死亡万花筒
ฝ่ามิติประตูมรณะ
ซีจื่อซวี่ 西子绪 เขียน
ซิ่วเจิน แปล
XOXO วาด
– โปรย –
สิ่งที่แปลกไปอย่างแรกก็คือ แมวที่บ้านไม่ยอมให้เขากอด
จากนั้นหลินชิวสือก็รู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไปจากเดิม
แล้ววันหนึ่ง ตอนที่เขาผลักเปิดประตูบ้านออกมา
ก็พบว่าทางเดินในตึกที่คุ้นเคยกลับกลายเป็นทางเดินยาวซึ่งทั้งสองฟาก
เป็นประตูเหล็กที่มีลักษณะเหมือนกันสิบสองบาน
แล้วเรื่องราวต่างๆ ก็เริ่มต้นขึ้นจากจุดนี้
และเมื่อเปิดประตูเข้าไปครั้งแรกเขาก็ได้เจอกับคนแปลกๆ ที่ยิ่งได้รู้ความจริงก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆ
“ทำไมคุณต้องใส่ชุดผู้หญิงด้วยล่ะ”
“งานอดิเรก”
หลินชิวสือ “…”
เมื่อสายรุกหนังหน้าหนา เจ้าเล่ห์ ทรงเสน่ห์
และชื่นชอบการแต่งหญิงเป็นชีวิตจิตใจมาเจอกับฝ่ายรับที่ซุกซ่อนความหน้าไม่อายไว้
ภายใต้ความเงียบขรึมอย่างแนบเนียน ความไร้ยางอายขั้นกว่าจึงบังเกิดขึ้น!
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 2 ประตูเหล็กกับกุญแจ
แสงสว่างช่วยขับไล่บรรยากาศชวนขนลุกยามค่ำคืนให้หายไป
ขณะที่หลินชิวสือกำลังเดินไปตามทางเดินบนชั้นสอง ก็ได้ยินเสียงอู้อี้แว่วมาจากชั้นสาม ราวกับกำลังมีคนหลายคนกำลังถกเถียงกันอยู่ เขาตั้งใจจะเดินต่อไปโดยไม่สนใจ แต่แล้วก็ต้องเปลี่ยนใจเพราะมีเสียงหญิงสาวร้องไห้ราวกับได้พบเจอเหตุสะเทือนใจอย่างมากดังขึ้น
ชายหนุ่มมีท่าทางลังเลก่อนจะตัดสินใจขึ้นไปดูเหตุการณ์บนชั้นสาม
อาคารแห่งนี้เป็นโครงสร้างไม้ ขั้นบันไดไม้ค่อนข้างเก่า เวลาเหยียบลงไปจึงส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด บางแผ่นก็โยกคลอนจากน้ำหนักฝีเท้า ราวกับกำลังจะรับน้ำหนักของมนุษย์ไม่ไหว
บนชั้นสาม หลินชิวสือเห็นคนอื่น ๆ จับกลุ่มรวมกันอยู่บนทางเดิน หากสิ่งที่เรียกความสนใจจากเขากลับเป็นกลิ่นสนิมเหล็กที่ลอยอวลอยู่ในอากาศ
คาวโลหิตส่งกลิ่นคลุ้งระคายจมูก หลินชิวสือก้าวเข้าไปสมทบกับคนอื่น ๆ อย่างระมัดระวัง ความรู้สึกในยามนี้อยู่ห่างไกลจากคำว่าดีอยู่มากโข
“ผมว่าแล้ว…” เสียงดังมาจากสยงชี…ชายร่างใหญ่ผู้นำหลินชิวสือและหร่วนป๋ายเจี๋ยมาที่นี่ “…เมื่อวานต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่ ๆ …”
“ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน…แต่นึกว่าจะเป็น…” กล่าวถึงตรงนี้เสี่ยวเคอก็ตวัดสายตาไปทางชายหนุ่มที่เพิ่งมาถึงแวบหนึ่งก่อนตัดบท “ช่างเถอะ”
หลินชิวสือคิดในใจว่า พูดอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร นึกว่าจะเป็นใครกัน เขากับหร่วนป๋ายเจี๋ยอย่างนั้นหรือ ชายหนุ่มเบนสายตาไปทางประตูที่อยู่หลังเสี่ยวเคอ
บานประตูถูกเปิดค้างไว้ หลินชิวสือจึงพอจะมองลอดเข้าไปได้ ภายในห้องเต็มไปด้วยกองเลือดซึ่งเริ่มจับตัวเป็นก้อนเพราะสภาพอากาศอันหนาวเย็น
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ” หลินชิวสือถาม
“มีคนตาย” สยงชีตอบเสียงเรียบ
“…คนตาย?” หากเป็นเมื่อวาน ชายหนุ่มคงไม่สามารถจินตนาการถึงภาพที่คนเหล่านี้พูดเรื่องความเป็นความตายด้วยเสียงชืดชาได้ แต่หลังจากได้เผชิญกับสิ่งลึกลับเมื่อคืน เขาก็ตระหนักได้ว่าสถานที่แห่งนี้เป็นอีกมิติที่ไม่สามารถนำหลักการและเหตุผลปกติมาอธิบายได้
“อืม” สยงชีตอบ
หลินชิวสือขยับตัวเปลี่ยนมุม ก่อนจะมองเข้าไปในประตู แวบแรกที่เห็นทำเอาเขาถึงกับเผลอสูดอากาศเย็นยะเยือกเข้าปอดเฮือกใหญ่โดยไม่รู้ตัว ทุกตารางนิ้วของห้องเต็มไปด้วยเลือดที่จับตัวแข็ง ศพทั้งสองร่างกองอย่างไร้ระเบียบอยู่บนพื้น โชกเลือดจนแทบจำสภาพเดิมไม่ได้ แทนที่จะบอกว่าเป็นมนุษย์ สมควรจะเรียกว่าเป็นก้อนเนื้อไร้ผิวหนังสองก้อนมากกว่า เลือดภายในห้องไหลนองออกมาตามพื้น ตั้งแต่พื้นจรดกำแพง ทั่วทั้งชั้นสามแทบไม่มีจุดไหนที่สะอาดอยู่เลย
แม้จะเตรียมใจไว้ล่วงหน้า หากภาพอันน่าสะพรึงก็ทำให้หลินชิวสือเกิดอาการพะอืดพะอม เขายกมือขึ้นปิดปาก หันหลังขวับ เสี่ยวเคอเห็นดังนั้นก็เหมือนจะเข้าใจความรู้สึกอีกฝ่ายดี จึงบอกขึ้นว่า “ห้องข้างๆ มีห้องน้ำ”
หลินชิวสือพุ่งไปอาเจียนทันที
หลังจากชายหนุ่มสำรอกทุกสิ่งในท้องออกมาจนหมด เสี่ยวเคอก็พูดกับเขาว่า “ฉันนึกว่าคุณจะไม่อ้วกเสียอีก”
“ฮะ?”
“คุณกับหร่วนป๋ายเจี๋ยเป็นหน้าใหม่ที่ดูโอเคที่สุดตั้งแต่ฉันเคยเห็นมา คนที่เพิ่งเข้ามาในมิติประตูครั้งแรกส่วนใหญ่จะไม่ค่อยได้เรื่องได้ราว อัตราการรอดของคนพวกนี้อยู่ที่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น” เสี่ยวเคอกล่าวเสียงเรียบ
หลินชิวสือ “…”
“ลงไปกินข้าวเช้ากันเถอะ” เสี่ยวเคอชวน
“ไม่จัดการสองศพนั้นก่อนหรือ”
“จะให้จัดการยังไงล่ะ” เด็กสาวถามสีหน้าพิกล
หลินชิวสือเองก็ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรเช่นกัน ระหว่างที่เดินลงไปชั้นล่างพร้อมกับคนอื่น เขาก็นึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าขึ้นมาได้ “ตอนอยู่ที่ชั้นสอง ผมได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้มาจากชั้นบน…” เขากวาดตามองคนที่อยู่ด้วยกันจนถ้วนทั่ว มีเสี่ยวเคอเพียงคนเดียวที่เป็นผู้หญิง แต่ดูจากอาการนิ่งเฉยของเธอแล้ว อย่างไรก็ไม่น่าใช่คนที่จะร้องไห้ฟูมฟายเมื่อครู่
“ผู้หญิงร้องไห้? ไม่เห็นได้ยินเลย คุณหูฝาดแล้วละ” เสี่ยวเคอบอก
“…คงเป็นอย่างที่คุณว่า”
ที่ชั้นล่างมีอาหารเช้าที่ทำเสร็จแล้วส่งควันขาวลอยกรุ่นตั้งเรียงอยู่บนโต๊ะ คนที่ทำอาหารคือคนในหมู่บ้าน พวกเขาดูไม่ได้แตกต่างไปจากมนุษย์ทั่วไป
หลังมื้อเช้าหลินชิวสือก็เอ่ยปากขอยืมเสื้อผ้าเนื้อหนาจากพวกเขาพร้อมทั้งสอบถามสถานการณ์ภายในหมู่บ้านไปด้วย
“หมู่บ้านของเราก็ไม่มีอะไรผิดปกตินะ” ชาวบ้านไม่ได้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์อันใด “แต่ในฤดูหนาวแบบนี้มักจะมีนักท่องเที่ยวแวะมาทุกปี”
“อ้อ…แล้วพวกของใช้ล่ะครับ”
“ต้องออกไปซื้อนอกหมู่บ้าน ถึงทางจะลำบากไปหน่อยแต่ก็พอออกไปได้อยู่ มีแค่ตอนหิมะตกเท่านั้นแหละที่ออกไปไหนไม่ได้เพราะเส้นทางจะถูกหิมะทับหมด ส่วนมากก็ต้องอยู่ในหมู่บ้านไปตลอดฤดูหนาว”
ชายหนุ่มคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนโพล่งถามขึ้นมาว่า “บ้านทุกหลังในหมู่บ้านจะมีบ่อน้ำสร้างไว้ในสวนใช่ไหมครับ”
หลินชิวสือไม่แน่ใจว่าตนคิดไปเองหรือไม่ว่าสีหน้าของคนในหมู่บ้านเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันทีหลังจากได้ยินคำว่า ‘บ่อน้ำ’ แต่พวกเขาก็ไม่ได้ให้ข้อมูลอื่นใดนอกจากผงกศีรษะตอบว่าใช่ ก่อนจะหันหลังเดินออกไป
ชายหนุ่มนั่งไล่เรียงความคิดอยู่พักหนึ่งก็ยังปะติดปะต่ออะไรไม่ได้ จึงตัดสินใจนำเสื้อผ้าที่ยืมมาไปให้หร่วนป๋ายเจี๋ยก่อนแล้วค่อยมาถามชาวบ้านอีกครั้ง
หร่วนป๋ายเจี๋ยที่กำลังนอนเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่บนเตียง พอเห็นเพื่อนร่วมห้องเดินเข้ามาก็แหวขึ้นด้วยความไม่พอใจ “ช้าชะมัด”
หลินชิวสือวางเสื้อผ้าที่ยืมมาลงบนเตียงแล้วบอกว่า “ลุกเถอะ ข้างล่างมีอาหารเช้า”
หญิงสาวจึงตอบรับด้วยเสียงขึ้นจมูก
“งั้นผมไปรอข้างนอกนะ”
“เดี๋ยวก่อน” จู่ ๆ คนที่อยู่บนเตียงก็รั้งอีกฝ่ายไว้ “อะไรอยู่บนหัวคุณน่ะ”
“อะไรเหรอ” ชายหนุ่มถามกลับอย่างงุนงง
หร่วนป๋ายเจี๋ยลุกขึ้น กวักมือเรียกหลินชิวสือให้เดินเข้าไปหา
“แดงเถือกไปทั้งหัวเลย…” หญิงสาวใช้มือลูบเส้นผมของอีกฝ่ายก่อนจะพลิกขึ้นดู “อะไรเนี่ย”
กลางฝ่ามือของหร่วนป๋ายเจี๋ยปรากฏสิ่งที่ดูคล้ายเลือดซึ่งจับตัวเป็นก้อน หลินชิวสือเห็นเข้าก็พลันรู้สึกไม่ดี
“ขอผมดูหน่อย” ชายหนุ่มรีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำ มีบางสิ่งอยู่บนศีรษะเขาอย่างที่หร่วนป๋ายเจี๋ยบอกจริง ๆ มันดูคล้ายเกล็ดน้ำแข็ง เพียงแต่แทนที่จะมีลักษณะวาวใสกลับกลายเป็นสีแดงทั้งหมด เศษเล็ก ๆ เหล่านี้แทรกตัวอยู่ระหว่างเส้นผมของเขาอย่างแนบเนียนจนยากจะมองเห็น หลินชิวสือบอกไม่ได้ว่ามันมาอยู่บนศีรษะของเขาตั้งแต่เมื่อไร
“บ้าจริง!” ชายหนุ่มสบถออกมาเสียงเบาหลังจากเช็ดศีรษะด้วยผ้าขนหนู ตอนแรกยังดูไม่มีอะไร ทว่ายิ่งเช็ดก็ยิ่งน่าตกใจ ผ้าขนหนูในมือของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงราวถูกย้อม เขาพยายามทำความสะอาดอยู่พักใหญ่ แต่เส้นผมก็ยังไม่สะอาดเสียที
“ดีนะที่ไม่ใช่สีเขียว [1] ” หร่วนป๋ายเจี๋ยซึ่งสวมเสื้อเนื้อหนาทับเรียบร้อยแล้วกล่าวออกมาลุ่น ๆ หลังจากตามเข้ามาในห้องน้ำ
“…คุณเคยเห็นเลือดสีเขียวหรือไง”
“นี่เป็นเลือดหรอกเหรอ”
หลินชิวสือถอนหายใจเฮือก ก่อนจะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนชั้นสามให้อีกฝ่ายฟังคร่าว ๆ ทันทีที่พูดถึงเรื่องคนตาย หร่วนป๋ายเจี๋ยก็สะอื้นขึ้นมา “พี่หลิน…ฉันกลัวจังเลย พวกเราจะตายเป็นรายต่อไปหรือเปล่า”
มีหญิงงามมาร้องไห้อยู่ตรงหน้าเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็ไม่อาจฝืนทำเป็นใจแข็งได้
หลินชิวสือก้าวเข้าไปปลอบ ทว่าขณะที่หร่วนป๋ายเจี๋ยตั้งท่าจะซบศีรษะลงบนบ่าของอีกฝ่ายก็พลันโพล่งขึ้นว่า “พี่หลิน พี่สูงเท่าไร”
“…ร้อยแปดสิบ”
“เอ๊ะ! เตี้ยกว่าฉันอีก?”
หลินชิวสือ “…” ขอโทษที่ทำให้ผิดหวังนะ
ชายหนุ่มหันกลับไปตั้งหน้าตั้งตาทำความสะอาดผมของตน พร้อมกับนึกไปด้วยว่าเลือดพวกนี้ตกลงมาบนศีรษะตั้งแต่เมื่อไร แล้วเขาก็ได้คำตอบอันน่าขนลุก…มันคงไม่ได้หยดลงมาจากเพดานของชั้นสามใช่ไหม
“ผมจะขึ้นไปดูบนชั้นสาม คุณลงไปกินข้าวก่อนเถอะ”
“จะไปคนเดียวเหรอ ฉันไปด้วยดีกว่า” หญิงสาวบอก
“แล้วคุณไม่กลัวหรือไง” ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย เมื่อครู่เธอยังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่เลย
“คุณก็อยู่ด้วยนี่” หร่วนป๋ายเจี๋ยทัดเส้นผมดำขลับไว้หลังใบหู เผยรอยยิ้มละมุน “อยู่กับคุณ ฉันยังต้องกลัวอะไรอีกล่ะ”
ชายหนุ่มได้แต่คิดในใจว่า นั่นสินะ…เมื่อคืนเธอยังวิ่งเร็วกว่าเขาเลยนี่นา
แล้วทั้งสองก็ไปที่ชั้นสามด้วยกัน
ห้องที่เกิดเหตุยังคงอยู่ในสภาพเดียวกับเมื่อเช้า บนพื้นยังเจิ่งนองไปด้วยเลือดและศพก็ยังอยู่ในท่าเดิม ทว่าคราวนี้ ความสนใจของหลินชิวสือกลับเปลี่ยนไปอยู่ที่บนเพดาน ชายหนุ่มแหงนหน้าขึ้นสำรวจเหนือศีรษะแล้วก็พบเลือดอยู่บนนั้นตามคาด แม้ของเหลวด้านบนจะเกาะตัวเป็นคราบเนื่องจากเหตุการณ์ได้ผ่านไปแล้วพักใหญ่ หากก็ยังมีบ้างที่หยดแหมะลงบนพื้น สิ่งที่เห็นทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาครามครัน เพราะรอยนั้นดูคล้ายเกิดจากการที่มีตัวอะไรสักอย่างคลานอยู่บนเพดาน
เส้นผมบนศีรษะของชายหนุ่มตั้งชัน ไม่อยากคิดเลยว่าตอนที่เขาและคนอื่น ๆ รวมตัวกันอยู่ในห้องนี้จะมีตัวอะไรเกาะอยู่เหนือศีรษะ ซ้ำร้าย…ยังไม่มีใครรู้ตัวสักคน
หร่วนป๋ายเจี๋ยเองก็จ้องเพดานอยู่พักใหญ่
หลินชิวสือจึงถามเธอว่าเห็นอะไรไหม
“ก็เห็นเพดานไง” หญิงสาวตอบ “จะเห็นอะไรได้ล่ะ ดาวเหรอ ฝันอยู่หรือไง”
หลินชิวสือ “…”
ต่อจากเพดาน หญิงสาวยังไปดูศพทั้งสองที่บิดเบี้ยวจนไม่เหลือเค้าเดิมด้วย ใบหน้างามไม่มีความขยะแขยงให้เห็น ท่าทางคล้ายจะตื่นเต้นด้วยซ้ำ นับว่ามีความกล้าไม่น้อย
หลินชิวสือเหล่มองอย่างเคลือบแคลง “คุณไม่กลัวเลยเหรอ” อีกฝ่ายจึงคล้ายจะนึกขึ้นมาได้ จึงเริ่มส่งเสียงฮือ ๆ อีกครั้ง
“…อย่าเอาแต่ร้องฮือ ๆ คุณยังจะกินข้าวเช้าอยู่ไหม”
“กินสิ…กิน ๆ หิวแล้ว”
เมื่อทั้งสองลงมาข้างล่างก็พบว่าคนอื่นต่างกินอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้วและกำลังนั่งรอพวกเขาอยู่
“คุณสองคนไปไหนมา เรารอพวกคุณอยู่” สยงชีพูด
สายตาจับจ้องของคนอื่นไม่อาจสร้างความกดดันแก่หร่วนป๋ายเจี๋ย ร่างบางทิ้งตัวนั่ง ประคองถ้วยรับประทานอาหารเช้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผิวหน้าของหลินชิวสือไม่ได้หนาเช่นหร่วนป๋ายเจี๋ย เขาจึงต้องเล่าเรื่องเกล็ดเลือดบนศีรษะรวมทั้งรอยประหลาดบนเพดานชั้นสามให้คนอื่นฟัง
หลังจากฟังจบทุกคนมีสีหน้าไม่น่าดู บางคนยังเผลอแหงนหน้ามองเพดานตามไปด้วย
ระหว่างที่กำลังถกเรื่องผู้ตายและรอยประหลาดบนเพดานกันอยู่นั่นเอง ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก็เดินเข้ามา เขามีอายุประมาณสี่สิบปี สวมแจ็กเก็ตตัวหนาสีเขียวลายพรางคล้ายเครื่องแบบทหาร และถือตะเกียงน้ำมันดวงเล็ก ๆ ไว้ในมือ
“สวัสดีทุกคน” ชายผู้นั้นเอ่ยทัก “ผมเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน พวกคุณคือคนที่ผมขอความช่วยเหลือไปใช่ไหม”
เสียงภายในห้องเงียบลง แทนที่ด้วยเสียงของผู้มาใหม่
“ช่วงนี้อากาศแย่มาก แต่หมู่บ้านเราต้องทำโลงศพไว้สำหรับใช้ปีหน้า เลยจะขอแรงพวกคุณไปช่วยช่างไม้ต่อโลงศพสักหน่อย” เขากล่าวเสียงแหบพร่า
ไม่มีผู้ใดตอบรับ หัวหน้าหมู่บ้านเองก็คล้ายจะไม่ต้องการคำตอบจากพวกเขาเช่นกัน
เมื่อเขากล่าวจบก็กระอักกระไอออกมาสองสามครั้ง ก่อนยกตะเกียงน้ำมันที่กวัดแกว่งไปมาขึ้นสูงแล้วเดินออกไปข้างนอก แม้หิมะจะหยุดตกแล้ว แต่กระแสลมแรงยังคงพัดผ่านยอดไม้สร้างเสียงหวีดหวิวคล้ายเสียงคนร่ำไห้
“เริ่มแล้วสินะ” สยงชีกล่าวเบา ๆ
พูดยังไม่ทันขาดคำ ลมหอบใหญ่ก็พัดบานประตูที่ยังปิดไม่สนิทไปชนกำแพงดัง ‘ปัง’ ประตูไม้ที่ดูแข็งแรงพลันแตกออกเป็นชิ้น ๆ
ทั่วทั้งห้องเงียบกริบ ก่อนสยงชีจะทำลายความเงียบขึ้นเป็นคนแรก “พวกเราคงจะต้องทำโลงศพกันแล้วละ”
“ทำไม ทำไมถึงเป็นแบบนี้!” เสียงคร่ำครวญดังขึ้น เมื่อหลินชิวสือหันไปทางต้นเสียงก็พบว่าชายคนหนึ่งในกลุ่มเริ่มควบคุมตนเองไม่อยู่ “ทำไมถึงได้ยากแบบนี้ เราจะรอดไปได้เหรอ ใครจะไปต่อโลงศพกัน เรากำลังจะตาย พวกเราจะตายอยู่ที่นี่…”
สยงชีดูจะคุ้นเคยกับเหตุการณ์เช่นนี้ดีจึงมองดูโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
คนสติแตกยิ่งแผดเสียง น้ำมูกน้ำตาไหลเปรอะเปื้อนเต็มหน้า มือคว้าของที่อยู่บนโต๊ะขว้างลงพื้น “เข้ามามีสิบสามคน วันแรกก็ตายไปแล้วสอง…ผมไม่เคยเจออะไรที่ยากขนาดนี้มาก่อนเลย!”
“พอแล้ว” สยงชีตวาด “ร้องไห้แล้วจะช่วยให้รอดได้หรือไง จะโวยวายไปทำไม คิดว่าตัวเองเป็นมือใหม่งั้นเหรอ หัดดูสองคนที่เพิ่งมาเป็นตัวอย่างบ้าง!”
คำพูดของสยงชีทำให้หลินชิวสือผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่พลอยได้รับสายตามาดร้ายจากชายคนนั้นไปด้วย ได้แต่คิดว่าผิดด้วยหรือที่ใจแข็งแกร่ง
มีคนควบคุมสติไม่ได้แบบนี้อันที่จริงไม่นับว่าเป็นเรื่องประหลาด คนทั่วไปเมื่อต้องมาติดอยู่ในมิติซึ่งเต็มไปด้วยเหตุการณ์สั่นประสาทเช่นนี้ย่อมยากจะรักษาความเยือกเย็นไว้ได้
“เรามาหารือกันก่อนดีกว่าว่าต้องทำอะไรบ้าง” สยงชีเสนอ “หัวหน้าหมู่บ้านบอกให้ต่อโลงศพ มันต้องเป็นกุญแจแน่ ๆ”
“ขอโทษนะครับ กุญแจอะไร”
สยงชีจ้องชายหนุ่มครู่หนึ่งก่อนตอบ “กุญแจเอาไว้เปิดประตู หลังจากเข้ามาแล้วพวกเราต้องทำตามคำบอกใบ้ที่ได้รับจากคนในมิติประตูเพื่อให้ได้กุญแจมา จากนั้นก็ต้องหาประตูให้เจอถึงจะออกจากที่นี่ได้”
“มีกำหนดเวลาไหม”
ชายร่างใหญ่แค่นหัวเราะ “แน่นอน ก่อนที่ทุกคนจะตายกันหมดไง”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ หลินชิวสือค่อยคลายใจที่อย่างน้อยก็มีวิธีกลับออกไป จริง ๆ แล้วสิ่งที่เขากลัวที่สุดก็คือ ความหวาดหวั่นที่ไม่รู้ว่าจะจบลงเมื่อไร จะหนีก็ไม่ได้ จะสลัดอย่างไรก็ไม่พ้น ไม่ว่าจะทำวิธีใดก็ไร้ประโยชน์
“คำใบ้คือโลงศพ” สยงชีพูดพร้อมกับสำรวจสภาพอากาศนอกตัวอาคารไปด้วย “ลองไปถามช่างไม้ในหมู่บ้านดูก่อน”
“ดี ๆ ฉันไปด้วย” เสี่ยวเคอสนับสนุน
“ผมด้วย” หลินชิวสือยกมือเสนอตัว
“ตกลง” สยงชีพยักหน้า กลายเป็นผู้นำของกลุ่มไปโดยปริยาย “คนที่เหลือก็ลองสำรวจในอาคารดูว่ามีคำใบ้อีกบ้างไหมก็แล้วกัน”
หร่วนป๋ายเจี๋ยเดินไปกระตุกแขนเสื้อของหลินชิวสือ เอ่ยเสียงอ่อน “ฉันกลัว ฉันจะไปกับนายด้วย”
แม้หญิงสาวจะมีเรือนกายสูงชะลูดจนไม่ให้ความรู้สึกของนกน้อยที่ต้องได้รับการปกป้อง แต่ความงามของเธอก็มีผลให้ผู้อื่นอยากยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ หลินชิวสือผงกศีรษะ “เอาสิ แต่ผมคงรับรองความปลอดภัยให้คุณไม่ได้นะ”
“ไม่เป็นไร” หร่วนป๋ายเจี๋ยฉีกยิ้ม เอาผมทัดหู “แค่อยู่กับคุณฉันก็สบายใจแล้ว”
ชายหนุ่มได้แต่คิดในใจว่า หญิงสาวผู้นี้ช่างรู้จักปะเหลาะผู้อื่นเสียจริง
เมื่อได้ข้อสรุป ทั้งสี่จึงรีบออกจากที่พักในขณะที่ท้องฟ้ายังสว่าง
ระหว่างทางหลินชิวสือได้สอบถามสยงชีเกี่ยวกับมิติแห่งนี้ จึงทราบว่า ปิศาจที่นี่ไม่สามารถเข่นฆ่าคนได้ตามอำเภอใจ แต่อย่างไรกฎพวกนี้ก็มีข้อยกเว้น เช่น กรณีที่หลงไปอยู่ในมิติที่มีระดับความยากสูงมาก สิ่งเหนือธรรมชาติพวกนี้จะสามารถสังหารคนได้โดยไม่มีข้อแม้ ต้องการฆ่าเมื่อไรก็ฆ่า อัตราการเสียชีวิตจึงสูงถึงเก้าในสิบ
“มิติประตูพวกนี้มีไว้ทำไม” เขาถามสิ่งที่ตนสงสัยที่สุด
ทว่าเมื่อสยงชีได้ยินคำถามก็หันกลับมาจ้องลึกลงไปในดวงตาของชายหนุ่ม “รอจนรอดออกไปได้ก็จะรู้เอง”
“…อ้อ”
พวกเขาสอบถามที่อยู่ของช่างไม้จากคนในหมู่บ้าน หิมะที่ตกโปรยปรายเป็นอุปสรรคต่อการเดินทาง จึงต้องใช้เวลามากกว่าปกติ
หลินชิวสือจึงถือโอกาสนี้สำรวจสภาพแวดล้อมในหมู่บ้านไปด้วยในตัว
หมู่บ้านนี้มีขนาดไม่ใหญ่นัก อีกทั้งล้อมรอบไปด้วยป่าหนาทึบ โดยทั่วไปแล้วทุกอย่างก็ปกติดี เว้นแต่เพียงเวลาที่หิมะตกลงมาแล้วจะตัดขาดเส้นทางเข้าออก คนในหมู่บ้านมีจำนวนไม่มาก นานครั้งจึงจะเห็นคนเดินสวนไปมาสักสองสามคน ดังนั้นการเห็นคนจากนอกหมู่บ้านจึงควรเป็นเรื่องพิเศษมาก ทว่าเมื่อดูจากสีหน้าคนในหมู่บ้านแล้ว พวกเขาคล้ายไม่แปลกใจยามได้เห็นพวกหลินชิวสือเลย
บ้านของช่างไม้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่บ้าน จากด้านนอกมองเห็นแสงตะเกียงด้านในได้เลือนราง
สยงชีเคาะประตู รอเพียงไม่นานหน้าประตูก็ปรากฏร่างของชายอายุราวหกสิบถึงเจ็ดสิบปีสวมเสื้อกันหนาวสีเทาที่ขาดเป็นรู บนศีรษะของเขามีเส้นผมเหลืออยู่หร็อมแหร็ม ดวงตาฝ้าฟางบนใบหน้าซึ่งเหี่ยวย่นจับจ้องไปยังผู้มาเยือน “มีธุระอะไร”
“ข้างนอกหนาวมาก พวกเราขอเข้าไปคุยข้างในได้ไหมครับ” สยงชีถาม
ผู้สูงวัยไม่ตอบ หากก็เบี่ยงกายให้พ้นกรอบประตู
ทั้งสี่รีบเข้าไปด้านใน
หลินชิวสือกวาดสายตาเก็บรายละเอียด ห้องขนาดไม่ใหญ่เต็มไปด้วยสิ่งของวางระเกะระกะ บานหน้าต่างถูกตอกทับด้วยแผ่นไม้หยาบๆ เพื่อกันลมหนาวอย่างง่าย ๆ
“หัวหน้าหมู่บ้านขอให้พวกเรามาช่วยคุณตาทำโลงศพ” สยงชีเกริ่น “แต่พวกเราไม่มีความรู้เรื่องนี้เลย ได้ยินว่าคุณตาเป็นช่างไม้ที่มีชื่อเสียงของหมู่บ้าน คุณตาพอจะให้คำแนะนำพวกเราได้ไหมครับ”
ผู้สูงวัยเหลือบมองสยงชีด้วยแววตาเรียบเฉย “อยากทำโลงศพก็ต้องไปตัดต้นไม้ แล้วเอามาส่งให้ฉันที่นี่ หลังจากนั้นต้องไปไหว้พระที่วัดก่อนถึงจะเริ่มลงมือได้”
สยงชีจับคีย์เวิร์ดได้ “ไหว้พระที่วัดเหรอครับ”
ผู้สูงวัยผงกศีรษะ “วัดที่ข้างหมู่บ้าน การต่อโลงศพเป็นอัปมงคลจึงต้องไปไหว้พระก่อน…ต้องไปไหว้พระ”
ช่างไม้ย้ำคำว่า ‘ไหว้พระ’ เสียจนคนฟังรู้สึกอึดอัด
“ไหว้พระแล้วต้องทำยังไงต่อเหรอครับ” สยงชีถามต่อ
ชายชราไม่ตอบ
“คุณตา?”
อีกฝ่ายยังคงไม่ตอบ
เมื่อสยงชีถามเป็นรอบที่สาม ช่างไม้ก็ส่งยิ้มให้เขา หากแต่เป็นรอยยิ้มที่ดูดุดันยิ่งท่ามกลางแสงสลัว ก่อนที่เจ้าของบ้านจะบอกเสียงแหบต่ำ “หากยังมีชีวิตอยู่ค่อยกลับมาถามก็แล้วกัน”
ได้ยินเช่นนั้นสีหน้าของสยงชีก็พลันเผือดซีด
“อย่าพูดอย่างนั้นสิคุณตา อากาศหนาวออกอย่างนี้ หากคุณตาเกิดตายไปก่อนพวกเราไหว้พระเสร็จจะทำยังไง” หร่วนป๋ายเจี๋ยโพล่งขึ้นมาอย่างไม่คิดจะรักษามารยาท
“ตาแก่คนนี้สู้ชีวิต” ผู้สูงวัยแค่นหัวเราะ
“ที่คุณตาต้องสู้ด้วยก็เห็นจะมีแต่ชีวิตคุณตานี่แหละ”
คุณตา “…”
คนอื่น ๆ “…”
หลินชิวสือได้แต่ค่อนแคะในใจว่าใครสั่งใครสอนให้พูดเช่นนี้ ทำให้ NPC [2] เหม็นหน้าแบบนี้จะไม่มีปัญหาหรือ คนทั่วไปเมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนที่มีท่าทางชั่วร้ายอย่างช่างไม้ ก็มีแต่จะกลัวจนหัวหด ทว่าดูจากการที่หร่วนป๋ายเจี๋ยจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาดูแคลนแล้ว คาดว่าเจ้าตัวคงไม่คิดว่าเป็นปัญหา
“เอาเถอะ เขาไม่อยากบอกก็ไม่ต้องไปบังคับหรอก…” หลินชิวสือพยายามประนีประนอม
“จะไม่ให้บังคับได้ยังไง ก็รู้อยู่ว่าความหวังที่พวกเราจะรอดไปได้มันริบหรี่ คุณตาเล่นชิงตัดความหวังกันก่อนแบบนี้ได้ยังไง” พูดไปหญิงสาวก็ถลกแขนเสื้อ สายตากวาดไปทั่วห้องก่อนจะหยุดลงตรงท่อนไม้ที่มีขนาดเท่าท่อนแขนคน
หลินชิวสือคิดในใจว่า ฉิบหายแล้ว จะใช้กำลังจริง ๆ หรือเนี่ย มาหาเรื่อง NPC ของมิติที่มีแต่เรื่องหลอน ๆ แบบนี้จะไม่มีปัญหาจริง ๆ ใช่ไหม
ทว่าก่อนที่หร่วนป๋ายเจี๋ยจะได้หยิบไม้ท่อนนั้นขึ้นมา ชายชรากลับยอมยกธงขาวก่อน แล้วพูดอย่างลนลานว่า “หลังไหว้พระเสร็จให้ไปเติมบ่อน้ำ แล้วโลงศพก็จะสร้างเสร็จสมบูรณ์”
“ฮือ ๆ ชิวสือ เขาจ้องฉันเขม็งเลย~”
หลินชิวสือ “…” สายตาของเธอยังดูน่ากลัวกว่าอีก
สยงชีเองก็คาดไม่ถึงว่าการข่มขู่เช่นนี้จะได้ผล จึงนิ่งอึ้งไปเช่นเดียวกับเสี่ยวเคอ เมื่อมาถึงมิตินี้ พวกเขาก็ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างสุภาพด้วยเกรงว่าจะพลั้งไปสร้างความไม่พอใจให้คนอื่นเข้า ใครจะคิดว่าหร่วนป๋ายเจี๋ยจะได้รับคำตอบอย่างง่ายดายจากการเล่นนอกกติกา…แม้คำตอบที่ได้รับอาจจะเป็นเพียงคำลวงก็เถอะ
พวกเขาออกจากบ้านของช่างไม้ สยงชีซึ่งยังมึนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่หายก็ถามชื่อเสียงเรียงนามของหร่วนป๋ายเจี๋ย
หญิงสาวจึงตอบด้วยท่าทางน่ารักว่า “ฉันชื่อหร่วนป๋ายเจี๋ย พี่จะเรียกว่าเจี๋ยเจี๋ยก็ได้”
สยงชีลองเรียกตามที่อีกฝ่ายแนะนำ หากแต่รู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะ ท้ายที่สุดจึงตัดสินใจเรียกเธอว่า “ป๋ายเจี๋ย”
มาถึงมิตินี้จวนเจียนจะครบหนึ่งวันแล้ว สยงชีถึงเพิ่งจะรู้ชื่อหร่วนป๋ายเจี๋ย วันก่อนเขาเห็นเธอเอาแต่ร้องไห้ จึงคิดว่าคนประเภทนี้ไม่น่าจะอยู่รอดได้นานเท่าไรนักเลยไม่ได้สอบถามชื่อของเธอ
ทว่าผลงานที่น่าประทับใจของหร่วนป๋ายเจี๋ยเมื่อครู่ทำให้เขาคิดว่าอีกฝ่ายคงจะไม่ได้อ่อนแออย่างที่แสดงออก
“เมื่อกี้คุณไม่กลัวเหรอ” สยงชีถาม
“กลัว? ทำไมจะต้องกลัว กลัวผี กลัวปิศาจก็ยังพอรับได้ แต่กลัวกระทั่งคนนี่ก็แย่เกินไปหน่อยนะ อีกอย่างหนึ่ง แค่มองก็รู้ว่าคนนี้เป็น NPC สำคัญ เกิดปุบปับตายขึ้นมาจะเอาข้อมูลจากที่ไหน เราจะรอดออกไปได้ยังไง” หร่วนป๋ายเจี๋ยทำให้ทุกคนหน้าม้านไปตาม ๆ กัน
ทั้งสามต่างไม่รู้ว่าควรจะตอบเช่นไร ได้แต่คิดว่าที่หญิงสาวพูดมาก็มีเหตุผล
อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ได้ข้อมูลสำคัญมาจากช่างไม้แล้วจึงพอจะสบายใจได้บ้าง ทุกคนตัดสินใจจะรีบกลับเพื่อถ่ายทอดสิ่งที่รู้มาแก่คนอื่น ๆ
ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆครึ้มแม้จะเป็นเวลากลางวัน ทั้งยังมีลมกระโชกแรง หร่วนป๋ายเจี๋ยในชุดเดรสที่สวมทับด้วยแจ็กเก็ตหนาอีกสองชั้นเดินตามหลังหลินชิวสือ ร่างบอบบางมีท่าทางคล้ายจะโดนพัดปลิวไปได้ทุกเมื่อ
หลินชิวสือเห็นเข้าก็อดเป็นห่วงไม่ได้จึงยื่นมือออกไปจูงหญิงสาวให้มาอยู่ข้างหน้า ตั้งใจใช้ร่างของตนช่วยกำบังลมที่พัดจากด้านหลัง
หร่วนป๋ายเจี๋ยประทับใจเป็นอย่างมาก ดวงตาคู่งามเป็นประกายวาววับยามชมอีกฝ่าย “ใจดีจัง”
“ตามมารยาทน่ะ” หลินชิวสือเอ่ย
“คุณใจดีกับทุกคนแบบนี้หรือไง”
“…คุณเห็นผมใจดีแบบนี้กับสยงชีไหมล่ะ” เขาย้อนถามก่อนนึกครึ้มอยากแกล้งหญิงสาวขึ้นมาจึงเสริมว่า “เพราะคุณสวยไงล่ะ”
“ผมได้ยินนะ” สยงชีที่เดินนำอยู่หันกลับมา
หากหร่วนป๋ายเจี๋ยกลับมีสีหน้าจริงจัง “แค่สวยก็โอเคงั้นเหรอ”
หลินชิวสือที่ตั้งใจเพียงแกล้งอีกฝ่ายเล่นก็ตอบอย่างไม่คิดอะไรว่า “ต้องสูงด้วย”
“อ้อ…”
[1] คนจีนมีสำนวนว่า สวมหมวกเขียว หมายถึง คนที่สามีหรือภรรยาของตนนอกใจไปมีคนอื่น ในที่นี้ถ้าผมของหลินชิวสือกลายเป็นสีเขียวก็เหมือนกับการถูกสวมหมวกเขียวนั่นเอง
[2] Non-player Character คือ ตัวละครที่ไม่ได้ถูกควบคุมโดยผู้เล่น