死亡万花筒
ฝ่ามิติประตูมรณะ
ซีจื่อซวี่ 西子绪 เขียน
ซิ่วเจิน แปล
XOXO วาด
– โปรย –
สิ่งที่แปลกไปอย่างแรกก็คือ แมวที่บ้านไม่ยอมให้เขากอด
จากนั้นหลินชิวสือก็รู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไปจากเดิม
แล้ววันหนึ่ง ตอนที่เขาผลักเปิดประตูบ้านออกมา
ก็พบว่าทางเดินในตึกที่คุ้นเคยกลับกลายเป็นทางเดินยาวซึ่งทั้งสองฟาก
เป็นประตูเหล็กที่มีลักษณะเหมือนกันสิบสองบาน
แล้วเรื่องราวต่างๆ ก็เริ่มต้นขึ้นจากจุดนี้
และเมื่อเปิดประตูเข้าไปครั้งแรกเขาก็ได้เจอกับคนแปลกๆ ที่ยิ่งได้รู้ความจริงก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆ
“ทำไมคุณต้องใส่ชุดผู้หญิงด้วยล่ะ”
“งานอดิเรก”
หลินชิวสือ “…”
เมื่อสายรุกหนังหน้าหนา เจ้าเล่ห์ ทรงเสน่ห์
และชื่นชอบการแต่งหญิงเป็นชีวิตจิตใจมาเจอกับฝ่ายรับที่ซุกซ่อนความหน้าไม่อายไว้
ภายใต้ความเงียบขรึมอย่างแนบเนียน ความไร้ยางอายขั้นกว่าจึงบังเกิดขึ้น!
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 3 คืนวิบาก
เดินฝ่าลมหนาวบนถนนอยู่นาน ทั้งสี่ก็กลับถึงที่พักได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ได้ประสบกับเรื่องประหลาดระหว่างทาง
กลุ่มที่เพิ่งมาถึงรับรู้ได้ทันทีว่ามีบางสิ่งผิดปกติเมื่อเห็นคนที่รอคอยพวกเขาอยู่ในห้องนั่งเล่นนั่งนิ่งราวไร้ชีวิต ใบหน้าซีดขาว ดูย่ำแย่ยิ่งกว่าตอนที่เพิ่งมาถึงมิติประตูนี้เสียอีก
หลินชิวสือกวาดสายตาไล่สำรวจสมาชิกทีละคนอย่างรวดเร็ว เมื่อพบว่าจำนวนไม่ได้ลดหายไปก็ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“เกิดอะไรขึ้น” สยงชีถาม
“ข้างบน…ศพที่อยู่ข้างบนหายไปแล้ว” ชายคนหนึ่งกล่าวเสียงสั่น
“แค่ศพหายไปเอง พวกคุณเป็นมือใหม่หรือไง ศพหายมีอะไรให้ต้องกลัวกัน”
“ศพถูกกินหมด ไม่เหลือแล้ว” หญิงสาวที่อยู่ด้านข้างเสริมเสียงเจือสะอื้น น้ำตาไหลรินไม่ขาดสาย “ในห้องมีแต่เลือดเต็มไปหมด…”
สยงชีแลกเปลี่ยนสายตากับเสี่ยวเคอ รู้แก่ใจดีว่าคงไม่ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากปากของคนเหล่านี้ ทั้งสี่จึงตัดสินใจขึ้นไปดูบนชั้นสามด้วยตัวเอง
พวกเขาเดินขึ้นบันได เมื่อถึงชั้นสอง หลินชิวสือก็สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ…มีเลือดอยู่บนผนัง
เนื่องจากโครงสร้างของอาคารเป็นไม้ ผนังจึงมีสีน้ำตาลจากไม้ หลินชิวสือสังเกตเห็นรอยเปื้อนเป็นหยดสีดำคล้ำคล้ายถูกบางสิ่งบ้วนทิ้งไว้บนนั้น
“ระวังด้วย อาจมีบางอย่างอยู่ข้างบน” สยงชีที่นำอยู่ทางด้านหน้าหันมาเตือน
จนกระทั่งพวกเขาขึ้นมาถึงชั้นสาม หลินชิวสือจึงได้รู้ซึ้งว่าที่คนอื่นบอกว่า ‘ถูกกินหมด’ นั้นหมายความว่าอย่างไร
หากในห้องเหลือเพียงความว่างเปล่าอย่างที่คิดก็คงไม่มีอะไร ทว่าศพที่ว่ากลับกลายสภาพเป็นเศษเนื้อและกระดูกกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น คล้ายกับโดนบางสิ่งกัดทึ้งจนอวัยวะแต่ละส่วนฉีกขาดออกจากกัน ก่อนเริ่มกัดกินจนแทบไม่เหลือซาก
ใบหน้าของชายหนุ่มเผือดซีดอย่างไม่อาจห้าม ทั้งยังมีอาการพะอืดพะอมคล้ายจะขย้อนอาหารในกระเพาะออกมา
“ไม่รู้ว่าตัวอะไร กินเสียเรียบขนาดนี้” เสี่ยวเคอพูดอย่างชินชา
“เฮ้อ…” สยงชีถอนหายใจ “ไปกันเถอะ ปิดชั้นสามไว้ คืนนี้นอนแค่ชั้นสองก็แล้วกัน”
“โอเค ฉันจะลงไปถามเรื่องนี้จากคนที่อยู่ข้างล่างเพิ่ม” เสี่ยวเคอบอก
พวกเขากลับลงไปที่ชั้นหนึ่งอีกครั้งเพื่อสอบถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
คนที่นั่งอยู่ผลัดกันเล่ารายละเอียดต่าง ๆ ให้ทั้งสี่คนฟัง
คล้อยหลังจากที่พวกสยงชีออกไปหาช่างไม้ คนที่เหลือต่างช่วยกันสำรวจภายในอาคาร ผลก็คือเมื่อค้นไปถึงชั้นสองก็ได้ยินเสียงประหลาดคล้ายมีคนเคี้ยวอาหารอย่างตะกละตะกลามดังลงมาจากชั้นสาม
พวกเขาจึงนับจำนวนคน เมื่อมั่นใจว่าไม่มีใครอยู่บนชั้นสามแน่ ๆ ทั้งหมดพลันเหงื่อแตกพลั่ก
พวกเขาไม่กล้าขึ้นไปดู ได้แต่เฝ้าสถานการณ์อยู่ที่ชั้นสอง รอกระทั่งเสียงมูมมามเงียบลงจึงรวบรวมความกล้าขึ้นไปด้านบนกัน แต่ก็พบเพียงซากเนื้อและกระดูก
“น่ากลัวเกินไปแล้ว” หญิงที่ดูจะมีอายุมากที่สุดในกลุ่มกล่าวเสียงหม่น “ฉันเพิ่งเข้าประตูมาเป็นครั้งที่สาม ทำไมถึงมาเจอมิติแบบนี้ได้ พวกเราจะได้ออกไปกันไหม ตัวบนชั้นสามเป็นตัวอะไรกันแน่…”
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงัน ไม่มีผู้ใดสามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้
สยงชีถอนหายใจออกมาเบา ๆ บอกทุกคนว่าตนรู้สึกหิว จะไปหาอะไรกินที่ห้องครัวสักหน่อย ใครจะไปด้วยกันบ้าง
“ผมไปด้วย” หลินชิวสือบอก
หร่วนป๋ายเจี๋ยซึ่งนั่งอยู่ข้างกายชายหนุ่มก็พลันพูดเสียงออดอ้อนขึ้นมาว่า “ชิวสือ…ฉันก็หิว อยากกินบะหมี่”
“ผมจะลองดูแล้วกันว่ามีบะหมี่หรือเปล่า ถ้ามีจะต้มมาให้” หลินชิวสือบอก
“อือ” หญิงสาวยิ้มจนหางตาชี้ขึ้น มองคนที่รับคำขอร้องของตนด้วยแววตาอ่อนโยน “ระวังตัวด้วยนะ”
หลินชิวสือพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับ
ห้องครัวตั้งอยู่ทางซ้ายมือของห้องนั่งเล่น ที่นี่ไม่มีแก๊สหุงต้ม มีเพียงท่อนฟืนซึ่งเป็นเชื้อเพลิงแบบดั้งเดิมเท่านั้น
ระหว่างทางสยงชีและหลินชิวสือไม่ได้พูดคุยกันสักคำ จนกระทั่งจุดไฟในห้องครัวเสร็จ สยงชีจึงเอ่ยขึ้นว่า “ผมจะเล่าเรื่องที่เราเจอให้พวกเขาฟังแค่บางส่วน”
“หมายความว่ายังไง” หลินชิวสืออึ้งไปอึดใจหนึ่ง
สยงชีเหลือบมองไปทางประตู เมื่อแน่ใจว่าด้านนอกไม่มีใครจึงกระซิบว่า “ผมไม่มั่นใจว่าทุกคนที่อยู่ในนี้จะเป็นคน”
ประโยคนี้ทำเอาคนฟังรู้สึกเสียวสันหลังวาบ
“เมื่อก่อนก็เคยมีเรื่องแบบนี้ คนที่พวกเราคิดว่าเป็นเพื่อนร่วมทีม ที่จริงแล้วไม่ใช่คน แต่เป็นเจ้าพวกนั้น” สยงชีกล่าว
“แล้วทำไมคุณถึงเชื่อผม ถ้าเกิดผมเป็นหนึ่งในพวกนั้นล่ะ”
คนถูกถามหันมามองแวบหนึ่งก่อนตอบว่า “คุณดูไม่เหมือนพวกนั้น”
“…”
ทั้งยังเสริมอีกว่า “พวกเขาดูไม่เหมือนคนที่เคยผ่านเหตุการณ์แบบนี้มาแล้ว พวกเขาตกใจง่ายเกินไป ง่ายกว่าคุณอีก”
หลินชิวสือถูกชมเช่นนี้ก็เกิดละอายใจขึ้นมา “พูดตรง ๆ ผมเองก็กลัวมาก”
ได้ฟังดังนั้นสยงชีก็หัวเราะ “อย่างคุณเรียกว่ากลัวได้ที่ไหน ครั้งแรกที่เข้าประตูมา ผมฉี่ราดกางเกงสามครั้งในคืนเดียว”
หลินชิวสือหวนนึกถึงปิศาจสาวที่พบเมื่อคืนแล้วก็มองกางเกงของตนเงียบ ๆ แอบโล่งใจว่าตนเองยังโชคดีที่กลั้นไว้ได้…
“ผมแนะนำให้คุณเก็บคำใบ้บางส่วนไว้กับตัว อย่าบอกคนอื่นหมด”
หลินชิวสือพยักหน้า “เข้าใจแล้ว ขอบคุณมากที่เตือน ผมขอถามได้ไหมว่าคุณเข้าประตูมากี่ครั้งแล้ว”
“หกครั้ง”
“อ้อ…” หลินชิวสือพยายามสรุปข้อมูลที่ได้จากสยงชีอย่างสุดความสามารถ นอกจากเรื่องประตู เรื่องสมาชิกทีม แล้วยังมีคำใบ้ที่ถูกซ่อนไว้อีก
“คิดมากเกินไปก็เปล่าประโยชน์ พยายามรอดออกไปให้ได้ถึงจะดีที่สุด ถึงผมจะคิดว่ามิตินี้ดูน่าจะหนักกว่าที่แล้ว ๆ มาก็เถอะ” สยงชีแค่นหัวเราะ
ความร้อนของเตาไฟไต่สูงขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งทำให้น้ำในหม้อเหล็กเดือดปุด
หลินชิวสือพบตะกร้าขนาดเล็กที่เอาไว้ใส่ของสดสำหรับปรุงอาหารวางอยู่ด้านข้าง ภายในมีทั้งไข่ไก่และผักใบเขียว เขาจัดการต้มเส้นบะหมี่ก่อนจะทอดไข่ตามทีหลัง กลิ่นอาหารช่วยขจัดความมืดมนและความน่ากลัวออกไป สยงชีเห็นเข้าก็ชมว่า “ฝีมือไม่เลว”
“แค่พอกินได้” หลินชิวสือยิ้มรับ
เขาทำบะหมี่สี่ที่สำหรับสยงชี เสี่ยวเคอ ตัวเขา และหร่วนป๋ายเจี๋ย ไม่อาจทำเผื่อทุกคนได้หมด
หร่วนป๋ายเจี๋ยหิวมาก จับถ้วยบะหมี่ได้ก็สาวเส้นเข้าปากทันที คนทั่วไปยามกินบะหมี่จะเกิดเสียงดังตามมา แต่เธอกลับกินจนไม่เหลือน้ำซุปสักหยดโดยปราศจากเสียงระคายหู หลังจากชามเหลือเพียงความว่างเปล่า หญิงสาวก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง หันไปหาหลินชิวสือด้วยแววตารอคอย
หลินชิวสือถูกจ้องจนขนลุก จำต้องถามอย่างจำนน “ยังไม่อิ่ม?”
“อิ่มแล้ว” พูดยังไม่ทันขาดคำ กระเพาะของหญิงสาวก็ส่งเสียงประท้วง
“คุณกินเถอะ ผมจะลองไปหาอย่างอื่น”
“ไม่ต้อง ๆ”
“ไม่ต้องจริงเหรอ” เขาตั้งท่าจะลงมือกิน แต่ก็เห็นว่าหร่วนป๋ายเจี๋ยยังคงจ้องไม่วางตา ดูน่าเอ็นดูจนหลินชิวสืออดยิ้มออกมาไม่ได้ “เอาเถอะ คุณกินเถอะ ผมไม่เป็นไร”
“อือ ๆ” คนหิวไม่คิดจะเกรงใจอีก
บะหมี่ร้อน ๆ สองถ้วยช่วยขับไล่ความหนาวเย็นที่ได้รับจากการไปบ้านของช่างไม้ให้หมดไป สยงชีจัดการบะหมี่ของตนพร้อมกับเล่าเหตุการณ์ขณะพบช่างไม้ให้คนอื่นฟังไปด้วย แน่นอนว่าเขาไม่ได้เผยรายละเอียดทั้งหมด ยังคงเก็บเรื่องเติมบ่อน้ำเอาไว้เป็นความลับ
“หรือว่ากุญแจจะอยู่ในโลง” จางจื่อซวง…ชายที่มีบุคลิกดูเป็นคนค่อนข้างใจเย็นคาดเดา “ในเมื่อคำใบ้หลักคือโลงศพ ผมเลยคิดว่าน่าจะมีความเป็นไปได้สูง…”
“อืม หวังว่าจะเป็นแบบนั้น” สยงชีเห็นพ้อง “พรุ่งนี้เช้าผมจะไปตัดต้นไม้บนเขา ผู้ชายทุกคนต้องไป ส่วนผู้หญิงจะไปหรือไม่ไปก็ได้ หากไม่ชอบอากาศหนาวก็ให้หลบอยู่ในห้อง แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้น พวกเราคงมาช่วยไม่ทัน”
หลังจากหารือกันแล้ว ทุกคนต่างก็เห็นด้วยกับที่สยงชีเสนอ แม้บางคนจะคิดว่าการขึ้นไปบนเขาที่มีทั้งกระแสลมแรงและพายุหิมะนั้นอันตราย ทว่าสิ่งที่อันตรายที่สุดในมิติประตูนี้กลับไม่ใช่สภาพอากาศ แต่เป็นตัวน่าขยะแขยงที่เคลื่อนไหวไปมาอย่างไร้ร่องรอยนั่น รีบทำโลงศพให้เสร็จแล้วออกจากมิติประตูนี้โดยเร็วเห็นจะเป็นทางที่ดีที่สุด
เมื่อเวลาล่วงเลยไป ท้องฟ้าก็มืดลงอีกครั้ง
ทุกคนเพียงแค่ล้างหน้าแปรงฟันอย่างง่าย ๆ อีกทั้งในเวลานี้ก็ยังไม่มีสิ่งใดให้ทำ พวกเขาจึงแยกย้ายกันกลับห้องของตนตั้งแต่หัวค่ำ หลินชิวสือถามสยงชีว่า เพราะเหตุใดทุกคนจึงไม่สามารถอยู่รวมกันในห้องเดียวได้
“หากพวกเราอยู่รวมกัน เมื่อถึงเวลาหนึ่งทุกคนจะหลับกันหมด”
“หมายความว่ายังไง” หลินชิวสือไม่ค่อยเข้าใจนัก “คือเมื่อถึงเวลาหนึ่ง ทุกคนจะหลับสนิทพร้อมกันเหรอ”
“อืม ในมิตินี้ หากในห้องห้องหนึ่งมีคนอยู่เท่ากับจำนวนที่ถูกกำหนดไว้ พอถึงเวลาหนึ่ง ทุกคนก็จะหลับไปพร้อมกันหมด หากเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้นก็จบกัน”
“อย่างนั้นก็เหมือนนั่งรอให้พวกนั้นมาจัดการเลยไม่ใช่หรือ” ชายหนุ่มถาม หัวคิ้วขมวดมุ่น
“อันที่จริงพวกนั้นเองก็ฆ่าคนตามอำเภอใจไม่ได้หรอกนะ” สยงชีอธิบาย “สภาพการณ์ตอนนั้นต้องตรงกับกฎที่มิติประตูตั้งไว้พวกมันถึงจะลงมือได้ ยิ่งมิติประตูมีความยากสูง กฎก็จะยิ่งหลากหลาย และบางทีก็…ยากเกินกว่าที่จะเข้าใจได้”
“อย่างเช่น?”
“เช่น สามารถฆ่าคนที่สวมรองเท้าอยู่ได้” สยงชียกตัวอย่าง
“…” ชายหนุ่มเหลือบมองรองเท้าที่สวมอยู่เงียบ ๆ
เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีเช่นนั้นสยงชีก็หัวเราะ “ผมแค่ยกตัวอย่างขึ้นมามั่ว ๆ หากกฎของมิติประตูนี้คือฆ่าคนที่ไม่สวมรองเท้า พอคุณถอดรองเท้าก็ตายสิ แล้วก็ไม่ใช่ว่ากฎเกณฑ์แต่ละอย่างจะมีแค่เงื่อนไขเดียว บางครั้งก็เป็นหลายเงื่อนไขรวมกัน ถ้าคุณอยากจะรอดจากอะไรพวกนี้ ให้นอนหลับรวดเดียวถึงเช้าจะปลอดภัยกว่า” พูดถึงตรงนี้เขาก็หยุดไปอึดใจหนึ่งก่อนกล่าวว่า “แต่คุณต้องข่มตาหลับให้ได้เสียก่อน”
สยงชีทำให้หลินชิวสือย้อนคิดไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืน เขาเหลือบมองหร่วนป๋ายเจี๋ยที่นั่งแทะเมล็ดแตงโมในมืออย่างไม่สนใจอะไรอยู่ข้าง ๆ พลางคิดว่าตนเองก็เกือบจะได้ไปทักทายยมทูตเสียแล้ว
หากไม่ระวังตัวให้ดี เขาอาจจะได้พบจุดจบเช่นเดียวกับศพเย็นชืดบนชั้นสามก็เป็นได้
“ไปนอนเถอะ ราตรีสวัสดิ์” สยงชีบอก
หลินชิวสือพยักหน้า บอกอีกฝ่ายว่า “ราตรีสวัสดิ์” ก่อนจะเรียกหร่วนป๋ายเจี๋ยให้ขึ้นไปนอนพร้อมกัน
หญิงสาววางเมล็ดแตงโมที่เหลือทิ้งไว้บนโต๊ะ เปิดปากหาวหวอดพลางขยี้ตา “ง่วงจัง วันนี้นอนเร็วหน่อยเถอะ”
“อืม ดีเหมือนกัน” ชายหนุ่มไม่คัดค้าน
คืนนี้คนที่เคยพักอยู่ชั้นสามย้ายลงมาอยู่รวมกับคนอื่น ๆ ที่ชั้นสอง เพราะห้องที่ชั้นสามไม่เหมาะจะใช้งานอีกต่อไป
หลินชิวสือยังคงนอนเตียงเดียวกับหร่วนป๋ายเจี๋ย เขาได้เตรียมการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดเหตุหลอนประสาทเช่นเดียวกับคืนก่อนโดยการล็อกหน้าต่างทุกบาน ชายหนุ่มตั้งใจจะปิดม่านอีกชั้น แต่เหมือนผ้าม่านนี้ไม่ได้ใช้งานมานานจึงเลื่อนมาปิดไม่ได้ตามที่เขาต้องการ
หร่วนป๋ายเจี๋ยในชุดนอนซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม บ่นงึมงำว่า “ชิวสือ หนาวจัง”
หลินชิวสือกำลังทุ่มความสนใจไปกับการขยับผ้าม่านจึงตอบโดยไม่หันไปมองว่า “หนาวก็สวมเสื้อเพิ่มสิ”
“…คุณไม่มีแฟนใช่ไหม”
“แฟนเหรอ ทำไมต้องมีแฟนด้วยล่ะ” ชายหนุ่มย้อนถามอย่างงุนงง
หญิงสาวใช้ความเงียบเป็นคำตอบ เมื่อหลินชิวสือกลับไปที่เตียงหลังจัดการกับผ้าม่านได้ตามต้องการ ก็พบว่าเธอนอนนิ่งเหมือนปลาตายอยู่บนเตียง
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” หลินชิวสือยังไม่เข้าใจอยู่นั่นเอง
“คุณ…คุณไม่มีอะไรจะพูดกับฉันเลยเหรอ” หญิงสาวถามเสียงแผ่ว
หลินชิวสือครุ่นคิด เขามองใบหน้างดงามของหร่วนป๋ายเจี๋ยก่อนจะเกิดความคิดหนึ่ง “มี”
“อยากจะพูดอะไรเหรอ” หญิงสาวเผยรอยยิ้มพึงใจ
“หาก…หากว่า…หากว่าคืนนี้เจอผีอีก คุณช่วยวิ่งให้ช้าลงหน่อยได้ไหม”
“คุณนี่ไม่ได้เรื่องเลยจริง ๆ” หญิงสาวตอบด้วยสีหน้าเย็นชา
เมื่อได้ยินเช่นนั้นชายหนุ่มก็เกิดไม่พอใจขึ้นมา “ถ้าอย่างนั้นจะมาถามผมว่ามีอะไรจะพูดไหมเพื่ออะไร นอนได้แล้ว!”
ต่างคนจึงต่างแยกย้ายนอนหันหลังให้กันภายใต้ผ้าห่มใครผ้าห่มมัน
แม้สยงชีจะบอกว่าการนอนหลับสนิทรวดเดียวถึงเช้าเป็นวิธีเอาตัวรอดที่ดีที่สุด แต่การนอนของหลินชิวสือก็ถูกขัดขวางโดยบรรดาความคิดที่วิ่งวนอยู่ในหัว ส่วนหร่วนป๋ายเจี๋ยกลับนอนหลับอุตุไม่ต่างจากหมู หญิงสาวหลับทันทีที่เปลือกตาปิดลง ทิ้งให้ชายหนุ่มได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างขุ่นเคือง
ตกดึกอุณหภูมิยิ่งลดต่ำลง โชคดีที่ผ้าห่มค่อนข้างหนา ทั้งยังมีไออุ่นจากคนข้างกาย สภาพโดยรวมจึงไม่เลวร้ายเกินไปนัก
หลินชิวสือหลับตานึกถึงคำใบ้เมื่อตอนกลางวัน สติของเขาเริ่มพร่าเลือนไปทีละน้อย ขณะที่จวนเจียนจะเข้าสู่ห้วงนิทรา เขากลับได้ยินเสียงประหลาดซึ่งแตกต่างจากเสียงเคาะที่ได้ยินเมื่อวาน เสียงนี้ดังมาจากเพดานเหนือศีรษะของพวกเขา คล้ายมีบางอย่างที่หนืดและหนักถูกลากผ่านจากบนชั้นสามอย่างช้า ๆ การได้ยินของหลินชิวสือนั้นเฉียบคม ความง่วงงุนพลันเลือนหายไปในพริบตา ลมหายใจของเขาสะดุดกึก ค่อย ๆ ลืมตามองเบื้องบน
บนนั้นไม่มีสิ่งใดนอกจากแผ่นไม้เก่า ๆ
ทันใดนั้นร่างของเขาก็พลันเย็นยะเยือกเมื่อเสียงความเคลื่อนไหวหยุดลงตรงตำแหน่งเหนือศีรษะของเขาพอดี
‘แหมะ…แหมะ…’ ของเหลวหนืดข้นหยดลงพื้นดังกระทบโสตประสาท เสียงนั้นดังขึ้นเรื่อย ๆ พาให้ขนลุกเกรียว หลินชิวสือกัดฟันข่มความกลัว ขณะที่กำลังจะลุกขึ้นนั่ง มือข้างหนึ่งก็ตะปบเอวของเขาไว้
“ทำอะไรน่ะ” หร่วนป๋ายเจี๋ยถามเสียงง่วงงุน
“คุณได้ยินเสียงแปลก ๆ จากข้างบนไหม” หลินชิวสือถามด้วยเสียงกระซิบ
“เสียง? เสียงอะไร” หญิงสาวย้อนถาม “ฉันไม่เห็นได้ยินอะไรเลย คุณอย่าขยับสิ ฉันหนาว” ลมหายใจเย็นเฉียบของหญิงสาวลอยมากระทบใบหูของชายหนุ่ม
“คุณ…” หลินชิวสือจะพูดต่อ แต่กลับถูกหญิงสาวรั้งตัวเข้าไปกอดไว้แน่น
“นอนเถอะ” หร่วนป๋ายเจี๋ยตัดบท
ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงหลับตาลง
มือของหร่วนป๋ายเจี๋ยเกาะเอวของอีกฝ่ายแน่น แม้การกระทำของเธอจะดูน่าสงสัย ทว่ากลับทำให้หลินชิวสือรู้สึกสงบและปลอดภัยได้อย่างน่าประหลาด
เสียงเหนือศีรษะยังคงแว่วมาให้ได้ยิน แต่ชายหนุ่มกลับไม่รู้สึกกลัวเหมือนเมื่อครู่ ความง่วงเริ่มคืบคลานเข้ามาก่อนที่เขาจะหลับลงไปในที่สุด
เช้าวันต่อมา
หลินชิวสือตื่นขึ้นในอ้อมกอดของหร่วนป๋ายเจี๋ย
หญิงสาวรวบตัวของชายหนุ่มเข้าไปชิดยิ่งขึ้น ก่อนจะวางคางลงบนกลุ่มผมของคนในอ้อมแขน เมื่อถูกอีกฝ่ายปลุกให้ตื่นก็โต้กลับเสียงงัวเงีย “อย่าหนวกหูน่า ขอนอนต่ออีกหน่อย”
หลินชิวสือ “…” อะไรวะเนี่ย
ชายหนุ่มนอนนิ่งต่อไปอีกครู่ใหญ่ แต่เมื่อเห็นว่าหญิงสาวยังไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นจึงพูดว่า “ผมจะลุกแล้ว”
“อืม…”
“หร่วนป๋ายเจี๋ย?”
“เมื่อคืนยังเรียกเค้าว่าที่รักอยู่เลย ตอนนี้มาเรียกหร่วนป๋ายเจี๋ยอีกแล้ว”
หลินชิวสือ “…”
หร่วนป๋ายเจี๋ยอิดออดเล็กน้อยก่อนจะยอมปล่อยมือ หญิงสาวลุกขึ้นนั่งอิงหัวเตียงมองหลินชิวสือเปลี่ยนเสื้อผ้า ชายหนุ่มสวมเสื้อผ้าไปก็รู้สึกว่าบรรยากาศดูทะแม่ง ๆ พิกล หลังจากหาสาเหตุอยู่ครู่หนึ่งก็หันไปทางต้นเหตุ “คุณอย่าจ้องผมด้วยสายตาแบบนั้นได้ไหม”
“สายตาแบบไหน ฉันวางเงินไว้บนโต๊ะแล้ว คุณหยิบไปได้เลย เอาบุหรี่มาตัวหนึ่งด้วย”
หลินชิวสือ “…” นี่คือสูบบุหรี่หลังเสร็จกิจอะไรแบบนั้นหรือเปล่า
“อะไรกัน ยังไม่ไปอีก เมื่อคืนตกลงกันว่าห้าร้อยไง อย่าคิดนะว่าจะได้มากกว่านั้น”
หลินชิวสือหมดคำจะพูด แต่งกายเสร็จก็เดินตึงตังลงบันไดไป
คนอื่น ๆ อยู่กันในห้องนั่งเล่น กินอาหารที่ชาวบ้านนำมาส่งตั้งแต่เช้าตรู่ หลินชิวสือนับจำนวนสมาชิก นอกจากหร่วนป๋ายเจี๋ยแล้ว ยังมีอีกสามคนไม่อยู่ในห้องนี้
สยงชีเห็นเข้าก็ทำท่าให้เขานั่งลง
“เมื่อคืนไม่มีอะไรใช่ไหม” หลินชิวสือถาม
“ไม่มีคนตาย”
ไม่มีผู้ใดเสียชีวิตนับว่าดียิ่ง ชายหนุ่มจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
กลางคืนผ่านพ้นไปอย่างเงียบสงบ เงียบ…จนคนอื่น ๆ ไม่ได้ยินเสียงอันใด หลินชิวสือลองถามคนอื่นว่าได้ยินเสียงจากชั้นสามหรือไม่ ทุกคนล้วนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่ได้ยินอะไรเลยนอกจากเสียงลมนอกหน้าต่าง
“กินข้าวเสร็จเราจะออกไปตัดไม้แล้วเอาไปส่งให้ช่างไม้ คงต้องเร่งมือกันหน่อย” สยงชีกล่าว “อากาศทำท่าจะเย็นลงเรื่อย ๆ แล้วก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยตั้งแต่เมื่อคืน…” ในคำพูดของเขาราวกับมีความสงสัยบางอย่างซ่อนอยู่
“อืม…” หลินชิวสือเห็นด้วย
อีกสามคนทยอยลงมาโดยมีหร่วนป๋ายเจี๋ยเข้ามาสมทบเป็นคนสุดท้าย เธอยังคงสวมแจ็กเก็ตเนื้อหนาทับไว้บนเดรสอีกสองชั้นตามเดิม ทั้งยังสวมกางเกงผ้าฝ้ายที่บุด้านในจนหนาเพิ่มอีกตัวด้วย แม้ชุดซึ่งค่อนข้างรุ่มร่ามจะทำให้หญิงสาวเดินได้ไม่เร็วนัก หากเธอก็ยังคงท่าทางสง่ายามเคลื่อนไหวไว้ได้
เมื่อเห็นว่าหร่วนป๋ายเจี๋ยมาถึง หลินชิวสือที่ยังรู้สึกไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองก็เบนสายตาไปทางอื่น
“ชิวสือ” ผู้ที่เพิ่งมาถึงเรียกชื่อของชายหนุ่ม
ชายหนุ่มจำต้องตอบรับอย่างไม่มีทางเลี่ยง
“ทำไมถึงไม่สนใจเค้าเลย เค้าอยากกินบะหมี่ฝีมือตัวเองอะ”
“ไว้กลางวันผมค่อยทำให้ ตอนนี้สายแล้ว”
“เมื่อคืนตอนอยู่บนเตียงไม่ได้พูดแบบนี้นี่”
เสี่ยวเคอที่กำลังกินโจ๊กถึงกับสำลักจนอาหารเกือบจะติดคอ สยงชีเองก็สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย เผลอจ้องสลับไปมาระหว่างหลินชิวสือกับหร่วนป๋ายเจี๋ยโดยไม่รู้ตัว
หลินชิวสือหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “เลิกล้อเล่นได้แล้ว เรื่องเมื่อคืนผมขอบคุณมากจริง ๆ เดี๋ยวตอนกลางวันจะทำบะหมี่แถมทอดไข่ให้สองฟองก็แล้วกัน”
“ก็ได้” หร่วนป๋ายเจี๋ยยอมตกลง “อ้อ…โรยต้นหอมซอยด้วยจะดีมาก”
หนาวขนาดนี้มีผักให้กินก็นับว่าบุญโข หอมซอยอะไรนั่น…ลืมไปได้เลย
หลังจบมื้อเช้า ทุกคนก็จัดแจงสวมใส่เครื่องกันหนาว บ้างก็หยิบขวาน เตรียมตัวออกเดินทาง
สถานที่ตัดไม้อยู่ในป่าบนภูเขาข้างหมู่บ้าน ทางไปที่นั่นมีเพียงถนนสายเล็ก ๆ สายเดียวที่พอหิมะตกก็ยิ่งบีบให้ถนนแคบลงจนต้องเดินต่อแถวเรียงหนึ่ง
ขณะที่เดินอยู่หลินชิวสือก็คิดในใจว่า เดินขึ้นเขาไม่ถือว่ายาก แต่การจะลากไม้ลงไปข้างล่างกลับยุ่งยากมาก
เคราะห์ดีที่ในบรรดาพวกเขาสิบเอ็ดคนมีคนหนึ่งชำนาญงานไม้ ชายอายุราวสามสิบกว่าบอกว่าตนเป็นช่างไม้ สามารถตัดไม้ ทั้งยังประกอบเครื่องเรือนง่าย ๆ ที่ไม่ซับซ้อนได้ แต่ต่อโลงศพอะไรประเภทนั้นเขาทำไม่เป็น เขาออกเดินนำ หลังจากเดินเลือกอยู่สักพักจนพบต้นไม้ที่เข้าตาก็สอนวิธีตัดไม้แก่คนอื่น ๆ
คนในทีมส่วนใหญ่ไม่เคยตัดไม้มาก่อน ถึงจะมีคนคอยให้คำแนะนำ แต่การลงมือครั้งแรกก็ได้ผลลัพธ์ไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไรนัก
หลินชิวสือยกขวานซ้อมอยู่สองรอบ การลงขวานครั้งแรกของเขาสร้างเพียงรอยบากเล็ก ๆ บนต้นไม้เท่านั้น
“คุณทำไม่ถูก” หร่วนป๋ายเจี๋ยก้าวเข้าไปยืนข้างชายหนุ่ม เธอสอดมือไว้ในกระเป๋า ลมหายใจเป็นควันขาวจากความหนาว “คุณต้องส่งแรงไปทางด้านล่าง ไม่อย่างนั้นขวานจะฟันลึกได้ยังไง”
“คุณเคยตัดต้นไม้ด้วยเหรอ”
“ฉันเคยเห็นคนอื่นตัด”
“อ้อ…”
“ระวังหน่อย อย่าให้ตัวเองเป็นแผล” หญิงสาวเตือน
หลินชิวสือพยักหน้าหงึกหงักก่อนหันไปเหวี่ยงขวานต่อ การตัดไม้ยากกว่าที่พวกเขาคิดเอาไว้มาก ขนาดพวกผู้ชายผลัดเปลี่ยนกันลงขวานตลอดช่วงเช้ายังตัดได้เพียงต้นเดียว
“พี่สยง จะทำยังไงกันดี” คนหนึ่งถามขึ้น
ดูสภาพอากาศแล้ว สยงชีก็ขบกรามแน่นก่อนตัดสินใจ “กลับกันเถอะ แบกไม้ต้นนี้ไปด้วย พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่”
เพิ่งจะบ่ายสามโมง แต่ความมืดกลับโรยตัวเข้าปกคลุมแล้ว เกล็ดหิมะขนาดใหญ่ก็พัดปลิวมาตามลม เห็นทีว่าคืนนี้จะมีหิมะตกหนัก
“โลงศพต้องใช้ซุงกี่ต้น” หลินชิวสือถาม
“หัวหน้าหมู่บ้านบอกว่าสามต้น” สยงชีตอบ “หากเร่งมือ ประมาณสองวันก็น่าจะเสร็จ มา…ใครก็ได้มาช่วยหน่อย”
ขณะที่หลินชิวสือกำลังจะอาสาแบกท่อนไม้ ก็ได้ยินเสียงของหร่วนป๋ายเจี๋ยเสียก่อน “เอ๊ะ เหมือนข้อเท้าจะแพลง หลินชิวสือ ให้ฉันขี่หลังลงเขาหน่อยสิ”
“ฮะ?”
“ฮะอะไรล่ะ มาเร็ว จะส่งเสียงดังทำไม คนตั้งเยอะแยะ”
หลินชิวสือตั้งท่าจะไม่ยอม ทว่าสยงชีกลับตบไหล่เขาเบา ๆ “ไปเถอะ”
หลินชิวสือ “…” เขาเหลือบตามองสีหน้าของหร่วนป๋ายเจี๋ย แต่กลับไม่พบความผิดปกติอื่นใดนอกจากรูปลักษณ์อันงดงามและน่าสงสารของเธอ ทว่าเขาสัมผัสได้ถึงเงื่อนงำบางอย่าง ราวกับว่าคำร้องขอปุบปับของหร่วนป๋ายเจี๋ยนั้นไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เห็น