[ทดลองอ่าน] ฝ่ามิติประตูมรณะ บทที่ 12

死亡万花筒
ฝ่ามิติประตูมรณะ

ซีจื่อซวี่ 西子绪 เขียน
ซิ่วเจิน แปล
XOXO วาด

 

– โปรย –

สิ่งที่แปลกไปอย่างแรกก็คือ แมวที่บ้านไม่ยอมให้เขากอด

จากนั้นหลินชิวสือก็รู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไปจากเดิม

แล้ววันหนึ่ง ตอนที่เขาผลักเปิดประตูบ้านออกมา
ก็พบว่าทางเดินในตึกที่คุ้นเคยกลับกลายเป็นทางเดินยาวซึ่งทั้งสองฟาก

เป็นประตูเหล็กที่มีลักษณะเหมือนกันสิบสองบาน

แล้วเรื่องราวต่างๆ ก็เริ่มต้นขึ้นจากจุดนี้

และเมื่อเปิดประตูเข้าไปครั้งแรกเขาก็ได้เจอกับคนแปลกๆ ที่ยิ่งได้รู้ความจริงก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆ

“ทำไมคุณต้องใส่ชุดผู้หญิงด้วยล่ะ”

“งานอดิเรก”

หลินชิวสือ “…”

เมื่อสายรุกหนังหน้าหนา เจ้าเล่ห์ ทรงเสน่ห์
และชื่นชอบการแต่งหญิงเป็นชีวิตจิตใจมาเจอกับฝ่ายรับที่ซุกซ่อนความหน้าไม่อายไว้
ภายใต้ความเงียบขรึมอย่างแนบเนียน ความไร้ยางอายขั้นกว่าจึงบังเกิดขึ้น!

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 12 กุญแจประตู

 

เสียงเคี้ยวดังไม่หยุดราวกับจะกัดกินไม่ให้เหลือแม้แต่กระดูก เสียง ‘กร๊อบๆ’ ยามกระดูกแตกหักบั่นทอนจิตใจของผู้ฟังเป็นอย่างยิ่ง หากแต่ทุกคนก็เฝ้ารอคอยอย่างอดทน

จวบจนขอบฟ้าเริ่มทอแสงระเรื่อ เสียงกินอย่างมูมมามจึงเงียบลง หญิงสาวที่เฝ้าจับจ้องพวกเขาจากนอกกำแพงก็หายตัวไปเช่นกัน

หลินชิวสือไม่รู้ว่าตนหูฝาดไปเองหรือไม่ ก่อนที่ผู้หญิงคนนั้นจะหายไป เขาได้ยินเสียงเรอเบา ๆ…คล้ายกับว่าเธอกินจนแน่นท้อง

ในที่สุดท้องฟ้าก็สว่างจ้า หลินชิวสือที่นั่งอยู่ในสวนตลอดคืนรู้สึกราวกับเวลาผ่านไปชาติหนึ่ง “จบแล้ว?”

หร่วนป๋ายเจี๋ยไม่อาจตอบได้แน่ชัดจึงกล่าวเพียงว่า “อาจจะ”

พวกเขาตัดต้นไม้ ไหว้พระในวัด เติมบ่อน้ำไปแล้ว เหลือเพียงไปรับโลงศพจากบ้านของช่างไม้

แม้ใบหน้าของทุกคนจะระบายด้วยความเหน็ดเหนื่อย หากก็ไม่อาจปิดบังความตื่นเต้นที่ฉายอยู่บนนั้นได้ พวกเขาน่าจะมาถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว แค่เพียงได้กุญแจมาและหาประตูให้เจอก็จะได้ออกไปจากมิติอันน่าสะพรึงนี้

คิดได้ดังนี้จังหวะการเดินของพวกเขาจึงเร็วขึ้นไม่น้อย

หมู่บ้านในยามกลางวันไม่น่ากลัวเหมือนยามค่ำคืน เหมือนเป็นเพียงหมู่บ้านเล็ก ๆ กลางหุบเขาทั่วไปที่มีชาวบ้านธรรมดาอาศัยอยู่ ไม่มีปิศาจหรือความตายอันน่าสยดสยอง

ขณะไปบ้านของช่างไม้ พวกเขาต้องผ่านจุดที่หวังเซียวอีเสียชีวิต แต่หลินชิวสือกลับไม่เห็นสิ่งใดนอกจากหิมะสีขาวโพลน ไม่หลงเหลือร่องรอยของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน

“ศพของเธอโดนกินไปแล้ว?” หลินชิวสือถาม

“น่าจะเป็นอย่างนั้น” หร่วนป๋ายเจี๋ยตอบ “เทพเจ้านั่นดูเหมือนจะหิวมาก”

เมื่อพวกเขามาถึงจุดหมายก็พบช่างไม้นั่งสูบยาสูบอยู่หน้าประตู หลินชิวสือไปถึงเป็นคนแรกจึงกล่าวทักทายเจ้าของบ้าน “คุณตา พวกเรามารับโลงศพครับ”

ช่างไม้ชี้เข้าไปในบ้านโดยไม่พูดอะไร

เมื่อทุกคนเดินเรียงแถวเข้าไปก็พบว่ามีโลงศพสีแดงตั้งอยู่ในห้องเล็ก ๆ โลงศพถูกต่อขึ้นอย่างประณีตงดงาม ไม้แต่ละแผ่นถูกประกบเข้ากันแนบสนิทไร้รอยต่อ ไม่เหมือนเป็นงานที่สร้างขึ้นในระยะเวลาอันสั้น

หลินชิวสือรู้สึกว่าสีที่เคลือบอยู่บนโลงศพดูน่าสงสัย เมื่อใช้มือลูบก็พบว่าสีนั้นมีกลิ่นคาว ทั้งยังเหนียวหนืดคล้ายเมือก

ปฏิกิริยาของหร่วนป๋ายเจี๋ยเร็วกว่าชายหนุ่มก้าวหนึ่ง เธอโพล่งขึ้นว่า “เลือดสินะ”

“น่าจะใช่” สยงชีตอบ “มีสีแบบนี้ที่ไหนกัน”

“เอาเถอะ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม เอามันกลับไปก่อนดีกว่า” หร่วนป๋ายเจี๋ยตัดบท “ไปกันเถอะ”

หลินชิวสือนึกว่าโลงศพจะหนักมาก คิดไม่ถึงว่าเมื่อยกขึ้นมาแล้วมันจะเบาราวขนนก อาศัยเพียงสองคนก็สามารถยกได้สบาย

เฉิงเหวินยังไม่ได้สติ งานใช้แรงงานจึงตกเป็นหน้าที่ของหลินชิวสือและสยงชีสองคน คนหนึ่งแบกข้างหน้า คนหนึ่งแบกข้างหลัง เดินกลับไปยังที่พักของตน

“หลังจากนี้ต้องทำอะไรอีก” หลินชิวสือถามขณะที่แบกโลงศพอยู่

“ดูก่อนว่าในโลงศพมีอะไรหรือเปล่า” หร่วนป๋ายเจี๋ยตอบ “ฉันเดาว่ากุญแจต้องอยู่ในนั้น พอเอากุญแจออกมาได้ ทุกอย่างก็ไม่น่ายากแล้ว”

ความหวังเริ่มจุดประกายขึ้นในใจของหลินชิวสือ

เมื่อกลับถึงบ้านก็พบว่าเฉิงเหวินที่ถูกทำให้สลบไปรู้สึกตัวขึ้นมาแล้ว เขานั่งซึมกะทือราวไร้ชีวิตอยู่ในห้องนั่งเล่น กระทั่งเห็นคนอื่นแบกโลงศพกลับมาก็ยังไม่ทักทายสักคำ ดูคล้ายคนสติสัมปชัญญะไม่ครบถ้วน

หลินชิวสือเห็นดังนั้นก็เป็นกังวล พูดเสียงเบาว่า “ผมคงไม่ได้ทำให้เขาปัญญาอ่อนหรอกใช่ไหม”

“เอ่อ…” หร่วนป๋ายเจี๋ยตอบไม่ได้

“เฮ้ย! ผมใช้แรงแค่หน่อยเดียวเองนะ…”

ได้ยินเช่นนั้นหร่วนป๋ายเจี๋ยก็เอ่ยปลอบว่า “ปัญญาอ่อนก็ปัญญาอ่อนสิ ไม่มีใครให้คุณรับผิดชอบหรอก พอปัญญาอ่อนไปก็ไม่ต้องกลัวปิศาจอีก ดีจะตาย คุณเป็นผู้มีพระคุณของเขานะ!”

“…” ทำไมหร่วนป๋ายเจี๋ยถึงพูดได้คล่องปากขนาดนี้

พฤติกรรมก้าวร้าวที่เฉิงเหวินแสดงออกเมื่อวานส่งผลให้คนอื่นเมินเฉยเขา สยงชีและเสี่ยวเคอเองก็แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเขาด้วยเช่นกัน

“เปิดโลงเถอะ”  สยงชีเสนอหลังจากวางโลงศพลง

“โอเค” หลินชิวสือผงกศีรษะเห็นด้วย เขากับสยงชียืนกันคนละข้าง ออกแรงช่วยกันยกฝาโลงขึ้น

เสียงกุกกักดังขึ้นขณะที่ฝาโลงถูกยกออกไป กลิ่นชื้นของไม้ลอยมากระทบจมูก เสี่ยวเคอเห็นจะเป็นผู้ที่ตื่นเต้นที่สุด ทันทีที่ฝาโลงเปิดออก เธอก็รีบยื่นศีรษะลงไปสำรวจว่าในโลงศพมีของที่พวกตนต้องการหรือไม่

“เจอแล้ว! กุญแจ!” เสี่ยวเคอตะโกนอย่างมีความสุข ปลื้มใจจนน้ำตาแทบไหล “มีจริง ๆ อยู่ในนี้จริง ๆ !”

หลินชิวสือมองลูกกุญแจทองเหลืองรูปแบบโบราณในมือของเสี่ยวเคอ ลูกกุญแจมีรูปทรงเรียบง่าย หากก็ให้กลิ่นอายของความเก่าคร่ำคร่า บนนั้นมีรอยเปรอะเปื้อนของของเหลวสีแดง หากเป็นเมื่อก่อน หลินชิวสือคงคิดว่าสิ่งที่เคลือบอยู่คือสี แต่เวลานี้เขาคิดได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้นว่า สีแดงนั้นคือเลือดของมนุษย์

“เราได้กุญแจแล้ว! มีกุญแจแล้ว!” เสี่ยวเคอกอดกุญแจแน่น ดีใจจนน้ำตาไหล คล้ายกับจะหมดสติไปได้ทุกเมื่อ

ถึงปกติเธอจะมีท่าทีเย็นชา หากท้ายที่สุดก็ไม่สามารถทนต่อแรงกดดันของความเป็นความตายได้

“ประตูน่าจะออกมาแล้ว เริ่มหากันเถอะ” เสียงของสยงชีฟังดูเหนื่อยอ่อน “ต้องเร่งมือกันหน่อย พวกเราเหลือกันอยู่ไม่กี่คน”

“ปกติแล้วประตูจะปรากฏที่ไหน” หลินชิวสือไร้ซึ่งประสบการณ์ในด้านนี้

“ปกติจะอยู่ใกล้ ๆ กับที่พัก ไม่น่าจะหายาก” สยงชีกล่าว “แต่ผมไม่เคยอยู่ในมิติประตูที่มีสิบสามคน เลยไม่ค่อยแน่ใจ”

“เอาเถอะ” หลินชิวสือมองกุญแจในมือของเสี่ยวเคอ อย่างน้อยก็ได้กุญแจมาแล้ว

หร่วนป๋ายเจี๋ยกลับไม่แสดงอาการตื่นเต้นแม้แต่น้อย กล่าวว่า “แล้วกุญแจล่ะ ใครจะเป็นคนเก็บ ฉันไม่วางใจให้เธอเป็นคนเก็บมันไว้”

เสี่ยวเคอที่ไม่ได้รับความเชื่อถือเกิดอาการฉุนจัด “หมายความว่ายังไง ไม่วางใจอะไร อย่างกับว่าถ้าเธอเป็นคนเก็บเองแล้วพวกเราจะวางใจงั้นละ”

หร่วนป๋ายเจี๋ยแค่นยิ้ม “นี่ไม่ใช่เรื่องของฉันคนเดียว หากเธอทำกุญแจหาย พวกเราทั้งหมดต้องตายอยู่ในมิติประตูนี้ เธอมั่นใจไหมว่าจะดูแลกุญแจได้ คิดให้ดี ๆ นะ”

สีหน้าของเสี่ยวเคอเปลี่ยนจากเขียวเป็นขาว ขณะที่กำลังจะพูดอะไรสักอย่าง สยงชีก็วางมือลงบนไหล่ของเธอ “ชิวสือ เก็บกุญแจไว้ที่คุณ”

หลินชิวสือชะงักไปด้วยคิดไม่ถึงว่าหน้าที่นี้จะตกเป็นของตน เขาตั้งใจจะปฏิเสธ แต่หร่วนป๋ายเจี๋ยกลับเห็นด้วยกับสยงชี เธอกระซิบเบา ๆ ข้างหูชายหนุ่ม “คุณเก็บไว้เถอะ”

คิ้วของหลินชิวสือขมวดมุ่น “แต่ผมเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก ยังไม่เคย…”

“ไม่เป็นไร” สยงชีตัดบท “พวกเราไว้ใจคุณ”

“ก็ได้” หลินชิวสือได้แต่น้อมรับหน้าที่นี้ไป

เขายื่นมือออกไปรับกุญแจก่อนจะสำรวจสิ่งที่อยู่ในมือของตน หากไม่บอก เขาก็คงคิดว่ามันเพียงกุญแจทองเหลืองธรรมดา

สยงชีเสนอว่า ทุกคนเหน็ดเหนื่อยมาตลอดคืน ควรกินให้อิ่มก่อนแล้วค่อยหารือเรื่องตำแหน่งของประตูกันอีกครั้ง หลินชิวสือเองก็เห็นด้วย

ดังนั้นสยงชีและเสี่ยวเคอจึงแยกไปทำอาหารในห้องครัว ทิ้งให้หลินชิวสือและหร่วนป๋ายเจี๋ยนั่งเฝ้าเฉิงเหวินในห้องนั่งเล่น

“ทำไมพวกเขาถึงให้ผมเก็บกุญแจ” หลินชิวสือยังคงข้องใจ

“เพราะกุญแจไม่ใช่สิ่งดีอะไร” หร่วนป๋ายเจี๋ยตอบ “คนที่เก็บเอาไว้มักจะตายเร็ว” หญิงสาวหัวเราะพลางยื่นมือออกไปจิ้มหน้าผากของหลินชิวสือเบา ๆ “แต่คุณไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก”

“ฮะ?”

หร่วนป๋ายเจี๋ยก้มหน้าขบใบหูของหลินชิวสือพลางกระซิบเสียงเบา “ฉันเจอประตูแล้ว”

หลินชิวสือเบิกตาโพลง “อะไรนะ”

“ชู่ว์…เบาเสียงหน่อย” หร่วนป๋ายเจี๋ยเตือน

หลินชิวสือหุบปากฉับ พูดอยู่ในลำคอว่า “คุณว่าอะไรนะ คุณหาประตูเจอแล้วเหรอ”

“ใช่แล้ว” หร่วนป๋ายเจี๋ยยิ้มหวาน หญิงสาวใช้นิ้วมือเขี่ยใบหูของหลินชิวสือคล้ายสนใจมันมากเป็นพิเศษ ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกคันยุบยิบขึ้นมา “อยากรู้ไหมว่าอยู่ที่ไหน”

หากเป็นเวลาปกติชายหนุ่มคงพะวงกับมือทั้งสองข้างของหร่วนป๋ายเจี๋ยที่มายุ่มย่ามกับใบหูของเขา ทว่าความตกใจที่เกิดจากคำพูดของหญิงสาวทำให้เขาไม่ใส่ใจเรื่องอื่น “ถ้าคุณรู้ว่าอยู่ที่ไหน ทำไมถึงไม่พูดล่ะ…โอ๊ย!”

ใบหูของชายหนุ่มพลันเจ็บแปลบ หลินชิวสือสูดหายใจ “คุณทำอะไรน่ะ” เขาใช้นิ้วลูบใบหูจึงพบว่าหร่วนป๋ายเจี๋ยใช้ต่างหูเจาะหูของเขา

“ไม่ได้ทำอะไร” หร่วนป๋ายเจี๋ยยังคงทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ “พอใส่ต่างหูแล้วคุณดูดีขึ้นเยอะเลยนะเนี่ย”

หลินชิวสือลูบต่างหูด้วยความตกใจ ไม่รู้ว่าควรออกปากถามถึงประตูที่อีกฝ่ายเจอ หรือถามถึงต่างหูบนติ่งหูของตนดี ทว่าหร่วนป๋ายเจี๋ยกลับพูดต่อโดยไม่ปล่อยให้เขามีเวลาตัดสินใจ “ประตูอยู่ไม่ไกล รอจนหัวค่ำพวกเราค่อยกลับไปโลกของพวกเรากัน”

“เสี่ยวเคอกับสยงชีล่ะ”

“สองคนนั้น?” หร่วนป๋ายเจี๋ยไม่ค่อยประทับใจในตัวของคนที่ชายหนุ่มเอ่ยถึงนัก “ดูสีหน้าฉันสิ”

“หากเป็นไปได้…ก็พาพวกเขากลับไปพร้อมกันเถอะ” แม้เสี่ยวเคอจะเจ้าอารมณ์ไปบ้าง ทว่าสยงชีก็ดูแลพวกเขาไม่เลว ทั้งยังฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ มาด้วยกัน

“คุณนี่นะ จะใจดีมากเกินไปแล้ว” หร่วนป๋ายเจี๋ยบ่นอุบ หากก็เผยรอยยิ้ม “แต่ฉันก็ชอบที่คุณเป็นแบบนี้”

คำพูดของหร่วนป๋ายเจี๋ยส่งผลให้ใบหน้าของชายหนุ่มแดงระเรื่อ “อย่ามาล้อผมเล่น”

หร่วนป๋ายเจี๋ยกลับหัวเราะโดยไม่ต่อคำ

ชายหนุ่มถูกหญิงสาวเบี่ยงเบนความสนใจจนลืมถามเรื่องต่างหูไปเสียสนิท เอาแต่ครุ่นคิดเรื่องที่จะเกิดในค่ำคืนนี้ กระทั่งพวกสยงชีออกมาจากห้องครัวและถามว่าต่างหูมาอยู่บนใบหูของเขาได้อย่างไร เขาจึงรู้ตัวว่าถูกหญิงสาวหลอกเข้าแล้ว

“ดูไม่ดีเหรอ” หร่วนป๋ายเจี๋ยถาม “ทำไมคุณถึงไม่สนใจฉันล่ะ คุณมีผู้หญิงอื่นใช่ไหม”

“…คุณเลิกหาเรื่องเสียทีจะได้ไหม”

หร่วนป๋ายเจี๋ยเริ่มร้องไห้กระซิก ๆ “คุณถึงกับบอกว่าฉันหาเรื่องเหรอ นี่มันเกินไปแล้วนะ ฮือ ๆ ๆ”

เมื่อได้ยินดังนั้น หลินชิวสือผู้ไม่เคยมีแฟนมาก่อนในชีวิตจึงได้แต่มองอย่างสิ้นหวัง

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า