[ทดลองอ่าน] โชคลาภหมื่นล้านบันดาลรัก ตอนที่ 85

โชคลาภหมื่นล้านบันดาลรัก
天降横财一百亿

เจียงจื่อกุย 江子归 เขียน
เหวินหรง แปล

 

— โปรย —

เรื่องที่รู้ๆ กันอยู่สำหรับคนทั่วไปคือ
หากมีเงินและได้ใช้เงินนั้น ก็จะมีความสุข
แต่สำหรับ สวี่รุ่ย การต้องใช้เงินแต่ละหยวนในกรอบของการทดลอง
ทั้งเหนื่อย ทั้งลุ้น และแน่นอนว่ามีความสุข

ภารกิจการใช้เงินที่เธอต้องทำในแต่ละครั้งนับวันจะท้าทายขึ้นเรื่อยๆ
จำนวนเงินทะยานสู่หลักสิบล้าน
เดิมพันแต่ละครั้งยังคงเป็นชีวิตน้อยๆ ของเธอ

โชคดีที่ตอนนี้เธอมี ลั่วหาน
ซึ่งหายจากโรคภัยกลับมาแข็งแรงแล้วคอยช่วยเหลือเสมอ
ดังนั้นสวี่รุ่ยจะไม่ยอมแพ้ เธอจะใช้เงินพวกนั้นให้หมดเกลี้ยง
พิชิตทุกภารกิจเพื่อมีชีวิตรอดให้ได้!

 

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ

สำนักพิมพ์อรุณ

 

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

85

 

จู้หงเซินประชุมไปได้ครึ่งหนึ่งก็เห็นเลขาฯโจวเหลือบมองเขาด้วยท่าทางผิดแปลกไปจากปกติ

เลขาฯโจวเดินไปข้างกายท่านประธานอย่างกล้าๆ กลัวๆ และกระซิบข้างหูสรุปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังคร่าวๆ ไม่กี่คำ

“…คิดว่าคุณหนูสวี่รุ่ยเป็นแฟนของคุณชายฉือ ต่อมาพวกหล่อนกักตัวคุณหนูไว้ในวงล้อมจะทำร้าย โชคดี…”

ยังไม่ทันพูดว่าโชคดี ท่านประธานตวัดสายตาเย็นชามองเลขาฯโจว เขาเสียวสันหลังวาบ ชะงักไปครู่หนึ่งถึงพูดต่อ “โชคดีที่พวกบอดีการ์ดไปทันเวลา คุณหนูไม่เป็นอะไรมากครับ”

แม้ไม่เป็นอะไรมาก จู้หงเซินก็ยังมองเพื่อนรักที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ไม่ปริปากพูดสักคำ

จู้หงเซินมองลั่วเจิ้งถิงด้วยสายตาแปลกๆ โดยที่ลั่วเจิ้งถิงไม่ทราบสาเหตุก็อดพึมพำไม่ได้ ลดให้ตั้งสองส่วนแล้ว ยังจะไม่พอใจอะไรอีก

อย่ารังแกคนอื่นให้มากนักนะ

ลั่วเจิ้งถิงเริ่มหน้าบูดบึ้งไม่ต่างกัน

ในการประชุมครั้งสำคัญ บุคคลผู้ทรงอิทธิพลทั้งสองต่างทำหน้าบอกบุญไม่รับในช่วงเวลาเดียวกัน ผู้เข้าร่วมการประชุมคนอื่นๆ ที่เป็นผู้บริหารระดับสูงมีหรือจะสัมผัสสิ่งนี้ไม่ได้

พวกเขาสบตากัน คิดว่าโครงการเปลี่ยนแปลงไปถึงขนาดนี้แล้ว แต่น่าเสียดายที่ในดวงตาของทั้งสองฝ่ายฉายแววแคลงใจ

ขณะในใจทุกคนว้าวุ่น จู้หงเซินก็เอ่ย “ประธานลั่ว พวกเราออกไปคุยกันสักเดี๋ยวสิ”

“เหอะ เอาสิ”

ลั่วเจิ้งถิงทำตัวตามสบายราวกับอยู่ในบริษัทตัวเอง เขาลุกขึ้นปัดเสื้อผ้า อยากรู้นักว่าอีกฝ่ายจะใช้วิธีอะไรทำให้เขายกผลประโยชน์ให้อีก

นอกห้องประชุมมีหน้าต่างบานใหญ่สูงจากพื้นจรดเพดาน และมีเครื่องฟอกอากาศติดตั้งชิดผนัง

จู้หงเซินยืนอยู่ข้างหน้าต่างพลางจุดบุหรี่ พอเห็นลั่วเจิ้งถิงเดินมาก็เอ่ยประชดประชัน “ลั่วเจิ้งถิง สมกับเป็นหลานชายในไส้ของนาย ทำตัวเหลวแหลกเหมือนนายสมัยหนุ่มๆ ไม่มีผิด”

“จู้หงเซิน พูดให้มันดีๆ หน่อย”

ลั่วเจิ้งถิงไม่คิดว่าพอออกมา เพื่อนรักจะขุดคุ้ยเรื่องในอดีตของเขา ตรงนี้ยังมีเลขาฯอยู่อีกสองคน เขาสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย

จู้หงเซินพูดถากถาง “นี่ฉันพูดดีมากแล้ว สงสารเมียนายที่ต้องทำงานหนักอุ้มท้องให้นายตั้งสิบเดือน”

ลั่วเจิ้งถิงหันมอง เลขาฯของเขาไม่รอช้ารีบเดินจากไปทันควัน แต่เลขาฯโจวกลับปักหลักอยู่ที่เดิม

เขาเริ่มโมโห “นายอยากได้ความดีความชอบจากหย่าอวิ๋นถึงได้ช่วยฉัน อย่าพูดเหมือนว่าอยากช่วยฉันจริงๆ เรื่องนั้นเข้าใจฉันผิดไม่ใช่หรือไง!”

“งั้นฉันก็แบกรับเรื่องอื้อฉาวแทนนายเหมือนกัน!” จู้หงเซินยกตนข่มท่าน “ฉันยังไม่เท่าไหร่ เพราะเป็นผู้ชาย จะเจ้าชู้หรือเปล่าไม่สำคัญ คนแก่อย่างนายกลับทำตัวไม่ดี ลูกหลานเลยได้แบบอย่างไม่ดี เลี้ยงหลานชายไม่เอาอ่าว ก่อเรื่องวุ่นวายไปทั่วจนสวี่รุ่ยถูกทำร้าย เธอเพิ่งอายุเท่าไหร่เอง ฉันยังไม่เคยตีเธอเลย!”

ลั่วเจิ้งถิงจับต้นชนปลายไม่ถูก หากก็ฟังออกว่าเพื่อนสนิทโมโหจริงๆ

แม้จู้หงเซินอารมณ์ร้าย แต่ใช่ว่าจะแสดงท่าทางไม่พอใจตามอำเภอใจ และยิ่งไม่มีทางอารมณ์เสีย เขาจะไม่สนใจคนที่ไม่สลักสำคัญเลย

การที่เขาโกรธยังงี้ ต้องมีคนก่อเรื่องแน่

เขาหันมองเลขาฯโจว เลขาฯโจวเหลือบมองจู้หงเซิน

จู้หงเซินเบือนหน้าหนีพลางค่อนขอด “เล่าให้เขาฟังสิว่าหลานชายคนดีของเขาทำเรื่องงามหน้าอะไรไว้”

เลขาฯโจวถูกสองผู้ทรงอิทธิพลจ้องจนเหงื่อชุ่มกาย คิดในใจว่าความจริงไม่ใช่เรื่องใหญ่ ถึงกล่าวว่าถูกทำร้าย ทว่าก็ยังไม่ถูกตบตีสักหน่อย อย่างมากคุณหนูสวี่รุ่ยแค่ตกใจเท่านั้น…เพียงแต่ชื่อนี้พูดไปก็ไม่ดี เดี๋ยวไปสะกิดต่อมโมโหของท่านประธานเข้า

แน่นอนว่าเขาย่อมไม่กล้าเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ ทำได้แค่เล่าความเป็นไปของเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบให้ฟังแทน

“จากเหตุการณ์นั้น ท่านประธานวางแผนให้คุณหนูสวี่รุ่ยมาเรียนหนังสือที่เมือง B ยังเลือกบอดีการ์ดที่มีความสามารถไว้ให้ ปรากฏว่าหลังออกจากบริษัทวันนี้ คุณชายฉือก็ขับรถซูเปอร์คาร์มารับคุณหนู ยังจงใจกำจัดบอดีการ์ดให้พ้นทาง

“บริษัทรักษาความปลอดภัยเท่อเว่ยได้ติดตั้งเครื่องติดตามตำแหน่งในมือถือของคุณหนู จึงติดตามไปตั้งแต่คลับจนถึงห้างสรรพสินค้า ก่อนคุณหนูจะทำมือถือหล่นไว้ในรถ ตอนบอดีการ์ดไปถึง คุณชายฉือจะออกจากห้างสรรพสินค้าพอดี พอพวกเขาเข้าไปในห้างสรรพสินค้าก็พบว่าคุณหนูสวี่รุ่ยกำลังถูกกลุ่มเด็กสาวรุมทำร้าย โชคดีที่บอดีการ์ดตามไปช่วยทันเวลา…”

“สวี่รุ่ยไม่เป็นอะไรใช่ไหม บาดเจ็บรึเปล่า”

ลั่วเจิ้งถิงถาม เข้าใจแล้วว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร “ไอ้ลั่วฉือชอบทำแต่เรื่องไร้สาระ ฉันจะกลับไปสั่งสอนมัน”

จู้หงเซินมองสหายด้วยสายตาเย็นชา “นายคิดว่าเรื่องมันมีอยู่เท่านี้เหรอ รู้หรือเปล่าว่าทำไมสวี่รุ่ยโดนคนไล่ล่าทำร้ายอย่างไม่มีสาเหตุ”

ลั่วเจิ้งถิงเริ่มรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล เขาเหลียวมองเลขาฯโจว

เลขาฯโจวนิ่งพักหนึ่งค่อยพูดต่อ “เด็กสาวพวกนั้นด่าคุณชายฉือว่าเป็นผู้ชายสารเลวในห้างสรรพสินค้า มีแฟนแล้วยังแอบคบคนอื่น กล่าวหาว่าคุณหนูสวี่รุ่ยเป็นมือที่สาม เลยรวมกลุ่มกันมาทำร้ายคุณหนูครับ”

ลั่วเจิ้งถิงเบิกตากว้าง แทบไม่อยากเชื่อ “ไอ้เด็กบ้านั่นทำตัวเหลวแหลกขนาดนี้เชียวหรือ”

จู้หงเซินดูแคลน “ตระกูลลั่วของนาย นายทำตัวเหลวแหลกมากเท่าไหร่ เขาก็ทำตัวเหลวแหลกมากเท่านั้น”

ลั่วเจิ้งถิงกดเสียงต่ำ ทนให้เพื่อนซี้เหน็บแนมเรื่องในอดีตของเขาต่อไปไม่ไหว “พอได้แล้ว เรื่องนี้เป็นความผิดของลั่วฉือ ฉันจะจัดการและให้คำอธิบายกับนายเอง พวกนั้นทำร้ายสวี่รุ่ยหรือเปล่า”

จู้หงเซินตวัดตามองเพื่อน “ถ้าไม่ทำร้ายก็จะไม่จัดการให้งั้นสิ”

ลั่วเจิ้งถิงขมวดคิ้ว “พูดอะไรของนาย ฉันเห็นเธอเป็นเหมือนลูกหลานตัวเอง เธอถูกทำร้ายจะให้ฉันนิ่งดูดายหรือมองเธอโดนรังแกหรืออับอายได้ยังไง”

จู้หงเซินหรี่ตา “ใครเป็นลูกหลานของนาย อย่ามาอ้างสัมพันธ์เครือญาติมั่วซั่วนะ”

“นายไม่รับก็ไร้ประโยชน์ เด็กทั้งสองครอบครัวเข้ากันได้ดี ลั่วหานกลับประเทศไปเมือง C ก็พักที่บ้านของสวี่รุ่ย”

“คิดไม่ซื่อเหมือนนายจริงๆ ด้วย ทำตัวเหลวแหลก ตระกูลลั่วของนายเป็นเหมือนกันหมด ขอบอกอีกครั้งว่าให้มันอยู่ห่างจากสวี่รุ่ยหน่อย!”

“จิ๊ นายเจ้ากี้เจ้าการกับลูกสาวลูกชายยังไม่พอ ตอนนี้ยังบงการแม้แต่หลานสาวด้วย ลูกหลานทุกคนมีหนทางของตัวเอง ทำไมนายไม่รู้จักปล่อยวางบ้าง! ถ้าอยากยุ่งจริงๆ ก่อนหน้านี้มัวทำอะไรอยู่!”

“ต้องให้นายมาสอนฉันด้วยเหรอ”

“ไม่เห็นความตั้งใจดีของคนอื่นแล้วยังแว้งกัด นอกจากหย่าอวิ๋นแล้ว ใครจะทนนายได้”

“พูดอีก ลดลงอีกสองส่วน”

“…ไปประชุมกันเถอะ ไปเร็วเข้า”

 

ได้เวลาอาหารเย็นของบ้านตระกูลจู้ในเมือง B แล้ว ทว่าชายชราผู้เป็นเจ้าของบ้านกับเด็กสาวยังคงไม่ออกจากห้องหนังสือ

สวี่รุ่ยใจเต้นแรงมากยามผลักประตูเข้าไป ประหนึ่งเพิ่งทำความผิดมาแล้วผู้ปกครองจับได้

ทั้งๆ ที่เธอไม่ได้รับความเป็นธรรมแท้ๆ

“ยังไม่เข้ามาอีก จะยืนตากลมอยู่ตรงประตูหรือไง”

“ค่ะ” สวี่รุ่ยปิดประตูพลางคิดว่าความรู้สึกเมื่อกี้ของเธอถูกต้อง แท้จริงแล้วเป็นเธอที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม!

เวลานี้หากไม่กอดแข้งกอดขาตาเพื่อระบายความทุกข์ในใจแล้วจะรอตอนไหน ขืนรอให้ตาคิดบัญชี มีหวังแย่แน่

สู้ทำตัวน่าสงสารให้ตาเห็นก่อนดีกว่า จากนั้นจะได้ถูกด่าน้อยลงหน่อย

“ตาคะ!”

สวี่รุ่ยปรับน้ำเสียงของตัวเองให้อู้อี้อยู่ในลำคอพลางทำท่าทางน่าสงสาร

“มานี่”

จู้หงเซินกวักมือเรียก สวี่รุ่ยเดินเข้าไปหา กำลังจะอ้าปากก็ได้ยิน “มายืนใกล้ๆ หน่อย”

สวี่รุ่ยขยับเดินหน้าอีกหนึ่งก้าวจนเกือบชิดเท้าแขนโซฟาของตา

จู้หงเซินมองเธอ “นั่งลง”

สวี่รุ่ยพูดไม่ออกเล็กน้อย ขณะนั่งลงอย่างว่าง่าย เธอเงยหน้ามองตา “ตาจะทำอะไรคะ”

จู้หงเซินไม่พูดอะไร เขาขมวดคิ้วมองหลานสาวสุดทึ่มของตัวเอง ใบหน้าและลำคอยังเกลี้ยงเกลา ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน เขาให้หลานสาวหันซ้ายหันขวา สุดท้ายก็ถามตรงๆ “เจ็บตรงไหนรึเปล่า”

สวี่รุ่ยอึ้งงัน เพิ่งเข้าใจการกระทำแปลกพิกลเมื่อกี้ของตา ที่แท้ก็สำรวจว่าเธอได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า

ความสุขผุดขึ้นอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว!

เท่ากับว่าตาไม่ได้เรียกเธอมาคิดบัญชีย้อนหลัง แต่เป็นห่วงเธออย่างนั้นหรือ

ในใจสวี่รุ่ยพลันอบอุ่นปลอดภัยเปี่ยมล้น เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยรู้สึกตอนเธอต้องพึ่งพาตัวเอง

จู่ๆ สวี่รุ่ยก็คิดว่าจะดีสักเพียงใดถ้าคนในครอบครัวห่วงใยเธออย่างนี้ระหว่างที่เธอต้องเผชิญกับคลื่นลมครั้งใหญ่ชาติที่แล้ว

จะวิเศษมากขนาดไหน

หลังถามประโยคนี้ พอจู้หงเซินเห็นหลานสาวทำตาแดงๆ ก็เริ่มเครียด หน้าตาบูดบึ้ง

“เธอถูกทำร้ายจริงเหรอ เจ็บตรงไหนบ้าง”

“ไม่ ไม่ค่ะ”

สวี่รุ่ยรู้สึกคล้ายกลับมามีชีวิตอีกครั้ง เป็นการกลับมามีชีวิตอย่างแท้จริง เรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาเนิ่นนานนั้นควรค่าแก่การหลั่งน้ำตาให้

เธอเบนสายตาหนี ทำเป็นเช็ดน้ำตาท่าทางไม่ใส่ใจ “หนูไม่บาดเจ็บ พวกนั้นจับหนูไม่ได้ หนูขายาว วิ่งเร็ว พวกนั้นโง่จะตาย คิดจะทำร้ายหนูงั้นเหรอ ฝันไปเถอะ”

“เธอยังภูมิใจอีกนะ”

จู้หงเซินไม่พอใจ แต่สายตากลับไม่ละไปจากใบหน้าของหลานสาว เขาดูออกว่ายายตัวแสบอยู่ในอารมณ์ที่ผิดแปลกไปจากปกติ

“ไม่บาดเจ็บจริงๆ ใช่ไหม”

“จริงค่ะ จริงแท้แน่นอน”

“งั้นให้หมอมาตรวจหน่อย”

พูดยังไม่ทันจบ สวี่รุ่ยก็ลุกขึ้นมาสวมกอดตาพลางลูบเส้นผมแข็งสากไม่ต่างจากนิสัยแข็งกร้าวของเขา และกอดรัดจนเขาต้องเบ้หน้าด้วยความเจ็บ ทว่าเธอยังไม่พอใจ กลับเอ่ยด้วยเสียงอ่อนราวกับตัวเองกลายเป็นเด็กน้อยไปแล้วจริงๆ

“ตาคะ หนูอยากถามอะไรหน่อย”

“ว่ามา”

ตอนแรกจู้หงเซินไม่ชอบใจเพราะเธอตัวหนัก แต่เสียงของหลานสาวฟังแล้วน่าสงสารจึงฝืนทนไว้

“ถ้าตารู้ว่าหนูมีชีวิตที่น่าเวทนามากๆ ตาจะไม่สนใจหนูหรือเปล่าคะ”

“เธอโง่เหรอ สวี่รุ่ย”

“…ถ้าตอนนั้นความสัมพันธ์ของพวกเราย่ำแย่มาก เอะอะก็ทะเลาะกันเป็นประจำ ตายังจะตีหนูอยู่ไหม”

“ฉันเคยตีเธอรึเปล่าล่ะ”

สวี่รุ่ยขบคิดดีแล้วไม่มีจริงๆ เธอไม่เคยถูกตีแม้แต่ครั้งเดียว และตาก็ไม่เคยตีเธอเลยสักครั้ง

แปลกเหลือเกิน เธอเตรียมถูกจับโยนลงแม่น้ำหวงผู่อยู่หลายครั้ง

ทำแม้กระทั่งตั้งใจเรียนว่ายน้ำอย่างแข็งขัน เหลือเพียงรอให้วันดีคืนดีถูกจับโยนลงไปจะได้เตะขาว่ายน้ำขึ้นฝั่งให้ตาโกรธจนอกแตกตาย

พอนึกถึงเรื่องในอดีต สวี่รุ่ยก็อดยิ้มไม่ได้ ยิ้มไปยิ้มมาก็ร้องไห้อีกรอบ

เธอต้องโง่งมขนาดไหนกัน

เดิมจู้หงเซินใกล้จะหมดความอดทน จะยกมือดึงหลานสาวออกจากตัว ที่มือกลับเปียกชื้น เขาหันขวับเห็นยายเด็กทึ่มร้องไห้ขี้มูกโป่งตามคาด ทำเอาเขาปวดใจ เธอร้องไห้เสียใจอย่างกับเขาไปชนตัวต่อไม้ที่เธอนั่งต่อมาเป็นเดือนล้มพังลงมา

“ร้องไห้ทำไม”

“หนูรู้สึกไม่ดี…”

“รู้สึกไม่ดีตรงไหน ฉันบอกแล้วว่าให้เรียกหมอ ลุกขึ้นเลย ไปกินอะไรมาถึงได้ตัวหนักขนาดนี้”

“หนูไม่ต้องการหมอ หนูได้รับความกระทบกระเทือนทางใจ”

สวี่รุ่ยยิ้มทั้งน้ำตาและพยายามฝืนกลั้นน้ำตาไว้ ยิ่งคิดว่าชาติก่อนเกิดเรื่องราวอะไรขึ้นบ้าง ก็รู้สึกคล้ายมีเข็มทิ่มแทงใจ ความเสียใจที่ทำผิดพลาดไปยิ่งถาโถมเข้าใส่

“พวกนั้นด่าเธอ เธอเลยเสียใจงั้นเหรอ”

จู้หงเซินความจำดีมาโดยตลอดและไม่ได้เลอะเลือนแม้อายุมากขึ้น หลานสาวของตัวเองโดนรุมทำร้ายเพราะเหตุผลใด เขาไม่เคยลืม

สวี่รุ่ยไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรดี จะให้บอกว่าเสียใจเพราะความเข้าใจผิดภพก่อนก็ไม่ได้

เนื่องจากเข้าใจผิด จึงต้องแยกจากกันด้วยความตาย

หากไม่ได้กลับมามีลมหายใจอีกครั้ง ปมในใจนี้คงไม่มีวันคลี่คลาย

พอเห็นเธอทำท่าอึกอัก จู้หงเซินก็นึกโมโหอีกหน “คนตระกูลลั่วไม่มีดีสักคน! คนแก่อย่างลั่วเจิ้งถิง คนหนุ่มอย่างลั่วฉือกับลั่วหาน ไม่ว่าใครล้วนทำตัวเหลวไหล ก่อเรื่องวุ่นวายแล้วพลอยทำให้คนอื่นเดือดร้อน”

สวี่รุ่ยถึงกับงุนงงเมื่อตาพูดโพล่งขัดจังหวะ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเขานะคะตา”

“สมองเธอมีแต่ขี้เลื่อยเหรอ จนถึงตอนนี้ยังจะแก้ต่างให้พวกเขาอีก”

“ต่อให้เรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับพี่ฉือ แต่เขาถูกใส่ความ…”

“ใส่ความเรอะ พวกเขาแต่ละคนถูกใส่ความ แล้วคนอื่นต้องเดือดร้อนแทนพวกเขาสินะ!”

เมื่อสวี่รุ่ยสัมผัสได้ถึงความเดือดดาลจากคำพูดของตาจึงรีบปลอบใจ “ตาอย่าเพิ่งโกรธสิคะ ระวังจะส่งผลเสียต่อสุขภาพ กว่าร่างกายจะดีขึ้นได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะคะ”

รอจนตาคลายความโกรธลงบ้าง สวี่รุ่ยถึงได้เล่าที่มาที่ไปของเรื่องราวให้ฟังอย่างละเอียด

ไม่เพียงความเป็นมาของลั่วฉือกับไต้จิงจิง แต่ยังมีสถานะทางสังคมคร่าวๆ ของไต้จิงจิงและเด็กสาวเหล่านั้น รวมถึงเรื่องที่เธอจัดการอย่างไรในตอนนั้น สวี่รุ่ยอธิบายทุกอย่างจนหมดเปลือก

เธอไม่อยากสร้างปัญหายุ่งยากใดๆ ให้ตา และอยากถามถึงขอบเขตให้แน่ชัด

ถึงอย่างไรเมือง B ก็ไม่ได้เป็นเมืองใหญ่โต ยิ่งในแวดวงนี้มีแค่คนกลุ่มนี้เท่านั้น ต่อไปสวี่รุ่ยยังต้องอาศัยอยู่ที่เมือง B อีกหลายปี แถมยังต้องสร้างสายสัมพันธ์ คงมีโอกาสพบเจอพวกหล่อนบ้าง ไม่แน่ว่าอาจส่งผลกระทบตามมาในภายภาคหน้า จึงไม่จำเป็นต้องปล่อยให้ข้อพิพาทยืดเยื้อไม่จบสิ้น

จู้หงเซินฟังอยู่สักพัก “ไม่ต้องสนใจ ฉันฝากทุกอย่างไว้ให้ลั่วเจิ้งถิง เขาต้องมีคำอธิบายให้เธอ เธอจะไม่เสียหายเปล่าๆ แน่นอน”

สวี่รุ่ยกะพริบตาปริบๆ “ตาลั่วจะจัดการเรื่องนี้เหรอคะ เขารู้เรื่องนี้ด้วยเหรอคะ”

จู้หงเซินชำเลืองมองเธอ “หลานชายของเขาทำเรื่องงามหน้าไว้ เขาจะไม่รับรู้ได้ไง ในโลกนี้ยังมีเรื่องดีๆ อย่างนี้ด้วยเหรอ ทุกคนต้องรับผิดชอบการกระทำของตัวเอง ไม่ว่าใครก็ตาม”

สวี่รุ่ยชะงัก การที่มีผู้ใหญ่จัดการให้ย่อมดีกว่า และขจัดความขุ่นเคืองได้มากกว่า สุดท้ายเด็กๆ อย่างพวกเธอก็ยังต้องพึ่งพาภูมิหลังของครอบครัว

เธอลังเล “แล้วไต้จิงจิง…”

จู้หงเซินพึมพำ “เดี๋ยวฉันจะโทร.หาเลขาฯของคนคนนั้นด้วยตัวเอง”

สวี่รุ่ยนึกหวั่น ทว่าพอตรองดูอีกครั้ง ความจริงตระกูลจู้ก็มีรากฐานมั่นคงอยู่ในเมือง B และตาก็ไม่ใช่นักธุรกิจธรรมดาๆ

จู้หงเซินกล่าวเสียงที่ไม่เคร่งเครียดมากนัก “เธอจะไม่โดนรังแกฟรีแน่นอน”

เพียงประโยคเดียว สวี่รุ่ยกลับรู้สึกสบายใจมากกว่าเดิมและรู้สึกมั่นใจมากอย่างที่ไม่เคยเป็น

ในอดีตเธอรู้ว่าตาเป็นคนอย่างไร และตระกูลจู้เป็นแบบไหน แต่ไม่เคยคิดว่าสิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องอะไรกับตัวเอง แต่ปัจจุบันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

เธอมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าสิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับเธอ เนื่องจากตาคอยปกป้องคุ้มครอง

ปกป้องเธอด้วยกำลังทั้งหมดที่มี

สวี่รุ่ยยิ้ม ประคองแขนตาลงมากินอาหาร และคุยจ้อ

“ตาพูดกับตาลั่วยังไงคะ พี่ฉือจะไม่ถูกตีใช่ไหม”

“ถูกตีก็สมควร”

“โธ่ งั้นก็น่าสงสารน่าดู”

“เขาน่าสงสาร แล้วเธอไม่น่าสงสารงั้นสิ เขาทำให้เธอเดือดร้อนโดยใช่เหตุ สวี่รุ่ย”

“ค่ะ”

“ต่อไปทำอะไรก็ใจนักเลงหน่อย ครอบครัวเธอไม่ได้ตกอับ และเธอไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว”

“ตา…”

“มีคนคอยหนุนหลังเธออยู่นะ”

สวี่รุ่ยเงยหน้า พลันสบกับดวงตาคมกริบและหนักแน่นมั่นคงของตา แม้บริเวณหางตาเขาจะมีริ้วรอยอย่างเห็นได้ชัด

เธอจับมือใหญ่ของตาไว้ ทั้งอบอุ่นและทรงพลัง จากนั้นก็ยืดอกพลางแย้มยิ้มสดใส

 

ถ้าพูดถึงลั่วฉือ เขาก็น่าอนาถจริงๆ

ทั้งๆ ที่แท้จริงเป็นความซวยที่บังเอิญหล่นใส่ เพราะเขามีเสน่ห์มากเกินไปถึงได้เกิดเรื่องวุ่นวาย โชคดีที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับสวี่รุ่ย นับว่ายังโชคดีอยู่บ้าง…แต่ก็ยังโชคร้าย!

เขาปล่อยหมัดใส่ศัตรูหัวใจแทนน้องชาย หลังกินอาหารก็ไม่ได้ไปเที่ยวบาร์ ทว่าไปอินเทอร์เน็ตคาเฟ่แทน ในเกมยังถูกอีกฝ่ายเด็ดหัวจนพ่ายแพ้ย่อยยับ

ขณะลั่วฉือจะเอาคืน เลขาฯของปู่ก็พาบอดีการ์ดเข้ามา

“คุณชายฉือ ท่านประธานลั่วสั่งให้คุณกลับไปครับ”

“มีธุระอะไร! ไม่เห็นหรือไงว่าฉันยุ่ง!”

“คุณชายฉือ ท่านประธานลั่วมีเรื่องอยากถามคุณ ขอความกรุณาให้คุณรีบกลับทันทีครับ”

“รอก่อน รอฉันจบเกมนี้ก่อนค่อย…เฮ้! เฮ้! อะไรกันวะ ทำไมเป็นหน้าเข้าสู่ระบบด้วยหมายเลขบัตรล่ะ!”

ลั่วฉือผุดลุกขึ้นจากโซฟา หน้าจอขนาดใหญ่ของอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ไม่ปรากฏภาพในเกม คิดไม่ถึงว่าโดนผู้อยู่เบื้องหลังอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ดีดออกจากระบบแล้ว

“พวกคุณ…”

“ขอโทษด้วยครับคุณชายฉือ ท่านประธานลั่วให้พวกเราพาคุณกลับไปเดี๋ยวนี้”

ลั่วฉือเห็นพวกเขาเป็นอย่างนี้ก็รู้ได้ว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดี เห็นได้ชัดว่าปู่รอฟาดเขา

เขามองเหลยอวี่ฉือที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งด้วยความหงุดหงิด เหลยอวี่ฉือทำหน้ามีความสุขที่ได้เห็นเขาเป็นทุกข์ พลางโบกมือไหวๆ ให้เขา

“กลับไปฝึกฝีมือให้เยอะๆ นะคุณชายฉือ นายอ่อนหัดจนฉันโหดร้ายกับนายไม่ลงเลย”

“ไสหัวไป เกมมันช่วยนายจีบสาวได้เรอะ”

ลั่วฉือสีหน้าไม่พอใจ ก่อนติดตามกลุ่มคนกลับไปอย่างไร้ทางเลือก

 

กลับไปถึง สถานการณ์ไม่ดีดังคาด เขาถูกปู่แท้ๆ คว้าไม้ปัดขนไก่ฟาดไปหนึ่งยก

หลังตีเสร็จ ลั่วฉือเพิ่งรู้ว่าถูกตีเพราะอะไร

จู่ๆ ก็ถูกใส่ความอย่างไม่เป็นธรรม เขาทำได้แค่เงยหน้ามองฟ้าพลันแผดเสียง “ผมถูกใส่ความ! ผมถูกใส่ความยิ่งกว่าโต้วเอ๋อซะอีก! ปู่ครับ ปู่ของผม ท่านเปาบุ้นจิ้นของผม ท่านต้องให้ความเป็นธรรมนะครับ หลานชายของปู่ยังบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่นะ!”

ลั่วเจิ้งถิงถึงกับเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ “ไอ้เด็กเวร อย่าคิดว่าฉันไม่รู้เรื่องที่แกก่อไว้ข้างนอก แม่ดารา แม่นางแบบอะไรนั่น แกขาดคนไหนไปบ้างล่ะ ก่อนนี้ใครที่มีข่าวอื้อฉาวยาวเป็นหางว่าว ฉันยังให้คนของฝ่ายประชาสัมพันธ์คอยจับตามองไม่ให้แกโผล่ออกมาเป็นข่าว”

ลั่วฉือเจ็บปวดเหลือคณา “ทำไมปู่ถึงคิดกับผมแบบนี้ล่ะครับ ผมแค่เล่นๆ ไม่ได้เสียสติสักหน่อย ผมจะไปหาเรื่องผู้หญิงพวกนั้นทำไม โดยเฉพาะยายไต้จิงจิง โรคจิตจะตาย!”

ลั่วเจิ้งถิงคร้านจะพูดเรื่องเหล่านี้กับเขา “มีจิตใจดีก็ทำตัวให้มันดีๆ หน่อย อย่าให้ฉันอายุปูนนี้แล้วยังต้องคอยตามล้างตามเช็ดให้แก แกไปขอโทษและยอมรับผิดกับปู่จู้ของแกเอาเองแล้วกัน อย่าให้ทั้งตระกูลลั่วต้องเสียชื่อเสียงเพราะแกคนเดียวจนพาให้เขารู้สึกไม่ดีกับลั่วหานไปด้วย”

ลั่วฉือไม่พอใจ “ปู่จู้ก็ดีแต่ห้ามคนอื่น แต่ตัวเองทำได้ ใครไม่รู้บ้างว่าเขามีลูกไม้เยอะแยะ อีกอย่าง ผมทำผิดก็ต้องเป็นผมที่รับผิด เกี่ยวอะไรกับน้องชายของผม เขาเป็นผู้บริสุทธิ์ตัวจริงเสียงจริง อีกนิดก็จะเป็นพระแล้ว”

“แกพูดเรื่องพวกนี้ไปก็ไร้ประโยชน์ เอาเป็นว่าหลังจากนี้ถ้าเขาสู่ขอภรรยาไม่ได้ก็เป็นเพราะแกที่ทำให้เขาเดือดร้อน”

“ผมจะไปทำให้เขาเดือดร้อนได้ไง วันนี้ผมยังช่วยไล่ศัตรูหัวใจให้เขาอยู่เลย เป็นหัวใจแม่แก่ที่มีแต่ความรักความห่วงใยให้เขานะครับ!”

“ศัตรูหัวใจอะไร”

“ก็ต้องเป็นหนุ่มๆ ที่มารุมตอมอยู่รอบๆ สวี่รุ่ยสิครับ เธอหน้าตาสวย นิสัยชวนให้หลงรัก ปู่คิดว่าชาวบ้านเขาตาถั่วหรือไง”

“จิ๊”

ลั่วเจิ้งถิงโยนไม้ปัดขนไก่ทิ้ง จู่ๆ ก็ถาม “สวี่รุ่ยกับน้องชายแกยืนยันความสัมพันธ์กันหรือยัง”

ลั่วฉือยักไหล่ “ผมจะไปรู้ได้ยังไงล่ะครับ เรื่องดีๆ ของพวกเขา ปู่ยังต้องเล่าให้ผมฟัง”

ลั่วเจิ้งถิงตรึกตรอง “มัวแต่อยู่ห่างกันคนละฟากฝั่งมหาสมุทรอย่างนี้ชักไม่ได้การ ต้องให้เจอหน้ากันบ่อยๆ ถึงจะดี ไว้ฉันโทร.ไปคุยกับลูกเขยฝรั่งและฉวยโอกาสนี้เรียกตัวหลานชายกลับมาอวยพรวันเกิดให้ครอบครัวฝั่งภรรยาเขา อ้อ ต้องเตรียมของขวัญราคาแพงไว้ด้วย”

ลั่วฉือทำลายภาพฝันนี้ “ปู่ครับ เรื่องนี้เร็วเกินไปหรือเปล่า”

ลั่วเจิ้งถิงเหลียวมองเขา “เร็วเหรอ เร็วตรงไหน ต้องทำตัวไม่เป็นโล้เป็นพายตั้งแต่ต่างประเทศจนถึงในประเทศ เล่นเท่าไหร่ก็ไม่พอเหมือนแกหรือไง”

ลั่วฉือหาเรื่องใส่ตัว เขาไม่พูดอะไรอีก คิดในใจว่าจะกลับไปคุยเรื่องนี้กับน้องชาย

บอกพวกเขาว่าเล่นสนุกกันให้พอ ไม่ต้องสนพวกผู้ใหญ่ที่อยากชี้นิ้วบงการ

 

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า