死亡万花筒
ฝ่ามิติประตูมรณะ
ซีจื่อซวี่ 西子绪 เขียน
ซิ่วเจิน แปล
XOXO วาด
– โปรย –
สิ่งที่แปลกไปอย่างแรกก็คือ แมวที่บ้านไม่ยอมให้เขากอด
จากนั้นหลินชิวสือก็รู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไปจากเดิม
แล้ววันหนึ่ง ตอนที่เขาผลักเปิดประตูบ้านออกมา
ก็พบว่าทางเดินในตึกที่คุ้นเคยกลับกลายเป็นทางเดินยาวซึ่งทั้งสองฟาก
เป็นประตูเหล็กที่มีลักษณะเหมือนกันสิบสองบาน
แล้วเรื่องราวต่างๆ ก็เริ่มต้นขึ้นจากจุดนี้
และเมื่อเปิดประตูเข้าไปครั้งแรกเขาก็ได้เจอกับคนแปลกๆ ที่ยิ่งได้รู้ความจริงก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆ
“ทำไมคุณต้องใส่ชุดผู้หญิงด้วยล่ะ”
“งานอดิเรก”
หลินชิวสือ “…”
เมื่อสายรุกหนังหน้าหนา เจ้าเล่ห์ ทรงเสน่ห์
และชื่นชอบการแต่งหญิงเป็นชีวิตจิตใจมาเจอกับฝ่ายรับที่ซุกซ่อนความหน้าไม่อายไว้
ภายใต้ความเงียบขรึมอย่างแนบเนียน ความไร้ยางอายขั้นกว่าจึงบังเกิดขึ้น!
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 1 ก้าวแรกสู่ประตู
หมู่บ้านขนาดเล็กกลางหุบเขาตั้งอยู่กลางวงล้อมของแนวไม้เขียวขจี
เส้นทางที่จะนำไปสู่หมู่บ้านมีเพียงถนนสายเล็ก ๆ ซึ่งเปลี่ยนสภาพเป็นโคลนเลนหลังฝนตก ทำให้ต้องก้าวเดินอย่างระมัดระวัง
หลินชิวสือเดินเคียงไปกับหญิงสาวร่างสูงที่ความสูงชวนให้คิดว่าเธอน่าจะมีเชื้อสายของชาวต่างชาติ เมื่อเทียบกันแล้วเจ้าของร่างโปร่งบางในเดรสสไตล์วินเทจยังสูงกว่าหลินชิวสืออยู่เล็กน้อย คิ้วเรียวยาวของเธอพาดอยู่เหนือนัยน์ตางามคู่โตซึ่งคลอไปด้วยน้ำตา หญิงสาวถามเสียงเจือสะอื้นว่า “ที่นี่ที่ไหน”
“แล้วก่อนจะมาที่นี่คุณอยู่ที่ไหนล่ะ” หลินชิวสือถาม
“ในห้องน้ำที่บ้าน” หญิงสาวตอบ
“ส่วนผมอยู่บนทางเดินที่บ้าน”
“ทางเดิน…?”
หลินชิวสือแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มมืดลงพลางถาม “คุณได้เปิดประตูหรือเปล่า”
สีหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนไปเล็กน้อยคล้ายนึกขึ้นมาได้ “เปิด”
คำตอบที่ได้รับทำให้ชายหนุ่มหันไปทางคู่สนทนาก่อนจะบอกว่า “ผมเองก็เหมือนกัน”
ลมกระโชกแรงผ่านยอดไม้จนเกิดเป็นเสียงหวีดหวิว ส่งผลให้บรรยากาศโดยรอบยิ่งวังเวง พลันหิมะก็เริ่มโปรยปรายลงมาประหนึ่งจะกระตุ้นให้ทั้งสองเร่งฝีเท้าเพื่อไปให้ถึงหมู่บ้านที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้หนาทึบก่อนท้องฟ้าจะมืดสนิท
จากการพูดคุยทำให้หลินชิวสือรู้ว่าเพื่อนร่วมทางของตนมีนามสกุลว่า ‘หร่วน’ ชื่อเต็ม ๆ ของเธอคือ ‘หร่วนป๋ายเจี๋ย[1]’
ชายหนุ่มอึ้งไปสามวินาทีหลังจากได้ยินชื่อของอีกฝ่าย ก่อนจะได้สติกล่าวชมอย่างฝืดเฝื่อนว่า “ชื่อเพราะดีนะ”
แต่หร่วนป๋ายเจี๋ยกลับถลึงนัยน์ตาที่ชุ่มไปด้วยน้ำตาใส่ชายหนุ่มแล้วค่อนว่า “ผู้ชาย…มีแต่พวกชอบโกหก”
“อ้าว?”
“อย่าคิดว่าฉันไม่เคยอ่านนิยายโป๊นะ”
หลินชิวสือถึงกับพูดไม่ออก ดูท่า…หญิงสาวคนนี้จะไม่ได้บอบบางอย่างที่คิด ทั้งคู่แลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่างเดินไปยังหมู่บ้าน จึงได้ทราบว่าพวกเขาต่างมาอยู่ที่หุบเขาห่างไกลผู้คนแห่งนี้หลังจากเปิดประตู
หร่วนป๋ายเจี๋ยเปิดประตูห้องน้ำในบ้านของเธอ ส่วนประตูที่หลินชิวสือเปิดคือประตูที่อยู่บนโถงทางเดินในตึกที่พักของตัวเอง
“ประตูเหล็กสีดำบานนั้นเรียบ ๆ ไม่มีลวดลาย” หญิงสาวเกริ่นก่อนลดเสียงลง “ฉันเองก็สงสัยว่าทำไมจู่ ๆ ในบ้านถึงมีประตูเพิ่มขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากเลยลองเปิดดู…”
ทันทีที่ประตูเปิดออก พวกเขาก็ถูกส่งมายืนอยู่ในหุบเขาไร้ผู้คน
“ผมก็เปิดประตูเหล็กสีดำ…” หลินชิวสือพูดยังไม่ทันจบ บนเส้นทางสายเล็กเบื้องหน้าก็ปรากฏเงาเลือนรางของคนผู้หนึ่ง ความสูงของร่างที่เห็นทำให้เดาได้ว่าน่าจะเป็นผู้ชาย
“พี่ชายที่อยู่ตรงนั้น!” หลินชิวสือตะโกน
คนผู้นั้นคล้ายจะได้ยินเสียงเรียกของชายหนุ่มจึงหยุดฝีเท้า
หลินชิวสือเร่งฝีเท้าวิ่งไปหาก่อนจะยื่นมือไปแตะไหล่ของอีกฝ่าย “ขอโทษครับ ไม่ทราบว่าที่นี่คือที่ไหน”
ชายผู้นั้นหันกลับมา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยหนวดเครารกครึ้มชวนให้นึกถึงหมีตัวยักษ์ “คนใหม่เหรอ”
“คนใหม่อะไรเหรอ…” หลินชิวสือถาม
ฝ่ายนั้นไม่ตอบ กลับมองชายหนุ่มอย่างพิจารณาก่อนเบนสายตาไปยังหญิงสาวซึ่งยืนเยื้องไปทางด้านหลัง เธอมีอาการหวาดกลัวเล็กน้อย “ไปกันเถอะ ถึงหมู่บ้านแล้วจะอธิบายให้ฟัง”
หลินชิวสือรับคำ ก่อนที่ทั้งสามจะมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านด้วยกัน
ดูเหมือนฤดูกาลของที่นี่จะเป็นฤดูหนาว ท้องฟ้ามืดลงอย่างรวดเร็ว ดวงอาทิตย์ที่เมื่อครู่ยังลอยเด่นอยู่บนฟ้าเลือนหายไป ทิ้งไว้เพียงกลุ่มเมฆสีดำและเกล็ดหิมะที่ปลิวว่อน
หลินชิวสือพูดคุยกับชายคนนั้นไปพลาง สังเกตสถานการณ์โดยรอบไปพลาง ที่นี่ไม่มีแหล่งกำเนิดแสงอื่นนอกจากหมู่บ้านซึ่งถูกโอบล้อมด้วยแนวป่าทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ไม่มีแม้กระทั่งถนนและผู้คน
หลินชิวสือหยิบบุหรี่จากกระเป๋ายื่นส่งให้คนที่เดินนำอยู่ข้างหน้า แต่อีกฝ่ายกลับโบกมือปฏิเสธ
“พี่ชาย นี่เราอยู่ที่ไหนกันเหรอ” คนที่เดินตามต้อย ๆ ถาม
“เรียกผมว่าสยงชี[2]ก็ได้”
หลินชิวสือลอบคิดในใจว่าชื่อนี้ช่างเหมาะกับเจ้าตัวเสียจริง ๆ ชายหนุ่มตั้งท่าจะถามต่อ แต่สยงชีกลับยกมือห้าม “อย่าเพิ่งถาม พอถึงหมู่บ้านก็จะรู้เองว่าเกิดอะไรขึ้น”
“อ้อ…โอเค”
เมื่อไม่อาจถามได้ ระหว่างทางจึงไม่มีการซักถามใด ๆ อีก ทั้งหมดต่างเร่งฝีเท้าจนมาถึงทางเข้าหมู่บ้านได้ก่อนท้องฟ้าจะมืดสนิทพอดี
สยงชีระบายลมหายใจด้วยความโล่งอกพลางหันไปมองความมืดมิดเบื้องหลัง “ถึงเสียที ไปกันเถอะ ไปเจอพวกนั้นกันก่อน”
‘คนใหม่’ ‘พวกนั้น’ หลินชิวสือจับคีย์เวิร์ดเหล่านี้ได้ เขาสัมผัสได้ว่าที่แห่งนี้มีบางสิ่งผิดปกติตั้งแต่มาถึง อีกทั้งความรู้สึกนี้ยังทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ หร่วนป๋ายเจี๋ยเองก็คล้ายจะรู้สึกได้ถึงบางอย่างเช่นกัน แม้เสียงร้องไห้ของเธอจะเงียบลงแล้ว แต่ใบหน้างามยังคงเผือดซีด ในดวงตามีแต่ความหวาดหวั่น
สยงชีนำพวกเขาไปยังอาคารสามชั้นขนาดกะทัดรัดซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากทางเข้าหมู่บ้าน
หลังจากเขาเคาะประตูก็ได้ยินเสียงผู้หญิงถามมาจากด้านใน “ใครคะ”
“ผมเอง สยงชี”
“พี่สยงเหรอ เข้ามาสิ” หญิงสาวเอ่ย “พวกเรากำลังรอพี่อยู่เลย”
เสียง ‘แกร๊ก’ ดังขึ้นก่อนสยงชีจะผลักประตูให้เปิดออก ข้างในเป็นห้องนั่งเล่นที่มีคนอยู่ราวเก้าถึงสิบคน พวกเขานั่งล้อมกระถางไฟคล้ายกำลังหารือกันอยู่
“คนใหม่ใช่ไหม” คนหนึ่งทักขึ้นเมื่อเห็นหลินชิวสือและหร่วนป๋ายเจี๋ยตามหลังสยงชีเข้ามา
“อืม…คนใหม่” สยงชีตรงเข้าไปนั่ง ก่อนบอกสองคนที่มากับตนว่า “นั่งสิ เสี่ยวเคอ…ช่วยอธิบายให้พวกเขาฟังหน่อย”
เสี่ยวเคอก็คือเด็กสาวหน้าตาหมดจดผู้เปิดประตูให้สยงชีเมื่อครู่ เธออายุราวสิบห้าถึงสิบหกปี “พวกคุณนั่งลงก่อน ฉันจะเล่าให้ฟังคร่าว ๆ ก็แล้วกัน”
หลินชิวสือกับหร่วนป๋ายเจี๋ยสบตากันแวบหนึ่งก่อนจะนั่งลงบนที่ว่างใกล้ประตู
“อันที่จริงก็ไม่มีอะไรมาก” เสี่ยวเคอเริ่มด้วยเสียงเรียบเรื่อย “เราแค่ต้องอยู่ที่หมู่บ้านนี้กันสักพักเพื่อไขปริศนาบางอย่างเท่านั้นแหละ”
“ปริศนาอะไร” หลินชิวสือถาม
“พวกเราเองก็ยังไม่รู้ ต้องรอเจอหัวหน้าหมู่บ้านพรุ่งนี้ก่อน…” เด็กสาวตอบก่อนถามต่อว่า “คุณสองคนมีใครเป็นพวกสสารนิยม[3]บ้างไหม”
ชายหนุ่มยกมือขึ้น “ผมเอง”
“งั้นก็เปลี่ยนความเชื่อของคุณได้เลย”
“…หมายความว่ายังไง”
“ก็หมายความว่า ที่นี่มีเรื่องเหนือธรรมชาติอยู่เต็มไปหมดน่ะสิ”
หลินชิวสือ “…”
ท่าทีของคนอื่น ๆ ที่มีต่อคนใหม่สองคนอย่างหลินชิวสือและหร่วนป๋ายเจี๋ยนั้นเย็นชาอย่างยิ่ง นอกจากเสี่ยวเคอแล้ว ก็ไม่มีใครเข้ามาทักทายพวกเขา
เดิมทีหลินชิวสือเข้าใจว่าคนอื่น ๆ กำลังหารือบางอย่างกันอยู่ แต่หลังจากนั่งอยู่ในห้องนี้ได้สักพัก ชายหนุ่มก็พบว่า พวกเขาไม่ได้พูดจากันเลยแม้แต่ประโยคเดียว บ้างก็จ้องเปลวไฟตรงหน้าเงียบ ๆ บ้างก็เล่นเกมในโทรศัพท์มือถือ
แม้สถานที่แห่งนี้จะไม่สามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้เพราะไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ แต่ก็ยังสามารถเล่นเกมออฟไลน์ได้อยู่
ชายหนุ่มนับจำนวนสมาชิกในห้อง เมื่อรวมตัวเขาเข้าไปด้วยก็ได้สิบสามคนพอดี ประกอบด้วยผู้ชายเก้าคนและผู้หญิงอีกสี่คน ส่วนมากเป็นวัยรุ่นและวัยทำงาน คนที่มีอายุมากที่สุดน่าจะอายุไม่เกินสี่สิบปี
ไม้ในกระถางไฟลั่นดัง ‘เปรี๊ยะ’ ผ่านไปได้ครู่หนึ่งหร่วนป๋ายเจี๋ยก็ถูกความง่วงเข้าครอบงำ แต่เมื่อมองไปรอบ ๆ กลับไม่เห็นว่าจะมีใครปลีกตัวออกไป จึงถามเสียงเบา “ขอโทษที…ที่นี่พอจะมีห้องให้นอนไหม ฉันง่วงแล้ว”
หลินชิวสือไม่รู้ว่าตนคิดไปเองคนเดียวหรือเปล่าว่าคำถามนี้ของหญิงสาวทำให้บรรยากาศในห้องนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง
“เอาละ ได้เวลาแยกย้ายไปพักผ่อนแล้ว” สยงชีผุดลุกขึ้นเป็นคนแรก “ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นว่าทุกคนมานอนรวมกันอยู่ที่ห้องนั่งเล่นหมด มาแบ่งห้องกันเถอะ” เขาชักชวนก่อนหันไปทางหลินชิวสือ “คุณนอนกับเธอแล้วกัน ตอนกลางคืนก็ระวังหน่อย อย่าออกมาเดินเพ่นพ่าน…”
ได้ยินเช่นนั้นหร่วนป๋ายเจี๋ยก็แย้งขึ้นทันควัน “ฉันต้องนอนห้องเดียวกับเขางั้นเหรอ แต่ว่า…”
สยงชีถอนหายใจก่อนพูดว่า “จะให้แยกหญิงชายงั้นเหรอ ผ่านคืนนี้ไปแล้ว เดี๋ยวคุณก็จะรู้เองว่าที่นี่ไม่ได้สนใจเรื่องนั้นจะตายอยู่แล้วยังจะมาแยกหญิงแยกชายอะไรกันอีก”
หร่วนป๋ายเจี๋ยยังไม่หมดคำถาม แต่เมื่อเห็นว่าบรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนเป็นอึมครึมจึงเลิกโต้แย้ง ยอมพักห้องเดียวกับหลินชิวสือ
“ไม่ต้องห่วง ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก” ชายหนุ่มทำได้เพียงเอ่ยปลอบเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูจะกังวลเรื่องนี้
หากหญิงสาวก็เพียงพยักหน้ารับคำยืนยันของหลินชิวสือ
อาคารสามชั้นแห่งนี้มีห้องพักทั้งหมดเก้าห้อง ห้องหนึ่งพักรวมกันสองคน บางห้องก็เพิ่มเป็นสามคน ไม่มีใครแยกพักตามลำพัง
“ไปพักผ่อนเถอะ เจอกันพรุ่งนี้” สยงชีกล่าว
ทุกคนแยกย้ายไปยังห้องของตน แต่ก่อนที่หลินชิวสือจะปลีกตัวออกไป เสี่ยวเคอก็เดินมากระซิบว่า “ถ้าอยากรอดไปได้ก็อย่าไว้ใจใครง่าย ๆ…”
หลินชิวสือกำลังจะเอ่ยปากถาม แต่เด็กสาวพลันเดินหนีไปคล้ายไม่ต้องการให้ชายหนุ่มมีโอกาสได้ซักถามอีก
“ไปกันเถอะ” หร่วนป๋ายเจี๋ยชวนเพื่อนร่วมห้องของตน
หลินชิวสือผงกศีรษะ ไม่ค้านอะไร
ห้องพักของพวกเขาตั้งอยู่ฝั่งขวามือของทางเดินบนชั้นสอง ในห้องมีเตียงเพียงหลังเดียว ฝาผนังประดับด้วยรูปภาพที่คล้ายจะตัดมาจากนิตยสาร
ที่แห่งนี้ไม่มีไฟฟ้า มีเพียงตะเกียงน้ำมันก๊าดซึ่งให้แสงขมุกขมัวคล้ายย้อนกลับไปอยู่ในสมัยก่อน กลิ่นอับจากเชื้อราลอยอวลอยู่ในอากาศ
เดิมทีชายหนุ่มนึกว่าหญิงสาวจะรังเกียจสภาพที่เห็น คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะปรับตัวได้เร็วกว่าเขาเสียอีก เธอล้างหน้าล้างตาอย่างรวดเร็วแล้วก็เดินมาทิ้งตัวนอนลงบนเตียง
กลับกลายเป็นหลินชิวสือเสียเองที่นั่งลงบนเตียงอย่างเก้ ๆ กัง ๆ
“นอนสิ ไม่เหนื่อยหรือไง” หญิงสาวพูดทั้งที่ซุกหน้าไว้ใต้ผ้าห่ม เสียงจึงฟังดูอู้อี้
“เหนื่อยสิ” ชายหนุ่มตอบ
“แหงละ นี่มันจะแปลกเกินไปแล้ว” คนที่นอนกล่าวต่อไปว่า “ตอนแรกฉันยังสงสัยว่าพวกคุณมาจากรายการทีวีที่เที่ยวหลอกอำชาวบ้านหรือเปล่า แต่ถ้าเป็นแบบนั้นก็ไม่น่าจะจัดเต็มเสียขนาดนี้…”
หลินชิวสือถอดเสื้อตัวนอกออกก่อนจะสอดตัวเข้าใต้ผ้าห่ม แม้ทั้งสองจะนอนเตียงเดียวกัน แต่ก็แยกผ้าห่มกันคนละผืนเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ “แปลกจริง ๆ นั่นแหละ”
“ยังจะคนพวกนั้นอีก คุณเห็นแววตาพวกเขาไหม” หร่วนป๋ายเจี๋ยถาม
“พวกเขาเหมือนกลัวอะไรบางอย่าง”
“อืม” หญิงสาวเห็นด้วย “พวกเขากำลังกลัว…แต่กลัวอะไรนี่สิ”
ชายหนุ่มคิดอยู่ครู่หนึ่ง ขณะที่กำลังจะตอบก็ได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอดังมาจากคนข้าง ๆ เมื่อหันไปมองก็พบว่าหญิงสาวได้เข้าสู่นิทรารมณ์เป็นที่เรียบร้อย
หลินชิวสือมองขึ้นไปบนเพดาน จมดิ่งอยู่ในภวังค์ความคิดภายใต้แสงสลัว เขานึกนับถือหร่วนป๋ายเจี๋ยเป็นอย่างยิ่ง จู่ ๆ ต้องมาโผล่ในสถานที่แปลกประหลาด แถมเจอผู้คนแปลก ๆ แต่ก็ยังโชคดีที่เธอนอนหลับได้ทันทีที่หลับตา
คิดเรื่อยเปื่อยไปได้สักพัก ความง่วงงุนก็คืบคลานเข้ามา ชายหนุ่มปิดเปลือกตาลงและหลับไปทั้งอย่างนั้น
หลินชิวสือสะดุ้งตื่นขึ้นกลางดึก
เขานอนอยู่บนเตียงขณะที่หูแว่วเสียงเอี๊ยดอ๊าดเบา ๆ
เสียงนั้นเหมือนจะเป็นเสียงของหน้าต่างไม้เก่า ๆ ยามต้องสายลมแรง แต่เมื่อตั้งใจฟังดี ๆ กลับฟังดูคล้ายมีใครบางคนกำลังเดินย่ำลงบนพื้นด้วยเท้าเปลือยเปล่า
ชายหนุ่มลืมตาขึ้น เห็นเพียงห้องซึ่งเลือนรางอยู่ในความมืด
ดวงจันทร์กลมโตบนท้องฟ้าทอแสงเย็นตาลอดหน้าต่างเข้ามาตกกระทบหัวเตียงผ่านลงไปบนพื้น เกล็ดหิมะที่โปรยปรายเมื่อหัวค่ำหยุดตกไปตั้งแต่เมื่อไรก็สุดรู้
ทว่าเมื่อชายหนุ่มเบือนหน้าไปด้านข้าง ลมหายใจของเขาก็มีอันต้องสะดุดกึก
ที่ข้างเตียงปรากฏร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งนั่งหันหลังให้หลินชิวสือ กลุ่มผมยาวที่แผ่สยายเต็มแผ่นหลังทำให้มองเห็นร่างนั้นได้ไม่ชัด คนที่ตกเป็นเป้าสายตาคล้ายจะรู้ตัวว่าผู้ที่อยู่บนเตียงตื่นแล้วจึงหันหน้ากลับมาช้า ๆ
ภาพตรงหน้าราวกับเป็นฉากในภาพยนตร์สยองขวัญก็ไม่ปาน ชายหนุ่มตัวแข็งค้างไปชั่วขณะ พยายามรวบรวมความกล้า กัดฟันลุกขึ้นนั่งบนเตียง ตะโกนออกไป “เฮ้ย! คุณเป็นใคร มาทำอะไรที่ห้องผม!”
ร่างที่อยู่ข้างเตียงหยุดเคลื่อนไหว ก่อนหลินชิวสือจะได้ยินเสียงตอบกลับมา “คุณจะเอะอะทำไม นี่ฉันเอง”
เป็นเสียงของหร่วนป๋ายเจี๋ย
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลินชิวสือก็ถอนหายใจโล่งอก “ดึกดื่นแล้วทำไมไม่นอน มานั่งอยู่แบบนี้ทำไม”
“คุณเห็นบ่อน้ำที่อยู่หน้าบ้านไหม บ่อที่อยู่กลางสวน” หญิงสาวถาม
“บ่อน้ำ? บ่อน้ำอะไร” ขณะที่กำลังจะลุกไปดู หางตาของชายหนุ่มก็ตวัดไปทางขวามือของตน สิ่งที่เห็นมีผลให้เลือดในกายเขาเย็นเฉียบ…หร่วนป๋ายเจี๋ยยังนอนอยู่บนเตียง ไม่ได้เขยื้อนจากที่เดิมเลยแม้แต่น้อย
“บ่อตรงนั้นไง” หญิงสาวที่มีเสียงเหมือนหร่วนป๋ายเจี๋ยอย่างกับแกะตอบ ก่อนชวนว่า “เราไปดูกันเถอะ”
หลินชิวสือ “…”
“ทำไมไม่ตอบล่ะ”
“เดือนที่แล้วผมเพิ่งได้รับรางวัลสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์[4]ดีเด่น”
หญิงสาวผู้นั้น “…”
“ผมเป็นพวกสสารนิยมเต็มรูปแบบ”
หญิงสาวผู้นั้น “…”
“คุณเปลี่ยนไปหลอกคนอื่นแทนดีไหม”
ร่างที่อยู่ข้างเตียงหันศีรษะกลับมาช้า ๆ แสงจันทร์ที่ลอดเข้ามาช่วยส่องให้หลินชิวสือเห็นใบหน้าอันยากจะสรรหาถ้อยคำมาบรรยายของเจ้าหล่อน ดวงหน้าขาวซีดผิดมนุษย์ของอีกฝ่ายบวมอืด นัยน์ตาข้างหนึ่งเหลือกถลนแทบพลัดออกจากเบ้า เธอถามด้วยเสียงคุ้นหูว่า “ไม่กลัวฉันเลยเหรอ”
หลินชิวสือชะงักไปอึดใจหนึ่งก่อนจะก้มลงมองผ้าห่ม “อย่าทำอย่างนี้สิ ผมเอากางเกงมาแค่ตัวเดียวเองนะ”
หญิงสาวผู้นั้น “…”
ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบหน้า “หากคุณทำให้ผมกลัวอีกรอบ ฉี่ผมราดแน่” พูดจบเขาก็เอื้อมมือไปเขย่าตัวหร่วนป๋ายเจี๋ยตัวจริง “ตื่นเร็ว!”
หญิงสาวถูกชายหนุ่มรบกวนการนอนจนต้องตื่นขึ้นอย่างงุนงง เธอขยี้ตาพลางเอ่ยถาม “มีอะไร” หร่วนป๋ายเจี๋ยลืมตา เมื่อเห็นว่ามีผู้หญิงอีกคนนั่งอยู่บนเตียงจึงเอ่ยถามขึ้น “ใครกันเนี่ย หลินชิวสือ…กลางค่ำกลางคืนแทนที่คุณจะนอน กลับไปพาผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้เข้ามา นี่มันจะเกินไปแล้วนะ ฉันแย่กว่าเธอตรงไหน”
หลินชิวสือ “…” นี่คุณกำลังโฟกัสผิดจุดหรือเปล่า
หร่วนป๋ายเจี๋ยยังคงบ่นต่ออีกหลายประโยคกว่าจะรู้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติ ดวงตางามคู่โตจึงเบิกกว้าง “ทำไมคอของเธอถึงยาวขึ้นเรื่อย ๆ ล่ะ…”
เมื่อหลินชิวสือหันไปมองก็พบว่าศีรษะของสตรีผู้นั้นเอียงกระเท่เร่ไปข้างหนึ่ง ส่วนลำคอก็ยืดยาวออกมาคล้ายงู
ทั้งสองมองเหตุการณ์เบื้องหน้าอย่างตื่นตะลึง ตามด้วยเสียงตะโกนอย่างหมดความอดทนของหลินชิวสือ “เชี่ย! หนีเร็ว!” ชายหนุ่มคว้ามือของหร่วนป๋ายเจี๋ย พาอีกฝ่ายวิ่งปราดไปทางประตู
ผลก็คือหร่วนป๋ายเจี๋ยผู้บอบบางอ่อนแอในตอนกลางวันกลับวิ่งเร็วกว่าหลินชิวสือเสียอีก เธอหายลับไปจากประตูด้วยความเร็วดุจลมกรด
“คุณวิ่งช้าลงหน่อยก็ได้…” ชายหนุ่มบอก
“ช้ากว่านี้ก็ได้กลายเป็นศพสิ…”
หลินชิวสือ “…” เอ่อ ผู้หญิงคนนี้
ทั้งสองพุ่งลงมาถึงชั้นล่างด้วยความเร็วราวกับกระต่ายยามตื่นตกใจ เมื่อเห็นว่าเจ้าสิ่งนั้นไม่ได้ไล่ตามหลังมาก็พรูลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ หร่วนป๋ายเจี๋ย…หญิงสาวเจ้าน้ำตากลับมีฝีเท้ารวดเร็วเสียยิ่งกว่าสุนัข หญิงสาวน้ำตาคลอ ร่ำร่ำจะร้องไห้ออกมาอีกรอบ ในขณะที่หลินชิวสือได้แต่ยืนหอบฮัก
“อย่าร้อง…อย่าร้อง…” ชายหนุ่มรีบปลอบ “เบาหน่อย ถ้าเสียงคุณเรียกตัวที่อยู่ข้างบนให้ตามมาจะทำยังไง”
“คุณก็ดีแต่ห่วงตัวเอง ไม่คิดถึงฉันบ้างเลย”
หลินชิวสือ “…”
อาการเฉยเมยของหลินชิวสือทำให้หร่วนป๋ายเจี๋ยพยายามข่มน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา เธอนั่งลงบนเก้าอี้อย่างอ่อนระโหยโรยแรงพลางยกมือขึ้นกรีดน้ำตา
ห้องนั่งเล่นเวลานี้ร้างไร้ผู้คน ทั้งสองไม่ได้ยินเสียงอื่นใดนอกจากเสียงลมหายใจของตนเอง ทั้งที่เมื่อครู่พวกเขาทำเสียงดังโครมคราม แต่ก็ยังไม่มีใครออกจากห้องมาดูเลยสักคน
ชายหนุ่มยืนนิ่งกับที่ครู่หนึ่ง ก่อนถามอย่างไม่แน่ใจ “เราจะทำยังไงกันดี” ทั้งเขาและหร่วนป๋ายเจี๋ยต่างไม่มีประสบการณ์ในการรับมือกับเรื่องเหนือธรรมชาติประเภทนี้ จึงได้แต่ยืนนิ่งเป็นเสาอยู่ในห้องนั่งเล่น ไม่รู้ว่าควรจะจัดการเช่นไร
“ข้างนอกหิมะตก” หญิงสาวโพล่งขึ้น เธอเดินไปข้างประตู ผินหน้าออกไปยังสวนด้านนอก
“หิมะกลับมาตกกลางดึกแบบนี้” หลินชิวสือยืนอยู่ตรงกรอบประตู จากมุมที่เขายืนอยู่สามารถมองออกไปเห็นสวนที่ปกคลุมด้วยชั้นหิมะบาง ๆ และยังเห็นบ่อน้ำที่ปิศาจสาวพูดถึง มีบ่อน้ำตั้งอยู่กลางสวนอย่างที่เธอบอกจริง ๆ มันตั้งอยู่ในจุดที่คาดไม่ถึง ก็คือตรงกึ่งกลางของบริเวณสวนทั้งสวน กีดขวางประตูใหญ่ขัดกับหลักเฟิงสุ่ย[5]
“มีหินตั้งขวางทางเข้าแบบนี้ ไม่รู้จะว่ายังไงจริง ๆ แต่บ่อน้ำนั่นก็สวยดีนะ” หร่วนป๋ายเจี๋ยพูด ตอนที่เธอยิ้ม ปลายหางตาจะยกขึ้นตามไปด้วย เป็นภาพที่ชวนมองอย่างยิ่ง
“คุณรู้หลักเฟิงสุ่ยด้วยเหรอ”
“พอดีที่บ้านทำธุรกิจนี้เลยศึกษามาบ้าง คุณล่ะ…ทำอาชีพอะไร” หร่วนป๋ายเจี๋ยเหลือบมองหลินชิวสือ
“สถาปนิก…”
“อ้อ…แต่ผมยังหนาอยู่เลยนี่ เพิ่งทำมาไม่กี่ปีใช่ไหม”
หลินชิวสือ “…” ช่างกล้าพูด
“ลองทายสิว่าฉันทำงานอะไร” หร่วนป๋ายเจี๋ยถามพลางสยายผมของตน
“นางแบบ?” น้อยครั้งนักที่เขาจะได้พบหญิงสาวที่สูงขนาดนี้ คนตรงหน้ามีเรือนร่างสูงโปร่ง คุณสมบัติโดยรวมไม่นับว่าแย่ เสียก็แต่หน้าอกที่ดูเหมือนจะมีน้อยไปสักหน่อย
“ผิด” หญิงสาวเฉลยด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ “ฉันเป็นหมอดูต่างหาก”
พอรู้คำตอบ หลินชิวสือก็นิ่งไป
“ขอทำนายแป๊บหนึ่ง” หร่วนป๋ายเจี๋ยนับนิ้วทำนายอย่างรวดเร็ว “จันทร์เต็มดวงแบบนี้…ฉันสัมผัสได้ว่าจะมีความตายเกิดขึ้น”
ชายหนุ่มไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ออกมาดี “ตรรกะอะไรของคุณ ทำไมพระจันทร์เต็มดวงแล้วต้องมีคนตายด้วยล่ะ”
หร่วนป๋ายเจี๋ยเมินคำพูดของอีกฝ่าย เธอเดินตรงไปกลางสวน ทั้งยังหันกลับมากวักมือเรียก ทำให้ชายหนุ่มใจหล่นวูบ “จะไปตรงนั้นทำไม ดึกป่านนี้แล้ว…”
“ฉันอยากดูบ่อน้ำ”
“ค่อยมาดูใหม่พรุ่งนี้ ตอนนี้มันอันตราย” แม้หลินชิวสือจะพูดเช่นนั้น แต่เขาก็ตามอีกฝ่ายไปที่สวนด้วยความเป็นห่วงว่าจะเกิดอันตรายขึ้นกับเธอ
หร่วนป๋ายเจี๋ยอยู่ในชุดเดรสยาวสีขาว ยามที่หญิงสาวสาวเท้าด้วยจังหวะเนิบนาบดูคล้ายเทพธิดากำลังเยื้องย่างอยู่บนพื้นหิมะ เมื่อเดินใกล้ถึงบ่อน้ำ เธอชะลอฝีเท้าเพื่อให้ชายหนุ่มตามมาทัน
“มีอะไรเหรอ”
“ไม่มีอะไร อยู่ดี ๆ ก็ไม่อยากดูแล้ว เรากลับกันเถอะ”
“ทำไมจะกลับแล้วล่ะ” หลินชิวสือถึงกับจับต้นชนปลายไม่ถูก
“หนาวจนตัวจะแข็งอยู่แล้ว” พูดจบเธอก็คล้องแขนของตนเข้ากับแขนของชายหนุ่ม ออกแรงดึงอีกฝ่ายกลับเข้าไป
ขณะที่ถูกลาก หลินชิวสือก็พบว่าหญิงสาวแข็งแรงมากจนเขาไม่สามารถสะบัดให้หลุดจากการเกาะกุมได้เลย
“หร่วนป๋ายเจี๋ย?” แรงของหร่วนป๋ายเจี๋ยทำให้เขาตกใจ
หร่วนป๋ายเจี๋ยรีบคลายวงแขนของตนออก “เดินสิ หนาวจะตายอยู่แล้ว รีบกลับกันเถอะ น่าจะนอนได้อีกสักงีบ…” พูดจบเธอก็เดินขึ้นไปชั้นบนโดยไม่สนใจหลินชิวสืออีก
หลินชิวสือจำต้องตามกลับขึ้นไปยังห้องบนชั้นสอง โชคดีที่ปิศาจสาวน่าสยดสยองตนนั้นไม่อยู่แล้ว มีเพียงหน้าต่างที่ถูกเปิดทิ้งไว้เป็นทางผ่านให้สายลมเย็นแวะเวียนเข้ามาในห้อง
หญิงสาวนอนลงบนเตียงและหลับไปทันทีที่ศีรษะถึงหมอน
ทว่าหลินชิวสือกลับไม่อาจข่มตาลงได้ เขาจุดตะเกียงน้ำมันก๊าดอีกครั้งและปล่อยทิ้งเอาไว้อย่างนั้น
ค่ำคืนสั่นประสาทเคลื่อนผ่านไปอย่างอ้อยอิ่ง ด้านนอกมีสายลมและหิมะกระหน่ำตลอดคืน แต่โฉมงามในห้องกลับนอนหลับสนิทไม่รับรู้สิ่งใด หร่วนป๋ายเจี๋ยนอนร่วมเตียงกับชายที่เพิ่งได้พบหน้าเป็นครั้งแรกโดยไม่คิดจะระวังตัวแม้แต่น้อย เธอนอนนิ่ง ลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอ แก้มขาวนวลปรากฏสีแดงเรื่อดูเย้ายวน
ชายหนุ่มเหลือบมองก่อนจะรีบถอนสายตาไปทางอื่น แม้เขาจะไม่ใช่สุภาพบุรุษ แต่ก็ไม่ได้เป็นพวกชอบฉวยโอกาส
เช้าวันต่อมา เมื่อถึงเวลาแปดโมง ดวงอาทิตย์ก็เริ่มทอแสงสีทองบนขอบฟ้า
หิมะที่ตกตลอดคืนทำให้ข้างนอกกลายเป็นสีขาวโพลน
หร่วนป๋ายเจี๋ยส่งเสียงงึมงำพลางเปิดเปลือกตาขึ้น เธอยืดกายบิดขี้เกียจก่อนจะหดแขนกลับเข้ามาอย่างรวดเร็ว “หนาวจัง…”
ชายหนุ่มเห็นท่าทางของเธอแล้วก็ได้แต่คิดในใจว่า เมื่อคืนเธอก็พูดแบบนี้
“ชิวสือ…ช่วยไปหาเสื้อผ้าให้สักสองตัวได้ไหม ใส่แค่เดรสแบบนี้มันหนาว”
ชายหนุ่มไม่ปฏิเสธ ความจริงเขาเองก็ตั้งใจจะไปหาเสื้อผ้าเพื่อเพิ่มความอบอุ่นแก่ตนเองเช่นกัน เพราะโลกที่เขาจากมายังเป็นฤดูร้อนอยู่เลย
[1] ป๋ายเจี๋ย แปลว่า สะอาดบริสุทธิ์ เป็นชื่อของนิยายที่มีเนื้อหาไปทางลามกอนาจาร หลินชิวสือจึงอึ้งไปเมื่อได้ยินชื่อของหญิงสาว
[2] สยง ในชื่อของสยงชี แปลว่า หมี
[3] หรือวัตถุนิยม (Materialism) คือแนวคิดทางปรัชญาที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณว่า โลกแห่งสสารหรือวัตถุที่อาศัยอยู่ในทุกวันนี้เป็นโลกที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียว
[4] พรรคคอมมิวนิสต์จีนก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ.2464 มีสมาชิกประมาณ 95 ล้านคน (ข้อมูลล่าสุด ณ ปี พ.ศ.2564)
[5] ศาสตร์ภูมิลักษณ์พยากรณ์แขนงหนึ่ง คนไทยมักจะคุ้นหูกับสำเนียงแต้จิ๋วว่าฮวงจุ้ย