โชคลาภหมื่นล้านบันดาลรัก
天降横财一百亿
เจียงจื่อกุย 江子归 เขียน
เหวินหรง แปล
— โปรย —
เรื่องที่รู้ๆ กันอยู่สำหรับคนทั่วไปคือ
หากมีเงินและได้ใช้เงินนั้น ก็จะมีความสุข
แต่สำหรับ สวี่รุ่ย การต้องใช้เงินแต่ละหยวนในกรอบของการทดลอง
ทั้งเหนื่อย ทั้งลุ้น และแน่นอนว่ามีความสุข
ภารกิจการใช้เงินที่เธอต้องทำในแต่ละครั้งนับวันจะท้าทายขึ้นเรื่อยๆ
จำนวนเงินทะยานสู่หลักสิบล้าน
เดิมพันแต่ละครั้งยังคงเป็นชีวิตน้อยๆ ของเธอ
โชคดีที่ตอนนี้เธอมี ลั่วหาน
ซึ่งหายจากโรคภัยกลับมาแข็งแรงแล้วคอยช่วยเหลือเสมอ
ดังนั้นสวี่รุ่ยจะไม่ยอมแพ้ เธอจะใช้เงินพวกนั้นให้หมดเกลี้ยง
พิชิตทุกภารกิจเพื่อมีชีวิตรอดให้ได้!
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
86
พอถึงเวลากินอาหารเย็น สวี่รุ่ยเพิ่งนึกออกว่ายังไม่ได้มอบของขวัญของตัวเองให้ตาเลย
ดังนั้นก่อนนั่งลง เธอเดินไปหน้าที่นั่งของตา แล้วส่งถุงกระดาษใบเล็กของแวนคลีฟแอนด์อาร์เปลส์ให้
“ตาคะ วันนี้ตอนอยู่ที่ห้างสรรพสินค้า หนูเลือกของขวัญให้ตาหนึ่งชิ้น”
จู้หงเซินเลิกคิ้ว “ของขวัญอะไร”
สวี่รุ่ยเกาะไหล่ตาพลางบอกยิ้มๆ “ของขวัญวันเกิดไงคะ ใกล้จะถึงวันคล้ายวันเกิดตาแล้ว หนูให้ตาล่วงหน้า ขอให้ตามีความสุขทุกวันเหมือนอย่างวันนี้”
จู้หงเซินเปิดกล่องกำมะหยี่สีอ่อนใบนั้นออก และเห็นหน้าปัดนาฬิกาอัญมณีของแวนคลีฟแอนด์อาร์เปลส์สะท้อนเป็นประกายใต้แสงไฟ
“นาฬิกางั้นรึ ฉูดฉาดขนาดนี้เชียวเหรอ”
“เขาไม่ได้เรียกว่าฉูดฉาดค่ะ เขาเรียกว่ายิ่งใหญ่สมกับเป็นจักรวาล”
สวี่รุ่ยชักชวนให้ตาดูนาฬิกาพลางพูดอ่อนหวานเอาใจ “ตาดูสิคะ ด้านบนนี้เป็นจักรวาลเล็กๆ มีความหมายแฝงดีมาก ความมั่งคั่งของตากระจายอยู่ในหลายประเทศ แต่ก็ยังอยู่ในโลกใช่ไหมล่ะคะ พอตามีนาฬิกาเรือนนี้ ทั่วทั้งจักรวาลจะอยู่ในกำมือ พอตาเดิน มันจะหมุน ถ้าตาไม่เดิน ไม่เฉพาะโลกเท่านั้น ทั้งจักรวาลก็จะหยุดโคจรไปด้วย ดูสิคะว่าตาสำคัญมากแค่ไหน”
จู้หงเซินวางนาฬิกาลงพร้อมแค่นเสียงเหอะเบาๆ
เขามองยายเด็กเจ้าเล่ห์ตรงหน้า ก่อนถามเสียงเรียบ “ในเมื่อฉันสำคัญขนาดนั้น เธอจำได้หรือเปล่าว่าปีนี้ฉันฉลองวันคล้ายวันเกิดอายุกี่ปี”
สวี่รุ่ยเคร่งเครียดทันใด เธอช่างอกตัญญูเหลือเกิน ถึงกับจำไม่ได้จริงๆ ว่าปีนี้ตาอายุเท่าไร
แต่!
ถึงสวี่รุ่ยจำเรื่องที่ผ่านไปนานแล้วไม่ได้ ทว่ายังจดจำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนสองเดือนก่อนหน้านี้ได้
ช่วงเทศกาลตรุษจีน ตาเปิดเผยว่าตัวเองเกิดปีมะเมีย สวี่รุ่ยจึงมอบของขวัญชิ้นแรกเป็นตุ๊กตาลูกม้า…ดังนั้น ถ้าปีม้า สมองของเธอคิดคำนวณด้วยความไวแสง ค้นหาปีที่เหมาะสมพบอย่างรวดเร็ว
“ต้องจำได้สิคะ”
สวี่รุ่ยแสร้งยิ้มอย่างใจเย็น คิดพลางพูด “ปีนี้ตาน่าจะอายุหกสิบ…เก้า! ใช่ไหมคะ”
จู้หงเซินชำเลืองมองเธอ มุมปากหยักยิ้ม “ถูกต้อง ฉลาดบ้างแล้วนี่”
เดิมสวี่รุ่ยยังภาคภูมิใจในตัวเอง แต่พอโดนแฉแบบนี้ ยังจะพูดกันดีๆ ได้อีกหรือ!
ขณะนั้นเองคนรับใช้ทยอยนำอาหารมาวางจนเต็มโต๊ะ สองตาหลานจึงนั่งประจำที่เพื่อกินอาหาร
สวี่รุ่ยคุยกับตาเรื่องงานเลี้ยงของคนกลุ่มนั้น พูดไปได้ไม่กี่คำ จู่ๆ ตาก็ถามเธอ “เธอให้ของขวัญวันเกิดแล้ว แต่ของขวัญปีใหม่กลับยังไม่เห็นแม้แต่เงา”
สวี่รุ่ยชะงักงัน เธอเกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้ว แต่พอตาชำเลืองมองก็พลันนึกขึ้นได้
ก่อนไปทัวร์ขั้วโลกใต้ เธอเคยบอกว่ากลับมาแล้วจะชดเชยของขวัญปีใหม่ให้ตา เธอจัดเตรียมไว้แล้วจริงๆ
ตอนสวี่รุ่ยกับลั่วหานเดินทางไปยังท่าเรือล็อกรอยซื้อโปสการ์ดจากที่นั่นมาเป็นปึก เธอเขียนคำอวยพรของตัวเองและส่งให้ญาติมิตรที่อยู่ในซีกโลกเหนืออันไกลโพ้นจากดินแดนทางตอนใต้สุดของโลก และด้วยกลัวว่าจะส่งไปไม่ถึง โดยเฉพาะของตา สวี่รุ่ยจึงคัดลอกไว้ถึงสิบชุดด้วยกัน
ลองคำนวณดู อีกประมาณหนึ่งถึงสองเดือนก็น่าจะส่งมาถึงแล้ว
จู้หงเซินได้ยินก็ชะงักมือที่ถือตะเกียบ “ต้องใช้เวลาอีกเดือนสองเดือนเลยเหรอ”
สวี่รุ่ยขยิบตาให้ตา “ของขวัญสุดพิเศษก็ต้องไม่ธรรมดาสิคะ!”
“มันจะพิเศษสักแค่ไหนเชียว ฉันว่าเธอแค่เล่นสนุกไปวันๆ”
“เอาเถอะค่ะ รับประกันว่าส่งถึงมือตาแน่นอน ยังไม่พอใจอีกเหรอคะ”
“เหอะ”
แสงแรกของวันเพิ่งมาเยือนนิวยอร์ก ทำให้อัปเปอร์อีสต์ไซด์[1]ตกอยู่ท่ามกลางหมอกยามเช้า
ในสระว่ายน้ำของเพนต์เฮาส์แห่งหนึ่ง เด็กหนุ่มคนหนึ่งแหวกว่ายอยู่ในสายน้ำ เขามีรูปร่างสูงโปร่ง ท่าทางการเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว
บรรยากาศเงียบสงบ จนกระทั่งพ่อบ้านเข้ามาเตือน “คุณชายหานครับ มือถือของคุณดัง”
เด็กหนุ่มขึ้นจากสระว่ายน้ำ ผมสั้นของเขาเปียกลู่แนบหน้าผากเรียบเนียน ถัดลงมาเป็นดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกับจมูกโด่งเป็นสัน และริมฝีปากบางที่เม้มเข้าหากันเล็กน้อย ดูไม่ออกว่าเขาอยู่ในอารมณ์ใด
ร่างกายเขาสูงใหญ่ หยดน้ำที่ยังไม่ทันเช็ดให้แห้งไหลรินจากต้นคอลงไปยังแผ่นอกแข็งแกร่ง ก่อนร่วงไปตามกล้ามเนื้อหน้าท้องกับขายาวๆ นี่คือรูปร่างที่สมส่วนขึ้นทุกวันๆ
สาวใช้ยื่นผ้าเช็ดตัวและเสื้อคลุมอาบน้ำให้ ลั่วหานฉวยมาเช็ดตัวส่งๆ พลางกดรับสาย
ปลายสายคือลั่วฉือ “ตื่นหรือยังน้องชายสุดที่รัก ไม่ได้โทร.มารบกวนเวลานอนของนายใช่ไหม”
“ไม่ครับ”
“ว้าว นายตื่นเช้าขนาดนี้เลยเหรอ ที่นิวยอร์กเพิ่งกี่โมงเอง ฟ้าสว่างหรือยัง นายตื่นมาทำอะไรแต่เช้า”
“ออกกำลังกาย”
ลั่วหานวางมือถือไว้ข้างๆ พลางเปลี่ยนเสื้อเตรียมเข้ายิมเหมือนทุกวัน ครูฟิตเนสของเขามาถึงแล้ว และเตรียมจะสอนหลักสูตรซึ่งออกแบบมาให้ลั่วหานโดยเฉพาะ เพื่อฝึกฝนเขาให้ได้ผลดีที่สุดภายในระยะเวลาอันสั้น
และนี่เป็นช่วงเวลาพักเพียงช่วงเดียวที่จะหาได้จากตารางงานอันแน่นเอี้ยดของเขา
“ออกกำลังกายเช้าขนาดนี้เนี่ยนะ แต่ละวันนายได้นอนกี่ชั่วโมง อย่าคิดว่าแข็งแรงดีแล้วจะหักโหมได้นะ ฉันจะบอกให้ว่าปาฏิหาริย์มีเพียงครั้งเดียว…”
“พี่โทร.หาผมทำไม”
“ก็ต้องเกี่ยวกับเรื่องชีวิตการแต่งงานของนายน่ะสิ!”
ลั่วฉือกล่าวพลางยิ้มระรื่น “ฉันจะบอกนายว่าความสัมพันธ์เชิงชู้สาวของนายกับสวี่รุ่ยถูกเปิดเผยแล้ว!”
ลั่วหานชะงัก “หมายความว่ายังไง”
ลั่วฉือหัวเราะเจ้าเล่ห์ “พอเถอะน่า หยุดทำไขสือ เรื่องที่นายกับสวี่รุ่ยปกปิดจุดประสงค์ที่แท้จริงไว้แล้วแอบไปฉลองวาเลนไทน์กันที่ขั้วโลกใต้อย่างเปิดเผย ตาของเธอรู้เรื่องหมดแล้ว เขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟและต่อสายมาหาปู่บอกว่าจะหักขานาย!”
ลั่วหานขมวดคิ้ว “ตาจู้เข้าใจผิดแล้ว”
ลั่วฉือโวยวาย “เข้าใจผิดอะไรกัน ต่อหน้าฉัน นายยังเล่นละครอีกนะ! ปู่ตรวจสอบแล้ว ปีที่แล้วตอนนายกลับเมือง C นายไปพักที่บ้านสวี่รุ่ยใช่ไหม อยู่ฉลองปีใหม่กับเธอใช่ไหม”
ลั่วฉือพูดต่อโดยไม่รอให้ลั่วหานตอบ “นายวางใจได้ ไม่มีใครอยากตียวนยาง[2]ให้แยกจาก ปู่สนับสนุนเหมยเขียวม้าไผ่อย่างพวกนายมาก และเตรียมตัวจะเป็นพ่อสื่อให้แล้ว”
ลั่วหานไม่เคยกังวลว่าจะถูกขัดขวาง แค่ไม่ชอบอันตรายที่ซ่อนเร้น “แล้วตาของรุ่ยรุ่ย…”
พอพูดถึงตาของสวี่รุ่ย ลั่วฉือก็ไม่พอใจ และอดเล่าเรื่องที่ห้างสรรพสินค้าวันนี้ไม่ได้
ที่บ้านตระกูลจู้ในเมือง B สวี่รุ่ยเพิ่งกินมื้อเย็นเสร็จ ไม่นานก็ได้รับสายจากลั่วหาน
เธอยิ้มพร้อมกับจัดของที่ซื้อมาวันนี้ “มีอะไรรึเปล่าลั่วหาน”
ปลายสาย ลั่วหานเพิ่งคุยกับลั่วฉือเสร็จ จากนั้นก็รีบโทร.หาสวี่รุ่ย
แม้รู้ว่าเธอไม่ได้รับบาดเจ็บและไม่ถูกทำร้าย ทว่าก็ไม่อาจเก็บซ่อนความกังวลในน้ำเสียง “บ่ายวันนี้เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
สวี่รุ่ยกำลังดึงผ้าพันคอซาตินของแอร์เมสออก พอได้ยินว่าเพื่อนรักเป็นห่วงก็ยิ้มแล้วเอ่ยปลอบ “ไม่ต้องห่วง ฉันสบายดี ทำอย่างกับไม่รู้ว่าฉันวิ่งเร็วแค่ไหน! ทำไมนายรู้เรื่องเร็วอย่างนี้ล่ะ พี่ชายนายเล่าให้ฟังใช่ไหม”
ถ้าลั่วหานไม่ได้ยินเรื่องนี้ทางโทรศัพท์ มีหวังปล่อยหมัดใส่ลั่วฉือไปแล้ว แม้เขาไม่เคยเห็นด้วยกับการใช้กำลังแก้ปัญหา ต่อให้การใช้ความรุนแรงสามารถระบายอารมณ์ขุ่นเคืองได้ก็ตาม แต่เป็นการกระทำที่ไร้ความหมายและไร้ประโยชน์
อีกอย่าง เมื่อเทียบกับลั่วฉือ ยังมีคนอื่นที่ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้มากกว่า
หากไม่ใช่เพราะตาจัดการปัญหาเรียบร้อยแล้ว เวลานี้ลั่วหานไม่มีทางทำใจให้สงบลงได้ ยิ่งนึกถึงภาพที่เธอเกือบโดนคนรุมทำร้าย เขายิ่งอยากบินกลับประเทศเดี๋ยวนี้ แม้รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ได้สลักสำคัญก็ตาม
ลั่วหานสูดลมหายใจเข้าลึก “รุ่ยรุ่ย ต่อจากนี้อย่าให้บอดีการ์ดห่างตัวอีกนะ”
“ฉันรู้ ต่อไปจะไม่ทำยังงี้อีกแล้วละ บอกตามตรงนะ ฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่าจะเกิดเหตุการณ์จับบ้านเล็กในตำรากับตัวเองอย่างนี้ แย่ชะมัด!”
“ไว้กลับไปฉันจะพาบอดีการ์ดหญิงไปให้เธอด้วย บางทีเธอไม่สะดวกพาบอดีการ์ดชายไปด้วย”
สวี่รุ่ยได้ฟังก็รู้สึกว่าดี ถึงเธอจะมีเฉียนเสี่ยวลี่ ทว่าไม่มีทางดีเท่าคนของลั่วหานแน่นอน มีไว้สักคนก็ไม่เลว ไม่ต้องกังวลว่าจะจ่ายเงินเดือนไม่ไหว ซื้อความอุ่นใจไว้สักหน่อย
“งั้นดีเลย ขอบคุณนะ! จริงสิ นายจะกลับประเทศเหรอ จะกลับมาเมื่อไหร่”
“อืม กลับไปร่วมงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดตาของเธอ”
“ฮ่าๆ ไม่ถึงกับเป็นงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดหรอก แค่งานเล็กๆ เท่านั้น”
สวี่รุ่ยหัวเราะ แต่ฉุกคิดบางอย่างได้ จึงเอ่ยอย่างลำบากใจนิดหน่อย “ลั่วหาน มีบางเรื่องที่ฉันรู้สึกผิดต่อนายมากๆ ฉันไม่เคยบอกนาย ครั้งนี้ถ้านายกลับมาร่วมงานวันคล้ายวันเกิดตาของฉัน เกรงว่าสถานการณ์จะไม่ค่อยดี”
ลั่วหานปาดเหงื่อตรงหน้าผาก “พี่บอกฉันแล้ว ตาของเธอเข้าใจความสัมพันธ์ของพวกเราผิด และไม่พอใจฉันมาก ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะอธิบายกับตาเธอเอง”
“เฮ้อ ฉันว่ายาก”
“ไม่ต้องกลัว ฉันจะพยายามทำให้ตาเธอชอบฉันให้ได้”
แม้ลั่วหานพูดเสียงแหบพร่าและแตกพานเล็กน้อย ทว่ากลับหนักแน่นมั่นคง สวี่รุ่ยฟังแล้วรู้สึกไว้วางใจ จนถึงขั้นลืมว่าในประโยคนั้นขาดไปหนึ่งคำ
ไม่ได้เอะใจว่ามีตรงไหนแปลกๆ
“อืม ฉันเชื่อนาย แต่ถึงตอนนั้นถ้าตาดุนาย นายอย่าเก็บไปใส่ใจนะ ฉันจะปกป้องนายแน่นอน!”
เสียงหัวเราะแผ่วเบาแว่วมาจากปลายสาย “อืม แล้วเจอกันนะ”
“โอเค ไว้เจอกันนะ บ๊ายบาย!”
สวี่รุ่ยวางสาย ก่อนกวาดตามองสินค้าจำนวนมากที่ได้มาวันนี้และนำไปกองไว้ในห้องเสื้อผ้า เดี๋ยวก็มีคนช่วยเธอจัดระเบียบมันเอง ทุกอย่างแค่รอให้เธอหยิบใช้
สุดสัปดาห์นี้ เธอนอนหลับสบายอยู่ที่บ้าน
ที่นอนในห้องนอนปูด้วยผ้าปูเตียงยี่ห้อปราเตซี ไม่เพียงมีสีสันสวยงาม แต่ยังบรรจงเย็บปักบนผืนผ้าอย่างประณีต ทำให้นอนไปพร้อมกับสัมผัสที่นุ่มละมุนและอ่อนโยนต่อผิว
วิธีที่ดีที่สุดคงหนีไม่พ้นสวมกางเกงในตัวเดียว ให้ผิวหนังทั่วเรือนร่างจมอยู่ในเตียงนุ่มดุจขนนก และหลับฝันดีจนถึงเช้า
เพื่อปัดเป่าปัญหากวนใจให้หมดสิ้น
เมื่อเทียบกับสวี่รุ่ยที่หลับฝันดีตลอดคืน หยางเหล่ยโชคร้ายกว่ามาก
เดิมเธอก็โดนรังแกที่ห้างสรรพสินค้า เสียงและคลิปวิดีโอที่บันทึกไว้ในมือถือถูกบังคับให้ลบออกทั้งหมด แผนการที่จะเปิดโปง “ธาตุแท้” ของสวี่รุ่ยจึงล้มเหลวไม่เป็นท่า
ใครเลยจะรู้ว่าพอกลับถึงบ้านยังโดนด่าอีก
“ก่อนหน้านี้ฉันบอกแกว่ายังไง ให้แกเป็นเพื่อนกับสวี่รุ่ย ปรากฏว่าแกทำอะไร ยังไปแอบถ่ายเธออีก แกแอบถ่ายเรื่องแบบนั้นไปทำไม คนเขาเห็นแล้วแกยังจะไม่ยอมรับ แกจะเก็บไว้ทำไม จะเอาไปข่มขู่เขาเหรอ”
แม่หยางเจ็บใจที่ไม่อาจหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้า[3] หล่อนจิ้มหน้าผากลูกสาว “แกคิดอะไรอยู่กันแน่”
หยางเหล่ยโมโหมากกว่าแม่ซะอีก จึงตะโกนเสียงดังลั่น “แล้วยังไงคะ พวกเขาแย่งมือถือของหนูไปลบทิ้งก็ได้งั้นเหรอ!”
แม่หยางมองลูกสาวอย่างขุ่นเคือง “ถ้าฉันรู้ ฉันจะลบทิ้งเหมือนกัน สิ่งที่แกเก็บไว้คือบ่อเกิดของหายนะ ถ้ามีใครเอาไปโพสต์ลงโซเชียลจริงๆ คนแรกที่เขาจะคิดถึงก็คือแกไม่ใช่หรือไง ทำไมแกถึงได้โง่ขนาดนี้”
หยางเหล่ยจ้องมารดาเขม็งแล้วบอกว่า “ถึงหนูจะโง่ แต่แม่ทำให้หนูเกิดมา ทำไมแม่ต้องคอยพูดแทนคนอื่นอยู่เรื่อย!”
แม่หยางโกรธจนปวดหัว หล่อนชี้นิ้วใส่ลูกสาวพลางบอกว่า “ฉันหวังดีต่อแก ฉันส่งแกไปโรงเรียนนี้เพื่ออะไร ไม่ใช่เพราะหวังให้แกเริ่มต้นสร้างเส้นสายจากที่นั่นเหรอ แกคิดว่าครอบครัวของแกมีอำนาจมากหรือไง จะส่งต่อไปให้แกได้ไหม แต่แกไม่รู้จักคบเพื่อน ไม่หัดทำตัวดีๆ ไปทำให้ชาวบ้านเขาไม่พอใจ แกจะได้ดีได้ยังไง”
ใช่ว่าหยางเหล่ยไม่รู้ความต้องการของมารดา แต่รู้ก็ส่วนรู้ จะให้นอบน้อมถ่อมตน เธอทำไม่ได้หรอก
มีสิทธิ์อะไร!
“ใครให้แกนอบน้อมถ่อมตนไม่ทราบ การคบเพื่อนเป็นการนอบน้อมถ่อมตนเหรอ ถ้าแกไม่อยากคบเขาเป็นเพื่อนก็ไม่จำเป็นต้องทำให้คนเขาไม่พอใจ อีกอย่างนะ มีกี่คนที่อยากนอบน้อมถ่อมตนก็ยังไม่มีโอกาสนี้ ให้โอกาสแกแล้วแต่ยังคว้าไว้ไม่ได้! ถ้าแกจะตายก็ตายเพราะความโง่นี่ละ”
“จะตายเพราะความโง่ก็ให้มันตายไปเลย แม่ไม่ต้องมายุ่ง”
หยางเหล่ยไม่ยอมลดทิฐิ เธอลุกขึ้นยืนแล้วมุ่งหน้ากลับห้อง ทว่ากลับได้ยินมารดาพูดประโยคหนึ่งตามหลัง “พรุ่งนี้แกไม่ต้องไปโรงเรียนแล้วนะ”
เธอชะงักฝีเท้า มองด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ “ทำไมล่ะคะ ทำไมถึงไม่ต้องไปโรงเรียน”
แม่หยางเอ่ยเสียงเย็นชา “พ่อบอกให้แกไปต่างประเทศก่อนกำหนด จัดเตรียมโฮสต์แฟมิลีไว้ให้แล้ว แกไม่ต้องไปโรงเรียนอีก”
หยางเหล่ยได้ยินก็ตกใจ “หนูไม่ไป! หนูจะอยู่ซู่เหรินต่อ!”
“เรื่องนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแก อย่าคิดว่าฉันไม่รู้เรื่องที่แกโกหกว่าจะหาคนมาสอนเพื่อจะไปสอบ ที่จริงแล้วแกชอบผู้ชายคนนั้น”
“แม่คะ!” หยางเหล่ยตาแดงก่ำ เธอไม่เคยชอบใคร ขอเพียงให้เวลาเธออีกสักหน่อย พี่อวี่ต้องชอบเธอแน่นอน
ตรงไหนที่เธอสู้สวี่รุ่ยไม่ได้บ้าง ก็แค่มีตาที่ดีคนหนึ่งไม่ใช่หรือไง
ทว่านั่นก็เป็นแค่ตา ไม่ใช่หลานสายตรงสักหน่อย แถมยังไม่ใช่หลานชาย จะสูงส่งสักแค่ไหนกันเชียว!
แม่หยางมองท่าทางแบบนี้ของลูกสาวแล้วโมโห แต่ก็อดสงสารไม่ได้ หล่อนทอดถอนใจ “ใช้ชีวิตดีๆ ไม่ชอบ จะต้องวอนหาเรื่องใส่ตัวให้ได้ ฉันจะพูดกับแกยังไงดี…เฮ้อ แกเริ่มเรียนรู้ที่จะเป็นเด็กดีจากเรื่องครั้งนี้ก็แล้วกัน ใช่ว่าทุกคนในโลกใบนี้จะตามใจแก”
สองวันต่อมา หวังเคอเจี๋ยพลันวิ่งมาบอกด้วยท่าทางลับลมคมใน “ข่าวดี เมื่อกี้ฉันออกจากห้องพักครู เห็นแม่ของหยางเหล่ย ได้ยินว่าหล่อนจะลาออกไปต่างประเทศ”
สวี่รุ่ยนิ่งอึ้ง “นี่เพิ่งเปิดเทอมเองนะ ทำไมกะทันหันแบบนี้ล่ะ”
ถึงแม้นักเรียนของโรงเรียนนี้เกินครึ่งจะไปเรียนต่อต่างประเทศ แต่นั่นเป็นเรื่องต่อจากนี้ ถ้าไปต่างประเทศตอนนี้ต้องไปเรียนต่อมัธยมปลายที่นั่น การเรียนหนังสืออยู่ที่นี่ถ้าไม่ใช่เพราะไม่สะดวก ก็ไม่วางใจ หรือไม่ก็มีแผนอื่น
ไม่ว่าจะเพราะสาเหตุใดก็ไม่ควรกะทันหันอย่างนี้
หวังเคอเจี๋ยยักไหล่ “ไม่รู้สิ รีบร้อนน่าดู ไม่สงสัยเลยว่าทำไมวันนี้หยางเหล่ยถึงไม่มาเรียน”
พอพูดยังงี้ สวี่รุ่ยก็พบว่าหยางเหล่ยไม่ได้เข้าเรียนตลอดคาบเช้า
หวังเคอเจี๋ยมีนิสัยสอดรู้สอดเห็นเรื่องของคนอื่นอยู่บ้าง “หล่อนก็แค่ลูกแหง่ รออีกสักสองปีแล้วไปต่างประเทศอาจพอก้าวหน้าขึ้นบ้าง แต่ไปต่างประเทศตอนนี้ แค่หาโฮสต์แฟมิลีหรือโรงเรียนประจำที่ทนหล่อนได้ก็ยากแล้ว พอถึงตอนนั้นไม่มีใครรู้จักหล่อน ดูสิว่าหล่อนจะเอาเปรียบใครได้”
คนในห้องที่ไม่ชอบหยางเหล่ยมีไม่น้อย พอเด็กสาวโต๊ะข้างๆ ได้ยินเรื่องนี้ก็ร่วมวงสนทนาด้วย
“ถ้าไม่หาโฮสต์แฟมิลีให้ดีละก็แย่แน่ พี่สาวฉันมีเพื่อนคนหนึ่ง โรงเรียนหาโฮสต์แฟมิลีให้ แทบถูกทรมานเกือบตาย ไม่ใช่แค่กล่าวหาว่าหล่อนขโมยของอยู่บ่อยๆ แค่อาบน้ำไม่ถึงสิบนาทีก็หาว่าชักช้าอืดอาด แถมยังเอาแต่ใช้หล่อนให้คอยเลี้ยงเด็กและสัตว์เลี้ยงโดยไม่จ่ายเงินให้สักแดงเดียว”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็น่าสงสารมากเลยนะ โฮสต์แฟมิลีที่ดีก็มี คงไม่โชคร้ายขนาดนั้นหรอกมั้ง”
“ต่อให้ได้ครอบครัวที่ดี แต่ถ้าหยางเหล่ยไม่ยอมปรับตัวให้เข้ากับคนอื่น จากดีๆ ก็กลายเป็นแย่ได้”
“ใช่ ไปต่างประเทศแล้วจะมีใครยอมให้หล่อนเอาเปรียบเหมือนพวกเราอีก”
อันที่จริงสวี่รุ่ยก็สนใจกับเรื่องนี้ไม่แพ้กัน
ไม่กี่วันที่ผ่านมาเธอกลับไปพักที่บ้าน ทว่าหากรอบกายมีคนชอบเอารัดเอาเปรียบ แถมยังชอบสร้างปัญหาแบบนี้ก็น่าหงุดหงิดอยู่เหมือนกัน
ต้องคอยระวังแผนการของคนที่คิดปองร้ายตลอดเวลา
ไม่มีคนอย่างนี้อยู่ก็ดี
…
ทุกคนต่างเบิกบานใจเมื่อพบเจอเรื่องน่ายินดี สวี่รุ่ยถึงกับกินอาหารเพิ่มอีกหลายจานตอนอยู่ที่โรงอาหาร
“ช่วงนี้เธอเจริญอาหารนะ”
“คนกำลังโตไงคะ กินเยอะๆ จะได้ตัวสูงๆ”
เหลยอวี่ฉือมองจานอาหารว่างเปล่าตรงหน้า “ถ้าไม่สูง แต่ขยายออกด้านข้างล่ะ”
สวี่รุ่ยไม่สะดุ้งสะเทือน เธอกัดเนื้อวัวชิ้นหนึ่งก่อนบอกว่า “ฉันออกกำลังกายทุกวัน เพียงแต่สองสัปดาห์ที่ผ่านมาต้องอยู่ในหอพักเลยออกกำลังกายไม่ได้ รอให้ฉันกลับไปอยู่บ้านก็เริ่มออกกำลังได้เหมือนเดิม ฉันไม่กลัวหรอก”
เหลยอวี่ฉือเลิกคิ้ว “ต่อไปเธอจะไม่อยู่หอพักของโรงเรียนแล้วเหรอ”
สวี่รุ่ยพยักหน้าพลางคลี่ยิ้ม “ความจริงฉันไม่ค่อยชินกับการอยู่หอพักของโรงเรียน ต่อให้หอพักสภาพดีแค่ไหนก็เถอะ”
เหลยอวี่ฉือยักไหล่ “เธอเป็นคุณหนู ไม่ชินก็เป็นเรื่องปกติ ฉันยังสงสัยว่าทำไมเธอถึงยังเรียนหนังสือในประเทศ”
สวี่รุ่ยรู้ว่าหลายคนสงสัยเรื่องนี้ ถึงอย่างไรชนชั้นสูงพวกนั้นมักส่งลูกหลานไปเรียนต่างประเทศตั้งแต่เด็ก ทำแม้กระทั่งไปคลอดที่ต่างประเทศ หรือย้ายถิ่นฐานการลงทุนและโอนสินทรัพย์ ก็เป็นเรื่องที่พบเห็นได้บ่อยครั้ง
คนที่เรียนต่อในประเทศคือส่วนน้อย โดยปกติมักมีเหตุผลเป็นกรณีพิเศษ
อย่างเช่นลั่วฉือที่เชื่อมั่นกับมหาวิทยาลัยภายในประเทศ หรือพวกที่สอบไม่ผ่าน ไม่ก็เป็นเหมือนสวี่รุ่ยที่ความสัมพันธ์ในครอบครัวค่อนข้างซับซ้อน
เหลยอวี่ฉือเห็นเธอเงียบอยู่นานจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ช่วงนี้ฉันพัฒนามินิเกมเกมหนึ่ง เธออยากลองเล่นดูหรือเปล่า”
“เกมเหรอ”
“ใช่” เหลยอวี่ฉือยกยิ้มมุมปากพลางจับจ้องสวี่รุ่ยไม่ละสายตา ทำราวกับว่ามองเท่าไรก็ไม่เคยพอ
“ผ่านด่านแล้วจะมีเซอร์ไพรส์”
“ว้าว ได้สิคะ”
สวี่รุ่ยจิบน้ำ ความจริงเธอไม่สนใจเรื่องเกมมากนัก แต่ในเมื่อลงทุนกับสิ่งนี้ ทำความเข้าใจไว้สักหน่อยก็ไม่เสียหาย แค่เล่นเกมสักพักคงไม่มีปัญหา ดังนั้นจึงพยักหน้าบอกว่า “ได้ค่ะ ฉันจะกลับไปลองเล่น”
ลองเล่นครั้งหนึ่งใช้เวลาถึงสามสี่วัน สวี่รุ่ยไม่ได้เล่นอย่างต่อเนื่อง จึงไม่ผ่านด่านสักที
กลายเป็นว่าพริบตาเดียวก็ถึงวันที่ต้องย้ายกลับไปอยู่บ้าน
“โธ่ เพิ่งมาอยู่ได้แค่สองสัปดาห์เธอก็จะกลับบ้านแล้ว พอไม่มีหยางเหล่ย ห้องนอนของพวกเราน่าอยู่จะตาย ทำไมเธอต้องรีบร้อนกลับไปด้วย”
หวังเคอเจี๋ยดึงแขนสวี่รุ่ย ไม่อยากให้ไป หากสวี่รุ่ยจากไป ห้องนี้จะเหลือเพียงเธอกับฟ่านเจียหลิน
“ใช่ ความจริงพักอยู่ในโรงเรียนก็สะดวกสบายดีนะ”
ฟ่านเจียหลินเอ่ยเสียงแผ่ว หล่อนเองก็ไม่อยากให้สวี่รุ่ยไป ตั้งแต่สวี่รุ่ยมาอยู่ด้วย บรรยากาศในหอพักปรองดองกันมาก
ทว่าสวี่รุ่ยจำเป็นต้องไป การเรียนก็ว่ารัดตัวแล้ว หากการใช้ชีวิตยังขยับตัวไปไหนไม่ได้อีก จะเกิดปัญหายุ่งยากกับการทำภารกิจในอนาคต
คนที่มารับสวี่รุ่ยคือเหมยหลิง หล่อนสั่งให้คนย้ายสัมภาระไปไว้ที่ท้ายรถทีละใบ ก่อนหันมาขอโทษสวี่รุ่ยตอนท้าย
“หา ขอโทษเรื่องอะไรคะ”
“ก่อนหน้านี้ฉันมัวแต่สนใจคัดเลือกคนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับจู้ซื่อกรุ๊ป ไม่ได้หาข้อมูลเรื่องความประพฤติของเพื่อนร่วมห้องของคุณหนูจนเกือบสร้างความเดือดร้อนให้ นี่เป็นข้อผิดพลาดในการทำงานของฉันเองค่ะ หวังว่าคุณหนูจะให้อภัย”
เหมยหลิงแย้มยิ้มรู้สึกผิด หล่อนยอมรับความผิดพลาดครั้งนี้ด้วยความนอบน้อมและจริงใจ
“โธ่ ความประพฤติของคนเราดูออกกันได้ง่ายๆ ที่ไหนกันคะ ต้องอยู่ร่วมกันถึงจะรู้”
สวี่รุ่ยระบายยิ้ม ไม่เก็บมาใส่ใจนัก
แม้ไม่สนใจ ทว่าเมื่อขึ้นนั่งบนรถ และหวนนึกถึงคำพูดของเหมยหลิงเมื่อครู่ สวี่รุ่ยพลันจับประเด็นบางอย่างได้
สวี่รุ่ยเหลียวมองเหมยหลิงซึ่งนั่งทางซ้าย “คือว่า…ที่หยางเหล่ยไปต่างประเทศคงไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับฉันใช่ไหมคะ”
“นั่นเป็นการตัดสินใจของครอบครัวตระกูลหยางเองค่ะ”
เหมยหลิงยิ้มเอ่ย “พวกเราแค่ช่วยเธอคัดเลือกโรงเรียนที่เหมาะสมเท่านั้น อย่างไรซะก็เป็นเรื่องฉุกละหุก จึงไม่ค่อยสะดวกสบายนัก และเรื่องนี้พวกเราสามารถช่วยได้ คุณหนูไม่ต้องกังวลไปค่ะ”
ทั้งที่ฟังแล้วดีทุกถ้อยคำ แต่พอนำมารวมกัน ความหมายออกจะแปร่งพิกลไปหน่อย
สวี่รุ่ยไม่ซักไซ้ นี่ไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องมานั่งคิดถึงอีกต่อไป
…
วันหยุดสุดสัปดาห์ที่ได้กลับบ้านคืนนั้น หลังสวี่รุ่ยกับตากินอาหารเสร็จไม่นานก็มีแขกมาหา
เป็นลั่วฉือที่แบกกิ่งขวาก[4]ไว้บนหลังนั่นเอง
เขาขายาว ตัวสูง สวมเสื้อขนเป็ดสีขาวแบรนด์กุชชี คลี่ยิ้มประจบเอาใจเต็มที่ ดูไม่ต่างจากมาร์ชเมลโลบนไม้ปลายแหลม
“ผมมาขอโทษน้องสวี่รุ่ยแล้วครับ ปู่จู้ที่รัก!”
[1] ย่านที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้สูงในแมนฮัตตัน ตั้งอยู่ระหว่างเซ็นทรัลพาร์กกับแม่น้ำอีสต์
[2] หรือเป็ดแมนดาริน เป็นสัตว์ที่มีคู่เพียงตัวเดียวตลอดชีวิต จึงเป็นสัญลักษณ์ของรักแท้และรักนิรันดร์
[3] หมายถึง การตั้งความหวังหรือเข้มงวดเพื่อให้คนคนนั้นได้ดิบได้ดี แต่ต้องเจ็บใจที่คนคนนั้นไม่รู้จักพัฒนาตัวเอง
[4] มาจากสำนวน แบกหนามขอขมา หมายถึง ยอมรับผิดโดยไร้ข้อโต้แย้ง และกล่าวขอโทษด้วยความจริงใจ