死亡万花筒
ฝ่ามิติประตูมรณะ
ซีจื่อซวี่ 西子绪 เขียน
ซิ่วเจิน แปล
XOXO วาด
– โปรย –
สิ่งที่แปลกไปอย่างแรกก็คือ แมวที่บ้านไม่ยอมให้เขากอด
จากนั้นหลินชิวสือก็รู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไปจากเดิม
แล้ววันหนึ่ง ตอนที่เขาผลักเปิดประตูบ้านออกมา
ก็พบว่าทางเดินในตึกที่คุ้นเคยกลับกลายเป็นทางเดินยาวซึ่งทั้งสองฟาก
เป็นประตูเหล็กที่มีลักษณะเหมือนกันสิบสองบาน
แล้วเรื่องราวต่างๆ ก็เริ่มต้นขึ้นจากจุดนี้
และเมื่อเปิดประตูเข้าไปครั้งแรกเขาก็ได้เจอกับคนแปลกๆ ที่ยิ่งได้รู้ความจริงก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆ
“ทำไมคุณต้องใส่ชุดผู้หญิงด้วยล่ะ”
“งานอดิเรก”
หลินชิวสือ “…”
เมื่อสายรุกหนังหน้าหนา เจ้าเล่ห์ ทรงเสน่ห์
และชื่นชอบการแต่งหญิงเป็นชีวิตจิตใจมาเจอกับฝ่ายรับที่ซุกซ่อนความหน้าไม่อายไว้
ภายใต้ความเงียบขรึมอย่างแนบเนียน ความไร้ยางอายขั้นกว่าจึงบังเกิดขึ้น!
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 13 โลกอีกใบหนึ่ง
หลินชิวสือได้แต่จับมือของหร่วนป๋ายเจี๋ยที่เอาแต่ร้องไห้อย่างกระอักกระอ่วน
ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น เสี่ยวเคอและสยงชีก็ไปเอาของกินที่ห้องครัว ดังนั้นหร่วนป๋ายเจี๋ยจึงหยุดหัวข้อนี้ลงชั่วคราว ก่อนยิ้มหวานคุยเรื่องอื่น ๆ กับหลินชิวสือต่อ
อาหารเย็นทำขึ้นอย่างง่าย ๆ แต่จิตใจของทุกคนกลับไม่ได้จดจ่อกับของกินตรงหน้า กินไปก็ถกกันถึงสถานที่ที่ประตูน่าจะปรากฏขึ้นไปด้วย
“ผมคิดว่าเราน่าจะลองไปหาที่บ้านของช่างไม้” สยงชีออกความเห็น “เขาดูไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดา”
“อืม” อารมณ์ของเสี่ยวเคอเบิกบานขึ้นเมื่อเรื่องที่น่าเป็นกังวลที่สุดผ่านพ้นไปแล้ว เธอไล่เรียงชื่อของทุกสถานที่ที่น่าจะพบประตูขึ้นมา
ขณะที่คนอื่น ๆ กำลังพูดคุย เฉิงเหวินกลับนั่งนิ่งอยู่ทางด้านข้าง แม้แววตาของเขาจะไม่ได้ว่างเปล่าเฉกเช่นยามที่ฟื้นขึ้นมา หากก็ยังดูหม่นมัวไร้ประกายชีวิต เขาไม่ได้กล่าวโทษหลินชิวสือที่ลงมือจนเขาสลบ อันที่จริงต้องพูดว่า ตั้งแต่รู้สึกตัวขึ้นมา เขายังไม่ได้พูดอะไรกับหลินชิวสือสักประโยคจะถูกต้องกว่า
เมื่อเห็นว่าคนอื่น ๆ ปรึกษากันได้เรื่องไม่น้อย เฉิงเหวินก็เอ่ยปากขึ้น “หลินชิวสือ”
หลินชิวสือมองไปที่อีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง “อะไรเหรอ”
“หวังเซียวอีเป็นปิศาจหรือเปล่า”
หลินชิวสือส่ายหน้าบ่งบอกว่าตนก็ไม่รู้ การที่เฉิงเหวินถามคำถามเช่นนี้ออกมา แสดงว่าสภาวะจิตใจของเขายังคงไม่กลับเป็นปกติ
“เธอต้องเป็นปิศาจแน่ ๆ ผมเห็น…” เขาเอียงศีรษะไปทางด้านข้างแล้วถามคนอื่นอย่างหวั่นวิตก “พวกคุณก็เห็นใช่ไหม เงาของเธอ แล้วยังที่เธออ้วกออกมา…”
คนอื่นปิดปากเงียบ อันที่จริงหลินชิวสือคิดว่าหวังเซียวอีน่าจะยังเป็นคนอยู่ ไม่เช่นนั้นคงไม่ถูกอีกฝ่ายฟาดด้วยพลั่วจนเสียชีวิตอย่างง่ายดาย แต่คนก็ตายไปแล้ว พูดเรื่องเหล่านี้ไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา
ทว่าเฉิงเหวินกลับยังไม่ยอมจบ เฝ้าถามซ้ำไปซ้ำมาว่าหวังเซียวอีเป็นปิศาจหรือไม่จนเสี่ยวเคอรำคาญ “ใช่หรือไม่ใช่ก็ถูกคุณฆ่าตายไปแล้ว จะพูดให้ได้อะไรขึ้นมา หรือคุณกลัวว่าจะฆ่าผิดคน”
สิ้นประโยคนี้ สีหน้าของเฉิงเหวินก็เปลี่ยนเป็นซีดขาว เขาลุกจากเก้าอี้เดินหนีไปอีกทาง
เสี่ยวเคอยังไม่หยุดคำถากถาง “ทำไมล่ะ ตอนลงมือก็ออกจะมั่นใจ ตอนนี้เกิดกลัวขึ้นมาซะงั้น กล้าทำแต่ไม่กล้ารับ คนขี้ขลาด”
“ฆ่าเพื่อนร่วมทีมในมิตินี้เป็นเรื่องร้ายแรงเหรอ” หลินชิวสืออยากถามคำถามนี้มานานแล้ว
“สรรพสิ่งในมิติประตูล้วนมีวิญญาณ พูดตรง ๆ ก็คือ ไม่ว่าเป็นอะไรเมื่อตายไปก็อาจจะกลายเป็นปิศาจได้ จึงไม่ควรฆ่าสุ่มสี่สุ่มห้า” สีหน้าของสยงชีแปรเปลี่ยนเป็นซับซ้อน
หลินชิวสือขานรับคำหนึ่ง เขานิ่งคิดก่อนพูดว่า “แต่นี่ไม่ใช่ช่องโหว่หรอกเหรอ คุณบอกว่าต้องมีคนรอดอย่างน้อยหนึ่งคนจึงจะออกไปจากที่นี่ได้ หากคนคนนั้นฆ่าคนอื่น ๆ จนหมดก็ตรงกับเงื่อนไขแล้วนี่”
“ฝันกลางวันอยู่หรือไง!” เสี่ยวเคอโพล่งขึ้น “ใครจะนั่งเฉยให้คนอื่นมาฆ่ากัน ถ้าฆ่าคนอื่นได้ไม่หมดในคราวเดียว หากหนีได้ไม่เร็วพอก็ต้องตายอยู่ในนี้อยู่ดี”
“ฆ่าไปตอนเช้า ตอนเที่ยงก็อาจจะโดนพวกนั้นตามล่าแล้ว ผมเคยเห็น” สยงชีกล่าว ก่อนมองตามแผ่นหลังของเฉิงเหวินที่เดินออกไปพลางส่ายศีรษะ
หลินชิวสือเข้าใจในที่สุด
เวลาช่วงเช้าหมดไปกับการนำโลงศพกลับมายังที่พัก จากนั้นก็ใช้เวลาค้นหาประตูตลอดทั้งบ่าย หากก็ยังไม่พบแม้แต่เงา หลินชิวสือและหร่วนป๋ายเจี๋ยย้อนกลับมาตามหาประตูที่บ้านของช่างไม้อีกครั้ง ระหว่างทางหญิงสาวบอกชายหนุ่มว่าให้เตรียมตัวให้พร้อม คืนนี้พวกเราจะกลับไปโลกเดิมกัน
แค่คิดว่าในที่สุดก็จะออกจากมิติประตูได้สักที ฝีเท้าของหลินชิวสือก็ว่องไวขึ้นมาก เขายกมือขึ้นลูบติ่งหู อัญมณีสีแดงที่ติดอยู่บนนั้นมีผิวสัมผัสคล้ายแก้ว ขณะที่ได้รับมาใจของเขามัวแต่จดจ่ออยู่กับเรื่องประตู ล่วงเลยมาถึงตอนนี้จึงเพิ่งมีเวลาถามผู้ที่ให้มาว่าต่างหูนี้คืออะไร
“ของขวัญจากฉันไง มิติประตูอุตส่าห์ทำให้เราได้เจอกัน ฉันเลยอยากรักษาโชคชะตานี้เอาไว้…”
หลินชิวสือได้ยินดังนั้นก็เลิกสนใจรายละเอียดนี้ หลังจากออกไปแล้ว พวกเขาอาจจะไม่ได้พบกันอีกก็เป็นได้ เขาลอบมองใบหน้างดงามของหญิงสาวก่อนจะถอนหายใจด้วยความเสียดาย หากไม่ได้เจอกันในที่แปลก ๆ อย่างนี้ก็คงจะดี…
บ่ายสี่โมง ท้องฟ้าเริ่มมีเค้าลางของความมืด
ผืนฟ้าไม่กระจ่างใสแม้จะไม่มีหิมะ ลมหนาวพัดกรูเกรียวบาดผิวหน้าจนเจ็บแปลบ เมื่อทั้งสองกลับถึงที่พักก็พบว่าสยงชีและเสี่ยวเคอกลับมาก่อนแล้ว
“เจอไหม” ต่างฝ่ายต่างถามคำถามเดียวกัน
เมื่อได้รับคำตอบว่าหาไม่พบ สยงชีก็ถอนหายใจพร้อมบอกว่าเรื่องนี้จะรีบร้อนไม่ได้ สงสัยต้องอยู่ที่นี่ต่ออีกหนึ่งคืน ให้ทุกคนรีบพักผ่อน ค่อยมาหาต่อในวันพรุ่งนี้
หร่วนป๋ายเจี๋ยและหลินชิวสือไม่คัดค้าน ทั้งสองจึงรีบกลับไปที่ห้อง นั่งรอเวลาให้ฟ้ามืดสนิท ไม่ได้ก้าวขึ้นเตียงแล้วนอนหลับอย่างเคย
หร่วนป๋ายเจี๋ยนั่งใกล้ตะเกียงน้ำมัน แทะเมล็ดแตงโมเป็นการฆ่าเวลา
หลินชิวสือตั้งใจจะออกจากห้องอีกครั้งตอนฟ้ามืดโดยไม่คิดว่าจะมีเรื่องนอกเหนือความคาดหมายเกิดขึ้น จู่ ๆ เฉิงเหวินซึ่งพักอยู่ห้องข้าง ๆ ก็ส่งเสียงร้องด้วยความทรมาน เสียงโหยหวนดังบาดหู น่ากลัวว่าเจ้าตัวจะตะโกนจนคอเจ็บ
“ช่วยด้วย…ช่วยด้วย…” เฉิงเหวินทุบผนังโครมคราม “ช่วยผมด้วย ใครก็ได้…”
“ฮือ ๆ ฮือ ๆ” เสียงร่ำไห้ของหญิงสาวดังตามหลังเสียงตะโกน เป็นเสียงสะอื้นของหวังเซียวอีที่หลินชิวสือได้ยินมาหลายต่อหลายครั้ง
ก่อนหน้านี้หวังเซียวอีเป็นฝ่ายร้องขอความช่วยเหลือ ทว่าคนที่ร้องขอชีวิตในยามนี้กลับกลายเป็นเฉิงเหวิน
เสียงตะโกนของชายหนุ่มอ่อนลงในเวลาไม่นาน เสียงคล้ายของมีคมตัดเฉือนผิวหนังดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับผู้ที่ถืออาวุธมีคมนั้นไม่รู้จักความเหน็ดเหนื่อย
เสียงของเฉิงเหวินเงียบลงแล้ว ทว่าเสียงสะอื้นไห้ของหวังเซียวอียังคงลอยมาให้ได้ยิน
สีหน้าของหร่วนป๋ายเจี๋ยเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด หันไปถามเพื่อนร่วมห้องว่า “คุณกลัวไหม”
“ผมไม่เป็นไร”
“สถานการณ์เปลี่ยนแล้ว พวกเราจะช้าไม่ได้ ไปกันเถอะ” หญิงสาวเร่ง
หลินชิวสือผงกศีรษะ เดินออกไปจากห้องพร้อมกัน
เมื่อออกมาข้างนอก ชายหนุ่มก็พบว่าพื้นห้องด้านขวามือเปียกชุ่มไปด้วยเลือด วาระสุดท้ายของเฉิงเหวินคงไม่ค่อยโสภานัก แม้หลินชิวสือจะไม่ต้องการเห็นคนตาย แต่เขาก็ตระหนักดีว่าเรื่องบางเรื่องอยู่นอกเหนือความควบคุม มนุษย์ธรรมดาเช่นเขาจะเอาอะไรไปต่อกรกับภูตผีปิศาจทั้งหลาย
หร่วนป๋ายเจี๋ยจูงหลินชิวสือลงบันได
ฝ่ายเดินตามกำลังจะถามอีกคนว่าจะพาเขาไปที่ใด ก็ถูกพาไปที่สวนเสียก่อน
ในสวนมีเพียงบ่อน้ำที่แห้งขอด หร่วนป๋ายเจี๋ยพาชายหนุ่มไปข้างบ่อน้ำ ก้มมองลงไปในนั้น
หลินชิวสือเลียนแบบหญิงสาวด้วยการมองลงไปในบ่อน้ำบ้าง
ก้นบ่อดำสนิทจนไม่เห็นสิ่งใด ผนวกกับกลิ่นตุๆของโคลนตมส่งผลให้ผู้ที่อยู่ด้านบนรู้สึกไม่ค่อยดีสักเท่าไร
ขณะที่หลินชิวสือกำลังสำรวจบ่อน้ำอย่างระมัดระวังก็ถูกผลักจากทางด้านหลังอย่างแรง ชายหนุ่มพยายามขืนตัวไว้ จึงถูกผลักอีกครั้ง
“ไปสิ” หร่วนป๋ายเจี๋ยพูดด้วยเสียงแกมสั่ง หลินชิวสือต้านแรงต่อไปไม่ไหวจึงถูกหญิงสาวผลักตกลงไปในบ่อ
เหตุการณ์เกิดขึ้นรวดเร็วเกินกว่าที่หลินชิวสือจะตั้งตัวทัน เขาตกลงไปในบ่อน้ำ พยายามยื่นมือไขว่คว้าบางสิ่งด้านข้างอย่างสะเปะสะปะ ทว่าผนังบ่อน้ำก็ลื่นเกินกว่าจะทำได้ วินาทีที่ชายหนุ่มคิดว่าต้องกระแทกก้นบ่อแน่ ๆ ก็พบว่าตนเองตกลงมาบนบางสิ่งที่ทั้งนุ่มนิ่มและยืดหยุ่น
วัตถุปริศนานุ่มลื่นราวกับเป็นเบาะที่ทำจากผ้าไหม หลินชิวสือจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ เขาลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก อาศัยแสงจันทร์ที่ลอดลงมาจากปากบ่อพิจารณาสิ่งที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า
สิ่งที่คิดไปเองว่าเป็นเบาะผ้าไหมแท้ที่จริงคือกลุ่มผมสีดำที่ขยับไหวไปมา หลินชิวสืออึ้งไปเล็กน้อยด้วยคาดไม่ถึงว่าแม้จะมาอยู่ในบ่อก็ยังได้พบเจอภาพเช่นนี้ เคราะห์ดีที่เขาสามารถควบคุมตัวเองให้กลับสู่สภาพปกติได้อย่างรวดเร็ว หลังจากกวาดตาไปรอบ ๆ จึงพบว่าที่ก้นบ่อมีทางเดินเล็ก ๆ ที่ไม่สะดุดตาสายหนึ่ง
หลินชิวสือเดิมต้องการจะตะโกนเรียกหร่วนป๋ายเจี๋ย หากก็เกรงว่าเสียงของตนจะไปกระตุ้นเส้นผมเหล่านี้เข้า จึงล้มเลิกความตั้งใจ เปลี่ยนเป็นเดินตรงไปยังทางเดินที่เห็นช้า ๆ
ทางสายนั้นคล้ายตั้งใจสร้างขึ้นให้ทั้งเล็กทั้งต่ำจนหลินชิวสือต้องก้มศีรษะลงยามเดินผ่าน ใต้เท้ามีกลุ่มผมสีดำทอดยาวไม่ต่างจากพรม
ไม่รู้ว่าเดินอยู่นานเท่าไร หลินชิวสือก็มาถึงสุดปลายทางเดินซึ่งมีกลุ่มผมงอกออกมาจากกำแพงอันเป็นต้นกำเนิดของเส้นผมเหล่านี้ บนกำแพงปรากฏประตูเหล็กกล้าสีดำบานใหญ่ ด้านบนนั้นคล้องแม่กุญแจทองเหลืองวาววับสะดุดตาไว้
ประตูนี้คล้ายกับที่ชายหนุ่มเห็นเมื่อครั้งอยู่บนทางเดินภายในบ้านของตน จะต่างก็เพียงประตูบานนั้นไม่มีแม่กุญแจ เขาหยิบกุญแจออกมาจากกระเป๋า เดินตรงเข้าไปช้า ๆ
กุญแจทองเหลือง…แม่กุญแจทองเหลือง…หลินชิวสือสอดกุญแจเข้าไปข้างในก่อนจะบิดหมุนไปด้านหนึ่ง แม่กุญแจคลายออกได้ยินเสียงดังกริ๊ก ขณะที่เขาปลดแม่กุญแจออกก็พบว่ามีบางอย่างร่วงลงมา
สิ่งที่หล่นลงมาจากแม่กุญแจคือกระดาษสีขาวแผ่นเล็ก ชายหนุ่มก้มตัวลงไปเก็บขึ้นมาอ่านตัวหนังสือที่อยู่บนนั้น ‘นกฟิตเชอร์’
หลินชิวสือไม่เข้าใจความหมายของคำนี้ หากก็สอดกระดาษแผ่นนั้นไว้ในกระเป๋าเสื้อด้วยไม่ต้องการจะเสียเวลาแล้ว จากนั้นบิดลูกบิดทองเหลืองและออกแรงดึง
ประตูเปิดออก แสงสว่างทอประกายออกมา แม้เจิดจ้าเกินกว่าจะมองเห็นสิ่งที่อยู่อีกด้านของประตู แต่กลับให้ความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยอย่างประหลาด
หลินชิวสือหันไปมองทางด้านหลัง กลุ่มผมขยับไปมาอย่างรวดเร็วคล้ายกับถูกกระตุ้นด้วยแสงสว่าง หลินชิวสือไม่กล้าชักช้าอีกต่อไป รีบก้าวเท้าเข้าสู่รัศมีแห่งแสงนั้นทันที
‘หร่วนป๋ายเจี๋ย ต้องออกมาให้ได้นะ…’ นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่หลินชิวสือคิดก่อนจะกลับออกมาจากมิติประตู