โชคลาภหมื่นล้านบันดาลรัก
天降横财一百亿
เจียงจื่อกุย 江子归 เขียน
เหวินหรง แปล
— โปรย —
เรื่องที่รู้ๆ กันอยู่สำหรับคนทั่วไปคือ
หากมีเงินและได้ใช้เงินนั้น ก็จะมีความสุข
แต่สำหรับ สวี่รุ่ย การต้องใช้เงินแต่ละหยวนในกรอบของการทดลอง
ทั้งเหนื่อย ทั้งลุ้น และแน่นอนว่ามีความสุข
ภารกิจการใช้เงินที่เธอต้องทำในแต่ละครั้งนับวันจะท้าทายขึ้นเรื่อยๆ
จำนวนเงินทะยานสู่หลักสิบล้าน
เดิมพันแต่ละครั้งยังคงเป็นชีวิตน้อยๆ ของเธอ
โชคดีที่ตอนนี้เธอมี ลั่วหาน
ซึ่งหายจากโรคภัยกลับมาแข็งแรงแล้วคอยช่วยเหลือเสมอ
ดังนั้นสวี่รุ่ยจะไม่ยอมแพ้ เธอจะใช้เงินพวกนั้นให้หมดเกลี้ยง
พิชิตทุกภารกิจเพื่อมีชีวิตรอดให้ได้!
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
84
ลั่วฉือลงมาถึงชั้นใต้ดิน และเดินไปที่รถของตัวเองได้ครึ่งทางก็พบชายในชุดสูทสามสี่คน
เมื่อมองชัดๆ แล้วค่อนข้างคุ้นหน้าคุ้นตา
นี่ไม่ใช่สามสี่คนที่เห็นในตึกจู้ซื่อกรุ๊ปหรือไง บอดีการ์ดสามสี่คนนั้นของสวี่รุ่ย
แปลกจัง ทำไมถึงอยู่ที่นี่ได้
ในขณะที่ลั่วฉือฉงน ชายในชุดสูทสามสี่คนนั้นเร่งฝีเท้ามาทางเขา
“คุณชายฉือ คุณหนูสวี่รุ่ยอยู่ที่ไหนครับ”
“เธอซื้อของอยู่ที่ชั้นหนึ่ง เอ๊ะ พวกคุณหาที่นี่เจอได้ยังไง”
“มือถือของคุณหนูสวี่รุ่ยตกอยู่บนรถของคุณชายฉือ พวกเราขอตัวขึ้นไปหาเธอก่อนนะครับ”
พูดจบบอดีการ์ดทั้งหลายก็รีบเร่งจากไป
“เฮ้ ยังไงก็เอามือถือไปด้วยสิ!”
ลั่วฉือสบถเสียงเบาเมื่อเห็นว่าพวกนั้นไม่เหลียวหลังกลับมา เขาเดินไปที่รถของตัวเองแล้วเห็นมือถือของสวี่รุ่ยตกอยู่ในรถจริงๆ
ตอนนั่งรถกลับบ้านดันเกิดอารมณ์แปรปรวนอยากช็อปปิงกะทันหัน กระทั่งมือถือยังทำหล่นไว้
ความต้องการช็อปปิงของผู้หญิงคนนี้ช่างน่ากลัว
ลั่วฉือหยิบมือถือออกมา เดินกลับไปที่ลิฟต์อีกครั้ง ระหว่างทางก็เข้าใจแจ่มแจ้งโดยพลัน
ตอนมือถือเครื่องนี้ตกอยู่ในรถ บอดีการ์ดตามมาถึงแล้ว พวกเขาสองคนอยู่ที่ร้านชาเนลแค่สิบนาทีกว่าๆ เท่านั้น ดูท่าว่าพวกนั้นคงตามมาตลอดทาง
มือถือเครื่องนี้น่าจะติดตั้งเครื่องติดตามตัวไว้
ลั่วฉือเลิกคิ้ว ปู่จู้ให้ความสำคัญกับสวี่รุ่ยรุ่ยมากพอดูเลยนะเนี่ย
สวี่รุ่ยรู้สึกว่าตัวเองช่างไร้ค่าสิ้นดี
เธอเกือบถูกกลุ่มคนเสียสติฆ่าตาย แต่หนีไปไหนไม่ได้
“แกหยุดนะ!”
“ยายมือที่สาม!”
“อ่อยแฟนชาวบ้านแล้วยังเหยียบเรือสองแคม!”
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะยอมหยุด!
สวี่รุ่ยเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดี จึงชักเท้าเตรียมวิ่งหนี
เธอกลับได้ยินเสียง “แจ้งเตือนสองร้อยเมตร” ดังขึ้นในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน จึงทำได้แค่หันกลับไปซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางวงล้อมของชาวมุง
ถุงช็อปปิงโดนเตะกระจัดกระจายอยู่บนพื้น สวี่รุ่ยคนเดียวไม่อาจสู้คนหลายคนได้ พอเห็นว่าจวนจะถูกจับตัวได้ก็อดตะโกนออกจากก้นบึ้งของหัวใจไม่ได้ “ฉันไม่ต้องการเงินปลอบใจแล้วยังไม่พอใจอีกหรือไง”
เธอโตขนาดนี้ยังไม่เคยโดนใครตบ!
ถึงเป็นเงินสี่ล้านก็ไม่เอา!
สวี่รุ่ยโซซัดโซเซ ขณะจะก้าวข้ามเส้นแจ้งเตือนก็ถูกคว้าตัวไว้ หัวใจของเธอแทบกระดอนออกมานอกอก จึงเตะทันทีแบบไม่มีสติ แต่กลับพบว่าเตะไม่โดนเป้า
เด็กสาวกลุ่มนี้มีปฏิกิริยาตอบโต้รวดเร็วเหมือนกันนะ!
สวี่รุ่ยหันกลับไปดูค่อยรู้ว่าไม่ใช่พวกสาวน้อย แต่เป็นผู้ชายตัวสูงใหญ่
“ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับคุณหนูสวี่รุ่ย”
“พวกคุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
สวี่รุ่ยดีใจเหลือเกินที่เห็นบอดีการ์ดหน้าตาคุ้นเคยตรงหน้า นี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าพวกเขามีประโยชน์สุดแสน!
เป็นอย่างที่เธอคิด บอดีการ์ดสามสี่คนเพิ่งก้าวออกจากช่องบันไดก็เห็นคุณหนูของพวกตนตกอยู่ในวงล้อมคนกลุ่มหนึ่ง
จะปล่อยให้เป็นแบบนั้นได้อย่างไร พวกเขาวิ่งรี่เข้าไปทันควัน
ถึงแม้สาวๆ มีจำนวนมากกว่าบอดีการ์ดสองคน ทว่ามืออาชีพก็คือมืออาชีพ ชั่วพริบตาเดียวก็ควบคุมตัวไว้ได้ทั้งหมด
หากบอกว่าในเหตุการณ์นี้มีใครที่เห็นทุกอย่างชัดเจนและอยู่ใกล้ที่สุดก็คงหนีไม่พ้นหยางเหล่ยที่มองละครฉากนี้ทั้งสีหน้าหลากใจ
เดิมแค่คิดว่ายายชาเขียว[1]อย่างสวี่รุ่ยโดนแฉแล้วหล่อนจะรู้สึกดีมาก นึกไม่ถึงว่าจะมีเรื่องที่ทำให้รู้สึกดียิ่งกว่านั้น…ไม่น่าเชื่อว่าสวี่รุ่ยจะแย่งแฟนชาวบ้านแล้วโดนจับได้คาหนังคาเขา! หนุ่มหล่อคนเมื่อกี้ไม่ใช่แฟนหนุ่มตัวจริงของสวี่รุ่ย!
ส่วนคนที่รู้สึกดีมากที่สุดจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากภรรยาเอกที่พาคนยกโขยงมาหาเรื่องสวี่รุ่ย
เหลยอวี่ฉือจับตัวหัวหน้าทีมไว้ได้ แต่เอาชนะเพื่อนสาวที่มีจำนวนมากกว่าไม่ได้ ดูท่าทางนั้นสิ หากไม่โดนตบสักฉาดก็ต้องโดนข่วนหน้าแหกแน่
คุณหนูตระกูลจู้ผู้ยิ่งใหญ่ถูกคนตบตีจนล้มลงไปกองกับพื้น แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว หยางเหล่ยไม่รอช้ารีบหยิบมือถือออกมาถ่ายคลิป
อันที่จริงไม่ได้มีแค่หล่อน หากเหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นกะทันหันคงมีคนถ่ายคลิปนานแล้ว แต่จะทำตอนนี้ก็ยังไม่สาย
ทว่าฝูงชนชาวมุงไม่คาดคิดว่าเรื่องสนุกที่เกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัวนี้จะจบลงอย่างไม่ทันคาดฝันเช่นกัน
เรื่องเกิดขึ้นเร็วจนตามไม่ทัน ระหว่างที่ทุกคนจะเห็นมือฟาดลงใส่หน้าสวี่รุ่ย จู่ๆ ก็มีชายในชุดสูทหลายคนวิ่งเข้ามา ตอนแรกนึกว่าเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของห้างสรรพสินค้า แต่ดูแล้วไม่น่าจะใช่ นี่เพิ่งกี่นาทีเอง จะบอกว่าเป็นสายตรวจก็ไม่น่าจะมาถึงไวขนาดนี้
สิ่งที่ไม่เหมือนคือทักษะของชายชุดสูทเหล่านี้คล่องแคล่วว่องไวเกินไป เรียกได้ว่าเคยผ่านการฝึกฝนอย่างดี ทั้งยังมีประสบการณ์โชกโชน!
ทุกคนยังไม่ทันปะติดปะต่อเรื่องราว เหตุการณ์จับบ้านเล็กของสาวๆ ก็โดนกดปุ่มหยุดไปโดยปริยาย เด็กสาวประมาณหกเจ็ดคน โดนหนุ่มหล่อสวมหมวกแก๊ปจับตัวไว้ได้หนึ่งคน ส่วนชายชุดสูทสามคนจับตัวเด็กสาวไว้ได้หกคน นอกจากนี้ยังมีชายชุดสูทอีกหนึ่งคอยประคอง “มือที่สาม” ซึ่งเกือบโดนตบจนล้มลงไว้
ดูจากท่าทางเคารพนบนอบที่ชายชุดสูทร่างกายแข็งแรงกำยำมีต่อเธอแล้ว ที่แท้ก็ไม่ได้เป็นพนักงานรักษาความปลอดภัย แต่เป็นบอดีการ์ดของ “มือที่สาม”
เวลานี้ ขามุงทั้งหลายจึงพบว่าการแต่งกายของสาวน้อยคนนี้ไม่ค่อยเหมือนพวกแย่งแฟนชาวบ้านสักเท่าไร ไม่เพียงไม่เย้ายวนใจ ตรงกันข้ามเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายกลับออกแนวเท่นิดๆ แถมตั้งแต่หัวจรดเท้าก็ไม่ใช่ของราคาถูก
กลุ่มคนที่สายตายังดีดูออกว่าแจ็กเก็ตหนังปักหมุดโลหะบนตัวเธอเป็นสินค้าใหม่ในฤดูกาลนี้ของแม็กควีนซึ่งยังไม่วางขายในประเทศ กระเป๋าในมือใบนั้นเป็นชาเนล บอย “มือที่สาม” จะมีบอดีการ์ดแบบนี้ได้อย่างไรกัน
ทว่าทุกคนค้นพบอีกว่าคนกลุ่มนี้ดูเหมือนจะแต่งกายด้วยของ “ราคาแพง” กันทุกคน
โอ ที่แท้ก็เป็นการมีปากเสียงกันใหญ่โตของพวกคนรวย น่าเสียดายที่จบเร็วไปหน่อย…เสียที่ไหนล่ะ!
สถานการณ์ในที่เกิดเหตุเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง หลังบอดีการ์ดสี่คนปรากฏตัวก็มีชายหนุ่มอีกคนหนึ่งมาร่วมวงด้วย มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นหนุ่มหล่อรวย
ทันทีที่หนุ่มหล่อรวยมาถึง “ภรรยาเอก” ในตอนแรกพลันเดือดพล่าน เพื่อนสาวคนอื่นยิ่งตะโกนด่าทอว่า “ผู้ชายสารเลว” กันยกใหญ่
ฉากนี้ทำให้ทุกคนรับรู้ว่า นี่เป็นพระเอกที่ถูกจับได้ว่าคบซ้อน
มีเรื่องสนุกให้ชมอีกแล้ว!
หยางเหล่ยยิ่งจำได้ทันทีที่เห็น หนุ่มหล่อคนนี้คือชายที่ก่อนหน้านี้มีท่าทางใกล้ชิดสนิทสนมกับสวี่รุ่ย คิดไม่ถึงว่าไปแล้วยังย้อนกลับมาอีก ละครเรื่องนี้ชักน่าสนุก หล่อนอดกดถ่ายคลิปไม่ได้ และรอให้พี่อวี่เห็นธาตุแท้ของสวี่รุ่ยแทบทนไม่ไหว ช่างน่าอับอายและน่ารังเกียจจริงๆ
หากไม่เพราะบอดีการ์ดมาทันเวลา สวี่รุ่ยคงอับอายขายหน้าต่อหน้าทุกคนนานแล้ว
ทว่าตอนนี้ก็ยังไม่สาย
แต่สำหรับลั่วฉือกลับสายไปแล้ว ตอนเดินออกจากลิฟต์ เขาไม่คิดไม่ฝันว่าจะเจอเหตุการณ์อย่างนี้
ไต้จิงจิงกับผู้หญิงกลุ่มนั้นโผล่มาได้ยังไง
แถมยังถูกบอดีการ์ดของสวี่รุ่ยควบคุมตัวไว้อีก
ไม่นานลั่วฉือก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เนื่องจากเขาโดนด่าว่า “ผู้ชายสารเลว” “ควงนางแบบสาว” แถมพวกหล่อนยังชี้ไปทางสวี่รุ่ยพร้อมกับด่าทอว่าเป็น “มือที่สาม”
ควงนางแบบสาวยังไม่เท่าไร แต่เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับสวี่รุ่ยด้วย
“นายคืนดีกับจิงจิงแล้ว ถ้าแอบคบกันก็ช่างเถอะ นี่กลับเปิดเผย! กลัวคนเขาไม่รู้หรือไง!”
“ใช่! รีบบอกให้คนของนายปล่อยพวกเราเดี๋ยวนี้!”
“พวกเราเจ็บนะ! ปล่อยเดี๋ยวนี้!”
เจอกลุ่มเด็กสาวส่งเสียงเอะอะโวยวายแบบนี้ ทำเอาสวี่รุ่ยหัวเสียสุดๆ เธอช็อปปิงอยู่ดีๆ ก็ซวยทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรผิด
ระบบ 1212 [หนึ่งร้อยเจ็ดสิบนาทีสุดท้าย]
แม้อยู่ระหว่างการนับเวลาถอยหลัง สวี่รุ่ยก็ระงับอารมณ์โมโหนี้ไม่ไหวจริงๆ ถึงเธอไม่โดนตบ แต่ก็ตกใจเปล่าๆ ยิ่งกว่านั้นยังมีคนมากมายเข้าใจว่าเป็น “มือที่สาม”
นี่น่าโมโหยิ่งกว่าตอนโดนสาวผมทองขังไว้ในห้องน้ำปีที่แล้วซะอีก
สวี่รุ่ยหน้างอพลางพูดทีละคำพร้อมมองหน้าพวกหล่อน “ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับลั่วฉือทั้งนั้น ถ้าพวกเธออยากไปก็ต้องขอโทษฉันก่อน”
ท่าทางนี้ในสายตาเพื่อนของไต้จิงจิงเรียกได้ว่าเย่อหยิ่งที่สุด เป็นแค่นางแบบแย่งแฟนชาวบ้านยังคิดจะให้พวกหล่อนขอโทษยังงั้นเหรอ
“แกเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรมาบอกให้พวกเราขอโทษ!”
“อย่าคิดว่าแต่งตัวดีแล้วจะเชิดหน้าชูคอได้นะ ออกจากห้างสรรพสินค้าไป ลั่วฉือก็ปกป้องแกไม่ได้!”
“แกรู้หรือเปล่าว่าพวกเราเป็นใคร!”
“แกอ่อยแฟนชาวบ้าน ยังมีหน้า…”
“พวกเธอเป็นบ้าเหรอ เสียสติกันไปหมดแล้วหรือไง”
ลั่วฉือดึงตัวสวี่รุ่ยออกห่างพลางตวัดตามองพวกคนน่ารังเกียจกลุ่มนี้ และพูดอย่างไม่ไว้หน้า “คนโรคจิตอย่างไต้จิงจิงให้ฟรีฉันยังไม่เอา แล้วฉันจะยอมเป็นแฟนงั้นเหรอ ฉันตาบอดหรือสมองทึบ พวกเธอกลับไปแล้วเตือนกันหน่อยนะว่าอย่ามายุ่งวุ่นวายกับชีวิตฉันอีก ฉันต้องคอยหลบหน้าหล่อนตลอดเวลา คิดว่าฉันไม่ลำบากเหรอ
“ฉันปฏิเสธไปสามครั้งแล้วโว้ย นี่ถ้าไม่เพราะเห็นแก่หน้าย่า ฉันคงส่งคนไปจัดการนานแล้ว อีกอย่างนะ ไต้จิงจิงเสียสติ พวกเธอก็เสียสติตามไปด้วยเหรอ จะหยุดกันได้หรือยัง”
พูดชัดเจนขนาดนี้ กลุ่มเพื่อนสาวล้วนมีสีหน้าต่างกัน และเพิ่งตระหนักว่าตัวเองทำเรื่องโง่ๆ ลงไป
พวกหล่อนจะคิดได้อย่างไรว่าไต้จิงจิงยังไม่ได้เป็นอะไรกับเขาทั้งนั้น!
พวกหล่อนคิดว่าได้ตบมือที่สามเป็นการผดุงความเป็นธรรมแทนสวรรค์
นี่เป็นการเข้าใจผิดกันชัดๆ
ในเมื่อเป็นการเข้าใจผิด ธงแห่งความยุติธรรมที่แบกไว้บนบ่าคราแรกก็มลายสิ้น ยามปกติก็เป็นลูกหลานคนรวยกับลูกหลานนักการเมืองที่ประพฤติตัวเหมาะสม แน่นอนว่ามีเกียรติที่ต้องรักษา เมื่อกี้แค่หุนหันพลันแล่น นึกว่ากำลังแสดงละคร
พวกหล่อนใจเย็นลงเมื่อรู้ความจริง อีกทั้งบอดีการ์ดยังจับตัวไว้มือละคน ยังมีคนในห้างสรรพสินค้าต่างจับตามอง มีหรือจะไม่อาย แทบอยากแทรกแผ่นดินหนีไปเดี๋ยวนี้เลย
แทรกแผ่นดินคงไม่ได้ ทว่ารีบออกจากสถานที่เกิดเหตุตอนนี้ยังทัน
ด้วยเหตุนี้พวกสาวๆ จึงเปลี่ยนท่าที พวกหล่อนก้มหน้าพลางส่งเสียงอู้อี้ “ขอโทษ”
สวี่รุ่ยพูดเสียงเย็นชา “พวกเธอพูดดังๆ หน่อย บอดีการ์ดของฉันไม่ได้ยิน”
กลุ่มสาวๆ คิดไม่ถึงว่าคนพวกนี้จะเป็นบอดีการ์ดของสวี่รุ่ย
พวกหล่อนอับอายมาก ไม่มีใครอยากอยู่ตรงนี้ให้คนมุงดู จำต้องเพิ่มระดับเสียงให้ดังขึ้น “ขอโทษ!”
สวี่รุ่ยถามต่อ “ขอโทษเรื่องอะไร”
สาวๆ ทั้งหลายเคยต้องทนรับอารมณ์อย่างนี้เสียที่ไหน แต่บอดีการ์ดจับตัวไว้จนขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้ แถมยังมีสายตาอีกหลายคู่จับจ้อง
พวกหล่อนสบตากันและพากันเอ่ยว่า “ขอโทษ พวกเราเข้าใจเธอผิด”
ประโยคนี้ดังต่อกันเป็นทอดๆ ไม่เฉพาะสวี่รุ่ย ชาวมุงที่รุมล้อมอยู่ก็ได้ยินเช่นกัน
เวลานี้บอดีการ์ดถึงได้ปล่อยมือ พวกหล่อนรีบหิ้วกระเป๋าเดินฉับๆ หลบออกจากฝูงชนไปทีละคน เปิดฉากหนีอย่างรวดเร็ว
หลายคนยังเหลียวกลับไปถลึงตาใส่ไต้จิงจิงผู้เป็น “คนก่อเรื่อง”
ทั้งหมดเป็นความผิดของหล่อน!
ทั้งหมดเป็นเพราะหล่อนก่อเรื่อง!
ไต้จิงจิงไม่ได้ถูกบอดีการ์ดจับตัวไว้ ย่อมไม่ได้รับอิสระคืนมาหลังเอ่ยคำขอโทษ ยิ่งหล่อนได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นของลั่วฉือก็พาลโกรธจนหน้าแดงก่ำ ในดวงตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชัง อยากตบยายนางแบบคนนี้แรงๆ สักฉาด
ดูท่าทางเคร่งเครียดของลั่วฉือนั่นสิ!
ไต้จิงจิงเดือดเป็นฟืนเป็นไฟยังงี้ เหลยอวี่ฉือย่อมรู้สึกได้ เขาจึงจับตัวหล่อนไว้แน่นกว่าเดิม หากไม่ระวังให้ดีหล่อนต้องกระโจนเข้าไปตบตีสวี่รุ่ยเป็นแน่
ในใจหยางเหล่ยหงุดหงิดเมื่อไม่ได้ชมละครสนุกๆ สวี่รุ่ยไม่ได้รับบาดเจ็บแม้เพียงปลายก้อย และเหล่ยอวี่ฉือก็ยังจับตัวคนไว้แน่นถึงขนาดนั้น “พี่อวี่ แฟนเขามาแล้ว พี่ยังจะจับเธอไว้ทำไม ปล่อยให้พวกเขาจัดการกันเองเถอะ”
เหลยอวี่ฉือเงียบพลางเม้มริมฝีปากแน่น
สวี่รุ่ยกับลั่วฉือพลันเดินเข้ามาในช่วงเวลานั้นเอง
ลั่วฉือเดินไปหาไต้จิงจิง เขาเหลือบมองเหลยอวี่ฉือแวบหนึ่ง เหลยอวี่ฉือก็มองเขาด้วยแววตาขุ่นเคืองเช่นกัน
เขาเอ่ยเสียงถากถาง “ถ้าฉันเป็นนาย จะไม่รอให้เกิดเรื่องแล้วค่อยตามล้างตามเช็ดหรอกนะ”
เดิมลั่วฉือโกรธจัด จู่ๆ โดนด่าอีกรอบก็ยิ่งไม่พอใจ “นายเป็นใคร นี่เป็นเรื่องที่ต้องตามล้างตามเช็ดเหรอ ฉันเป็นผู้ถูกกระทำเหมือนกันนะ”
“ถ้านายไม่หว่านเสน่ห์ไปทั่ว จะเกิดเรื่องอย่างนี้หรือเปล่าล่ะ”
“ถึงฉันหว่านเสน่ห์ ก็ไม่มีวันหว่านเสน่ห์ใส่ยายโรคจิตนี่หรอก”
“ลั่วฉือ นายว่าใครโรคจิต!”
ไต้จิงจิงโกรธจนตัวสั่น บรรยากาศเริ่มตึงเครียดอีกครั้ง
สวี่รุ่ยรีบดึงลั่วฉือออกมา “พอเถอะพี่ฉือ คนที่น่าสงสารที่สุดคือฉันต่างหาก จู่ๆ ก็โดนหางเลข!”
เธอมองเหลยอวี่ฉือแล้วกล่าวด้วยความซึ้งใจ “รุ่นพี่คะ วันนี้ขอบคุณที่ยื่นมือมาช่วย ฉันซาบซึ้งมาก ไว้กลับไปฉันจะเลี้ยงข้าวพี่นะคะ”
ในดวงตาของเหลยอวี่ฉือทอแววสับสนเล็กน้อย ท่าทางเหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “ระยะเวลาหนึ่งเดือนเธอยังเลี้ยงข้าวฉันไม่ครบเลย ครั้งนี้จะเลี้ยงข้าวฉันอีกนานเท่าไหร่ล่ะ”
สวี่รุ่ยยังไม่ทันอ้าปาก ลั่วฉือก็รับรู้ได้ว่าน้ำเสียงของไอ้เด็กนี่ไม่ปกติ ไม่สิ สายตาก็ไม่ปกติ
สายตาที่มองเขากับมองสวี่รุ่ยแตกต่างกันราวน้ำกับไฟ
น้องชายของเขายังอยู่ไกลถึงอีกฟากของมหาสมุทรแปซิฟิก ความสัมพันธ์ยังต้องพัฒนาต่อไป แต่พวกเขาอยู่ในรั้วโรงเรียนเดียวกัน ไม่ต้องรอให้ถึงหนึ่งเดือน มีหวังน้องชายต้องสวมหมวกเขียว[2]เป็นแน่ หรือต่อให้ไม่สวมหมวกเขียว แต่การที่มีหมวกเขียวคอยวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ก็น่ารำคาญ
ลั่วฉือขัดสวี่รุ่ย ยิ้มพูดอย่างระแวดระวัง “เลี้ยงกันไปเลี้ยงกันมายุ่งยากจะตาย เอาแบบนี้สิ วันนี้ต้องเดือดร้อนเพราะฉัน ถือเป็นความผิดของฉันเอง วันนี้ฉันขอเลี้ยงข้าว จะไปบาร์หรือไปที่ไหนก็บอกมาได้เลย จะเล่นสนุกยังไงก็ได้ รุ่นพี่ของสวี่รุ่ยคงไม่มีปัญหาใช่ไหมครับ”
เหลยอวี่ฉือเอ่ยเสียงดูแคลน “ไม่มีปัญหาครับ จะไปตอนนี้เลยไหมล่ะ”
ระบบ 1212 [หนึ่งร้อยห้าสิบห้านาทีสุดท้าย]
สวี่รุ่ยมีอารมณ์จะไปกินข้าวหรือเข้าบาร์ที่ไหนกันล่ะ “ฉันไม่ไปนะ พี่ฉือช่วยขอบคุณรุ่นพี่แทนฉันด้วยก็แล้วกัน”
“ได้ ไม่มีปัญหา” เดิมลั่วฉือก็ไม่อยากให้สวี่รุ่ยไปด้วย เป็นหน้าที่ของพี่ชายที่ต้องช่วยน้องชายกำจัดแมลงหวี่แมลงวันที่เข้ามารุมตอม
เขาช่างเป็นพี่ชายที่แสนดีจริงๆ ไว้คราวหน้าค่อยให้น้องชายตอบแทนบุญคุณ
ต้องตอบแทนมากกว่าที่เขาเสียไป
สวี่รุ่ยไม่ล่วงรู้ความในใจของคนอื่น เธอมองไต้จิงจิง ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี
ตามหลักแล้วก็เป็นคุณหนูตระกูลเศรษฐีเหมือนกัน ทำไมถึงโง่งมนัก ต้องดันทุรังทำร้ายผู้บริสุทธิ์ให้ได้หรือไง
“ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าพวกเราไม่ได้เป็นแฟนกัน จะขอโทษฉันรึเปล่า”
“เธอสมควรได้รับคำขอโทษจากฉันงั้นเหรอ”
ไต้จิงจิงแต่งหน้าอย่างงดงาม ความโกรธและความอับอายทำให้หน้าหล่อนแดงก่ำ มากพอแล้วสำหรับวันนี้ เธอขายหน้าต่อหน้าเพื่อน ลั่วฉือขีดเส้นแบ่งแยก สุดท้ายยายนางแบบคนนี้ยังไม่เห็นหัวกันอีก!
“เธอรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร เธอรู้ไหมว่าย่าของฉันเป็นใคร เธออยู่ในฐานะอะไรถึงได้คู่ควรกับคำขอโทษของฉัน”
สวี่รุ่ยไม่รู้หรอกว่าย่าของหล่อนเป็นใคร แต่ดูจากการที่อีกฝ่ายดื้อรั้นขนาดนี้ แม้แต่ลั่วฉือยังไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไร เธอคิดว่าต้องมีสาเหตุ
ลั่วฉือแค่นเสียงเย็น ก่อนกระซิบชื่อหนึ่งข้างหูสวี่รุ่ย “ย่าของเธอคือภรรยาคนใหม่ของคนคนนั้นไง”
สวี่รุ่ยได้ฟังก็รู้ว่าก่อนหน้านี้เธอเดาผิด หล่อนไม่ใช่คุณหนูตระกูลเศรษฐีธรรมดา ทว่าเป็นเจ้าหญิงตัวน้อยๆ ตัวจริงเสียงจริง
ถึงแม้เป็นแค่ในนาม แต่ชื่อนั้นก็ทรงพลังมากเหลือเกิน
ในกรณีนี้ สวี่รุ่ยใช่ว่าอายุสิบห้าสิบหกปีจริงๆ จึงทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังเหมือนพวกหล่อนไม่ได้
แต่จะปล่อยไปอย่างนี้ก็ไม่ได้เด็ดขาด ต่อไปเธอยังต้องอยู่ในแวดวงนี้
นี่เป็นปัญหายุ่งยากนิดหน่อย
ไต้จิงจิงออกแรงขัดขืน พยายามสะบัดเหลยอวี่ฉือให้พ้นตัว แน่นอนว่าไม่เป็นผล “ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ถ้าไม่ปล่อยนายตายแน่! ลั่วฉือ ตาต่ำอย่างนายก็ได้แค่ควงนางแบบเท่านั้นแหละ ฉันหน้ามืดตามัวถึงได้ชอบนาย ไม่ช้าก็เร็วนายจะต้องเสียใจ!”
“พี่ฉือจะเสียใจหรือเปล่า ฉันไม่รู้ แต่ถ้าเธอยังโวยวายต่อ คนที่จะเสียใจคือตัวเธอเอง”
สวี่รุ่ยเดินเข้าไปใกล้พลางทำท่าให้ไต้จิงจิงมองว่ารอบข้างยังคงมีกลุ่มคนรอชมเรื่องสนุกหลงเหลืออยู่
ต่อให้ไม่มีเรื่องกันใหญ่โตเท่าเมื่อกี้ เพราะพวกสาวๆ ส่วนใหญ่หนีกันไปหมดแล้ว ทว่ายังมีกลุ่มคนชอบสอดรู้สอดเห็นทั้งหลายรอชม “ตอนจบ” ไม่ใช่แค่มอง พวกเขายังถือมือถือและถ่ายคลิปอยู่ด้วย
ไต้จิงจิงมีคนพะเน้าพะนอจนเคยตัว มีเพียงเรื่องของลั่วฉือเท่านั้นที่ไม่สมดั่งใจ วันนี้โดนสะกิดต่อมเข้าอย่างจังถึงได้โมโหจนขาดสติ แต่เพราะสถานะทางสังคมของหล่อนนั้นอ่อนไหวมาก พริบตาเดียวจึงได้สติคืนมา
สวี่รุ่ยเห็นไต้จิงจิงสงบลงสักที จึงพยายามพูดอย่างใจเย็นที่สุด “เรื่องวันนี้เป็นการเข้าใจผิดกันทั้งหมด ฉันกับลั่วฉือไม่ได้เป็นแฟนกัน และฉันก็ไม่ใช่นางแบบอะไรนั่นด้วย ตาของฉันนามสกุลจู้ พวกเราสองครอบครัวคบหากันมาหลายชั่วอายุคน เป็นแค่ความสัมพันธ์แบบพี่น้อง
“เรื่องวันนี้ ถ้าเธอขอโทษฉัน พวกเราจะปล่อยให้มันเป็นอดีต ไม่คุ้มหรอกที่จะเพิ่มปัญหาให้พวกผู้ใหญ่”
“เธอข่มขู่ฉันงั้นเหรอ”
“ฉันวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียให้เธอรู้ต่างหาก เดิมก็เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ”
ตอนแรกสวี่รุ่ยโกรธจัด แต่ตอนนี้สงบใจได้บ้างแล้ว ถึงไม่ชอบความเจ้าอารมณ์ของไต้จิงจิง ทว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเจอคนนิสัยแบบนี้ ยกตัวอย่างเจิ้งเหม่ยซินที่เคยมีเรื่องกัน
ทุกคนอายุยังน้อยและทางบ้านฐานะร่ำรวย มีคนเอาใจจนเคยตัว สังคมยังไม่สั่งสอนให้มีความเป็นมนุษย์
ในความเป็นจริง คนบางคนก็ไม่เคยได้รับการสั่งสอนจากสังคมเลยตลอดชีวิต นอกจากคนที่คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังจะล้มลง
ลั่วฉือยิ้มเยาะ “ช่างเถอะ ไต้จิงจิง รอให้รูปพวกนี้เผยแพร่ในอินเทอร์เน็ต เดี๋ยวเธอก็ต้องแบกรับผลที่ตามมา อยากถูกแฉก็เชิญทำต่อไปเถอะ”
ไต้จิงจิงขึ้นเสียง “พวกเขากล้ารึ!”
สวี่รุ่ยเอ่ยเสียงเรียบ “ชาวเน็ตมีอะไรไม่กล้า คนที่ไม่กล้าคือพวกเราต่างหาก”
ไต้จิงจิงมีนิสัยเจ้าอารมณ์ แต่สุดท้ายหล่อนก็อายุมากกว่าสวี่รุ่ยแค่หนึ่งถึงสองปี แถมยังไม่บรรลุนิติภาวะจึงทั้งทะนงตนและหยิ่งในศักดิ์ศรี หล่อนมองเด็กสาวตรงหน้าแล้วต้องยอมรับว่าเมื่อกี้ใจร้อนเกินไป ดูอย่างไรเธอก็ไม่เหมือนนางแบบสาวจริงๆ
หน้าตาไม่ใช่สไตล์เน็ตไอดอล รสนิยมการแต่งตัวก็ห่างไกลจากพวกนางแบบ โดยเฉพาะท่าทางเหนือกว่าอย่างนี้ ยิ่งไม่ใช่ท่าทางที่พวกนางแบบพึงมี ยิ่งคบหากับตระกูลลั่วหลายชั่วอายุคน ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่…
หลงชอบคนไร้ค่าอย่างลั่วฉือ ดวงตามืดบอดไม่ต่างจากหล่อนเลยจริงๆ
ไต้จิงจิงนึกสงสารอีกฝ่าย จึงเชิดหน้าถาม “เธอชื่ออะไร”
“สวี่รุ่ย”
“โอเค สวี่รุ่ย วันนี้ฉันผิดเอง”
ไต้จิงจิงพูดประโยคนี้จบ ในที่สุดก็สะบัดตัวหลุดจากมือของเหลยอวี่ฉือได้สักที หล่อนตวัดตามองลั่วฉือ ก่อนหันมองสวี่รุ่ย
“แต่มีสิ่งหนึ่งที่ถูกต้อง ลั่วฉือแค่คนไร้สมอง ไม่รู้ว่าควงคนที่ทำอาชีพนางแบบบังหน้ากี่คนแล้ว ถ้าเธอไม่กลัวติดเอดส์ก็เชิญ”
“บ้านเธอสิ! ไปให้พ้นเลยนะโว้ย!”
หากไต้จิงจิงไม่ใช่ผู้หญิง ลั่วฉือคงประเคนหมัดใส่หน้าเป็นร้อยรอบ
เขาถูกใส่ความยิ่งกว่าโต้วเอ๋อ[3]ซะอีก!
เหลยอวี่ฉือกลับมองเรื่องตลกอยู่ข้างๆ เวลานี้ความจริงปรากฏชัดเจน ดอกไม้งามยังไม่มีเจ้าของ อีกทั้งศัตรูหัวใจยังถูกจัดการอย่างโหดเหี้ยม
น่าจะไม่มีหนทางกลับตัวแล้ว
…
ระบบ 1212 [หนึ่งร้อยสี่สิบนาทีสุดท้าย]
สวี่รุ่ยเห็นว่าจัดการคนก่อเรื่องได้แล้วก็มองหยางเหล่ยที่ยืนอยู่ด้านข้างมาโดยตลอด “รบกวนเธอลบคลิปด้วย”
หยางเหล่ยหลบตา “เธอพูดอะไรน่ะ คลิปอะไรกัน”
สวี่รุ่ยเอ่ยเสียงเรียบ “แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องก็ไร้ประโยชน์ ต่อให้เธอเก็บไปโพสต์ในอินเทอร์เน็ตก็เผยแพร่ไม่ได้หรอก”
“ฉันไม่รู้ว่าเธอพูดเรื่องอะไร ฉันจะกลับบ้านแล้ว บ๊ายบาย”
หยางเหล่ยไม่สนใจ โพสต์ในอินเทอร์เน็ตแล้วจะเผยแพร่ได้หรือไม่ก็ช่าง มันเป็นสิ่งที่สวี่รุ่ยควบคุมได้งั้นเหรอ แอบเอากลับไปปล่อยในเว็บบอร์ดของโรงเรียนดีกว่า ให้คนเข้ามาเห็นเหตุการณ์ล้มลุกคลุกคลานของคุณหนูตระกูลจู้สักหน่อย แน่นอนว่าตรงส่วนที่บอดีการ์ดปรากฏตัวออกมาอย่างกล้าหาญนั้นตัดออกได้…
“เฮ้ เฮ้ พวกคุณขโมยของเหรอ!”
สวี่รุ่ยคิดไม่ถึงว่าบอดีการ์ดจะอาศัยจังหวะที่หยางเหล่ยไม่ทันสนใจคว้ามือถือจากมือของหล่อน และบังเอิญว่าเปิดหน้าอัดคลิปค้างไว้พอดี ตอนนี้ทุกอย่างถูกลบจนหมดเกลี้ยง พวกเขาช่าง…มีประสบการณ์จริงๆ
หยางเหล่ยกระแทกเท้าปึงปังพลางคว้ามือถือ สะพายกระเป๋าเดินฉับๆ จากไป
…
สวี่รุ่ยรับมือถือคืนจากลั่วฉือ เธอต่อสายหาบริษัทประชาสัมพันธ์ก่อนเป็นอันดับแรก ให้ไป๋ฟางช่วยจับตาดูความเคลื่อนไหวในโลกออนไลน์ หากมีกระทู้เหตุการณ์ในห้างสรรพสินค้าวันนี้ต้องลบทิ้งทันควัน จะได้ไม่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง
ถึงแม้ทุกคนที่โพสต์ในสื่อสังคมออนไลน์อาจยังไม่รู้ว่าใครเป็นใคร แต่พลังของการขุดคุ้ยตัวตนยิ่งใหญ่เกินไป แถมที่นี่ยังเป็นเมือง B จึงจำเป็นต้องป้องกันไว้ก่อน
สวี่รุ่ยไม่ได้ชื่นชอบการมีชื่อเสียงอย่างนี้สักนิด
หลังมอบหมายงานเรียบร้อย เธอก็โทร.บอกให้เฉียนเสี่ยวลี่มาเดินช็อปปิงเป็นเพื่อน
ลั่วฉือทึ่งมาก “เธอยังมีอารมณ์เดินช็อปปิงอีกเหรอสวี่รุ่ย”
อย่าได้บอกว่าสิ้นเปลืองกำลังกาย เธอต้องช็อปปิงเพื่อผ่อนคลาย ต่อให้ไม่อยากซื้อ สวี่รุ่ยก็จะปล่อยให้เงินสี่ล้านสูญเปล่าไม่ได้
ก่อนหน้านี้เป็นเพราะไม่อยากถูกตบเปล่าๆ ประสบการณ์ถูกตบประเภทนี้ ต่อให้เป็นเงินหนึ่งร้อยล้านก็ซื้อเธอไม่ได้
ทว่าเวลานี้เรื่องราวจบลงแล้ว สวี่รุ่ยประหยัดอดออมมามาก ใช้เงินสี่ล้านซื้อความสุขก็ไม่เลว
ถือเป็นการชดเชยกับเหตุการณ์น่าสะพรึงกลัว แต่ไม่ได้รับบาดเจ็บของวันนี้ก็แล้วกัน
ระบบ 1212 [หนึ่งร้อยยี่สิบนาทีสุดท้าย]
เมื่อเห็นว่าเหลือเวลาเพียงสองชั่วโมง สวี่รุ่ยก็โบกมือให้ลั่วฉือกับเหลยอวี่ฉือ “ฉันไม่พูดกับพวกพี่แล้ว ฉันจะไปช็อปปิง พวกพี่ไปเที่ยวกันให้สนุกนะ บ๊ายบาย”
สวี่รุ่ยกลับหลังหันด้วยท่าทางน่ามอง ไม่สนใจแม้แต่ถุงช็อปปิงของชาเนลและแอร์เมเนจิลโด เซนญาที่ตกอยู่บนพื้น แน่นอนว่าพวกบอดีการ์ดต้องช่วยเก็บ คราวนี้เธอไม่เกรงกลัวอะไรทั้งนั้น ยังไงด้านหลังก็ยังมีบอดีการ์ดตัวสูงใหญ่ติดตามตั้งสี่คน
ช็อปปิงคนเดียวโดยมีบอดีการ์ดติดตามช่วยถือถุงช็อปปิงให้นับเป็นภาพที่ไม่ธรรมดามากแล้ว
เหลยอวี่ฉือเหม่อมองภาพเบื้องหลังอันงดงามของสวี่รุ่ย พลันถูกลั่วฉือตบหลังอย่างแรง “เลิกมองได้แล้ว ไม่เกี่ยวอะไรกับนาย”
เหลยอวี่ฉือมองลั่วฉือพร้อมพูดเหน็บ “ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน แล้วเกี่ยวอะไรกับนายไม่ทราบ”
ลั่วฉือกลับไม่โกรธ เขาพูดอย่างมั่นใจและภาคภูมิใจ “ต้องเกี่ยวสิ ก็เธอเป็นคนตระกูลลั่วของฉัน”
สวี่รุ่ยยังมีสินค้าที่ต้องรูดจ่ายอีกหลายล้าน สองชั่วโมงที่เหลือย่อมจดจ่ออยู่กับเรื่องนี้เท่านั้น
เธอช็อปปิงตั้งแต่ชั้นหนึ่งไปจนถึงชั้นหก เหมาแบรนด์เนมที่ชื่นชอบทั้งหมด เหล่าบอดีการ์ดถือถุงช็อปปิงอย่างน้อยสิบกว่าถุง
ที่โชคดีมากๆ คือภายในระยะสองร้อยเมตรจากทางเข้าลิฟต์นั้นมีร้านแวนคลีฟแอนด์อาร์เปลส์ อยู่ด้วย
ร้านเป็นผนังดำทั้งแถบ ตัวอักษรสีขาวเขียนว่าแวนคลีฟแอนด์อาร์เปลส์ ส่งผลให้สวี่รุ่ยตัดสินใจว่าจะใช้เงินสองถึงสามล้านที่เหลืออยู่ให้หมด ณ ที่แห่งนี้
ง่ายดายมาก
หากอนาคตจะมอบเป็นของขวัญหรือเอาไปขายต่อก็เหมาะสมและสะดวกสบาย
แวนคลีฟแอนด์อาร์เปลส์เป็นแบรนด์เครื่องประดับชั้นนำ ร้านนี้ดีไซน์ได้วิจิตรงดงาม ผสมผสานองค์ประกอบอย่างหนังชั้นดี ผ้าไหม และผ้ากำมะหยี่นานาชนิด เปี่ยมด้วยเสน่ห์น่าค้นหา
ภายในกลับมีลูกค้าไม่มาก เพราะราคาของสินค้าแวนคลีฟแอนด์อาร์เปลส์สูงมาก
อย่างสวี่รุ่ยมาที่นี่เพื่อใช้เงินสองถึงสามล้านก็ซื้อได้แค่นาฬิกาสองเรือนเท่านั้น
สวี่รุ่ยไม่ถูกใจนาฬิกาที่เห็นตอนแรก ตรงกันข้ามกลับถูกใจเครื่องประดับอัญมณีจำนวนไม่น้อย เธอเลือกเข็มกลัดหลายคอลเล็กชัน รวมถึงสร้อยคอใบโคลเวอร์สี่แฉกอีกสองสามคอลเล็กชัน
ทว่ายังไม่ทันเดินไปโซนนาฬิกาข้อมือ บอดีการ์ดก็เดินมาบอกว่า “คุณหนูสวี่รุ่ยครับ ท่านประธานจูู้ประชุมเสร็จแล้ว แจ้งว่าต้องการพบคุณหนูเดี๋ยวนี้ครับ”
สวี่รุ่ยใช้นิ้วเท้าตรองยังรู้ว่าบอดีการ์ดรายงานเรื่องของเธอเมื่อบ่ายให้ตารู้แน่นอน
แม้ไม่รู้ว่าทำไมบอดีการ์ดถึงปรากฏตัวได้ถูกจังหวะขนาดนี้ แต่เธอคาดเดาในทางไม่ดีนัก ไม่แน่ว่าตาอาจติดเครื่องตามตัวเธอไว้แล้วก็เป็นได้ หรือไม่ก็ให้คนคอยติดตามเธอตลอดเวลา
ระบบ 1212 [สี่สิบนาทีสุดท้าย]
ระบบยังมีเวลาให้เหลือเฟือ ปัญหาคือตาไม่มีเวลาให้สวี่รุ่ยแล้ว พวกเขาแต่ละคนก้าวมาข้างหน้า ทำท่าเหมือนจะหามเธอไปอย่างไรอย่างนั้น
“เดี๋ยวก่อน ขออีกห้านาทีแล้วจะไปค่ะ”
สวี่รุ่ยบอกเวลาที่ต่างฝ่ายต่างยอมรับได้ ก่อนกวาดสายตามองโซนนาฬิกาข้อมือหนึ่งรอบด้วยความไวแสง
กลับไม่พบนาฬิกาผู้หญิงที่ถูกใจตั้งแต่แรกเห็น แม้ประณีตและงดงามมากก็ตาม
ถึงเธอจะชอบนาฬิกาข้อมือของแวนคลีฟแอนด์อาร์เปลส์ แต่กลับชอบการออกแบบเมื่อสิบปีก่อนที่แฝงไว้ด้วยร่องรอยแห่งกาลเวลา ไม่หวือหวาเหมือนดีไซน์ใหม่ล่าสุดช่วงนี้ แม้ละเอียดลออมากขึ้น แต่สำหรับเธอ ไม่ค่อยเข้ากับเสื้อผ้าสักเท่าไร
นอกจากนี้ยังสวยสะดุดตาเกินไป
เหมือนโรเล็กซ์ เลดี้ เพิร์ลมาสเตอร์ที่ลั่วหานให้ ไหนจะนาฬิกาตุ๊กตารูปคนสองคนเรือนนั้นของแวนคลีฟแอนด์อาร์เปลส์นั่นอีก ทั้งสองเรือนจัดอยู่ในประเภทหรูหราดึงดูดสายตาเกินไป
สวี่รุ่ยไม่เคยหยิบมาใส่ในชีวิตประจำวันเลย โดยเฉพาะตอนอยู่ที่โรงเรียน ส่วนมากจะสวมแวนคลีฟแอนด์อาร์เปลส์แบบโบราณที่คล้ายกับนาฬิกาเก่าแก่เรือนนั้นของยายมากกว่า รวมไปถึงปาเต็ก ฟิลิปป์ของแม่เรือนนั้นด้วย
ถึงไม่ถูกใจนาฬิกาผู้หญิง แต่กลับถูกใจนาฬิกาผู้ชายคอลเล็กชันหนึ่ง หรือจะเรียกว่าเป็นนาฬิกาฟังก์ชันซับซ้อนไม่จำกัดเพศก็ได้
“หน้าปัดของนาฬิกาคอลเล็กชันนี้จำลองวงโคจรของดวงอาทิตย์และดาวเคราะห์ทั้งหก ได้แก่ ดาวพุธ ดาวศุกร์ ดาวอังคาร ดาวพฤหัส ดาวเสาร์ และโลก ทั้งหมดจะปรากฏสู่สายตาผ่านส่วนประกอบที่มีเอกลักษณ์เหล่านี้ ดวงดาวแต่ละดวงจะโคจรตามลำดับของตัวเองบนหน้าปัดด้วยความเร็วที่แท้จริง”
พนักงานขายเห็นลูกค้าตรงหน้าแต่งตัวไม่เหมือนคนทั่วไป ด้านหลังยังมีบอดีการ์ดในชุดสูทยืนอยู่ด้วย บวกกับการเลือกเครื่องประดับแบบไม่ลังเล ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าเธอหยิบคอลเล็กชันใดมาดูก็จะแนะนำคอลเล็กชันนั้นด้วยมารยาทอันดี
“ขอบหน้าปัดนาฬิกาโรสโกลด์เรือนนี้ล้อมรอบด้วยเพชรเจียระไนทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า หน้าปัดเป็นอเวนจูรีน[4] ดวงอาทิตย์และดาวตกเป็นโรสโกลด์[5] ดาวพุธใช้เซอร์เพนไทน์[6] ดาวศุกร์ใช้หยกเขียวเข้ม โลกใช้เทอร์ควอยซ์[7] ดาวอังคารหินคาร์เนเลียน[8] ดาวพฤหัสใช้หินอะเกต[9]สีฟ้า ดาวเสาร์ใช้หินซูกิไลต์[10] เม็ดมะยมเป็นโรสโกลด์ประดับเพชรทรงกลม ฝาหลังเป็นไพลิน สายนาฬิกาเป็นหนังจระเข้สีดำด้าน ตัวล็อกสายนาฬิกาสีโรสโกลด์…”
นาฬิกาเรือนนี้ดูพิเศษยิ่งยวด สมควรมอบให้คนแข็งแกร่งดุจหินผาอย่างตาใส่ ขุนเขามิอาจเปลี่ยน สายน้ำไม่ไหลย้อน แต่จักรวาลบนหน้าปัดนาฬิกายังคงโคจรไปเรื่อยๆ
ให้ตาได้ผลัดเปลี่ยนนิสัยไม่ดีนั่นบ้าง!
สวี่รุ่ยหยิบนาฬิกาขึ้นมาดูอย่างละเอียดครู่หนึ่ง รู้สึกว่าเหมาะกับตามาก ถือเป็นของวันคล้ายวันเกิดเดือนหน้าเสียเลย
ต่อให้ตาบอกว่าจะไม่ใส่นาฬิกาเรือนใหม่ ทว่าหยิบมาใส่ เปลี่ยนอารมณ์บ้างเป็นครั้งคราวก็ไม่เลว
“คิดเงินเลยค่ะ”
“ได้ค่ะ นาฬิกาเรือนนี้ราคาสองล้านสองแสนแปดหมื่นหยวนค่ะ”
ไม่ต้องสงสัยอะไรทั้งนั้น นาฬิกาเรือนนี้ใช้วงเงินของสวี่รุ่ยจนหมดพอดี
ระบบ 1212 “ขอแสดงความยินดีกับโฮสต์ ระบบทดลองส่งเงินเป็นขวัญกำลังใจเข้าบัญชีเรียบร้อยแล้ว”
สวี่รุ่ยถือถุงกระดาษสีอ่อนใบเล็กของแวนคลีฟแอนด์อาร์เปลส์ด้วยตัวเอง ยิ้มแฉ่ง เดินจากไปพร้อมกับบอดีการ์ด
…
กลับถึงบ้าน ตาก็รอเธออยู่ที่ห้องหนังสือแล้ว
เธอมีลางสังหรณ์ไม่ดีนักจึงวางกระเป๋าและถือเฉพาะถุงกระดาษใส่นาฬิกาข้อมือแวนคลีฟแอนด์อาร์เปลส์ขึ้นไปชั้นบน ก่อนเคาะประตูห้องหนังสือเบาๆ
“หนูกลับมาแล้วค่ะตา”
“ยังไม่รีบเข้ามาอีก”
สวี่รุ่ยสูดลมหายใจเข้าลึก รู้ว่าตาจะคิดบัญชีย้อนหลัง เธอย้ำในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตาไม่ชอบไม้แข็ง ไม่ใช้ไม้แข็ง ต้องใช้ไม้อ่อน ท่าทีต้องไม่แข็งกร้าว ยอมรับผิดอย่างแข็งขัน ทำตัวน่ารัก มอบของขวัญให้ ต้องผ่านฉลุยแน่นอน!
[1] คำสแลงจีน หมายถึง ผู้หญิงที่ทำตัวอ่อนแอ ไร้เดียงสา เพื่อเรียกร้องความสนใจ
[2] หมายถึง ผู้ชายที่ถูกคู่รักนอกใจ หรือภรรยามีชู้
[3] เป็นตัวละครจากบทละครเรื่อง โต้วเอ๋อยวน หญิงสาวผู้ถูกใส่ความทั้งที่ไม่มีความผิด สุดท้ายจำต้องยอมรับผิด ถูกตัดสินประหารชีวิต ด้วยกลัวว่าแม่สามีจะถูกทรมาน
[4] หรืออเวนเจอรีน เป็นพลอยสีเขียวขุ่นเนื้อละเอียด เชื่อกันว่าทำให้ผู้ใส่มีโชคลาภจากการเสี่ยงดวงหรือการแข่งขัน
[5] เกิดจากการผสมระหว่างทองคำและทองแดง ให้สีสันสวยสดกว่าทองและนาก แข็งแกร่งกว่าทองคำ มูลค่าของโรสโกลด์จะกำหนดจากปริมาณทองคำที่ผสม
[6] หรือเซอร์เพนทีน ใช้ทำเครื่องประดับ มีสีแดง เขียว น้ำตาลแดง น้ำตาลเหลือง และขาว มีลวดลายเส้นสายคล้ายตางู
[7] เป็นอัญมณีทึบแสง มีเฉดสีฟ้า เขียวฟ้า เขียว และเขียวเหลือง
[8] หรือคอร์เนเลียน มีสีส้มออกแดง
[9] หรือหินโมรา มีหลายสีสัน สีที่นิยมทำเป็นเครื่องประดับและเครื่องรางประจำกายมักเป็นสีเขียวตะไคร่หรือกรีน อะเกต สีฟ้าอมเทาลายขาวหรือบลูเลซ อะเกต
[10] Sugilite มีโทนสีชมพูจนถึงสีม่วง