死亡万花筒
ฝ่ามิติประตูมรณะ
ซีจื่อซวี่ 西子绪 เขียน
ซิ่วเจิน แปล
XOXO วาด
– โปรย –
สิ่งที่แปลกไปอย่างแรกก็คือ แมวที่บ้านไม่ยอมให้เขากอด
จากนั้นหลินชิวสือก็รู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไปจากเดิม
แล้ววันหนึ่ง ตอนที่เขาผลักเปิดประตูบ้านออกมา
ก็พบว่าทางเดินในตึกที่คุ้นเคยกลับกลายเป็นทางเดินยาวซึ่งทั้งสองฟาก
เป็นประตูเหล็กที่มีลักษณะเหมือนกันสิบสองบาน
แล้วเรื่องราวต่างๆ ก็เริ่มต้นขึ้นจากจุดนี้
และเมื่อเปิดประตูเข้าไปครั้งแรกเขาก็ได้เจอกับคนแปลกๆ ที่ยิ่งได้รู้ความจริงก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆ
“ทำไมคุณต้องใส่ชุดผู้หญิงด้วยล่ะ”
“งานอดิเรก”
หลินชิวสือ “…”
เมื่อสายรุกหนังหน้าหนา เจ้าเล่ห์ ทรงเสน่ห์
และชื่นชอบการแต่งหญิงเป็นชีวิตจิตใจมาเจอกับฝ่ายรับที่ซุกซ่อนความหน้าไม่อายไว้
ภายใต้ความเงียบขรึมอย่างแนบเนียน ความไร้ยางอายขั้นกว่าจึงบังเกิดขึ้น!
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 11 หญิงผู้นั้น
คนอื่นต่างมุ่งความสนใจไปที่ศพของอดีตเพื่อนร่วมทีมโดยไม่ได้รับรู้ถึงความผิดปกติของหวังเซียวอี
“ดีจริง ไม่คิดเลยว่าจะเจอเร็วแบบนี้” สยงชีชื่นชมโชคของหลินชิวสือยกหนึ่งก่อนพูดต่อ “นึกว่าต้องอยู่ที่นี่ทั้งคืนเสียอีก”
“ขนศพกลับไปกันเถอะ” เฉิงเหวินใจเย็นลงเมื่อพบศพ เขาถ่มน้ำลายลงบนพื้นก่อนสายตาชิงชังจะตวัดขวับไปจ้องหวังเซียวอี “ถือว่าเธอยังโชคดี”
หวังเซียวอีที่มีท่าทางหวาดกลัวตั้งใจจะเข้าไปหลบหลังหลินชิวสือ ทว่าเขาไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้ทำตามความตั้งใจ ชายหนุ่มรวบข้อมือของหวังเซียวอีพลางบอกว่า “มีพวกเราอยู่ด้วย คุณไม่ต้องไปกลัวเขา เฉิงเหวิน…คุณบ้าไปแล้วเหรอ ขู่ผู้หญิงให้กลัวแล้วได้อะไรขึ้นมา”
“ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คน ฉันเห็นหมดแล้ว!” เฉิงเหวินคล้ายมีอาการทางจิต ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนได้ หากแต่คำพูดของหลินชิวสือก็ทำให้เขาเลิกระรานหวังเซียวอี ก้มหน้าก้มตาช่วยสยงชีขุดศพออกจากหิมะ
หิมะอันหนาวเหน็บช่วยรักษาศพให้มีสภาพคงเดิมแม้เวลาจะผ่านไปหลายวันแล้วก็ตาม กระทั่งอวัยวะภายในและกระดูกสันหลังบริเวณช่วงเอวที่ฉีกขาดก็สามารถมองเห็นได้ชัด ดูสยดสยองจนหนังศีรษะชาวาบ
หากได้เห็นภาพเช่นนี้หลังจากมาถึงมิติประตูได้ไม่นาน หลินชิวสือคงอาเจียนออกมาจนหมดไส้หมดพุง แต่ผ่านมาขนาดนี้แล้ว ศพแค่นี้ไม่ทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งสะเทือนแต่อย่างใด ยังอยากเข้าไปตรวจดูใกล้ ๆ ด้วยซ้ำ
“จะขนกลับไปยังไง” เสี่ยวเคอถาม “แบกขึ้นหลัง?”
“ลากกลับไปก็แล้วกัน” สยงชีเสนอ “ถึงจะดูไม่เคารพผู้ตายเท่าไร แต่ก็ดีกว่าต้องมีคนมาตายเพิ่มอีกสองคน”
การแบกศพคนตายขึ้นหลังในโลกปกติไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่ ทว่ามิติประตูนั้นมีความแปลกประหลาดเอาแน่เอานอนไม่ได้ แบกอยู่ดี ๆ ศพบนหลังอาจจะฟื้นขึ้นมาก็ได้ ใครจะรู้
“โอเค” หลินชิวสือเห็นด้วย
พวกเขาช่วยกันนำเชือกมามัดศพของอดีตเพื่อนร่วมทีมทั้งสองไว้ด้วยกัน ก่อนจะสอดแผ่นไม้ที่นำมาด้วยไว้ด้านล่าง ทำเป็นเลื่อนหิมะง่าย ๆ ขึ้นมาใช้ชั่วคราวเพื่อให้สามารถลากบนพื้นหิมะได้สะดวก
“ไปกันได้แล้ว” หลังจากตระเตรียมทุกอย่างเสร็จสิ้น สยงชีกับหลินชิวสือก็ลากเลื่อนบรรทุกศพกันคนละข้างไปตามทางเล็ก ๆ กลุ่มของผู้หญิงเดินนำอยู่ทางด้านหน้า หลินชิวสือจึงลากศพไปพลางจับตามองหวังเซียวอีไปด้วย
ก่อนหน้านี้เขาจงใจจับข้อมือของหวังเซียวอีเพื่อพิสูจน์ ร่างกายของอีกฝ่ายทั้งอุ่นและอ่อนนุ่มเหมือนมนุษย์ทุกประการ หรือสิ่งที่เห็นใต้ต้นไม้จะเป็นเพราะเขาตาฝาดไปเอง ไม่มีทาง…หลินชิวสือปัดความลังเลทิ้ง ในมิตินี้ แม้จะเป็นเพียงภาพลวงตาก็ไม่อาจวางใจได้ ก้าวพลาดเพียงครั้งเดียวอาจจะอันตรายถึงชีวิต
ระหว่างที่คนอื่นกำลังเดิน หร่วนป๋ายเจี๋ยก็ชะลอฝีเท้าลงไปอยู่หลังหลินชิวสือ ใกล้จนสามารถกระซิบกระซาบกันได้ “คุณเห็นอะไร”
“สองคน”
หร่วนป๋ายเจี๋ยทำเสียงว่าเข้าใจ
“เป็นคนหรือเปล่า”
พอได้ยินชายหนุ่มถามเช่นนั้น หญิงสาวก็หัวเราะเสียงเบา “ถ้าฉันบอกว่าเป็นคน ก็จะเป็นคนอย่างนั้นเหรอ ทำไมคุณถึงเชื่อฉันขนาดนี้”
หลินชิวสือคิดก่อนตอบว่า “เป็นเพราะคุณหน้าตาดีละมั้ง”
“ฉันชอบฟังคนชม” หญิงสาวนิ่งไปครู่หนึ่ง “ฉันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน น่าจะเป็นคนนะ แต่ก็ยังวางใจไม่ได้ ถึงตัวจะเป็นคน แต่ไม่รู้ว่าจะมีอะไรซ่อนอยู่ในตัวเธอหรือเปล่า”
หลินชิวสือรู้สึกว่าคู่สนทนาตอบได้มีเหตุมีผล
เส้นทางในหุบเขาไม่ค่อยกว้าง เคราะห์ดีที่ศพของทั้งสองไม่หนักเท่าไร เมื่อพ้นมาได้ทั้งหมดก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ไม่มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นระหว่างทาง
“รีบกลับกันเถอะ” สยงชีมองท้องฟ้าอย่างเป็นกังวล “ฟ้าจะมืดสนิทแล้ว”
“อืม” หลินชิวสือตอบรับ
หมู่บ้านยามค่ำคืนเงียบสงัดไม่ต่างจากป่าช้า เสียงเสียดสีกันของหิมะยามฝ่าเท้าย่ำลงไปยิ่งขับเน้นให้เห็นถึงความเงียบงันภายในหมู่บ้าน
ระหว่างที่ต่างคนต่างเร่งฝีเท้า หวังเซียวอีที่เดินนำอยู่ก็ไอโขลกจนตัวงอคล้ายมีบางสิ่งติดอยู่ในลำคอของเธอ
“หวังเซียวอี เป็นอะไรไหม” เสี่ยวเคอที่อยู่ข้างหญิงสาวถาม
หวังเซียวอีไม่ตอบ หากแต่โบกมือทำท่าทางว่าตนไม่เป็นอะไร คิดไม่ถึงว่าอึดใจต่อมาเฉิงเหวินที่สงบนิ่งอยู่เป็นนานก็เกิดคลุ้มคลั่ง เขายกพลั่วในมือขึ้นสูง พุ่งเข้าหาหวังเซียวอีอย่างประสงค์ร้าย
“คุณจะทำอะไร!” หลินชิวสือจับตัวเฉิงเหวินไว้ได้ “บ้าไปแล้วเหรอ!”
ดวงตาของเฉิงเหวินกลายเป็นสีแดงก่ำ มองไม่เห็นแม้แต่เศษเสี้ยวของสติสัมปชัญญะในนั้น ปากก็คำรามว่า “เธอเป็นปิศาจ! ไม่ต้องมาจับผม!”
หวังเซียวอีไอหนักขึ้นจนทรุดตัวลงไปกับพื้น แล้วเริ่มอาเจียนออกมา
เสี่ยวเคอที่ยืนอยู่ไม่ไกลกรีดร้องด้วยความตกใจเมื่อเห็นสิ่งที่ออกมาจากปากของอีกฝ่าย
เมื่อหลินชิวสือหันไปมองก็พบว่า ภายในปากของหวังเซียวอีเต็มไปด้วยเส้นผมสีดำ หญิงสาวกุมลำคอของตนไว้ สีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด กลุ่มผมสีดำพุ่งออกมาจากปากของเธอ บิดตัวดิ้นบนพื้นราวกับมีชีวิต
“ต้องฆ่าเธอ! ไม่งั้นเธอจะฆ่าพวกเรา!” เฉิงเหวินสูญเสียการควบคุมโดยสิ้นเชิง พละกำลังที่ระเบิดออกมาภายใต้ขีดจำกัดของมนุษย์ช่างน่าสะพรึงกลัว เขาเหวี่ยงหลินชิวสือออกอย่างแรงในชั่วพริบตา ชายหนุ่มล้มลง ทำได้เพียงเบิกตามองคนที่เพิ่งหลุดจากมือไปยกพลั่วขึ้นฟาดศีรษะของหวังเซียวอี
“กรี๊ด!” หวังเซียวอีกรีดเสียงชวนเวทนา ศีรษะของเธอแบะออก โลหิตอุ่นร้อนไหลลงบนพื้นสีขาวของหิมะก่อให้เกิดม่านควันสีขาว เสียงอาเจียนหยุดลง ร่างของเธอล้มลงไปกองกับพื้นทั้งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
“ฮ่า ๆ ฮ่า ๆ ๆ เธอตายแล้ว” เฉิงเหวินหัวเราะอย่างสาแก่ใจ ใช้เท้าเตะร่างบนพื้น “ฮ่า ๆ พวกเรารอดแล้ว”
ไม่มีผู้ใดส่งเสียงตอบรับ คนอื่น ๆ ต่างมองฉากสยองขวัญตรงหน้าอย่างเงียบกริบ
เส้นผมที่หวังเซียวอีอาเจียนออกมาจางลงก่อนเลือนหายไปในที่สุด นัยน์ตาของหญิงสาวเบิกค้างราวกับไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนจึงต้องตายลงเช่นนี้
“ฮ่า ๆ ฮ่า ๆ” เฉิงเหวินทิ้งพลั่วที่โชกไปด้วยสีแดงลงบนพื้น เขามองไปรอบ ๆ ก่อนจะเห็นสายตาหวาดกลัวปนขยะแขยงจากคนรอบข้าง “มองผมแบบนี้หมายความว่าอะไร ผมช่วยพวกคุณเอาไว้นะ!”
‘สวบ…สวบ…’
เสียงสวบสาบบนพื้นหิมะดังขึ้นทำลายความเงียบงันในบรรยากาศ
หลินชิวสือหันหน้าไปทางป่าในหุบเขาซึ่งเป็นที่มาของเสียงประหลาดนี้ ราวกับสิ่งที่อยู่บนพื้นกำลังตรงมาหาพวกเขา
“เสียงอะไร” หลินชิวสือรู้สึกไม่ดี “เรารีบไปกันเถอะ”
“อืม” สีหน้าของสยงชีก็ดูไม่ดีนัก ไม่มีแรงจะใส่ใจกับความตายของหวังเซียวอี เขากับหลินชิวสือออกแรงวิ่งลากศพไปทางบ้านพัก
ทุกคนวิ่งสุดกำลัง พื้นหิมะอันร่วนซุยกับชุดที่ทั้งหนาและหนักเป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนที่ หลินชิวสือหอบฮัก แต่ก็ไม่กล้าหยุดฝีเท้าเมื่อเสียงนั้นใกล้เข้ามาทุกขณะ
เฉิงเหวินวิ่งนำอยู่ทางด้านหน้า เขาเป็นคนแรกที่ถึงบ้านพัก
“เฉิงเหวิน เปิดประตูเร็ว!” สยงชีตะโกน
ชายหนุ่มเปิดประตู ธรรมดาแล้วเขาควรพุ่งตัวเข้าไปเป็นคนแรก หากไม่รู้ว่าเขาเห็นอะไรในนั้นจึงแกว่งพลั่วในมือไปมา ปากตะโกนไม่หยุด “ปิศาจ ปิศาจ…”
ตอนแรกหลินชิวสือคิดว่าอีกฝ่ายเกิดคลั่งขึ้นมาอีก แต่เมื่อสังเกตดี ๆ ก็พบปัญหาที่เกิดขึ้นกับเฉิงเหวิน แสงจันทร์ส่องให้เห็นร่างของเขาที่มีสองเงาด้วยกัน หนึ่งในนั้นเป็นเงาของเฉิงเหวิน ส่วนอีกหนึ่งเป็นเงาของหญิงสาวผมยาวที่ใช้แขนเกาะเกี่ยวอีกฝ่ายไว้ สองเงาที่เคียงกันอยู่บนพื้นราวกับว่าออกมาจากร่างของเฉิงเหวิน
“ปิศาจ! ปิศาจ!” เฉิงเหวินร้องโหยหวน ความหวาดกลัวพรากเอาสติที่หลงเหลืออยู่ให้หายไปสิ้น หลินชิวสือไม่อาจทนมองได้อีก จึงเข้าไปใช้สันมือสับลงตรงหลังลำคอของอีกฝ่าย เสียงโหวกเหวกจึงหยุดลง
“เข้ามาเร็ว!” หร่วนป๋ายเจี๋ยตะโกนเรียกจากในบ้าน “มันจะมาถึงแล้ว”
หลินชิวสือกับสยงชีช่วยกัน คนหนึ่งลากศพ คนหนึ่งลากคนที่สลบไสล เมื่อทั้งหมดเข้ามาอยู่ในตัวบ้านเรียบร้อย ก็ได้ยินเสียงสวบสาบดังขึ้นจากหน้าประตู
‘ก๊อก ๆ ๆ’ เสียงเคาะประตูดังขึ้น
ทั้งสี่คนที่อยู่ภายในห้องหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ไม่มีใครคิดจะตอบรับ
‘ก๊อก ๆ ๆ’ คนที่อยู่ข้างนอกยังเคาะประตูต่อไป ทว่าราวกับฝ่ายนั้นจะรู้ว่าไม่มีผู้ใดคิดจะเปิดประตู จึงมีเสียงของหญิงสาวดังขึ้น “เปิดประตูหน่อย ฉันหิวมากเลย พวกคุณส่งของกินมาให้หน่อย”
หลังจากได้ยินคำว่า ‘หิว’ หลินชิวสือก็นึกถึงเทพอำมหิตของช่างไม้ขึ้นมาได้
“ฉันหิวแล้ว” หญิงสาวพูดพร่ำ เสียงของเธอดังขึ้นเรื่อยๆ “พวกคุณช่วยฉันด้วย ส่งของกินให้ฉันเถอะ”
“บ้าเอ๊ย!” เสี่ยวเคอสบถ “ดูที่กำแพงสิ!”
เมื่อหลินชิวสือมองไปทางกำแพงตามที่อีกฝ่ายบอก ก็เห็นใบหน้าครึ่งบนและดวงตาสีดำมองเข้ามาจากเหนือกำแพงที่มีความสูงกว่าสองเมตรซึ่งคนธรรมดาไม่สามารถทำเช่นนี้ได้
“ฉันหิวมากเลย” นัยน์ตาคู่นั้นเคลื่อนไปมาก่อนจะหยุดที่พวกเขาซึ่งอยู่ทางด้านใน “ฉันหิวมาก ถ้าไม่เอาอะไรให้กิน ฉันก็จะไปหาเอง”
“ทำยังไงดี” หลินชิวสือถาม
“ไม่ต้องสนเธอ ทิ้งศพลงบ่อน้ำก่อนค่อยว่ากัน” หร่วนป๋ายเจี๋ยบอก
“โอเค” หลินชิวสือเห็นด้วย เขากับสยงชีช่วยกันแบกศพไปที่บ่อน้ำ หร่วนป๋ายเจี๋ยเดินไปกับพวกเขา คิดไม่ถึงว่าเธอยังกล้ามองลงไปในนั้น
“โยนลงไป” หร่วนป๋ายเจี๋ยบอก
หลังจากหลินชิวสือกับสยงชีปล่อยมือ ศพก็หล่นลงไปในบ่อ หากแต่รออยู่ครู่ใหญ่ก็ยังไม่ได้ยินเสียงตกกระทบที่ก้นบ่อ
แม้จะไม่มีเสียงวัตถุตกถึงพื้น แต่ในนั้นกลับมีเสียงอื่นให้ได้ยิน…มันเป็นเสียงเคี้ยวตะกรุมตะกรามอันไม่น่าฟัง
“อร่อยมาก” หญิงสาวนอกกำแพงพลันพูดขึ้น “อร่อยจริง ๆ”
หลินชิวสือถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งใจ