死亡万花筒
ฝ่ามิติประตูมรณะ
ซีจื่อซวี่ 西子绪 เขียน
ซิ่วเจิน แปล
XOXO วาด
– โปรย –
สิ่งที่แปลกไปอย่างแรกก็คือ แมวที่บ้านไม่ยอมให้เขากอด
จากนั้นหลินชิวสือก็รู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไปจากเดิม
แล้ววันหนึ่ง ตอนที่เขาผลักเปิดประตูบ้านออกมา
ก็พบว่าทางเดินในตึกที่คุ้นเคยกลับกลายเป็นทางเดินยาวซึ่งทั้งสองฟาก
เป็นประตูเหล็กที่มีลักษณะเหมือนกันสิบสองบาน
แล้วเรื่องราวต่างๆ ก็เริ่มต้นขึ้นจากจุดนี้
และเมื่อเปิดประตูเข้าไปครั้งแรกเขาก็ได้เจอกับคนแปลกๆ ที่ยิ่งได้รู้ความจริงก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆ
“ทำไมคุณต้องใส่ชุดผู้หญิงด้วยล่ะ”
“งานอดิเรก”
หลินชิวสือ “…”
เมื่อสายรุกหนังหน้าหนา เจ้าเล่ห์ ทรงเสน่ห์
และชื่นชอบการแต่งหญิงเป็นชีวิตจิตใจมาเจอกับฝ่ายรับที่ซุกซ่อนความหน้าไม่อายไว้
ภายใต้ความเงียบขรึมอย่างแนบเนียน ความไร้ยางอายขั้นกว่าจึงบังเกิดขึ้น!
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 10 ขุด
กำหนดเวลาสามวันส่งผลให้บรรยากาศในกลุ่มเลวร้ายลงเรื่อยๆ เมื่อถึงยามบ่ายของวันที่สอง ในกลุ่มก็เริ่มเกิดรอยร้าว สยงชีทะเลาะกับเสี่ยวเคออย่างรุนแรงเพียงเพราะอาหารรสชาติไม่ถูกปาก เขาหงุดหงิดจนถึงกับขว้างจาน เสี่ยวเคอจึงกระแทกประตูเดินปึงปังออกไปด้วยความโกรธกรุ่น
ระหว่างสมาชิกในกลุ่มเริ่มเกิดความแคลงใจในตัวกันและกัน เพื่อนที่เคยหวังพึ่งพากลับมีแนวโน้มว่าจะเปลี่ยนเป็นศัตรู ไม่ว่าจะเป็นคำพูด การกระทำ หรือแค่กะพริบตา ก็สามารถเป็นชนวนให้ทุกสิ่งพังครืนลงมาได้ทั้งสิ้น
เป็นครั้งแรกที่หลินชิวสือสัมผัสได้ว่าคนอื่น ๆ ใกล้จะทนรับแรงบีบคั้นไม่ไหว ความตายอันนำมาซึ่งความกดดันและความหวาดระแวงเป็นดังฟางเส้นสุดท้าย
หร่วนป๋ายเจี๋ยคล้ายรู้ว่าเหตุการณ์จะออกมาในรูปแบบนี้จึงไม่ประหลาดใจแต่อย่างใด หญิงสาวเพียงนั่งมองคนอื่น ๆ ที่ยิ่งร้อนรนมากขึ้นตามเวลาที่ผ่านไปจากมุมห้อง ก่อนจะเตือนความจำพวกเขาเสียงนิ่มว่า “พวกคุณลืมไปแล้วเหรอว่ายังมีที่ที่มีศพอยู่”
คำพูดนี้ของหญิงสาวเป็นดังสายฝนชุ่มฉ่ำที่พรำลงสู่ผืนดินแตกระแหงให้ชุ่มชื้น สยงชีถามทันทีว่า “ที่ไหน”
“สุสาน? ผมลองหาดูแล้วก็ไม่เจอว่าสุสานของหมู่บ้านนี้อยู่ที่ไหน หายังไงก็ไม่เจอ” หลินชิวสือถามบ้าง
“ไม่ใช่สุสานหรอก” หร่วนป๋ายเจี๋ยตอบ “การฝังศพในมิติประตูไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดหรอกนะ”
“ถ้าอย่างนั้นเป็นที่ไหนล่ะ” หลินชิวสือถามต่อ
“ยังจำตอนที่แบกไม้ลงมาเมื่อหลายวันก่อนได้ไหม ก็พวกคนที่ถูกไม้กระแทกตายไงล่ะ” หร่วนป๋ายเจี๋ยเฉลย
ได้ยินเช่นนั้นหลินชิวสือก็โพล่งขึ้นว่า “จริงด้วย พวกเขาไม่ใช่สิ่งที่ตายแล้วหรอกเหรอ…”
“ไปกันเถอะ ลองไปขุดศพของพวกเขาขึ้นมาไหม เกือบจะถึงกำหนดที่ต้องเติมบ่อน้ำแล้ว” หร่วนป๋ายเจี๋ยชวนก่อนเสริมว่า “ทุกคนจะได้ไม่ต้องอยู่ในสภาพนี้ต่อไป”
ครั้นเธอพูดประโยคนี้จบ ความกดดันในบรรยากาศก็ลดทอนลงไปไม่น้อย แต่ก็ยังไม่ดีดังเดิมเนื่องจากไม่มีใครรับรองว่าจะขุดศพขึ้นมาได้ หลังจากตัดไม้เสร็จก็มีหิมะตกลงมาอีกไม่น้อย การจะขุดศพออกมาจากชั้นหิมะที่ทับถมจนหนาไม่ใช่เรื่องง่ายสักนิดเดียว
แต่ไม่ว่าจะยากเย็นสักเพียงไรก็เห็นจะง่ายกว่าการสังหารผู้อื่นเป็นแน่
ทุกคนต่างตระหนักว่าเวลาลดลงไปทุกขณะ จึงเห็นต้องกันว่าควรนำศพขึ้นมาให้เร็วที่สุดเพื่อเลี่ยงปัญหาที่จะตามมา
หลินชิวสือไม่คิดเลยว่าคนในทีมจะมีความเห็นเป็นหนึ่งเดียวกันได้ถึงเพียงนี้ ไม่มีใครแย้งขึ้นมาเลยสักคน
เมื่อคิดดูอย่างละเอียด ทางที่หร่วนป๋ายเจี๋ยเสนอนับว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในเวลานี้ แม้การขุดศพท่ามกลางหิมะขึ้นมาจะมีอุปสรรคมากมาย หากก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียเลยทีเดียว อีกอย่างหนึ่ง…ถ้าระหว่างที่ขุดเกิดมีเหตุไม่คาดฝันจนมีคนต้องตายไป ก็สามารถเบาใจได้ว่าจะมีศพมาใส่บ่อน้ำโดยที่มือไม่ต้องเปื้อนเลือด
ครึ่งชั่วโมงให้หลังทุกคนก็มารวมตัวกันที่ประตูบ้าน พวกผู้ชายต่างถือพลั่วไว้ในมือ
“ไปกันเถอะ” สยงชีคาบบุหรี่มวนสุดท้ายที่นำติดตัวมายังมิตินี้ไว้ที่มุมปาก ค่อย ๆ สูบอย่างระมัดระวัง “วันนี้ต้องขุดศพขึ้นมาให้ได้”
เฉิงเหวินที่ไล่ฆ่าหวังเซียวอีเมื่อคืนนัยน์ตาแดงก่ำด้วยเส้นเลือดฝอยที่เห็นได้ชัดทั่วทั้งตาขาวจนน่าตกใจ “หากขุดขึ้นมาไม่ได้ พวกเราไม่รอดแน่” เขาถลึงตาจ้องหวังเซียวอีและหลินชิวสือ
หลินชิวสือเองก็จ้องกลับอย่างไม่ยอมลงให้
“ไปกันเถอะ” หร่วนป๋ายเจี๋ยเรียก
สยงชีนำทุกคนเดินไปตามทางเดินเล็กแคบบนภูเขา ทิ้งรอยเท้าไว้เป็นทางบนพื้นหิมะหนาอันเป็นผลจากพายุหิมะที่ตกกระหน่ำทั้งกลางวันและกลางคืนตลอดช่วงหลายวันที่ผ่านมา
ราวสิบนาทีต่อมาทุกคนก็มาถึงเส้นทางสู่ป่าอันคุ้นตา
“น่าจะเป็นแถว ๆ นี้” สยงชีจำต้องอาศัยการคาดเดา เนื่องจากไม่มีจุดให้สังเกตว่าศพของอดีตเพื่อนร่วมทีมอยู่ตรงบริเวณใด “เริ่มขุดจากตรงนี้ก็แล้วกัน”
หลินชิวสือพยักหน้า กระชับพลั่วในมือก่อนเริ่มลงมือขุด
แม้ถนนจะไม่กว้าง แต่พื้นที่ที่ต้องขุดนั้นกลับกว้างไม่ใช่น้อย จึงต้องอาศัยความพยายามเป็นอย่างมาก ทุกคนตั้งหน้าตั้งตาขุดกันไม่วางมือ
หร่วนป๋ายเจี๋ยนั่งแทะเมล็ดแตงโมสบายใจเฉิบบนหินก้อนใหญ่ข้างทาง ใบหน้าผ่อนคลายของเธอตัดกับสีหน้าเคร่งเครียดของเสี่ยวเคอราวขาวกับดำ เมื่อเห็นความไม่รู้ร้อนรู้หนาวของอีกฝ่าย เสี่ยวเคอก็อดปากไม่ได้ “ไม่กลัวตายหรือไง รู้ไหมว่าถ้าตายในนี้ก็จะตายในโลกจริงด้วยนะ”
“กลัวสิ” หร่วนป๋ายเจี๋ยตอบเนือย ๆ
“แต่หน้าเธอไม่บอกว่ากลัวเลยนะ” เสี่ยวเคอแย้ง
หร่วนป๋ายเจี๋ยไม่แม้แต่จะมองหน้าอีกฝ่าย ทำราวกับเสี่ยวเคอเป็นอากาศธาตุ จะเรียกว่าดูแคลนก็ยังได้ “คนเราจะแสดงความหวาดกลัวออกมาไม่เหมือนกัน บางคนร้องไห้ บางคนก็หัวเราะ ฉันก็แค่ชอบแทะเมล็ดแตงโม” หญิงสาวโปรยเปลือกเมล็ดแตงโมลงบนพื้นหิมะ “แล้วก็ชอบทิ้งขยะไม่เป็นที่ด้วย”
“…” เสี่ยวเคอรู้ดีว่าอีกฝ่ายเจตนากลั่นแกล้ง หากก็ไม่รู้จะตอบโต้อย่างไร ได้แต่ก่นด่าเสียงเบาก่อนเดินผละไป
หร่วนป๋ายเจี๋ยยิ้มเยาะ ตั้งแต่มาถึงที่นี่เธอก็จับตามองหลินชิวสือชนิดไม่ให้คลาดสายตาสักวินาที คล้ายกับบนตัวของเขามีสิ่งดึงดูดสายตาของเธอ
หลินชิวสือกลับก้มหน้าตั้งใจขุด ภาวนาให้เจอศพของทั้งสองโดยเร็ว ไม่ได้สนใจหญิงสาวแม้แต่น้อย
ทว่าบางครั้งสวรรค์ก็ไม่เมตตาต่อคำอ้อนวอนของมนุษย์ พวกเขาออกมาตอนใกล้ค่ำเต็มที ดังนั้นเมื่อขุดไปได้ประมาณหนึ่งชั่วโมงความมืดก็มาเยือน
หิมะเริ่มโปรยลงมาอีกครั้ง หลินชิวสือเป่ามือที่เริ่มชาของตนพลางแหงนหน้ามองท้องฟ้าไปด้วย
ท้องฟ้ายามราตรีสวยงามไม่น้อย พระจันทร์ดวงโตกลางท้องฟ้าส่องแสงสีเงินยวงลงบนพื้นหิมะ ที่แห่งนี้จึงไม่มืดมิดจนเกินไป
สยงชีที่อยู่ไม่ไกลขุดหิมะไปพลางคุยกับเสี่ยวเคอไปพลาง เฉิงเหวินที่พื้นอารมณ์ไม่ค่อยดีนักก็ไม่คิดจะเก็บงำความขุ่นเคือง เขาขุดไปด้วยปากก็พ่นคำด่าทอไม่หยุด แต่ก็นับได้ว่าสามารถขุดได้อย่างรวดเร็ว
ส่วนหญิงสาวที่อยู่ริมทางเดินอีกสามคนก็คอยมองหลินชิวสืออยู่เงียบ ๆ
หลินชิวสือขุดต่อไปสักพักก็เริ่มรู้สึกว่ามีสิ่งผิดปกติ เขาเงยหน้ามองไปทางหร่วนป๋ายเจี๋ย พิจารณาคนทั้งสามที่ยืนอยู่ตรงนั้น
นอกจากหร่วนป๋ายเจี๋ยที่สูงเด่นล้ำหน้าคนอื่น หญิงร่างเล็กอีกสองคนต่างยืนจับมือกันแน่นราวสนิทสนมกันมาก
เมื่อเห็นภาพนี้หลินชิวสือก็หยุดมือกะทันหัน
“มีอะไรหรือ” สยงชีที่อยู่ไม่ไกลเอ่ยทักเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูแปลกไป “หลินชิวสือ?”
“มีบางอย่างแปลก ๆ”
“อะไรแปลกหรือ” เสี่ยวเคอถาม
หลังจากได้ยินเสียงของเด็กสาว หลินชิวสือก็พบสาเหตุที่ทำให้เขาเอะใจขึ้นมา พวกเขาเหลือกันอยู่หกคน สยงชี เสี่ยวเคอ หวังเซียวอี เฉิงเหวิน หร่วนป๋ายเจี๋ย และตัวเขาเอง
เสี่ยวเคอยืนอยู่ข้างสยงชี แล้วข้างหร่วนป๋ายเจี๋ยจะมีผู้หญิงอีกสองคนยืนจับมือกันอยู่ได้อย่างไร
ชายหนุ่มกลืนน้ำลาย แสร้งทำเป็นขุดต่อไปคล้ายไม่มีอะไรเกิดขึ้นพร้อมเรียกหญิงสาวไปด้วย “หร่วนป๋ายเจี๋ย มาตรงนี้หน่อย ผมมีเรื่องอยากจะถาม”
หร่วนป๋ายเจี๋ยลุกจากหินที่นั่งอยู่ เดินเข้าไปหาคนที่เรียกตน “อะไรเหรอ”
หลินชิวสือไม่ตอบ เขาลอบมองอีกสองคนที่เหลือทางหางตา เงาของร่มไม้บดบังทำให้เขามองเห็นใบหน้าของสองคนนั้นไม่ชัดเจน แต่ทั้งคู่มีความสูงเท่ากัน ทั้งยังจับมือกันเสียแน่นราวกับรักใคร่กันมาก ยิ่งมองก็ยิ่งทำให้รู้สึกขนหัวลุก
“หลินชิวสือ?” เธอเรียกอีกครั้ง “มีอะไรเหรอ”
หลินชิวสือยังคงปิดปากเงียบ ตั้งใจรอให้หร่วนป๋ายเจี๋ยเข้ามาใกล้กว่านี้เสียก่อน ทันใดนั้นพลั่วในมือของเขาก็กระทบเข้ากับบางอย่าง
เวลาเดียวกัน หร่วนป๋ายเจี๋ยก็ไปถึงตัวชายหนุ่มพอดี หญิงสาวก้มลงไปมองก็เห็นศพที่แข็งตัวอยู่ข้างพลั่ว “เจอแล้ว”
“ว่าไงนะ” หลินชิวสือไม่เข้าใจว่าหญิงสาวหมายถึงอะไร
“คุณเจอศพแล้วนี่” น้ำเสียงของหญิงสาวสดใสขึ้น “ดีจริง โชคเข้าข้างชะมัด…”
วินาทีนั้นหลินชิวสือจึงค่อยตระหนักได้ว่าพลั่วของตนขุดเจออะไร เมื่อก้มลงไปมอง เขาก็เห็นเพียงมือซีดขาวที่ติดอยู่ในหิมะ หากก็เดาได้ว่าน่าจะเป็นของอดีตเพื่อนร่วมทีมที่เสียชีวิตขณะแบกไม้ลงมา
“เจอแล้ว!” หลินชิวสือตะโกน หางตาเหลือบไปเห็นร่างทั้งสองที่อยู่ใต้ต้นไม้ ทว่าคราวนี้ทั้งสองกลับรวมกันกลายเป็นหนึ่งคน ก่อนเดินตรงมายังพวกเขาช้า ๆ แสงจันทร์ส่องให้หลินชิวสือเห็นว่าคือหวังเซียวอี
คนที่เพิ่งเดินมาถึงคล้ายจะรับรู้ได้ถึงสายตาเคลือบแคลงของหลินชิวสือ “คุณมองฉันทำไมเหรอ”
“ไม่มีอะไร” ชายหนุ่มส่ายศีรษะ
“ขอบคุณนะ คุณเยี่ยมมากเลย” หวังเซียวอีหลุบตามองศพที่ยังติดอยู่ในหิมะด้วยสายตาอ่อนโยน “หากไม่ได้คุณช่วยไว้ฉันคงตายไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว คุณยังเป็นคนเจอศพอีก…”
“ก็แค่โชคดีนิดหน่อย” จู่ ๆ ชายหนุ่มก็ยื่นมือออกไปดึงหร่วนป๋ายเจี๋ยเข้าหาตัว “คุณขยับมาหน่อย”
หร่วนป๋ายเจี๋ยเลิกคิ้วมองการกระทำของอีกฝ่ายด้วยความแปลกใจ ขณะที่กำลังจะเอ่ยถามก็รู้สึกว่าหลินชิวสือใช้นิ้วเขียนบางอย่างบนฝ่ามือของตน
เขาลากนิ้วสี่ครั้งออกมาเป็นคำว่า ‘หวัง’
ทันใดนั้นหญิงสาวก็เข้าใจ หร่วนป๋ายเจี๋ยบีบมือชายหนุ่มเป็นการตอบรับ เธอทำทีเป็นมองศพก่อนพูดว่า “ในเมื่อเจอแล้ว พวกเราก็รีบขนศพกลับไปดีกว่า”
“ดีเลย” หวังเซียวอีเผยรอยยิ้มกว้าง “พวกเรารีบกลับกันเถอะ”