[ทดลองอ่าน] ฝ่ามิติประตูมรณะ บทที่ 9

死亡万花筒
ฝ่ามิติประตูมรณะ

ซีจื่อซวี่ 西子绪 เขียน
ซิ่วเจิน แปล
XOXO วาด

 

– โปรย –

สิ่งที่แปลกไปอย่างแรกก็คือ แมวที่บ้านไม่ยอมให้เขากอด

จากนั้นหลินชิวสือก็รู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไปจากเดิม

แล้ววันหนึ่ง ตอนที่เขาผลักเปิดประตูบ้านออกมา
ก็พบว่าทางเดินในตึกที่คุ้นเคยกลับกลายเป็นทางเดินยาวซึ่งทั้งสองฟาก

เป็นประตูเหล็กที่มีลักษณะเหมือนกันสิบสองบาน

แล้วเรื่องราวต่างๆ ก็เริ่มต้นขึ้นจากจุดนี้

และเมื่อเปิดประตูเข้าไปครั้งแรกเขาก็ได้เจอกับคนแปลกๆ ที่ยิ่งได้รู้ความจริงก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆ

“ทำไมคุณต้องใส่ชุดผู้หญิงด้วยล่ะ”

“งานอดิเรก”

หลินชิวสือ “…”

เมื่อสายรุกหนังหน้าหนา เจ้าเล่ห์ ทรงเสน่ห์
และชื่นชอบการแต่งหญิงเป็นชีวิตจิตใจมาเจอกับฝ่ายรับที่ซุกซ่อนความหน้าไม่อายไว้
ภายใต้ความเงียบขรึมอย่างแนบเนียน ความไร้ยางอายขั้นกว่าจึงบังเกิดขึ้น!

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 9 ใจมนุษย์

 

หลินชิวสือเคยได้ยินคนกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว ทว่าเสียงที่ได้ยินในคืนนี้กลับต่างออกไป นอกจากเสียงร้องแล้วยังมีเสียงวัตถุกระทบพื้น เสียงตะโกนเกรี้ยวกราด ตามด้วยเสียงคนวิ่งพลางวิงวอนขอความช่วยเหลือไม่หยุด

“ช่วยด้วย…ช่วยด้วย…มีคนจะฆ่าฉัน…ช่วยด้วย…” หลินชิวสือมั่นใจว่าเสียงที่ฟังคุ้นหูนี้เป็นของหญิงสาวในกลุ่ม เธอตะโกนขอความช่วยเหลือสุดเสียงด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี

หลินชิวสือไม่แน่ใจว่าเสียงที่ได้ยินเป็นของจริงหรือเขาเพียงแค่คิดไปเอง  ลมหายใจของเขาขาดห้วงเมื่อเสียงกรีดร้องนั้นดังใกล้เข้ามา

“ช่วยด้วย…” ผู้ขอความช่วยเหลือวิ่งไปตามทางเดินชั้นสอง ออกแรงทุบประตูห้องต่าง ๆ ไปตลอดทาง “มีคนจะฆ่าฉัน ช่วยด้วย เปิดประตูหน่อย! ช่วยเปิดประตูหน่อย…”

ไม่มีผู้ใดเปิดประตูรับ ราวกับว่าทุกคนหลับสนิทจนไม่ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลืออันแสบแก้วหู

หลินชิวสือเองก็นอนนิ่งอยู่บนเตียง กระทั่งหญิงสาววิ่งมาถึงหน้าประตู

“ช่วยด้วย ช่วยด้วย” เธอร้องไห้พลางทุบประตูสุดแรง “เปิดประตูหน่อย เขาบ้าไปแล้ว เขาจะฆ่าฉัน ขอร้องละ ช่วยด้วย…ฉันไม่อยากตาย ช่วยฉันด้วย!”

หลินชิวสือหยัดตัวขึ้นช้า ๆ ครุ่นคิดว่าควรเปิดประตูหรือไม่โดยยังไม่เขยื้อนกายไปไหน

หากแต่หร่วนป๋ายเจี๋ยที่ควรจะหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวกลับถามเบา ๆ ว่า “คุณอยากช่วยเธอไหม”

“ผมช่วยได้เหรอ”

หร่วนป๋ายเจี๋ยกะพริบตาปริบ ๆ นิ่งไปอึดใจหนึ่ง “ถ้าคุณอยากจะช่วยนะ”

ชายหนุ่มค่อนข้างมั่นใจว่าเจ้าของเสียงเป็นมนุษย์จริง ๆ เมื่อหร่วนป๋ายเจี๋ยไม่ได้ทัดทาน เขาก็พุ่งไปที่ประตู กัดฟันเปิดประตูออก

ทันทีที่เปิดประตู สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาสร้างความตระหนกแก่ชายหนุ่มเป็นอย่างมาก หญิงสาวที่ร้องขอความช่วยเหลือเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า แขนของเธอคล้ายได้รับบาดเจ็บ เธอสะอื้นไห้พลางใช้มือข้างหนึ่งประคองแขนอีกข้างไว้ เมื่อเห็นว่าหลินชิวสือเปิดประตู เธอก็โถมตัวเข้ามาทันที “ช่วยด้วย…ช่วยฉันด้วย!”

“เกิดอะไรขึ้น” หลินชิวสือถาม

“เขาจะฆ่าฉัน…” หญิงสาวน้ำตาไหลพราก “เขาจะฆ่าฉัน!”

ชายหนุ่มเบี่ยงตัวให้อีกฝ่ายเข้ามาในห้อง “ใครจะฆ่าคุณ”

“เฉิงเหวิน!” หญิงสาวตอบ

หลินชิวสือคลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นชื่อของคนในกลุ่ม เขาค่อนข้างชอบชื่อนี้เป็นพิเศษ ขณะที่กำลังจะถามต่อก็ได้ยินเสียงปึงปังดังมาจากทางบันได เหมือนมีคนกระแทกประตูไม้เก่า ๆ ที่กั้นระหว่างชั้นหนึ่งกับชั้นสองซึ่งปกติจะถูกปิดไว้ในเวลากลางคืน เห็นจะเป็นประตูบานนี้นี่เองที่ช่วยยืดชีวิตของหญิงสาวไว้

หลินชิวสือทำมือให้อีกฝ่ายรีบเข้ามาก่อนจะล็อกประตูห้อง

ผู้ที่เพิ่งเข้ามาสะอื้นจนตัวโยน สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น

ด้านนอกประตูเกิดเสียงดังโครมคราม ประตูชั้นหนึ่งและชั้นสองเสียหายรุนแรงจึงไม่อาจฝืนทำหน้าที่ของมันต่อไปได้ ไม่นานนักพวกเขาก็ได้ยินเสียงย่ำฝีเท้าอย่างเร่งร้อนบริเวณทางเดิน เห็นได้ชัดว่าผู้ชายที่เธอเรียกว่าเฉิงเหวินหาเธอเจอแล้ว เฉิงเหวินเอ่ย “วิ่งไปไหนแล้วล่ะ…พวกคุณรีบส่งตัวหวังเซียวอีมา อย่ารับเธอเข้าไปในห้อง!”

หวังเซียวอีสะอื้นเบาๆ อย่างหวาดกลัว

หร่วนป๋ายเจี๋ยลุกขึ้นนั่ง ยังคงสางผมของตนอย่างใจเย็นแม้จะอยู่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน

เสียงฝีเท้าของเฉิงเหวินหยุดลงที่หน้าห้องของหลินชิวสือซึ่งเป็นจุดที่รอยเลือดบนทางเดินหายไป ร่องรอยอันชัดเจนนี้เป็นตัวชี้ตำแหน่งของหวังเซียวอีได้เป็นอย่างดี

“หลินชิวสือ! เปิดประตู!” เฉิงเหวินตะโกน “หวังเซียวอีอยู่ในห้องคุณสินะ!”

หลินชิวสือไม่ตอบ

“มาโวยวายอะไรดึก ๆ ดื่น ๆ แบบนี้” หร่วนป๋ายเจี๋ยถามอย่างสงวนท่าที

“พวกคุณรีบส่งตัวเธอมา…เธอไม่ใช่คน! อย่าไปเชื่อเธอ!”

“หมายความว่าอะไร” หลินชิวสือถาม

เฉิงเหวินยิ่งกระวนกระวาย ความอดทนของเขาลดลงจนเกือบหมดสิ้น “เธอไม่ใช่คนจริง ๆ คุณต้องเชื่อผมนะ…”

หวังเซียวอีได้ยินคำกล่าวหาของอีกฝ่ายก็ยิ่งหลั่งน้ำตา “เฉิงเหวิน คุณต่างหากที่ไม่ใช่คน ถึงกับเอาเรื่องแบบนี้มาอ้างเพื่อฆ่าฉันเลยเหรอ คิดว่าฆ่าฉันแล้วคุณจะรอดไปได้หรือไง”

คำบริภาษของหญิงสาวส่งผลให้น้ำเสียงของเฉิงเหวินกระด้างขึ้น “หวังเซียวอี ไม่ต้องมาเสแสร้ง เธอปลอมตัวเข้ามาอยู่ในหมู่พวกเรา ฉันรู้ความลับของเธอแล้ว! ส่งตัวเธอมา!” คนที่อยู่ด้านนอกกระหน่ำทุบประตูอย่างไม่ยอมแพ้

บานประตูของห้องนี้ค่อนข้างเก่า เกรงว่าจะต้านทานแรงทุบของหนุ่มวัยฉกรรจ์ได้ไม่นาน หลินชิวสือจึงตะโกนออกไปว่า “หากคุณฆ่าหวังเซียวอี ถึงจะรอดไปได้ก็กลายเป็นฆาตกรอยู่ดี!”

“คุณไม่ต้องมายุ่ง” เฉิงเหวินตวาด

“ผมจัดการเรื่องนี้เอง ถ้าคุณยังจะเข้ามาในนี้ให้ได้ พ่อจะฆ่าซะ” หลินชิวสือพับแขนเสื้อขึ้นด้วยความโมโหคนที่ทำท่าจะพังประตูห้องของเขาพลางมองหาอุปกรณ์ที่สามารถนำมาใช้เป็นอาวุธโจมตีได้

เฉิงเหวินเองก็สัมผัสได้ถึงโทสะของอีกฝ่ายจึงเลิกทุบประตู พยายามประนีประนอมเสียงแห้ง “หลินชิวสือ ผมจะยอมเป็นคนเลวเอง คุณส่งตัวเธอมา เธอต้องตายเท่านั้นพวกเราถึงจะกลับไปได้”

“ฝันไปเถอะ” หลินชิวสือตอกกลับ

“คุณ…”

“คุณกลับไปเถอะ ผมจะไม่ยอมให้คุณฆ่าเธอเด็ดขาด”

ภายนอกเงียบลง ตามด้วยเสียงฝีเท้าที่เริ่มห่างออกไป หลินชิวสือถึงกับอึ้งไปด้วยความคาดไม่ถึงว่าเฉิงเหวินจะยอมรามือง่ายดายเช่นนี้ ก่อนจะหันไปทางหวังเซียวอี “เขาไปแล้ว”

หญิงสาวร้องไห้อีกครั้ง

ทั้งสามไม่ได้นอนตลอดคืน หร่วนป๋ายเจี๋ยมองออกไปนอกหน้าต่างเงียบ ๆ ขณะที่หลินชิวสือช่วยทำแผลให้หวังเซียวอี

เมื่อหลินชิวสือถามว่าเธอมองอะไร หญิงสาวก็ตอบว่า “ฉันมองบ่อน้ำนั่นอยู่”

“มันมีอะไรน่าดูกัน” หลินชิวสือไม่นึกชื่นชอบบ่อน้ำแห่งนั้นแม้แต่น้อย

“ยิ่งมองก็ยิ่งสวยนะ ไม่แน่นะ…ฉันอาจจะต้องลงไปอยู่ในบ่อนั่นก็ได้” หร่วนป๋ายเจี๋ยเปรยเสียงนุ่ม

“ผมไม่ยอมให้คุณลงไปในนั้นหรอก” เขาเช็ดหยดเลือดที่เปรอะเปื้อนอยู่บนพื้นก่อนจะพูดด้วยท่าทางจริงจังว่า “หากจะต้องลงไปละก็ ผมจะลงไปก่อนเอง”

หร่วนป๋ายเจี๋ยหัวเราะเบา ๆ “คุณนี่น่าสนใจจริง ๆ”

หวังเซียวอียังมีชีวิตอยู่ แม้ได้รับบาดเจ็บที่แขนขวา แต่การที่สามารถรักษาชีวิตไว้ได้ก็นับว่าเป็นโชคดีในโชคร้ายแล้ว

วันต่อมาหลินชิวสือคิดว่าเฉิงเหวินจะละอายใจจนไม่กล้าออกมาสู้หน้าคนอื่น ๆ ใครจะไปคิดว่าเขาจะนั่งกินข้าวเช้าอยู่ในห้องนั่งเล่นด้วยสีหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

หวังเซียวอีเห็นเข้าก็รีบหลบหลังหลินชิวสือ ทำท่าจะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง

“เฉิงเหวิน คุณยังกล้าออกมาอีกเหรอ” หลินชิวสือถามเสียงเย็น

เฉิงเหวินเหลือบมองชายหนุ่มด้วยดวงตาเฉยเมย “ทำไมจะออกมาไม่ได้ล่ะ”

“คุณจะฆ่าหวังเซียวอี” หลินชิวสือไม่อาจเข้าใจตรรกะของอีกฝ่ายได้ “เธอเป็นคน!”

เฉิงเหวินแค่นยิ้ม ไม่พูดอะไร

หลังจากคนอื่นได้ยินบทสนทนาของทั้งสอง บางคนก็มองเฉิงเหวินด้วยแววตารังเกียจ บางคนก็มองด้วยแววตาว่างเปล่าคล้ายไม่รู้สึกว่าการฆ่าเพื่อนร่วมทีมเป็นเรื่องร้ายแรงอันใด

“เก่งนักก็ไปฆ่าปิศาจไม่ดีกว่าเหรอ มาลงมือกับเพื่อนร่วมทีมทำไม” สยงชีตำหนิ

เฉิงเหวินตักอาหารเข้าปาก ไม่ต้องการต่อปากต่อคำ หลินชิวสือเกรงว่าอีกฝ่ายจะคลุ้มคลั่งขึ้นมาอีกจึงเฝ้าจับตามองอย่างระมัดระวัง เขารู้สึกว่าเฉิงเหวินดูแปลก ๆ ทว่าก็ไม่อาจระบุได้ว่าผิดปกติตรงไหน

หลินชิวสือกับหร่วนป๋ายเจี๋ยกลับไปที่ห้องหลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ จู่ ๆ หญิงสาวก็ถามว่า “คุณคิดว่าในสามวันนี้จะมีใครโดนฆ่าไหม”

“ยังไงนะ” หลินชิวสือตามไม่ทัน

“ปิศาจนั่นน่ะฉลาดจะตาย หากฉันเป็นเธอ ฉันจะไม่ฆ่าใครในช่วงสามวันนี้”

หลินชิวสือ “…”

นิ้วเรียวยาวของหร่วนป๋ายเจี๋ยค่อย ๆ ลอกเปลือกมันเทศออก หญิงสาวอ้าปากกัดเนื้อมันเทศ ทิ้งรอยฟันเป็นระเบียบไว้บนนั้น “หากพวกเราหาสิ่งที่ตายแล้วมาใส่ในบ่อน้ำไม่ได้ภายในสามวัน คุณคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

หลินชิวสือกลืนน้ำลายเอื๊อก เข้าใจแล้วว่าหญิงสาวต้องการบอกอะไร “ในกลุ่มก็จะมีแบบเฉิงเหวินขึ้นมาอีกคน”

หร่วนป๋ายเจี๋ยผงกศีรษะ

หลินชิวสือพลันคิดถึงประโยคที่ว่า เกิดปัญหาไปหาตำรวจ ขึ้นมา ในทางกฎหมาย เฉิงเหวินต้องถูกจับด้วยข้อหาเจตนาฆ่าและมีโทษจำคุกไม่ต่ำกว่าสามปีแต่ไม่เกินสิบปี

หลินชิวสือถอนหายใจด้วยความหนักใจ “แล้วจะทำยังไงดี”

“รอก่อน ใกล้จะจบแล้ว” ไม่ว่าผลจะออกมาดีหรือร้ายก็ตาม

ทุกคนต่างเฝ้ารอให้ถึงเวลาฟ้ามืด แม้ว่าจะไม่มีใครพูดอะไรออกมา ทว่าส่วนใหญ่ก็เฝ้ารอให้มีผู้เสียชีวิตรายแรกปรากฏขึ้นอย่างเงียบ ๆ  แต่กลับไม่เป็นดังหวัง  แม้จะผ่านไปสองวันแล้วก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยามค่ำคืนที่เคยเต็มไปด้วยอันตรายกลายเป็นเพียงค่ำคืนอันเงียบสงบ ไม่มีสิ่งใดนอกจากหิมะและสายลมโชย

หลินชิวสือหาเวลาไปถามช่างไม้ว่า หากไม่สามารถเติมบ่อน้ำได้ภายในสามวันจะเกิดอะไรขึ้น ช่างไม้ตอบว่า พวกเขาก็ต้องไปตัดไม้และกลับไปที่วัดอีกครั้ง

คำตอบที่ได้พานทำให้จิตใจของทุกคนหดหู่กว่าเดิม พวกเขาไม่มีเวลาแล้ว หากต้องย้อนไปทำขั้นตอนเหล่านั้นอีกครั้ง อาจจะเป็นการเอาชีวิตไปทิ้ง

“ไม่ต้องตื่นตูมไป อย่างน้อยก็ต้องมีรอดไปได้สักคนแหละ” เสี่ยวเคอหัวเราะเย้ยหยันให้กับโชคชะตาของตน “แค่คนนั้นจะเป็นตัวเองหรือเปล่าก็เท่านั้น”

คนอื่นต่างปิดปากเงียบ เพราะทุกคนรู้ดีว่า การเดิมพันกับโชคชะตาในครั้งนี้มีมูลค่าสูงเกินไปจนไม่มีใครกล้าพนันว่าตนเองจะเหลือรอดเป็นคนสุดท้าย

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า