โชคลาภหมื่นล้านบันดาลรัก
天降横财一百亿
เจียงจื่อกุย 江子归 เขียน
เหวินหรง แปล
— โปรย —
เรื่องที่รู้ๆ กันอยู่สำหรับคนทั่วไปคือ
หากมีเงินและได้ใช้เงินนั้น ก็จะมีความสุข
แต่สำหรับ สวี่รุ่ย การต้องใช้เงินแต่ละหยวนในกรอบของการทดลอง
ทั้งเหนื่อย ทั้งลุ้น และแน่นอนว่ามีความสุข
ภารกิจการใช้เงินที่เธอต้องทำในแต่ละครั้งนับวันจะท้าทายขึ้นเรื่อยๆ
จำนวนเงินทะยานสู่หลักสิบล้าน
เดิมพันแต่ละครั้งยังคงเป็นชีวิตน้อยๆ ของเธอ
โชคดีที่ตอนนี้เธอมี ลั่วหาน
ซึ่งหายจากโรคภัยกลับมาแข็งแรงแล้วคอยช่วยเหลือเสมอ
ดังนั้นสวี่รุ่ยจะไม่ยอมแพ้ เธอจะใช้เงินพวกนั้นให้หมดเกลี้ยง
พิชิตทุกภารกิจเพื่อมีชีวิตรอดให้ได้!
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
82
เหตุที่สวี่รุ่ยไม่เคยถามเรื่องเหล่านี้กับตา เพราะเธอพอจะเดาเรื่องราวบางอย่างได้แล้ว
ด้วยนิสัยของตา หากไม่อยากพูด ต่อให้เธอถามก็คงไม่มีคำตอบ ถ้าถามเซ้าซี้ จะกลายเป็นสร้างความร้าวฉานระหว่างพ่อลูก แม้เธอจะคิดว่าพวกลุงไม่ใช่ลูกกตัญญูก็ตาม
แต่ทุกคนล้วนเป็นอย่างนี้ รวมถึงตัวเธอด้วย
ทุกวันนี้ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของน้าชาย
“เป็นอะไรไป ไม่พอใจที่ฉันพูดว่าร้ายลุงของเธอหรือไง”
ลั่วฉือเหลือบมองแวบหนึ่งเมื่อเห็นว่าสวี่รุ่ยไม่โต้แย้ง ท่าทางอารมณ์ไม่ค่อยดี ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าตัวเองปากมอมไปหน่อย
“ไม่ใช่ ฉันไม่รู้เรื่องที่พี่พูดหรอก ฉันถูกกักตัวอยู่ในโรงเรียนทั้งสัปดาห์” สวี่รุ่ยยิ้มตาหยี “พี่ฉือเล่าให้ฟังหน่อยสิ”
ลั่วฉือได้ยินเธอถามก็ขยายความอย่างลำบากใจ “เฮ้อ ไม่มีอะไร แค่พ่อสั่งสอนลูกชาย ฟาดจนกระบองหักไปหลายอัน ไม่ใช่เรื่องใหญ่สักหน่อย”
สวี่รุ่ยรู้ว่าเขาคิดได้แล้วว่านี่เป็นเรื่องในครอบครัวคนอื่น เธอจะซักต่อก็คงแปลกๆ ด้วยเหตุนี้จึงคลี่ยิ้มแล้วไม่พูดต่อ
การที่ตาควบคุมพวกลุงได้ถือเป็นเรื่องดี หากนอนซมอยู่บนเตียงผู้ป่วยแล้วควบคุมอะไรไม่ได้ นั่นถึงเรียกว่าเลวร้าย
ไม่รู้ว่าภพก่อนเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ยิ่งรู้มากสวี่รุ่ยยิ่งรู้สึกว่าเรื่องราวไม่ได้ธรรมดาขนาดนั้น เธอตัดสินใจว่าจะรื้อข่าวการเงินในระยะนี้มาดูอย่างละเอียด ไม่งั้นคงเป็นตาบอดคลำช้าง[1] แม้ตระกูลจู้จะไม่เกี่ยวข้องกับเธอ แต่ตาก็มีสายสัมพันธ์กับเธอ
สวี่รุ่ยเอาแต่คิดเรื่องตระกูลจู้ ทางลั่วฉือขับรถเร็วมาก ไม่นานก็มาถึงคลับส่วนตัว
ภายนอกของคลับแห่งนี้ไม่โดดเด่นสะดุดตา มีลักษณะคล้ายบ้านพักส่วนตัวมากกว่า ที่จริงมันก็เป็นอย่างนั้น
เดินเข้าไปแล้วราวกับสรวงสวรรค์ มีการจัดแบ่งพื้นที่กว้างใหญ่เกือบหนึ่งพันตารางเมตรออกเป็นสัดส่วน มีทั้งห้องจัดเลี้ยง ห้องรับแขก และดาดฟ้า ด้านในตกแต่งสไตล์จีนทันสมัยที่เรียบง่ายและดูเป็นธรรมชาติ มีกลิ่นอายโบราณหน่อยๆ ทว่าไม่ได้ละทิ้งความทันสมัย
ขณะนี้เป็นช่วงบ่ายพอดี เพื่อนคนหนึ่งของลั่วฉือนัดกลุ่มเพื่อนมาย่างบาร์บีคิวด้วยกันบนดาดฟ้าของคลับ
วันนี้แดดกำลังดี บอกให้รู้ว่าหมอกควันไม่หนามาก อุณหภูมิเริ่มอุ่นขึ้นทีละนิด เหมาะแก่การย่างบาร์บีคิว
บาร์บีคิวของที่นี่มีพ่อครัวมืออาชีพคอยดูแล และยังมีเครื่องดูดควัน ทุกคนแค่เลือกอาหารส่งให้พ่อครัว รอให้นำไปย่างอย่างพิถีพิถันสักครู่แล้วค่อยรับมากินเท่านั้น
โซนอาหารมีอาหารทะเลนานาชนิดและเนื้อวัวเนื้อแกะคุณภาพเยี่ยม นอกจากนี้ยังมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มธรรมดา รวมไปถึงขนมหวานหน้าตาน่ารับประทาน
สวี่รุ่ยไม่ได้มาที่นี่เพื่อกิน แต่มาเพื่อทำความรู้จักกับผู้คนและผูกมิตรกับเพื่อนใหม่ให้มากขึ้น
พวกเธอมาช้าไปหน่อย ทุกคนกินไปครึ่งท้องแล้ว ตอนนี้กำลังจับกลุ่มคุยกัน
คนประมาณเจ็ดแปดคนเป็นวัยรุ่นทั้งหมด ส่วนมากอยู่ในวัยยี่สิบต้นๆ ขนาดลั่วฉือยังอายุค่อนข้างน้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสวี่รุ่ยที่เด็กมากๆ มีทั้งผู้ชายและผู้หญิง ทุกคนแต่งตัวดี เฮฮาสนุกสนาน ดูก็รู้ว่าคุ้นเคยกันมาก เป็นกลุ่มลูกหลานคนรวยระดับสูงที่สนิทสนมกันกลุ่มหนึ่ง
“ลั่วฉือ นายเพิ่งมาเหรอ”
“ตอนแรกจะมาตั้งนานแล้ว ปู่น่ะสิดันลากฉันไปกินข้าวกลางวันด้วย แต่ไม่ต้องห่วง ฉันกินไปนิดเดียว ยังกินต่อได้อีก”
ลั่วฉือหัวเราะเสียงใสพลางเดินโอบไหล่สวี่รุ่ยเข้าไป บอกคนอื่นว่า “ขอแนะนำให้ทุกคนรู้จัก นี่น้องสาวของฉัน…”
ยังพูดไม่จบ เด็กหนุ่มคนหนึ่งก็หัวเราะขัดจังหวะ “อย่าเพ้อเจ้อน่า นายมีน้องสาวที่ไหนกัน”
มีคนหัวเราะอีก “อย่าบอกนะว่าเป็นน้องบุญธรรม”
“ให้มันน้อยๆ หน่อย ไม่ใช่น้องสาวแท้ๆ แต่เป็นน้องสะใภ้ของฉัน” ลั่วฉือขึงตาใส่อีกฝ่าย ก่อนพูดทีเล่นทีจริง “เป็นหลานสะใภ้ที่ปู่ของฉันเลือกมาด้วยตัวเองเชียวนะ”
สวี่รุ่ยทำตัวไม่ถูก จึงผลักเขาหนึ่งที “พี่แนะนำกันยังงี้เลยเหรอ ฉันไม่มีชื่อแซ่หรือไง”
ทุกคนพากันหยอกเย้า “ใช่ เป็นหลานสะใภ้ แต่ไม่ใช่ภรรยาของนายสักหน่อย นายจะตื่นเต้นทำไม”
“คงไม่ได้อยากเปลี่ยนจากหลานสะใภ้ให้มาเป็นภรรยาของตัวเองหรอกมั้ง”
“ฮ่าๆๆ มิน่า นายถึงไม่ชอบเจ้าหญิงเสี่ยวไต้ ที่แท้ก็มีคู่หมั้นที่ทางบ้านหมั้นหมายไว้ให้ตั้งแต่เด็กนี่เอง”
“โชคดีที่วันนี้ไต้จิงจิงไม่ได้มาด้วย ไม่งั้นต้องโดนฉีกเป็นชิ้นๆ แน่”
“พวกนายเหลวไหลน่า! ถ้ายายนั่นมาแล้วทำไม”
ลั่วฉืออารมณ์ดีจึงไม่โหวกเหวกโวยวายต่อ เขากระแอมกระไอสองทีแล้วกล่าวแนะนำ “เอาละ จะพูดเรื่องจริงแล้วนะ นี่คือสวี่รุ่ย ตาของเธอคือจู้หงเซิน ช่วงนี้ย้ายมาเรียนที่เมือง B ฝากพวกนายช่วยดูแลเธอด้วย”
พอทุกคนในที่นั้นได้ยินว่าเด็กสาวผู้มาใหม่เป็นหลานสาวของจู้หงเซินก็ไม่กล้าหยอกล้อสุ่มสี่สุ่มห้าอีก ทุกคนมีท่าทีอยากรู้อยากเห็นอย่างชัดเจน
อย่างไรซะในครอบครัวตระกูลจู้ นอกจากจู้หงเซินที่ไม่อาจเก็บตัวเงียบๆ ได้ เรื่องอื่นๆ กลับไม่ค่อยเปิดเผยให้เห็นสักเท่าไร
ทุกคนมองเด็กสาวข้างกายเพื่อนสนิทอย่างพินิจพิจารณา อายุประมาณสิบห้าสิบหกปี แววตาเป็นประกาย รอยยิ้มสดใส แต่งตัวดี ท่าทางใจกว้าง
“ผู้อาวุโสจู้มีหลานสาวสายนอกด้วยเหรอ เมื่อก่อนไม่เห็นเคยเจอ ไปอยู่ประเทศไหนมาล่ะ”
“อังกฤษรึเปล่า ตระกูลจู้ชอบไปอังกฤษ”
“ไม่แน่นะ ผู้อาวุโสจู้อาจเปลี่ยนสัญชาตินานแล้วก็ได้ คิกๆ”
“เมื่อก่อนเธออยู่ฮ่องกง ต่อมาไปอยู่เมือง C สัปดาห์ก่อนเพิ่งมาเมือง B สวี่รุ่ย คนพวกนี้เป็นเพื่อนของฉัน…” ลั่วฉือแนะนำให้สวี่รุ่ยรู้จักทีละคน ทั้งหมดเป็นลูกหลานของคนในแวดวงการเมืองและนักธุรกิจท้องถิ่น หากไม่ใช่เศรษฐีผู้มีอิทธิพลก็เป็นบุคคลชั้นสูง
สวี่รุ่ยเป็นคนเข้าสังคมเก่ง ยิ่งคนเยอะเธอยิ่งชอบ ไม่นานก็เข้ากับบรรดาเพื่อนใหม่ได้เป็นอย่างดี
ผู้คนอยู่ร่วมกันได้เพราะถูกใจกัน ลั่วฉือคบหากับคนกลุ่มนี้ย่อมมีความชอบไม่ต่างกันมาก หลายคนกำลังลงทุน เดิมพวกเขามีทรัพยากรและข้อมูลสารพัดแบบ ต่างฝ่ายต่างแลกเปลี่ยนสิ่งที่ตัวเองไม่มี เท่านี้ก็ได้โอกาสเพิ่มมามากมาย
การกระทำอย่างนี้ยังช่วยคัดกรองอีกชั้น ย่อมดีกว่าหลับหูหลับตาเป็นนางฟ้านักลงทุน แน่นอนว่าเรื่องหลักยังคงเป็นลู่ทาง
ต่อให้สวี่รุ่ยมี “คำทำนาย” ของอีกไม่กี่ปีข้างหน้า หากไม่มีลู่ทางก็ทำอะไรไม่ได้ หลังเปิดหูเปิดตากับคนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มนี้ เธอก็พอจะเข้าใจลูกเล่นใหม่ๆ บ้างแล้ว
ยกตัวอย่างเช่น โครงการเกมมือถือ พอคุยกับลั่วฉือจบ เขากลับไม่เก็บมาใส่ใจ
“ถ้าเป็นแบบที่เธอพูดจริงๆ มีศักยภาพถึงขนาดนั้น หากโดนคนมาทีหลังลอกเลียนแบบแล้วแซงหน้าไปก็ไม่เห็นต้องกลัว บางทีอาจไม่ได้มีแค่การดึงดันเพิ่มเงินลงทุนหรือการขายให้อีกฝ่ายเพียงสองวิธี แต่ยังมีอีกวิธีหนึ่ง”
สวี่รุ่ยนั่งไขว่ห้างเอนตัวพิงเก้าอี้ รอฟังความเห็นของอีกฝ่าย ทว่าเขาไม่ยอมพูดต่อ กลับตะโกน “ฟู่จิงอัน”
ฟู่จิงอันกำลังสูบบุหรี่อยู่ตรงระเบียงกับคนอื่นๆ อีกสองคน พอได้ยินลั่วฉือตะโกนเรียกก็คว้าปีกไก่ย่างเดินเข้ามาหา
เขารูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาจัดว่าหล่อเหลา ฟู่จิงอันนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งลั่วฉือ และค้อมศีรษะให้สวี่รุ่ยเล็กน้อย
“เมื่อกี้แนะนำเขาไปแล้ว แต่ไม่ได้แนะนำว่าลุงของเขาเป็นใคร”
ลั่วฉือเปิดมือถือ สักพักก็ยื่นหน้าจอให้สวี่รุ่ยดู “เธอดูเอาเองเถอะ”
มันเป็นหน้าสารานุกรม ใครบางคนของตระกูลฟู่ที่อยู่ด้านบนเป็นผู้อำนวยการที่มีอำนาจอนุมัติด้านใดสักด้าน
สวี่รุ่ยมองแวบแรกก็ยิ้ม คนคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย
ฟู่จิงอันดับบุหรี่ “โครงการอะไร ว่ามาสิ”
ลั่วฉือตบไหล่เขาเบาๆ กล่าวด้วยน้ำกลั้วหัวเราะ “เพื่อนเอ๋ย ฉันกับสวี่รุ่ยลงทุนในเกมบนมือถือที่มีศักยภาพสุดๆ อนาคตต้องดังเป็นพลุแตกแน่นอน ถ้านายลงทุนด้วยอีกคน พวกเราก็รอดแล้ว”
พูดไปพูดมาเขาก็เล่าความสำเร็จที่ผ่านมาของทีมเอเลเมนต์ให้ฟังเล็กน้อย ไหนจะความคืบหน้าในปัจจุบัน รวมถึงรูปแบบของเกม
“เอาสิ”
ฟู่จิงอันสนใจไม่น้อย เขาให้บริกรนำน้ำเย็นมาเสิร์ฟหนึ่งแก้วและดื่มสองอึกค่อยพูดต่อ “ฉันเชื่อสายตานาย ดูจากที่นายได้เงินหนึ่งร้อยแปดสิบเท่าก่อนหน้านี้ ดูโจวหยวนสิ ตอนนี้อิจฉานายจะแย่”
“หึๆๆ พูดแล้วนายอาจไม่เชื่อ คนที่บอกให้ฉันถอนตัวคือน้องสาวของฉัน เพราะฉันเชื่อเธอถึงได้หัวเราะทีหลังดังกว่า”
ลั่วฉือไม่คิดปิดบัง เขายิ้มระรื่นพร้อมดึงมือสวี่รุ่ยที่อยู่ข้างกัน ทำมือเป็นสัญลักษณ์วิกตอรี การสู้รบในสมรภูมินี้น่าพึงพอใจมาก
“เธอเก่งเหมือนกันนะ คนมีความสามารถไม่เปิดเผยตัวตนต่อสาธารณชน”
ฟู่จิงอันเลิกคิ้วพลางมองสวี่รุ่ย การที่เขาไม่ประหลาดใจมากนัก อาจเพราะเข้าใจว่าเธอมีจู้ซื่อกรุ๊ปคอยหนุนหลัง การมีคนเก่งๆ คอยคิดแผนให้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เขาถามยิ้มๆ “ทำเกมไปถึงไหนแล้ว ฉันต้องขอดูตัวทดลองก่อน ถ้าน่าสนใจ ฉันลงทุนด้วยแน่นอน”
อย่างน้อยก็ขอดูตัวทดลองก่อน ไม่ใช่จะร่วมลงทุนเพียงเพราะคำพูดประโยคเดียวของเพื่อนสนิท ลูกหลานคนรวยกลุ่มนี้น่าเชื่อถือกว่าที่สวี่รุ่ยคิดไว้มาก
รอจนฟู่จิงอันเดินไปหยิบของกิน สวี่รุ่ยก็ยิ้มพลางหันมองลั่วฉือ “พี่เชื่อที่ฉันบอกว่าในอนาคตมันจะดังระเบิดจริงๆ เหรอ เกิดทำออกมาแล้วไร้ประสิทธิภาพ หรือปล่อยออกมาแล้วโดนวิพากษ์วิจารณ์เละจะทำยังไง”
ลั่วฉือชำเลืองมองเธอ “ฉันอาจไม่เชื่อที่คนอื่นพูด แต่ถ้าเธอพูด ฉันตัดสินใจว่าต่อจากนี้จะเชื่อทุกอย่าง”
สวี่รุ่ยชะงัก “ทำไมล่ะคะ”
“ฉันถอนตัวจากถวนถวนดอตคอมได้ทันเวลาพอดี เธอต้องมีสายตาแบบไหนกัน มีตาทิพย์เหรอ”
“บอกแล้วไงว่าฉันมีครูสองคน…”
“หยุดเลย อยู่ไหนล่ะ พามาให้ฉันดูหน่อย”
“ทำไมพี่ถึงมั่นใจนักว่าฉันไม่มี”
สวี่รุ่ยแปลกใจ ความคิดนี้ของลั่วฉือชักจะหนักแน่นมั่นคงเกินไปแล้ว
ลั่วฉือมองเธอแวบหนึ่งด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น “เธอคิดว่าการที่ปู่ของฉันคัดเลือกหลานสะใภ้สักคน ถึงจะตรวจสอบญาติพี่น้องสิบแปดชั่วอายุคนไม่ได้ แต่สำหรับเธอ ก็รู้ถึงสิบเจ็ดชั่วอายุคน คงแค่อยากรู้ว่าเธอกับลั่วหานพัฒนาไปถึงขั้นไหนกันแล้วน่ะ”
“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่”
สวี่รุ่ยเซ็งนิดหน่อย ทำไมคนรุ่นปู่เหล่านี้ถึงตรวจสอบเธออย่างไม่ทราบสาเหตุกันนะ
โชคดีที่ปกติสวี่รุ่ยทิ้งจุดอ่อนไว้ไม่มาก ไม่งั้นโดนตรวจสอบแบบนี้ คงไม่เจอแค่เรื่องที่เธอไม่มีครูอะไรทั้งนั้นหรอก
นี่แสดงให้เห็นว่าต่อไปต้องระวังตัวให้มากกว่าเดิม
สำหรับพวกผู้อาวุโสเหล่านั้น ในโลกนี้ไม่มีเรื่องไหนปกปิดไว้ได้ นี่ยังถือว่าไม่มีเจตนาร้าย ถ้ามีเจตนาร้าย ต่อให้เธอตายคงไม่รู้ว่าตัวเองตายอย่างไร
ลั่วฉือค่อนข้างสงสัย “จะว่าไป ฉันเชื่อนะว่าเธอมีพรสวรรค์ด้านการมอง แต่กลวิธีแต่ละอย่างพวกนั้น เธอเรียนรู้มาจากใคร”
สวี่รุ่ยทำหน้าตาย “อ้อ ลั่วหานแนะนำผู้อาวุโสของสถาบันการเงินเพื่อการลงทุนให้คนหนึ่ง เขาสอนฉันทางออนไลน์…”
ลั่วฉือพยักหน้า “มิน่าล่ะ โอ๊ะ ไม่ถูกสิ ทำไมเธอกับลั่วหานถึงดีต่อกันขนาดนี้ ว่ากันตามหลักเหตุผล เขากลับประเทศเฉพาะช่วงปิดเทอมฤดูร้อน ตอนเด็กๆ ฉันอยู่ที่เมือง S ทุกวัน ควรได้เป็นเหมยเขียวม้าไผ่กับเธอมากกว่าเขาสิ”
สวี่รุ่ยหลุดขำ “พี่ฉือคะ พี่แก่กว่าฉันตั้งสามสี่ปี ยังจะเป็นเหมยเขียวม้าไผ่ได้เหรอ”
“เหลวไหล!” ลั่วฉือไม่พอใจ ฮึดฮัดพลางจีบมือแล้วเอ่ยว่า “ฉันเป็นหนุ่มหล่อ แก่ตรงไหนไม่ทราบ เธอต่างหากที่ยังเด็กเกินไป”
สวี่รุ่ยหัวเราะจนเกือบพ่นเครื่องดื่มใส่หน้าเขา
งานเลี้ยงกินเวลาไม่นาน ทุกคนกินดื่มและพูดคุยกันพอหอมปากหอมคอก็พากันแยกย้าย
สวี่รุ่ยไม่เพียงได้รู้จักเพื่อนใหม่ แต่ยังได้ช่องทางใหม่ๆ ด้วย เธอจึงอารมณ์ดีมาก หลังงานเลี้ยงจบลง ตอนแรกเธอจะโทร.ไปบอกที่บ้านให้มารับ ทว่าทุกคนแยกย้ายกันไปหมดแล้ว ให้เธอรออยู่คนเดียวก็เหงาแย่
ด้วยเหตุนี้สวี่รุ่ยจึงโทร.ไปแจ้งว่าจะให้ลั่วฉือไปส่ง
ลั่วฉือไหลตามน้ำ “ฉันพามาก็ต้องพากลับ มาๆๆ รีบขึ้นรถ”
สวี่รุ่ยเพิ่งหย่อนก้นลงนั่ง สตาร์ตรถสปอร์ตได้ไม่ทันไร ในหัวของเธอบังเกิดเสียง “ติ๊ง” และเสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น
ระบบ 1212 “วันนี้อากาศแจ่มใส เหมาะแก่การช็อปปิง”
สวี่รุ่ยยืดตัวตรงทันควัน “มีอะไรก็บอกมาตามตรงเถอะพี่ใหญ่ ฉันพร้อมเสมอ”
ระบบ 1212 “รู้ตัวอีกทีโฮสต์ก็ทำภารกิจหลักสำเร็จยี่สิบครั้งแล้ว ระบบแค่อยากขอบคุณที่เข้าร่วมการทดลองอย่างเต็มกำลัง และให้การสนับสนุนอย่างแข็งขัน”
สวี่รุ่ยไม่คิดว่าระบบจะพูดไร้สาระ “ถ้าอยากขอบคุณ แค่พูดประเด็นสำคัญตามตรงก็พอ!”
ระบบ 1212 “ด้วยเหตุนี้ระบบทดลองจะมอบเงินเป็นขวัญกำลังใจ เงินทุนของภารกิจประจำวันวันนี้จะเพิ่มขึ้นหนึ่งร้อยเท่า”
สวี่รุ่ยคำนวณแล้วถือว่าเป็นเรื่องที่ดี “สามหมื่นหยวนต่อวัน เพิ่มขึ้นหนึ่งร้อยเท่าก็เป็นสามล้านเหรอ”
ระบบ 1212 “ระบบลืมบอกคุณว่าวันนี้ครบหนึ่งสัปดาห์หลังภารกิจสายฟ้าแลบ เงินทุนของภารกิจประจำวันจะเพิ่มเป็นสี่หมื่น”
สวี่รุ่ยตาเป็นประกาย “งั้นก็สี่ล้าน เดี๋ยวนะ ฉันจำได้ว่าตอนเพิ่มเป็นหนึ่งร้อยเท่าคราวก่อน ถ้าใช้จ่ายเงินนี้หมด ทั้งหมดจะเป็นของฉัน ไม่เรียกคืนสิ่งของใช่ไหม!”
ระบบ 1212 “ถูกต้อง เหมือนคราวที่แล้ว ดังนั้น…”
สวี่รุ่ยนึกถึงประสบการณ์ในงานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่ฮ่องกงทันใด “คุณจะจำกัดเวลาและสถานที่อีกเหรอ”
ระบบ 1212 “สหายตัวน้อย โลกนี้ไม่มีของฟรี”
สวี่รุ่ยแค่นเสียงเย็นชา “ไหนเมื่อกี้คุณเพิ่งบอกว่าระบบทดลองมอบเงินเป็นขวัญกำลังใจให้”
ระบบ 1212 “โอ้ คุณจะปฏิเสธไม่รับไว้ก็ได้นะ ไม่มีภารกิจลงโทษ”
สวี่รุ่ย “…”
มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะปฏิเสธ
ปฏิเสธไม่รับเงินสี่ล้าน!
สวี่รุ่ยสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนทอดสายตามองทางแยกที่ถนนเบื้องหน้า แล้วตะโกนเสียงดัง “พี่ฉือ ไปทางนั้น ไปทางนั้น!”
ลั่วฉือหน่ายใจกับอาการหลงทิศหลงทางของเธอ “สวี่รุ่ย เธอไม่รู้หรือไงว่าบ้านตัวเองอยู่ทางไหน”
“ไม่ๆๆ ไม่กลับบ้าน!” สายตาของสวี่รุ่ยมุ่งมั่น เธอบอกอย่างไม่ลังเล “ฉันจะไปห้างสรรพสินค้า!”
[1] หมายถึง คนที่รู้ด้านเดียวหรือนัยเดียวแล้วเข้าใจว่าสิ่งนั้นเป็นอย่างนั้น