[ทดลองอ่าน] ท่านประมุขหลงลืมฟื้นรัก เล่ม 3 บทที่ 83

ท่านประมุขหลงลืมฟื้นรัก เล่ม 3

教主走失记

 

Yishihuashang 一世华裳 เขียน

RML แปล

 

โปรย

หมากสีขาวใกล้จะถูกเปิดโปง
รอบกาย เย่โย่ว และ เหวินเหรินเหิง จึงยิ่งเต็มไปด้วยอันตราย
เย่โย่วรีบรุดพาพรรคธรรมะบุกรังของมนุษย์โอสถ
จากการต่อสู้ชิงไหวพริบ
กำลังจะดำเนินไปสู่การนองเลือดครั้งใหญ่
อันเป็นบทสรุปของหนี้แค้นในอดีต
พวกเขาจะสามารถจัดการหมากสีขาวให้สิ้นซากได้หรือไม่
และตัวตนของใครเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องลวงบ้าง
บางทีผู้ที่กินยาของหมากสีขาวอาจมีมากกว่าที่คิดเสียแล้ว
ความจริงอันดำมืดของยุทธภพจะต้องกระจ่างในการต่อสู้ครานี้

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 83

 

ในท้ายที่สุดเย่โย่วก็ไม่ได้ยอมรับคำขอของติงสี่ไหล

เขากล่าวอย่างอดทนว่า “เจ้าเป็นประมุขน้อยแห่งหอหลิงเจี้ยน แต่ข้ามิได้เป็นอะไรเลย จึงไม่มีเหตุผลที่เจ้าจะต้องยกข้าเป็นพี่ใหญ่มิใช่หรือ”

ติงสี่ไหลกล่าว “คุณชายเสี่ยวอย่าพูดเช่นนั้นเด็ดขาด หากเจ้าไม่ได้เป็นอะไรเลย แล้วข้าจะเป็นอะไรได้เล่า”

เย่โย่วกล่าว “ประมุขน้อยแห่งหอหลิงเจี้ยน”

ติงสี่ไหล “…”

ติงสี่ไหลรู้สึกแย่เล็กน้อย เพราะคิดว่าหมดหวังเรื่องนี้แล้ว

เขารู้ว่าเวลานี้ต้องคิดหาวิธีแก้ปัญหา แต่หัวสมองโง่เขลาเหลือเกิน ท่ามกลางความสับสนพลันเกิดความคิดชั่ววูบว่าจะกรีดข้อมืออย่างองอาจกล้าหาญ เทเลือดลงในชามแล้วยกดื่ม แต่แล้วก็ตระหนักได้ว่ายุ่งยากเกินไป อยากจะใช้เลือดสาบานก็ใช่ว่าจำเป็นต้องทำเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นควรทำอย่างไรเล่า

เหวินเหรินเหิงเหลือบมองเขาปราดหนึ่ง แล้วเอ่ยแทรกว่าร่างกายของศิษย์น้องยังไม่ฟื้นตัวและต้องการพักผ่อน ซึ่งถือเป็นการไล่แขกอย่างสุภาพ

ติงสี่ไหลไม่กล้ากำเริบเสิบสานต่อหน้าเขา ในขณะที่เว่ยเจียงเย่ว์กรุ่นไปด้วยความในใจทับถมกัน ครั้นรู้ว่าไม่เหมาะจะปริปากพูดในตอนนี้ จึงเดินออกไปกับติงสี่ไหล จากนั้นก็เข้าไปในห้องพักโดยไม่หันกลับมามองอีกเลย ติงสี่ไหลที่ถูกปล่อยทิ้งไว้เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมองเหรินเส้าเทียน อยากร้องไห้ทั้งที่ไม่มีน้ำตา

เหรินเส้าเทียนพานายน้อยกลับห้องแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เขาพูดมีเหตุผล”

ติงสี่ไหลถาม “อะไรหรือ”

เหรินเส้าเทียนตอบ “นายน้อยคือประมุขน้อยแห่งหอหลิงเจี้ยนนะขอรับ”

ติงสี่ไหลร่ำไห้ “ข้าเลือกเกิดไม่ได้ ทำไมต้องเลือกปฏิบัติกับข้าเล่า”

เหรินเส้าเทียนบอกนายน้อยอย่างจนใจว่าไม่ใช่การเลือกปฏิบัติ แต่หอหลิงเจี้ยนเป็นหนึ่งในสองกองกำลังที่ทรงอำนาจของยุทธภพ นี่จึงไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นายน้อยเป็นบุตรชายคนเดียวของประมุขหอ จะต้องเป็นผู้สืบทอดหอหลิงเจี้ยนในอนาคตอย่างแน่นอน

ติงสี่ไหลไม่เข้าใจ “แล้วอย่างไร”

เหรินเส้าเทียนถาม “หากประมุขหอพบเจอพี่ใหญ่กะทันหัน แล้วยอมเป็นน้องเล็กของเขา นายน้อยคิดว่าอย่างไรขอรับ”

ติงสี่ไหลโพล่งโดยไม่คิดว่า “ข้าจะคิดว่าท่านพ่อบ้าไปแล้ว”

เหรินเส้าเทียนเอ่ยกลั้วหัวเราะ “นายน้อยก็เหมือนกันขอรับ”

“อย่าล้อเล่นสิ ข้าจะเป็นแบบเดียวกับท่านพ่อได้อย่างไรกัน” ติงสี่ไหลกล่าว “หากข้ามีความสามารถเท่าท่านพ่อ ก็คงมีอำนาจมานานแล้ว”

เหรินเส้าเทียนกล่าว “ยามนี้ยังไม่สายเกินไปที่นายน้อยจะเริ่มพากเพียรอย่างหนัก”

“แต่นายน้อยของเจ้าช่างโง่เหลือเกิน” ติงสี่ไหลเจ็บปวดยิ่งนัก เมื่อเห็นเขายังจะเอ่ยปากจึงตบไหล่เบาๆ “ข้าเข้าใจความหมายของเจ้า เจ้าจะบอกว่าข้าเป็นตัวแทนของหอหลิงเจี้ยน จะยกคนอื่นเป็นพี่ใหญ่ง่ายๆ ไม่ได้ แล้วเจ้าว่าข้าควรทำอย่างไรเล่า ทำตัวเป็นลูกผู้ลากมากดีต่อไปก็ย่อมได้ แต่เสี่ยวจงไม่อยู่แล้ว วันหน้าย่อมไม่มีใครไปเที่ยวเล่นกับข้าน่ะสิ”

เขาคิดถึงเสี่ยวจง และนึกถึงสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในครั้งต่อไปที่ได้พบหน้ากัน จึงถอนหายใจ แล้วค่อยๆ คลานขึ้นไปขดตัวบนเตียง

เหรินเส้าเทียนมองแผ่นหลังเล็กๆ ของอีกฝ่ายแล้วเสนอว่า “ไม่อย่างนั้นนายน้อยก็ลองตะล่อมถามท่านประมุขหอเกี่ยวกับเรื่องนี้ หากประมุขหอเห็นพ้องด้วย คุณชายเสี่ยวย่อมไม่ปฏิเสธเป็นแน่”

ติงสี่ไหลถามอย่างไม่สบายใจ “ท่านพ่อจะฆ่าข้าหรือเปล่า”

เหรินเส้าเทียนหัวเราะร่วนทว่าไม่ตอบ

ติงสี่ไหลฉุกคิดได้ในครานี้ เขาคิดในใจว่าแม้แต่ตัวเองยังรู้สึกได้ว่าท่านพ่อจะมีน้ำโห มิน่าเล่าคุณชายเสี่ยวจึงไม่ยอมรับเขา นี่เป็นเรื่องวู่วามโดยแท้ เขาคิดทบทวนสักพัก พลิกตัวลุกจากเตียง เช็ดหน้า ก่อนจะวิ่งออกไปผลักประตูห้องของท่านพ่อด้วยท่าทางฮึกเหิม

 

**********

 

ในเวลานี้ประมุขติงเพิ่งขึ้นมาที่ชั้นบนได้ไม่นาน เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวก็ปรายตามองอีกฝ่ายอย่างเย็นชาปราดหนึ่ง

ติงสี่ไหลสำรวมกิริยาทันที “ท่านพ่อ ท่านกินอาหารเสร็จแล้วหรือ”

ประมุขติงเอ่ย “อืม”

ติงสี่ไหลก้าวเข้าไปในห้องอย่างสงบนิ่ง เมื่อเห็นบิดาจ้องมองตนอีกครั้งก็รินชาให้อย่างคล่องแคล่ว “ท่านพ่อ ดื่มชา”

น้ำชานี้ชงไว้ตั้งแต่ตอนเที่ยง ไม่เพียงแค่เหลือติดก้น แต่ยังเย็นชืดมานานมากแล้ว อีกทั้งในถ้วยชายังเต็มไปด้วยกากตะกอน ในสมองของติงสี่ไหลอัดแน่นไปด้วยเรื่องราวของคุณชายเสี่ยว เมื่อยื่นถ้วยชาออกไปจึงเพิ่งตระหนักได้ว่าแย่แล้ว ขณะนี้สายตาของทั้งสองต่างจับจ้องไปที่ถ้วยชา

ประมุขติง “…”

ติงสี่ไหล “…”

ขณะที่ติงสี่ไหลกำลังจะแก้ไขสถานการณ์ ประมุขติงก็ยกขึ้นจิบหนึ่งอึก น้ำเสียงยังคงเย็นชาดังเดิม “มีอะไรก็ว่ามา”

“เอ่อ อะไร…แค็ก” ติงสี่ไหลเกริ่นว่า “ข้าคิดว่าคุณชายเสี่ยวเป็นคนฉลาด”

ประมุขติงกล่าว “เจ้าจึงอยากติดตามเขาใช่หรือไม่”

ติงสี่ไหลตั้งตัวไม่ทัน “…อะไรนะ”

ประมุขติงกล่าว “คิดว่าข้าไม่รู้หรือ”

ติงสี่ไหลกุมหัวใจที่กำลังพองโตเอาไว้ “แล้ว…”

“ไม่ได้” ประมุขติงตะเบ็งลั่น

ติงสี่ไหลร้อนใจมาก “เขาฉลาดถึงเพียงนั้น…”

ประมุขติงขัด “ถ้าเจ้ามีวิธีทำให้เขายอมรับเจ้าเป็นน้องบุญธรรม ข้าก็ไม่ขัดข้อง”

ติงสี่ไหลถึงกับผงะแล้วถามว่า “ถ้าทำไม่ได้เล่า”

ประมุขติงตอบ “ถ้าทำไม่ได้ เจ้าก็อย่าหวังจะได้ครอบครองหอหลิงเจี้ยนในภายภาคหน้าเช่นกัน”

ติงสี่ไหลรู้สึกราวกับถูกขุนเขาบดขยี้ในทันใด แต่ความคิดของท่านพ่อยังดีกว่าความคิดของเขาที่จะไปเป็นน้องเล็กของผู้อื่น จึงสูดหายใจเข้าลึกๆ และเดินโซซัดโซเซออกไป เมื่อเหรินเส้าเทียนเห็นประมุขหอส่งสายตามาก็ไม่ได้ตามออกไป เพียงหยุดยืนอยู่นิ่งๆ

ประมุขติงครุ่นคิดสักพักแล้วถามว่า “เจ้าคิดว่าคุณชายเสี่ยวปฏิบัติต่อเขาอย่างไร”

“ไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้ดีเกินไป เพียงเตือนไม่กี่คำเท่านั้น กลับช่วยนายน้อยได้มากขอรับ” เหรินเส้าเทียนกล่าวต่อ “หาได้ยากที่นายน้อยจะเต็มใจฟังคำของผู้อื่น ผู้น้อยคิดว่าหากคุณชายเสี่ยวยินดีรับนายน้อยจริง นายน้อยจะต้องเก่งขึ้นแน่นอน”

ประมุขติงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “อืม คอยดูเขาด้วย ให้เขาเพลาๆ ความโง่งมลงบ้าง”

เหรินเส้าเทียนกลั้นหัวเราะแล้วรับคำ ก่อนจะถอยกลับออกไป

 

**********

 

ท้องฟ้ามืดสลัวลงอย่างรวดเร็ว ทว่าภายในเมืองเซิ่งอินยังคงมีชีวิตชีวามาก

เมื่อคุณชายเสี่ยวกลับมาอย่างปลอดภัย ทุกคนพลันสบายใจยิ่งนัก จึงมีคนไปหอสุราและหอคณิกามากขึ้นด้วย บรรดาจอมยุทธ์ร่ำสุราพลางพูดคุยกัน ถกกันสามคำก็ไม่พ้นเรื่องคุณชายเสี่ยว จนทำให้ผู้คนรอบข้างได้ยินแล้วอยากรู้อยากเห็นตามไปด้วย

ยามนี้ผู้ที่ถูกกล่าวขวัญถึงได้ปลดแถบผ้าพันแผลบนใบหน้าออกแล้ว เขาหยิบตำราเล่มหนึ่งแล้วเอนตัวนอนลงบนตักของศิษย์พี่อย่างเกียจคร้าน ไม่ได้พลิกอ่านสักหน้านานครู่ใหญ่ เหวินเหรินเหิงลูบผมยาวสลวยของเขาแล้วตวัดม้วนเล่นอยู่หนึ่งปอย ก่อนจะถามว่า “คิดสิ่งใดอยู่”

เย่โย่วกล่าว “ข้องใจว่าพวกเขาคิดอะไรกัน”

หายากนักที่หมากสีขาวจะเคลื่อนไหวได้ดี แต่กลับถูกเขาก่อกวน หมอเทวดาจี่และคนอื่นๆ ปลอดภัยไร้กังวล ส่วนราชันโอสถมารและลูกสมุนกลุ่มหนึ่งหายตัวไป ฉงอวิ๋นยังไม่ทราบว่าเป็นหรือตาย เรื่องนี้น่าจะแพร่สะพัดไปเข้าหูของหมากสีขาวแล้ว หมากสีขาวจะมีปฏิกิริยาอย่างไรบ้างหนอ

เหวินเหรินเหิงกล่าว “บางทีเราอาจเป็นฝ่ายเริ่มก่อนได้บ้าง”

เย่โย่วเงยหน้าขึ้นมอง

เหวินเหรินเหิงกล่าว “รุกคืบขณะได้เปรียบ”

เย่โย่วเข้าใจทันทีว่าศิษย์พี่หมายถึงอะไร เขาครุ่นคิดอย่างจริงจัง ขณะจะปริปากกลับเห็นศิษย์พี่จ้องมองไม่วางตา จึงกล้ำกลืนคำพูดที่อยากกล่าวอย่างรู้กาลเทศะ แล้วพยักหน้าเอ่ยรับว่า “ตกลง”

เหวินเหรินเหิงจูบเขาด้วยความพึงพอใจครู่หนึ่ง จากนั้นก็กดแนบริมฝีปากพลางพูดว่า “ไม่เลว ข้ายังคิดอยู่ว่าหากเจ้ากล้าพูดว่าเจ้าจะทำเรื่องนี้เอง ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไว้เด็ดขาด”

เย่โย่วลืมตาขึ้นและพูดกลบเกลื่อน “ข้าจะคิดแบบนั้นได้อย่างไร ต้องปรึกษาท่านทุกเรื่องอยู่แล้ว”

เหวินเหรินเหิงเชยคางเขา แล้วปล่อยไปชั่วคราว

 

**********

 

วันรุ่งขึ้นทุกคนตื่นแต่เช้าตรู่

คราวนี้เย่โย่วนั่งโต๊ะเดียวกันกับเหล่าผู้อาวุโส กินอาหารเช้าอย่างแช่มช้า พยายามเคลื่อนไหวแสร้งว่าอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงจริงๆ

เจ้าอาวาสฉือหยวนและอีกหลายคนไม่รบกวนเขา จนกระทั่งเห็นว่าใกล้จะกินข้าวเสร็จ เจ้าสำนักเก่อถึงเอ่ยปากว่า “ตอนนี้บ้านของผู้นำสหพันธ์ถูกไฟไหม้จริงๆ แล้ว พวกเราจะทำอย่างไรดี”

เย่โย่วถาม “เหล่าผู้อาวุโสคิดเห็นประการใด”

เจ้าสำนักเก่อกล่าว “ข้าคิดว่าผู้นำสหพันธ์อาจไม่ใช่หมากสีขาวตัวจริง หมากสีขาวเป็นคนอื่น แต่ก็เป็นไปได้เช่นกันที่ผู้นำสหพันธ์อยากให้พวกเราระแวงกันเอง จึงจงใจจุดไฟเผาบ้านตัวเอง เจ้าคิดเช่นนั้นหรือไม่”

“ข้ายังคิดเห็นเหมือนเดิม และยังรู้สึกว่าผู้นำสหพันธ์มีผู้สมรู้ร่วมคิดด้วย” เย่โย่วกล่าว

เจ้าสำนักเก่อถาม “นอกจากข้อสงสัยที่ว่าบุตรชายของเขาอาจถูกลักพาตัวไป และอาจารย์เซียวกับฝูผิงอาจไม่ได้มีเจ้านายคนเดียวกัน ยังมีหลักฐานอื่นอีกหรือไม่”

เย่โย่วตอบ “ไม่มี แต่หมากสีดำไม่ได้เคลื่อนไหวมาหลายวันแล้ว บัดนี้เราอยู่ในช่วงหยุดชะงัก ไม่รู้ว่าเขาจะเดินหมากตาต่อไปหรือไม่ ลองรอกันหน่อยเถิด”

ทุกคนเงียบกริบทันที

หลายคนนึกอยากจับตัวเขามาเขย่าสักสองครั้ง เพื่อบังคับถามว่าเขาเป็นหมากสีดำใช่หรือไม่ หากเป็นจริงให้รีบสารภาพที่อยู่ของหมากสีขาวมา พวกเขาจะได้กำจัดอีกฝ่ายแล้วกลับบ้านกันเสียที!

แม้เจ้าสำนักเก่อจะคลางแคลงใจอยู่เล็กน้อย แต่ก็รู้สึกว่าไม่สามารถทำอันใดได้ เพราะคนผู้นี้เป็นปฏิปักษ์กับหมากสีขาวตั้งแต่แรกแล้ว แม้จะเป็นหมากสีดำจริงก็ไม่ได้ทำให้เขาประหลาดใจ

เย่โย่วมองพวกเขาพลางถามอย่างรู้ทัน “มีอะไรหรือ”

ทุกคนเบนสายตาออก แล้วบอกเขาว่าไม่มีอะไร

เย่โย่วถาม “สงสัยว่าข้าเป็นหมากสีดำหรือ”

ทุกคนรีบร้อนโบกมือปฏิเสธ

เซี่ยจวินหมิงไม่มีอะไรต้องกริ่งเกรงจึงเอ่ยถามว่า “แล้วตกลงเจ้าเป็นหรือไม่เล่า”

ทุกคนพลันกระตือรือร้น เป็นครั้งแรกที่มองเซี่ยจวินหมิงแล้วไม่รู้สึกขัดตา

เย่โย่วบอกปัด “ไม่รู้สิ ข้าความจำเสื่อม”

ทุกคน “…”

เซี่ยจวินหมิงกล่าว “ใครจะไปรู้ว่าเจ้าความจำเสื่อมจริงหรือแกล้งทำ”

ทำได้ดี!

ผู้คนเริ่มถูกใจเขามากขึ้นเรื่อยๆ

ท่ามกลางความเงียบงันระคนตึงเครียด เย่โย่วเอ่ยว่า “มันเป็นเรื่องจริง”

เซี่ยจวินหมิงอุทาน “โอ้”

นี่จบแล้วหรือ

ทุกคนมองไปทางเซี่ยจวินหมิงอย่างไม่กระโตกกระตาก เมื่อเห็นเจ้าหมอนี่ดื่มชาไปหนึ่งอึกก็จ้องมองเขาด้วยใบหน้าจริงจัง ล้วนรู้สึกว่าต้องกดดันให้หนักขึ้น ทว่ากลับได้ยินคนผู้นี้กล่าวเพียงว่า “ข้าถูกชะตาเจ้า ไหนๆ เจ้าก็ไม่รู้ว่าตนเองมาจากไหน มิสู้มาสวามิภักดิ์กับวังอู๋วั่งของข้าจะดีกว่า”

คนทั้งหลาย “…”

เย่โย่วกล่าว “ขอบคุณประมุขเซี่ยที่เมตตา ข้ายังอยากติดตามศิษย์พี่อยู่”

เซี่ยจวินหมิงทิ้งท้าย “หากวันไหนเจ้าเปลี่ยนใจ มาหาข้าได้ทุกเมื่อ ไปเถิดยอดรัก ไปฟังเพลงกัน”

“…” ผู้อาวุโสไป่หลี่ฝืนยิ้มครู่หนึ่ง แล้วเดินตามไปอย่างเงียบเชียบ

ดูท่าครานี้จะจบบริบูรณ์แล้ว ทุกคนติดอยู่ในห้วงภวังค์นั้น ต้องการจะสับเจ้าหมอนี่ให้แหลกเป็นหมื่นชิ้นเสียจริงๆ

พวกเขาไม่ควรฝากความหวังไว้กับเจ้านี่เลย!

            โต๊ะอาหารเงียบลงอีกครั้ง เย่โย่วกินโจ๊กคำสุดท้ายเสร็จก็เช็ดปากเรียบร้อย ก่อนจะหยัดกายยืนขึ้นท่ามกลางสายตาจดจ้องของทุกคน แล้วออกจากโต๊ะไปกับศิษย์พี่อย่างใจเย็น ทว่าเอาแต่อยู่ในห้องก็น่าเบื่อเกินไป เหวินเหรินเหิงจึงพาศิษย์น้องออกไปข้างนอกตั้งแต่ยังไม่เที่ยงวัน

 

**********

 

เว่ยเจียงเย่ว์จับตาดูความเคลื่อนไหวของพวกเขาอยู่ตลอด เมื่อสบโอกาสก็ตามออกไป ในที่สุดก็เข้าไปในโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง

เขาก้าวขึ้นไปบนชั้นสอง เคาะประตูห้องส่วนตัว พบถ้วยชาที่รินเต็มเปี่ยมอยู่บนโต๊ะสามใบ รู้ว่ามีคนรอคอยเขาอยู่ก่อนแล้ว จึงเดินเข้าไปนั่งแล้วเอ่ยถาม “เหตุใดเมื่อเช้านี้เจ้าถึงไม่อธิบายเล่า”

เย่โย่วกล่าว “เพราะข้าก็คิดว่าตัวเองเป็นหมากสีดำ”

เว่ยเจียงเย่ว์ส่ายหน้า “หมากสีดำอาจเห็นว่าเจ้าควบคุมสถานการณ์ได้ จึงใช้เจ้าดึงดูดความสนใจของหมากสีขาว”

เย่โย่วกล่าว “อันที่จริงข้าฟื้นคืนความทรงจำแล้ว”

เว่ยเจียงเย่ว์นิ่งงันไปสักพักก่อนจะโพล่งว่า “อะไรนะ”

เย่โย่วไม่ตอบ เพียงมองเขาเงียบๆ

เพียงเท่านี้เว่ยเจียงเย่ว์ก็รู้แล้วว่าเขาจะทำตามสัญญาที่เคยเดิมพันไว้ เว่ยเจียงเย่ว์สูดหายใจเข้าลึกๆ ขณะจะเอ่ยอีกครั้ง น้ำเสียงก็สั่นเครือเองโดยที่เจ้าตัวไม่ได้สังเกต “แล้วเจ้าใช่หรือเปล่า”

เย่โย่วตอบเบาๆ “อาจจะใช่กระมัง”

เว่ยเจียงเย่ว์ไม่อยากยอมรับ “ไม่หรอก หากเจ้ารู้ว่าหมากสีขาวคือผู้ใด เหตุใดจึงไม่บอกเล่า”

เพราะเหตุใดงั้นหรือ

เพราะแทนที่จะบังคับให้หมากสีขาวหันหลังให้ เขาอยากดูหมากสีขาวดิ้นรนต่อสู้ไปเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดก็ถูกตัดแขนตัดขา ถูกบีบบังคับให้ถึงคราวอับจนหนทางน่ะสิ

เย่โย่วดึงความคิดกลับมาแล้วตอบว่า “ข้าไม่มีหลักฐาน”

เว่ยเจียงเย่ว์กล่าวอย่างยากลำบาก “เจ้ายังคิดว่า…”

เย่โย่วยอมรับ “ใช่ ข้ายังคิดว่าพ่อของเจ้าน่าสงสัย”

เขาไม่รอให้คนผู้นี้ถามก็เล่าต่อ “อาจารย์ของข้าเสียชีวิตได้อย่างไร เดาว่าเจ้าคงรู้ แต่เจ้าไม่รู้ว่าจอมยุทธ์ที่ถูกไล่สังหารได้มอบสารแผ่นหนึ่งให้ข้าก่อนตาย ในนั้นเขียนไว้ว่าพ่อของเจ้าทำสิ่งใดไว้บ้าง ทว่าข้าไม่มีหลักฐาน คุณชายรองเว่ย ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการค้นหาความจริง ข้าก็อยากรู้ว่าสิ่งที่จอมยุทธ์กำลังตรวจสอบในตอนนั้นเป็นจริงหรือเท็จ บัดนี้มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ทำได้ ข้าจะแนะแนวทางให้ จงไปค้นห้องตำราของพ่อเจ้า หาดูให้ละเอียดสักหน่อย อาจมีห้องลับซ่อนอยู่ข้างใน”

ทุกถ้อยคำที่เย่โย่วเอ่ยทำให้เว่ยเจียงเย่ว์ตัวแข็งทื่อไปทีละส่วน จนในที่สุดก็แทบจะเค้นเสียงไม่ออก

เย่โย่วย้ำ “ข้ารู้ว่าย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้าคิดตรึกตรองให้ดีก่อน แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะไปทำหรือไม่”

เว่ยเจียงเย่ว์หลับตาแน่น “ไม่ต้อง ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”

เขาเป็นคนที่ตัดสินใจเด็ดขาด ทั้งยังจมอยู่ในห้วงความทุกข์และความว้าวุ่นใจเหลือแสนเช่นนี้มาหลายวัน แต่เขาทนมามากพอแล้ว

 

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า