ท่านประมุขหลงลืมฟื้นรัก เล่ม 3
教主走失记
Yishihuashang 一世华裳 เขียน
RML แปล
โปรย
หมากสีขาวใกล้จะถูกเปิดโปง
รอบกาย เย่โย่ว และ เหวินเหรินเหิง จึงยิ่งเต็มไปด้วยอันตราย
เย่โย่วรีบรุดพาพรรคธรรมะบุกรังของมนุษย์โอสถ
จากการต่อสู้ชิงไหวพริบ
กำลังจะดำเนินไปสู่การนองเลือดครั้งใหญ่
อันเป็นบทสรุปของหนี้แค้นในอดีต
พวกเขาจะสามารถจัดการหมากสีขาวให้สิ้นซากได้หรือไม่
และตัวตนของใครเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องลวงบ้าง
บางทีผู้ที่กินยาของหมากสีขาวอาจมีมากกว่าที่คิดเสียแล้ว
ความจริงอันดำมืดของยุทธภพจะต้องกระจ่างในการต่อสู้ครานี้
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 84
หลังจากเว่ยเจียงเย่ว์จากไป ห้องส่วนตัวพลันเงียบลง
เย่โย่วมีความสุขมากยามได้อยู่กับศิษย์พี่ตามลำพัง เขาจิบชาช้าๆ เมื่อเห็นศิษย์พี่ไม่ได้ปริปากก็เอ่ยถาม “คิดเรื่องของเว่ยเจียงเย่ว์อยู่หรือ”
เหวินเหรินเหิงระบายเสียงออกมา “อืม”
เย่โย่วกล่าว “จากที่ท่านรู้จักเขา เขาจะไปหรือไม่”
เหวินเหรินเหิงเอ่ยอย่างหนักแน่น “ไป”
เย่โย่วกล่าว “ถ้าเขาค้นหาสิ่งที่เป็นประโยชน์ได้จริงจะทำอย่างไร”
เหวินเหรินเหิงส่ายหน้า
เขาหยุดชั่วขณะแล้วเล่าว่า “เจ้ารู้ดีว่ายามปกติแล้วเจ้าสำนักเว่ยทำงานอย่างไร โดยพื้นฐานเป็นคนที่จัดการได้โดยไม่มีข้อผิดพลาด ที่บ้านก็น่าจะเหมือนกัน ตระกูลเว่ยมีกิจการของครอบครัวใหญ่โต มีสาขามากมาย ทว่ากลับแนบเนียนไร้ปัญหามาโดยตลอด ไม่เคยมีเรื่องวุ่นวาย เว่ยเจียงเย่ว์ได้รับการเลี้ยงดูอยู่ข้างกายเจ้าสำนักเว่ยมาตั้งแต่ยังเด็ก จึงเคารพเขามาก พวกเขาพ่อลูกมีความสัมพันธ์ที่ดีเสมอมา”
เย่โย่วเอ่ย “ข้ารู้”
เหวินเหรินเหิงกล่าวต่อ “แม้เว่ยเจียงเย่ว์จะแบ่งขาวดำชัดเจน แต่ถึงอย่างไรก็เป็นพ่อแท้ๆ หากหาหลักฐานได้จริง ข้าก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะต่อต้านพ่อในทันทีหรือไม่ ทว่าอย่างน้อยก็จะไม่ปล่อยปละละเลยอีกต่อไป” เขาเหลือบมองคนข้างกายแล้วเอ่ยว่า “โดยเฉพาะมีเจ้าอยู่ เขาย่อมไม่อาจแสร้งทำเป็นไม่รู้ ขึ้นอยู่กับเขาว่าจะเลือกอย่างไร”
เย่โย่วตั้งใจฟัง เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็อดมองศิษย์พี่ไม่ได้
เหวินเหรินเหิงเอ่ยอย่างอบอุ่นว่า “อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้ว่าเขาคิดกับเจ้าในทำนองนั้น”
เย่โย่วตอบ “ก็มีบ้าง ข้าคิดว่าหากจะว่ากันจริงๆ แล้ว เป็นเพราะเขารู้สึกผิดในใจ”
“ย่อมต้องรู้สึกผิดอยู่แล้ว” เหวินเหรินเหิงวิเคราะห์ “เขาเป็นคุณชายรองของสำนักเฟิงเสียน มีอำนาจ มีอิทธิพล เป็นคนตรงไปตรงมา วิทยายุทธ์ก็ไม่ได้อ่อนด้อย ชนะใจผู้คนได้ นับตั้งแต่เริ่มท่องยุทธภพ เมื่อเผชิญกับสิ่งใดก็จัดการได้อย่างยุติธรรม เจ้าอาจเป็นคนแรกที่ทำให้เขารู้สึกติดค้าง อันที่จริงเขาเคยนึกแปลกใจอยากรู้อยากเห็นในตัวเจ้าอยู่บ้าง หลังจากเกิดเรื่องของเว่ยเจียงโหรว ตราบใดที่เจ้าปรากฏตัว เขาจะค่อนข้างสนใจเจ้า เมื่อเวลาผ่านไป ย่อมเกิดความคิดอื่นเป็นธรรมดา”
แน่นอนว่ามีอีกสิ่งหนึ่งที่เขาไม่ได้พูด นั่นคือศิษย์น้องของเขามีเสน่ห์มากเกินไป
เขารู้สึกว่าไม่ช้าก็เร็วเว่ยเจียงเย่ว์ย่อมชอบพอศิษย์น้อง แม้จะไม่ได้พัวพันกับเว่ยเจียงโหรวก็ตาม เพราะเว่ยเจียงเย่ว์เป็นคนหยิ่งผยอง ย่อมต้องตาต้องใจผู้ที่เก่งกาจ เรื่องความเยี่ยมยุทธ์ของศิษย์น้องนั้นไม่ต้องพูดถึง ทั้งยังเป็นผู้ที่ควบคุมสถานการณ์ได้เสมอ ในภายภาคหน้าเว่ยเจียงเย่ว์ย่อมหวั่นไหวอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามยามนี้ศิษย์น้องจงใจสงบเสงี่ยมเก็บงำนิสัยที่แท้จริง หากวันหนึ่งวันใดกลับคืนสู่สถานะประมุขเย่ ไม่รู้ว่าเว่ยเจียงเย่ว์จะตกอกตกใจหรือไม่ เหวินเหรินเหิงคิดในใจ ในที่สุดก็เสริมว่า “หากเปลี่ยนเป็นก่อนหน้านี้ข้าบอกเขาว่าเจ้าสำนักเว่ยน่าสงสัย เกรงว่าคงทะเลาะกับข้าไปนานแล้ว ยามนี้มีเจ้าเพิ่มมา ผลกลับต่างออกไปเสียได้”
เย่โย่ววิเคราะห์น้ำเสียงเรียบเรื่อยของศิษย์พี่สักพัก แล้วชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง
“อะไร คิดว่าข้าจะหึงหรือ” เหวินเหรินเหิงเอ่ยพลางอมยิ้มเล็กน้อย “ข้าชินนานแล้ว”
เขาคุ้นชินแล้วจริงๆ
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ศิษย์น้องปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนมากเหลือเกิน แม้พรรคธรรมะจะกัดฟันกรอดด้วยความเกลียดชัง ทว่าหลายๆ คนกลับอิจฉายิ่งนัก ทั้งหนุ่มสาวทั้งหญิงชายก็รักและชื่นชมเขาไม่น้อย ลำพังที่เหวินเหรินเหิงรู้ก็ไม่ต่ำกว่าสิบคนแล้ว…ซึ่งก็เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ ผู้ที่สง่าผ่าเผยและเอาแต่ใจมักจะมีเสน่ห์ไม่ธรรมดาเสมอ
สิ่งเดียวที่เขารู้สึกขอบคุณคือศิษย์น้องไม่ได้เผยโฉมหน้านั้นออกมา มิฉะนั้นย่อมยั่วยวนคนได้มากกว่านี้อีกแน่ ทว่าเขาไม่เห็นคนทั่วไปอยู่ในสายตา กังวลเพียงเซี่ยจวินหมิงกับคุณหนูเถาเท่านั้น
เขามองสองตาของศิษย์น้องแล้วเชยคางเข้ามาใกล้อีกนิด “ไหนๆ บัดนี้เจ้าก็เป็นของข้าแล้ว ใครหน้าไหนก็ไม่สามารถชิงเอาไปได้”
หัวใจของเย่โย่วสั่นสะท้านเล็กน้อย อดเย้าแหย่ไม่ได้ “ถ้ามีคนชิงตัวข้าไป หรือข้าหนีไปกับคนอื่นเล่า”
เหวินเหรินเหิงกล่าว “ข้าจะไม่ให้โอกาสนั้นแก่เจ้า”
เย่โย่วกล่าว “ท่านหยุดข้าได้หรือ”
“หยุดไม่ได้” เหวินเหรินเหิงปล่อยมือ “ก็ได้ หากมีวันนั้นจริง ข้าจะไม่หยุดเจ้า แล้วไปหาคนที่ต้องใจตั้งแต่แรกพบเพื่อแต่งงานให้เป็นฝั่งเป็นฝา เมื่อถึงเวลานั้นก็อย่าลืมมาดื่มสุรามงคลของศิษย์พี่ด้วยเล่า”
เย่โย่วหัวเราะร่วน “จะไปหาใคร คุณหนูเสี่ยวโหรวสิท่า”
เหวินเหรินเหิงไม่ตอบ แต่ย้อนถามว่า “พูดถึงนาง ดูเหมือนยามที่เจ้าความจำเสื่อมจะถูกชะตากับนางนะ ยังเคยคิดจะจับคู่ให้ข้าด้วยใช่หรือไม่”
เย่โย่วเตือน “…ศิษย์พี่ ท่านคิดบัญชีแค้นเรื่องในอดีตไปรอบหนึ่งแล้ว”
เหวินเหรินเหิงกล่าว “ข้าคิดอีกรอบก็ได้ ใครใช้ให้เจ้าพูดสิ่งที่ข้าไม่ชอบฟังเล่า”
เย่โย่วหยุดพูดอย่างรู้ความ จากนั้นก็ดื่มชาจนหมดถ้วย แล้วกลับไปเอ่ยถามหัวข้อก่อนหน้านี้ “หลายปีนี้ท่านสนิทกับเว่ยเจียงเย่ว์หรือ”
พอได้ยินเช่นนี้ เหวินเหรินเหิงก็รู้แล้วว่าศิษย์น้องต้องการสื่อถึงเรื่องใด
เขาผูกมิตรกับตระกูลเว่ยมาร่วมสิบปี รู้จักมักจี่กับเว่ยเจียงเย่ว์มาเกือบสิบปีเช่นกัน แทบไม่เคยหักหาญน้ำใจกันเลย เป็นความสัมพันธ์ที่ดีมาก ตอนนี้เว่ยเจียงเย่ว์ประสบกับสถานการณ์เช่นนี้ ศิษย์น้องจึงอยากตะล่อมถามว่าเขามีความคิดเห็นอย่างไร
เย่โย่วมองเขา “หืม?”
เหวินเหรินเหิงจับมือศิษย์น้องมาเล่นอย่างอ้อยอิ่งแล้วกล่าวว่า “ในช่วงหลายปีนี้ข้าไม่ค่อยได้ระบายความในใจกับเขามากนัก”
เย่โย่วถาม “เพราะเหตุใด”
เหวินเหรินเหิงตอบ “เพราะเจ้า”
ตั้งแต่จากกันอย่างกะทันหันเมื่อสิบปีก่อน เขาก็คิดถึงแต่เรื่องของศิษย์น้อง
จำได้ว่าก่อนนั้นหลังจากเจ้าสำนักเว่ยช่วยเขาจัดการงานศพของอาจารย์แล้ว ยังเคยเชิญพวกเขาไปที่สำนักเฟิงเสียนเพื่อหาหมอมาตรวจดูอาการให้ แต่ศิษย์น้องได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจมากเกินไป ทุกวันจะต้องกอดป้ายหลุมศพของอาจารย์อยู่อย่างนั้นช่วงหนึ่ง เขาจึงปฏิเสธเรื่องนี้ แล้วอดทนอยู่เคียงข้างศิษย์น้อง ต่อมาเมื่อศิษย์น้องกลับมาที่จงหยวน เขารู้สึกได้ว่าศิษย์น้องปกปิดบางอย่าง จึงจงใจรักษาระยะห่างกับตระกูลเว่ย แม้จะรู้จักกันมาเนิ่นนาน แต่มิตรภาพนั้นกลับไม่ดีเท่าที่เขามีกับฉินเย่ว์เหมียน
เย่โย่วตกใจเล็กน้อย คิดได้ว่าศิษย์พี่นั้นหลอกยากจริงๆ แล้วถามว่า “ท่านไม่กลัวจะเข้าใจผิดหรือ”
เหวินเหรินเหิงกล่าว “ความสัมพันธ์ของข้ากับพวกเขาก็ไม่ได้แย่นัก รอให้ข้าหาวิธีแงะปากของเจ้าให้ได้ก่อน หากเป็นเรื่องเข้าใจผิดจริง ค่อยมาพูดเปิดอกก็ยังไม่สาย”
เย่โย่วถึงกับไปต่อไม่ถูก ยามนี้ได้ยินเสียงฝีเท้าดังแว่วมาจากด้านนอก ดูเหมือนจะมุ่งมาหาพวกเขา จึงรอดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูสองครั้ง ฉินเย่ว์เหมียนกับคุณหนูเถาก็เข้ามา
เหวินเหรินเหิงมองไปทางสหายสนิท
ฉินเย่ว์เหมียนยังคงมีท่าทางของคุณชายเจ้าสำราญเหมือนในอดีต แล้วอธิบายด้วยรอยยิ้มว่า “ว่างก็เลยเบื่อ จึงชวนคุณหนูเถาออกมาจิบน้ำชา ตอนขึ้นมาชั้นบนก็เห็นคนของสำนักซวงจี๋พอดี จึงแวะมาทักทาย”
เย่โย่วเอ่ยกลั้วหัวเราะ “มาได้ประจวบเหมาะ เดี๋ยวกินข้าวด้วยกันสิ”
ฉินเย่ว์เหมียนกล่าว “อะไรนะ”
เย่โย่วเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ไม่มีอะไรหรอก แค่กินอาหารเท่านั้น ครานี้ข้ารอดตายมาได้หวุดหวิด ไม่กี่วันก่อนเพิ่งลงจากเตียงได้ ควรค่าแก่การฉลองสักหน่อย”
ฉินเย่ว์เหมียนไม่เชื่อสักคำ แต่ในเมื่อคนผู้นี้พูดเช่นนั้น เขาจึงใช้เป็นข้ออ้างเพื่ออยู่ต่อ
**********
พวกเขาพูดคุยกันจนถึงเที่ยงวัน แล้วไปต่อที่ภัตตาคารใหญ่ที่สุดในเมือง นึกไม่ถึงว่าจะพบเซี่ยจวินหมิงที่นั่น
เซี่ยจวินหมิงรู้ว่าใครบางคนไม่มีทางไม่สนใจกระเพาะของตนเป็นแน่ ดังนั้นเมื่อไม่เห็นคนผู้นั้นอยู่ในโรงเตี๊ยม เขาจึงเสี่ยงดวงมาที่ภัตตาคารแห่งนี้ แล้วก็พิสูจน์ได้ว่าตนเองดวงดีมากจริงๆ เขายิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ช่างบังเอิญอะไรเช่นนี้ พวกเจ้าก็มากินอาหารหรือ”
เหวินเหรินเหิงเอ่ย “ประมุขเซี่ยก็เช่นกันหรือ”
“อืม มิสู้มากินด้วยกันจะดีกว่า” เซี่ยจวินหมิงมองไปทางผู้อาวุโสไป่หลี่ที่อยู่ข้างๆ “ยอดรัก เจ้าว่าอย่างไร”
ผู้อาวุโสไป่หลี่สบสายตาขี้เล่นของท่านประมุข จึงตกลงอย่างว่าง่ายแล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ดีเลย เปิ่นจั้วอยากรู้จักคุณชายเสี่ยวสักหน่อย ไปกันเถิด”
บรรดาจอมยุทธ์ในโถงใหญ่มองตามหลังจนคนเหล่านี้ขึ้นไปชั้นบน แล้วซุบซิบนินทากันยกใหญ่ทันที
พวกเขากระซิบกระซาบกันอย่างอดไม่ได้ โดยทั่วไปหัวข้อจะวนเวียนอยู่ที่ฉินเย่ว์เหมียน คุณหนูเถา เซี่ยจวินหมิง และประมุขเย่ ไม่มีเหตุผลอื่นใด แต่เพราะตอนอยู่ที่วัดเส้าหลิน ฉินเย่ว์เหมียนมักจะตัวติดกับคุณหนูเถา หลังจากเซี่ยจวินหมิงมา เมื่อพวกเขาเห็นฉินเย่ว์เหมียนและคุณหนูเถาอยู่ด้วยกัน ก็ไม่มีการเอ่ยแสดงความไม่พอใจ จากนั้นประมุขเย่ก็มาสมทบและสนิทสนมกับเซี่ยจวินหมิงอย่างรวดเร็ว
พวกเขาจึงคิดว่าในกลุ่มนั้นจะต้องมีความขัดแย้งกันอย่างลับๆ แน่นอน!
“ข้ารู้สึกว่าเซี่ยจวินหมิงต้องเห็นคุณหนูเถาอยู่ที่นี่แน่ ถึงต้องตามมากินข้าวด้วยให้ได้”
“ไม่กระมัง หากข้าจะเอาใจภรรยา แล้วพบคนรักเก่าของนางบนท้องถนน ข้าจะหาวิธีไม่ให้พวกเขาอยู่ใกล้ชิดกันเด็ดขาด”
“อืม ข้าคิดเสมอว่าเพราะประมุขเย่เกี้ยวคุณหนูเถาไม่สำเร็จ จึงมาคบหากับเซี่ยจวินหมิง เพื่อดูว่าคุณหนูเถาจะหึงหวงหรือไม่”
“แต่ดูแล้วประมุขเย่ไม่ใช่คนไร้เดียงสาถึงเพียงนั้น…”
ผู้คนมีความคิดเห็นแตกต่างกัน ทว่าในท้ายที่สุดก็หันมาสนใจปมเรื่องระหว่างเซี่ยจวินหมิงกับประมุขเย่ รู้สึกว่าหากทั้งสองคบหากันขึ้นมาจริงๆ ละก็ น่ากลัวว่าต่อไปจะได้เห็นเจ้าตัวป่วนสองคนนี้ออกมาทำร้ายผู้คนพร้อมกันบ่อยๆ เป็นแน่ แต่ไม่ทันไรก็มีคนกล่าวว่าฝีปากของประมุขเย่ดูเหมือนจะมีพิษสงน้อยลง เก็บอารมณ์ได้มากขึ้น อาจเป็นเพราะพบคนที่ใช่ เมื่อพิจารณาจากมุมมองนี้ เรื่องระหว่างเขากับเซี่ยจวินหมิงก็ไม่ได้เลวร้ายนัก
คนอื่นๆ ลังเล “…หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นนะ”
คนที่เป็นหัวข้อของบทสนทนาเหล่านั้นย่อมไม่สนใจสายตาของผู้อื่น
พวกเขากินอาหารมื้อนี้จนถึงตอนเย็น แล้วยังขอไพ่นกกระจอกจากเสี่ยวเอ้อร์มาตั้งวงเล่นไพ่กันด้วย กระทั่งเสี่ยวเอ้อร์คิดว่าพวกเขาจะกินมื้อเย็นที่นี่ แต่ปรากฏว่าทันทีที่ถึงเวลาอาหาร กลับเห็นพวกเขาออกไป จึงพูดไม่ออก
เซี่ยจวินหมิงเอ่ยถาม “คุณชายเสี่ยวเพิ่งหายจากอาการป่วย ต้องการพักผ่อนแล้วงั้นหรือ”
เย่โย่วเอ่ยกลั้วหัวเราะ “ข้าคิดว่ายังเร็วไป พวกเราไปฟังเพลงกันเถิด”
เซี่ยจวินหมิง ฉินเย่ว์เหมียน และคนอื่นๆ ใช้เวลาอยู่กับเย่โย่วตลอดทั้งบ่าย พวกเขาเห็นท่าทางเช่นนี้แล้วยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าน่าสงสัย ต่างตัดสินใจจะอยู่เป็นเพื่อนเย่โย่วทั้งวัน จึงตามไปที่โรงละคร
**********
เมืองเซิ่งอินเจริญรุ่งเรืองมาก บัดนี้มีกลุ่มคนจากยุทธภพมาเพิ่มอีกกลุ่มใหญ่ กิจการของโรงละครจึงเป็นที่นิยมและคึกคักอย่างยิ่ง
หลายคนสบตาคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่ทราบฝ่ายชัดเจน จึงขอที่นั่งบนชั้นสอง กินอาหารพลางฟังเสียงดนตรีไปด้วย จนกระทั่งใกล้ปิดร้านถึงได้กลับออกมา เซี่ยจวินหมิงและฉินเย่ว์เหมียนมองไปที่ใครบางคนพร้อมกัน
เย่โย่วเอ่ยอย่างอ่อนแรง “ศิษย์พี่ ข้าเหนื่อยแล้ว”
พวกเขา “…”
เหวินเหรินเหิงพยุงอย่างรู้ใจ “เช่นนั้นเรากลับโรงเตี๊ยมกันเถิด”
เย่โย่วตอบรับ “ดี”
“เดี๋ยวก่อน” เซี่ยจวินหมิงเอ่ย “ตกลงวันนี้เล่นละครตบตาอะไรกันหรือเปล่า”
เหวินเหรินเหิงใจเย็นมาก “ศิษย์น้องรอดชีวิตจากอันตรายมาได้ ข้าอยากอยู่กับเขาให้สบายใจ ขอบคุณทุกท่านอย่างยิ่งที่ให้เกียรติ”
หลายคนจ้องพวกเขาเขม็งอย่างสงสัย
เหวินเหรินเหิงกล่าว “กลับกันเถิด”
เซี่ยจวินหมิงยิ้มครึ้มอกครึ้มใจออกมาทันที เขาจับมือใครบางคนไว้แล้วพูดอย่างรักใคร่ว่า “อาโย่ว ถ้าอย่างนั้นเรากลับกันเถิด ข้ามัวเพลิดเพลินกับละครเมื่อครู่นี้ เลยไม่ได้พูดคุยอะไรกับเจ้า วางใจได้ เดี๋ยวคืนนี้ข้าจะชดเชยให้เจ้าอย่างงามทีเดียวเชียว”
ผู้อาวุโสไป่หลี่ “…”
มันไม่ใช่ธุระอะไรของข้า! เจ้าหงุดหงิดท่านประมุขกับฮูหยินก็อย่าพานมาโกรธข้าจะได้หรือไม่ ข้าก็สับสนมึนงงไม่แพ้กันนะ!
เขาอดชำเลืองมองท่านประมุขด้วยความขุ่นเคืองไม่ได้
เย่โย่วหัวเราะคิกคักอยู่ในใจ ในที่สุดเขาก็เกิดมีมโนธรรม แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่พอให้พวกเขาได้ยินว่า “เข้านอนแต่หัววันเถิด พวกเจ้าจะได้รู้ผลไม่กลางดึกก็พรุ่งนี้”
หลังจากนั้นเซี่ยจวินหมิงและคนอื่นๆ จึงค่อยพอใจ ก่อนจะกล่าวลาและกลับที่พักไป
**********
ยามราตรีอันมืดมิด
เมื่อพวกเขากลับไป กลุ่มคุณชายสำนักต่างๆ ก็เดินกอดคอโอบไหล่กันมาถึงโรงเตี๊ยม ติงสี่ไหลเหลือบเห็นคุณชายเสี่ยวจึงเข้าไปหา ขณะจะเอ่ยกลับเห็นเหวินเหรินเหิงประคองคุณชายเสี่ยวไว้ จึงเอ่ยด้วยความเป็นห่วงว่า “เกิดอะไรขึ้นกับคุณชายเสี่ยวหรือ”
เหวินเหรินเหิงกล่าว “เที่ยวเล่นดึกไปหน่อยเลยเหนื่อยเท่านั้น”
ติงสี่ไหลกล่าว “ถ้าอย่างนั้นรีบขึ้นไปชั้นบนกันเถิด”
เหวินเหรินเหิงพยักหน้า แล้วพาศิษย์น้องจากไป
เย่โย่วแสร้งทำเป็นอ่อนแอและเดินไปกับศิษย์พี่อย่างเชื่อฟัง เมื่อหันไปมองมุมบันได ก็บังเอิญสบสายตากับเหรินเส้าเทียน ทว่าอีกฝ่ายกลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วมองออกไปทางอื่น จึงประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง
เหวินเหรินเหิงถาม “มีอะไรหรือ”
เย่โย่วกล่าว “ครั้งที่แล้วยามข้าประสบอุบัติเหตุ เหรินเส้าเทียนมีท่าทีผิดปกติหรือไม่”
“เหรินเส้าเทียน?” เหวินเหรินเหิงหวนคิด “ไม่มี เขาแค่บอกว่าหากมีข่าวเกี่ยวกับเจ้าก็ช่วยบอกพวกเขาด้วย ทำไมหรือ”
เย่โย่วกล่าว “ไม่มีอะไร เพียงถามไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น”
เหวินเหรินเหิงชายตามองเขาปราดหนึ่ง
เย่โย่วยังพิงเหวินเหรินเหิงต่อ “ศิษย์พี่ ข้าเหนื่อย”
เหวินเหรินเหิงพูดไม่ออก เมื่อเห็นว่าห่างอีกเพียงไม่กี่ก้าวก็จะถึงแล้ว จึงอุ้มเขาขึ้นแล้วเข้าไปในห้อง
**********
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เย่โย่วถูกปลุกด้วยเสียงดังเอะอะโวยวายอยู่พักหนึ่ง
ในตอนนี้ท้องฟ้ายังมืดอยู่ เขาอดขดตัวซุกไปที่ซอกคอของศิษย์พี่ทั้งที่ยังหลับตาไม่ได้
เหวินเหรินเหิงคลี่ยิ้มและโอบกอดเขาไว้ “ไม่ออกไปรึ”
เย่โย่วกล่าว “ข้าร่างกายอ่อนแอ นอนหลับให้มากสักหน่อยก็เป็นเรื่องสมควรอยู่แล้ว”
เหวินเหรินเหิงย่อมตามใจ จึงเอนนอนอยู่ด้วยกันอีกสักพัก ครั้นได้ยินเสียงเคลื่อนไหวดังขึ้นเรื่อยๆ และเห็นว่าศิษย์น้องยังไม่คิดจะลุกขึ้น จึงทำได้เพียงบรรจงจูบที่หน้าผาก แล้วลุกจากเตียงไปเพียงลำพัง
**********
ทันทีที่เดินลงไปถึงชั้นล่าง เขาก็ได้ยินติงสี่ไหลและกลุ่มคุณชายสำนักต่างๆ เอ่ยว่า “เมื่อคืนพวกพี่รองเว่ยกับน้องหานต่างเมามายแล้วบอกว่าจะไม่กลับมา พวกเราจึงกลับมาก่อนขอรับ”
เจ้าสำนักเว่ยซักถาม “ยังมีใครอยู่ในเหตุการณ์อีกหรือไม่”
ติงสี่ไหลตอบ “ข้าไม่ได้สังเกตเสียด้วยขอรับ”
ประมุขติงเอ่ยอย่างเย็นชา “ข้าบอกให้เจ้าอยู่อย่างสงบเสงี่ยมไม่ใช่หรือ ออกไปดื่มสุราทำไมกัน”
ติงสี่ไหลกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ขอรับท่านพ่อ จะไม่ไปอีกแล้ว”
เขาก็เสียใจมากเช่นกัน แม้จะรู้ว่าต้องเพียรพยายามผูกไมตรีเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับคุณชายเสี่ยว แต่กลับไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร ในขณะที่กลัดกลุ้ม เว่ยเจียงเย่ว์กลับมาจากข้างนอกพอดี ดูเหมือนจะไม่ค่อยสบอารมณ์ ดังนั้นพวกเขาจึงไปดื่มด้วยกัน ผู้ใดจะรู้ว่าดื่มแล้วจะเกิดเรื่องเช่นนี้เล่า
เหวินเหรินเหิงเดินเข้าไป มองเจ้าสำนักเก่อที่อยู่ด้านข้างแล้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ”
เจ้าสำนักเก่อถอนหายใจแล้วเล่าว่า “เจียงเย่ว์ถูกลักพาตัวไปเมื่อคืน มีร่องรอยการต่อสู้ในที่เกิดเหตุ ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนลงมือ”