาย นับวันก็ยิ่งช่างคิดและช่างเอาใจ หล่อนคลี่ยิ้มโดยไม่รู้ตัว

หล่อนแตะมือสวี่รุ่ยเบาๆ “ปกติพวกเราไม่ได้ไปมาหาสู่กันมากนัก จู่ๆ จะให้ไปอยู่ด้วยคงไม่ดีเท่าไหร่ หลานไม่ต้องห่วงย่า ย่าเดินเล่นแถวๆ นี้ตอนไม่มีอะไรทำก็ดีเหมือนกัน สภาพแวดล้อมของที่นี่ดีมาก”

สวี่รุ่ยทำหน้าทะเล้น “หนูบอกว่าจะเลี้ยงสุนัขตัวใหญ่สักตัวไว้ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนย่า ย่าก็กลัว ข้างนอกมีคนจูงสุนัขจูงแมวตั้งเยอะ กลัวแต่ว่าย่าจะไม่กล้าออกไปบ่อยๆ น่ะสิคะ”

จี้จวี๋ฟางหัวเราะคล้ายกับคำพูดหลานแทงใจดำ

จู่ๆ สวี่รุ่ยก็นึกถึงเรื่องเมื่อชาติก่อน หลังย่าทำงานหนักเพราะเธอจนล้มป่วย สุขภาพร่างกายก็แย่ลงกว่าเดิมมาก คุณภาพชีวิตยิ่งพูดได้ไม่เต็มปากว่าดี ทำให้เธอละอายใจมาโดยตลอด พอกลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง สวี่รุ่ยย่อมอยากให้จี้จวี๋ฟางใช้ชีวิตอย่างอิสระและมีความสุข

“เอาละ ย่าไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ ครั้งก่อนตอนพี่เสียวหม่าพาย่ากลับบ้านเกิด พวกเขาไม่ต้อนรับย่าเหรอคะ”

“ไม่ใช่ คนบ้านนอกอย่างพวกเราอัธยาศัยดีจะตาย”

“งั้นก็ดีแล้วนี่คะ คราวนี้ย่าเอาของขวัญไปให้มากหน่อย ถือเป็นการไปเยี่ยมญาติๆ และฉวยโอกาสพักด้วยสักหลายวัน พอเบื่อแล้วหนูค่อยไปรับย่ากลับมา ไม่ได้ไกลเลย สะดวกออกค่ะ”

“ไกลก็ไม่ไกลหรอก”

จี้จวี๋ฟางสองจิตสองใจ ถึงปากจะพูดว่าเป็นชนบท แต่ความจริงแล้วเป็นบ้านเกิดที่อยู่นอกเมือง ไม่ไกลมากอย่างที่พูด

อีกอย่าง ตอนปู่ของสวี่รุ่ยยังมีชีวิตอยู่ หลังพวกเขาเกษียณอายุแล้วก็เคยอาศัยอยู่ที่บ้านเกิด ที่นั่นยังมีบ้าน และรอบข้างก็เป็นคนคุ้นเคยกันดี ไปมาหาสู่กันอย่างสบายใจยิ่งกว่าที่หอพักครู

สวี่รุ่ยรู้ว่าย่าลังเลไม่กล้าตัดสินใจมาตลอด ไม่ใช่ว่าย่าไม่อยากไปสักหน่อย แม้หมู่บ้านแห่งนี้จะดีเลิศ แต่หญิงชราคนอื่นๆ ก็ใช่ว่าจะมีเรื่องคุยกับย่า

ที่แห่งนี้คือเมือง C หนึ่งในกลุ่มบ้านพักอาศัยที่ดีที่สุดและเก่าแก่ที่สุด กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ คนที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นครอบครัวเศรษฐีเก่าทั้งนั้น

สวี่รุ่ยตัดสินใจ “งั้นเอาอย่างนี้ เดี๋ยวหนูจัดการเอง หนูจะโทร.หาอา บอกว่าจะส่งย่าไปที่นั่น พอตกเย็นย่าก็จะได้กินอาหารที่บ้านสวนแล้ว!”

ทว่ากว่าจะกลับจากฮ่องกงก็เป็นวันที่ต้องไปโรงเรียนแล้ว เรื่องเหล่านี้คงทำได้แค่รอหลังเลิกเรียน

 

วันจันทร์เป็นวันคริสต์มาส บรรยากาศภายในห้องเรียนยังคงครึกครื้นไม่เปลี่ยน ริบบิ้นและโปสเตอร์คริสต์มาสที่นำมาประดับตกแต่งยังไม่ทันแกะทิ้ง สวี่รุ่ยได้รับการ์ดคริสต์มาสเป็นกอง และเธอให้ของขวัญคริสต์มาสคืนไปมากมาย

ใช่แล้วละ สินค้าปลอดภาษีบนเครื่องบินจำนวนไม่น้อยถูกนำมาใช้เพื่อการนี้ คนที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน แม้กระทั่งบิดามารดาของอีกฝ่าย เธอก็มอบของขวัญให้ด้วย โชคดีที่ตอนนี้อัปเกรดภารกิจแล้ว อัตราความถี่ในการส่งมอบของขวัญจึงเพิ่มมากกว่าเดิมนิดหน่อย

สวี่รุ่ยเริ่มโลภมาก “เมื่อไหร่ถึงจะมอบของขวัญให้คนแปลกหน้าได้ ถ้าจะให้ดีต้องไม่จำกัดจำนวนครั้ง ไม่ติดคูลดาวน์ ฉันจะเปิดเวยปั๋วจับรางวัล ต้องได้เป็นบัญชีทางการแน่ ต่อไปบัญชีผู้ใช้จะใช้จ่ายได้เป็นแสนเชียวนะ แถมโปรโมตได้ด้วย”

ระบบ 1212 ตอบโต้ “ได้คืบจะเอาศอก”

สวี่รุ่ยยักคิ้ว ต่อให้กลืนช้างทั้งตัวลงไปไม่ได้ เธอก็สามารถเป็นมดงานที่ค่อยๆ ใช้เงินเหล่านี้จนเกลี้ยง

ระบบ 1212 “แน่จริงก็เอาสิ”

สวี่รุ่ยแอบหัวเราะอย่างชั่วร้าย “เฮ้ เตรียมรับมือให้ดีเถอะ!”

เธอพูดติดตลกกับระบบในหัวได้ไม่กี่คำก็ถูกเสียงเอะอะโวยวายของเพื่อนร่วมชั้นดังขัดจังหวะ

“รุ่ยที่รัก วันคริสต์มาสเธอไม่ได้ไปงานเลี้ยงอะไรนั่นที่ฮ่องกงเหรอ สนุกหรือเปล่า จัดที่โรงแรมไหน”

“ใช่ วันคริสต์มาสฉันก็ไปฮ่องกงมาเหมือนกัน ฉันเห็น ‘งานวิ่งการกุศลโดยซานตาคลอสหนึ่งพันคน’ ด้วยนะ น่าสนใจมาก!”

“ใช่ๆ รีบเล่าให้พวกเราฟังเร็วเข้า บอสหลูเป็นพวกผลาญเงินเก่งที่สุดไม่ใช่เหรอ”

ที่แท้ตอนนี้ก็เป็นช่วงพักระหว่างคาบเรียน ทุกคนจับกลุ่มคุยกันว่าไปเที่ยวที่ไหนมาบ้างในช่วงเทศกาลคริสต์มาส พวกเขาคุยกันอย่างออกรส ย่อมไม่ปล่อยให้สวี่รุ่ยผู้มักเป็นประเด็นรอดตัวไปได้อย่างแน่นอน

มีเพื่อนร่วมชั้นโห่ร้อง “บอสหลูมีหรือจะผลาญเงินเก่งเท่าคุณหนูจู้ พวกเธอเห็นเวยปั๋วหรือยัง เมื่อเย็นวานมีประเด็นร้อนรายงานว่าสวี่รุ่ยเหมาซื้อสินค้าปลอดภาษีบนเครื่องบินทุกรายการจนเกลี้ยง!”

“ไม่หรอกมั้ง ฉันเคยเห็นแค็ตตาล็อกบนเครื่องบินเล่มนั้น มีสินค้าไม่ใช่น้อยๆ!”

“เป็นเรื่องจริง น่าเสียดายที่ตอนนี้โพสต์นั้นปลิวไปแล้ว หาไม่เจออีกเลย แต่ฉันได้อ่านคอมเมนต์อยู่นะ บังเอิญว่ามีผู้โดยสารของเที่ยวบินนั้นบอกว่าจะซื้ออะไร แอร์โฮสเตสก็แจ้งว่าหมดแล้ว จนเกือบฟ้องร้องสายการบินแล้ว”

พลันนั้นเอง ทุกสายตาก็พุ่งตรงไปยังสวี่รุ่ย

สวี่รุ่ยเอ่ยอย่างช่วยไม่ได้ “ไม่ได้เยอะขนาดนั้นสักหน่อย ฉันแค่ซื้อเพิ่มนิดๆ หน่อยๆ เอง ก็เอามาให้เป็นของขวัญคริสต์มาสไม่ใช่เหรอ ของที่พวกเธอได้รับเป็นของที่ฉันซื้อบนเครื่องบินทั้งนั้น เพราะสะดวกสบาย ฉันเลยซื้อบนเครื่องบิน”

เกิดเสียงฮือฮาในหมู่เพื่อนร่วมชั้น โชคดีที่ฐานะทางบ้านของทุกคนไม่ขัดสน ประเด็นสำคัญจึงถูกเบี่ยงเบนอย่างรวดเร็ว “เธอนี่จริงๆ เลย ฮ่องกงคือสวรรค์ของการช็อปปิง เธอไม่ช็อปปิงที่ฮ่องกง แต่กลับช็อปปิงบนเครื่องบิน ความสนุกลดลงไปตั้งเท่าไหร่!”

ขณะนั้นเองเซี่ยซือหย่าก็โผล่เข้ามาในห้องเรียน

หล่อนได้ยินคำพูดไม่กี่ประโยคนั้นจึงดึงคนที่รุมล้อมโต๊ะเรียนของหล่อนออก ก่อนบอกอย่างไม่สบอารมณ์ “เห็นกันอยู่ว่าสวี่รุ่ยไปงานเลี้ยง อีกอย่าง ยายนี่เคยอยู่ฮ่องกงจะยังช็อปปิงไม่หนำใจได้ยังไง หลบไปๆ จะเข้าเรียนแล้ว”

ทุกคนแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง สวี่รุ่ยดูออกว่าเพื่อนสนิทอารมณ์ไม่ดี จึงดึงมืออีกฝ่ายมาถาม “เป็นอะไรที่รัก ใครทำให้เธออารมณ์เสีย”

เซี่ยซือหย่าเท้าคางสีหน้าอมทุกข์ “เมื่อกี้พ่อฉันมาคุยกับครูที่โรงเรียนเรื่องที่จะให้ฉันไปเรียนต่อต่างประเทศ”

“ยังไม่ทันจบเทอมหนึ่งของมัธยมปลายปีหนึ่งเลย ทำไมจะไปต่างประเทศซะแล้วล่ะ”

สวี่รุ่ยพูดจบก็นึกขึ้นได้ว่าเพื่อนรักจะต้องไปต่างประเทศช่วงนี้จริงๆ

ช่วงเวลานี้ของภพก่อนน่าจะเป็นช่วงเวลาสุดแสนเลวร้ายสำหรับสวี่รุ่ย เซี่ยซือหย่าช่วยเธอไว้หลายครั้ง จากนั้นทางบ้านก็จัดการให้หล่อนไปต่างประเทศ ดูเหมือนว่าจะเหลืออดเหลือทนกับผลการเรียนและความประพฤติของหล่อนจึงหาโรงเรียนมัธยมที่เป็นโรงเรียนประจำแล้วส่งหล่อนไปที่นั่น

แรกเริ่มคุณแม่เซี่ยตามไปอยู่เป็นเพื่อน แต่ไม่ได้ผล ต่อมาเซี่ยซือหย่าทำได้เพียงเรียนต่อในมหาวิทยาลัยที่ไม่ดีนัก

สวี่รุ่ยทำใจไม่ค่อยได้ ทว่าดูจากสถานการณ์ของเพื่อนสนิทแล้ว ได้ไปต่างประเทศเร็วหน่อยก็ดี ไม่งั้นแม้แต่ภาษาก็จะเรียนตามไม่ทัน

เซี่ยซือหย่ายิ่งทำใจไม่ได้มากกว่า ถึงต่างประเทศจะอยู่ห่างไกล แต่แม่ตามไปอยู่ด้วยนี่มันคนละเรื่องกันเลยนะ

“เฮ้อ ฉันว่าคงทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ!”

เซี่ยซือหย่าถอนหายใจยืดยาวอีกหลายครั้งก่อนสวมกอดสวี่รุ่ยพลางร้องไห้กระซิกๆ “ไม่รู้ล่ะ ช่วงนี้เธอต้องอยู่กับฉันให้มากๆ นะ ไม่แน่ว่าหลังปีใหม่ฉันอาจต้องจากเธอไปแล้วก็ได้”

สวี่รุ่ยปลอบโยนและให้กำลังใจหล่อนพักใหญ่ ทว่าวันนี้เธอมีธุระหลังเลิกเรียนจึงทำได้เพียงจัดงานเลี้ยงกันวันพรุ่งนี้แทน

ถึงอย่างนั้นก่อนโรงเรียนเลิกก็ยังมีคนมาขอพบสวี่รุ่ย เป็นตัวแทนด้านสันทนาการของโรงเรียนชื่อเซี่ยวเซียว

หล่อนจับตัวสวี่รุ่ยไว้ไม่ยอมปล่อย ท่าทางเสแสร้งเกินจริง “เธอต้องตอบรับนะรุ่ยรุ่ย เธอจะอาศัยเกียรติของดาวห้องเรียนกับดาวโรงเรียนโดยไม่ทำอะไรเลยไม่ได้! จะไม่ทำความดีความชอบให้ห้องเรียนเลยเหรอ!”

สวี่รุ่ยถึงกับงุนงงเมื่อถูกกล่าวหาผิดๆ “เธอจะให้ฉันไประเบิดป้อมที่ไหนหรือ”

เซี่ยวเซียวโอดครวญ “ทำไมฉันต้องทำแบบนี้น่ะเหรอ ก่อนหน้านี้เคยขอร้องให้เธอแสดงละครพูดในงานปีใหม่ แต่เธอไม่ยอม ตอนหลังหวงเยียนหรันจากห้องข้างๆ ไปแทน แต่ปรากฏว่าสองวันที่แล้วยายนั่นเกิดไส้ติ่งอักเสบ ต้องเข้าผ่าตัดที่โรงพยาบาล บทจูเลียตเลยขาดคนอีกแล้ว!”

เซี่ยวเซียวพูดรัวไม่พักหายใจราวกับกลัวว่าสวี่รุ่ยจะปฏิเสธอีกครั้ง “เธอห้ามปฏิเสธ ถ้าเธอปฏิเสธก็ไม่มีใครแล้ว ฉันจะไปหาคนที่ทั้งเก่งภาษาอังกฤษและหน้าตาดีจากที่ไหนมาแทนได้อีกล่ะ”

สวี่รุ่ยหัวเราะ “หอประชุมของโรงเรียนออกจะใหญ่ปานนั้น จะเห็นได้ยังไงว่าคนบนเวทีหน้าตาดีหรือไม่ดี อย่ามาหลอกฉันหน่อยเลย”

เซี่ยวเซียวพูดประเด็นสำคัญ “ปัญหาคือต้องเก่งภาษาอังกฤษ ต้องได้มาตรฐาน ภาษาอังกฤษเยี่ยมยอด สำเนียงชัดเป๊ะ เอาละ พอเถอะ รีบบอกมาเร็วเข้าว่าเธอตกลง ยายคุณหนู!”

สวี่รุ่ยยอมแพ้ “รู้แล้วน่า งั้นจะซ้อมกับอัดเสียงเมื่อไหร่ค่อยบอกฉันอีกทีก็แล้วกัน”

“งั้นตกลงตามนี้นะ!”

เซี่ยวเซียวกอดเธอพร้อมกับหอมแก้มหนึ่งฟอดแล้ววิ่งหนีไปอย่างมีความสุข

อันที่จริงสวี่รุ่ยชอบเข้าร่วมกิจกรรมของโรงเรียนและห้องเรียนอยู่เสมอ หากโรงเรียนมีการประเมินนักกิจกรรม ต้องมีเธอเป็นหนึ่งในนั้นแน่นอน แต่ก่อนนี้ที่สวี่รุ่ยปฏิเสธไปเพราะเธอหลงใหลได้ปลื้มกับการใช้ชีวิตใต้ชายคาเดียวกับซูเปอร์สตาร์

ทว่าช่วงนี้ชีวิตการเป็นนักแสดงของห่าวชิวเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มีงานในวงการต่างๆ หลั่งไหลเข้ามามากขึ้น ด้วยกลัวว่าจะรบกวนย่าหล่อน ห่าวชิวจึงย้ายออกจากหมู่บ้านไป

แม้สวี่รุ่ยไม่อยากให้ย้ายออกก็ตาม ขณะเดียวกันก็ยินดีกับหล่อนจริงๆ ตอนนี้เธอจึงมีเวลาเหลือเฟือและเต็มใจที่จะเข้าร่วมงานเลี้ยงปีใหม่ของโรงเรียน

 

วันนี้หลังเลิกเรียน สวี่รุ่ยเดินทางไปบ้านเกิดกับย่า และได้ฟังย่าเล่าเรื่องราวมากมายในอดีตตอนอยู่บนรถ

“ย่ากับปู่ของหลานเติบโตที่หมู่บ้านชิงเฉวียน ตอนนั้นเราใช้ชีวิตลำบากมาก เงินหนึ่งเฟินยังต้องแบ่งใช้เป็นสองส่วน มีอยู่สองสามปีที่กระทั่งผลไม้ป่าบนภูเขาก็ถูกเก็บจนเกลี้ยง ทางบ้านปู่ของหลานมีฐานะดีกว่านิดหน่อย เขาแอบขโมยข้าวสารจากที่บ้านมาให้ย่ากิน กลับไปแล้วถูกตีก็ไม่ร้องสักคำ”

สวี่รุ่ยอดแปลกใจไม่ได้ “ที่แท้ย่ากับปู่ก็เป็นเหมยเขียวม้าไผ่[1]

จี้จวี๋ฟางเขินอายอยู่บ้าง ทว่าก็คิดถึงเหลือเกิน “หลานไม่เคยเจอปู่ เขาเป็นคนดีมาก คิดถึงคนอื่นก่อนตัวเองทุกเรื่อง พวกเราออกจากบ้านเกิดไปเรียนในเมืองด้วยกัน แล้วยังได้เป็นครูเหมือนกัน…ไม่ทันรู้สึกตัว เกินกว่าครึ่งของชีวิตก็ได้ผ่านไปเสียแล้ว”

หลังฟังเรื่องนี้จบ สวี่รุ่ยก็อดยักคิ้วหลิ่วตาไม่ได้ “ความรู้สึกของคนที่ได้เติบโตมาด้วยกันช่างแตกต่างออกไปจริงๆ”

จี้จวี๋ฟางเองก็คิดเช่นนั้น หล่อนทอดถอนใจเสียงแผ่วเบา “บางครั้งย่าก็คิดว่าการที่ชีวิตนี้ได้พบเจอปู่ของหลาน เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”

สวี่รุ่ยหักห้ามรอยยิ้มไว้ไม่ได้เมื่อได้ยินย่าที่มักไม่ค่อยเปิดเผยความรู้สึกพูดอย่างนี้

เทียบกับตายายแล้ว การได้รักและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันเหมือนอย่างปู่ย่านั้นช่างดีจริงๆ

บางทีการเป็นเหมยเขียวม้าไผ่อาจมีส่วนด้วยล่ะมั้ง

 

[1] หมายถึง หวานใจวัยเยาว์ หรือคู่รักที่พัฒนาความสัมพันธ์จากการเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็ก

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า