巨星手记
บันทึก (ไม่ลับ) ฉบับซูเปอร์สตาร์
อวี่เซี่ยวหลานซาน เขียน
ธมน แปล
get-sem วาด
— โปรย —
ฟางเล่อจิ่ง ไม่รู้ว่าระหว่างเขากับประธานบริษัทตงหวนเอ็นเตอร์เทนเมนต์
ยักษ์ใหญ่แห่งวงการอุตสาหกรรมบันเทิง
ดวงชะตาไม่สมพงษ์กันหรืออย่างไร
ทุกครั้งที่เจอกันถึงได้มีแต่เรื่องซวยซ้ำซวยซ้อน!
ถึงกระนั้นอีกฝ่ายก็ยังเอาแต่ตามติดเขาไม่เลิก ช่างน่าเหนื่อยใจจริง ๆ
คงเป็นเพราะต้องการดึงตัวเขาเข้าวงการบันเทิงให้ได้ละสิท่า
ต้องให้ย้ำว่า ไม่! สักกี่รอบถึงจะเข้าใจกันนะว่าผมอยากเป็นแค่พนักงานบริษัทกินเงินเดือนธรรมดา ๆ
••••••
เหยียนข่าย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ฟางเล่อจิ่ง
ถึงมักจะทำให้เขาอารมณ์ดีจนหัวเราะไม่หยุด
เวลาเห็นสีหน้าอีกฝ่ายที่อยากจะด่าเปิง แต่ต้องกล้ำกลืนฝืนทน
นี่มันช่างทำให้มีความสุขซะจริง หึ ๆ
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 3 เหตุร้ายไม่คาดฝัน!
อย่าคิดว่าตัวเองเป็นหญิงสาวใสซื่อที่โดนลวนลามสิ!
คนอื่นๆ พากันเข้าไปปลอบฟางเล่อจิ่งด้วยความเห็นอกเห็นใจ “พวกเราประณามแทนนายไปรอบหนึ่งแล้ว ทั้งหมดเป็นเพราะผู้ว่าจ้างตาไม่ถึงต่างหาก อย่าใส่ใจเลย”
แม้ว่าปกติแล้วฟางเล่อจิ่งค่อนข้างใจเย็น แต่ไม่ว่าใครก็คงไม่ยอมอยู่เฉยๆ ให้คนอื่นมาว่าว่าปัญญาอ่อนหรอก! เพราะงั้นถึงจะมีทุกคนที่สตูดิโอคอยพูดปลอบใจ แต่เขาก็ยังรู้สึกจุกแน่นในอกอยู่ดี แถมยังอยากจะกระชากคอเสื้อของเหยียนข่ายมาตะโกนใส่หน้าว่า นายต่างหากที่ปัญญาอ่อน!
คนคนนี้เป็นใครกันแน่ น่ารังเกียจซะจริง!
“ดื่มน้ำสักหน่อย” ผู้ช่วยจัดแสงยื่นน้ำบ๊วยเย็นๆ หนึ่งขวดมาให้อย่างรวดเร็ว
“ช่างเถอะ ตอนถ่ายจริงก็เปลี่ยนเอาฉันออกละกัน” ฟางเล่อจิ่งคุมสติดีมาก ถึงจะอัดอั้นแต่เขาก็ไม่เอาแต่ใจจนรบกวนการทำงานตามปกติของทุกคน ในเมื่อผู้ว่าจ้างบอกว่าไม่เหมาะสม งั้นตัวเองก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะเป็นตัวประกอบให้เสิ่นหานต่อไป
คนอื่นๆ ในสตูดิโอต่างรู้สึกผิดต่อเขามาก แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะสุดท้ายแล้วคนที่จ่ายเงินก็คือเหยียนข่าย อีกฝ่ายว่าอะไรก็ทำได้แค่เอาตามนั้น สำหรับรูปภาพที่ฟางเล่อจิ่งถ่ายแทนชุดนั้นก็ถูกทุกคนขอคืนด้วยความแค้นเคือง หลังจากขยายใหญ่แล้วก็เอาไปพิมพ์ใส่ในอัลบั้มภาพโฆษณาของสตูดิโอ สิ่งที่เล่อเล่อของเราได้รับคือความเจ็บปวด!
ช่วงเวลาที่นัดถ่ายทำครั้งใหม่กับตงหวนเอนเตอร์เทนเมนต์คือวันพุธหน้า ครั้งนี้ไม่เกิดเหตุไม่คาดฝันอะไร เสิ่นหานพาหยางซีซึ่งควบทั้งตำแหน่งผู้จัดการและผู้ช่วยมาถึงสตูดิโอถ่ายทำแต่เช้า แต่หลังจากได้ถ่ายฟางเล่อจิ่งไปแล้วครั้งหนึ่ง ไม่ว่าทุกคนในสตูดิโอจะพยายามสักแค่ไหนก็ไม่พบความรู้สึกเช่นเดียวกับภาพชุดนั้น แน่นอนว่าการถ่ายทำไม่มีปัญหา ผลงานก็ไม่ได้ออกมาเลวร้ายอะไร เพียงแต่รู้สึกว่ายังขาดอารมณ์ไปนิดหน่อย
เสิ่นหานหน้าซีดเล็กน้อย ช่วงพักก็เอาแต่ไอตลอดเวลา เห็นได้ชัดว่าวันนั้นเขาไม่ได้แกล้งป่วยแต่ป่วยจริงๆ เมื่อเห็นสภาพของเขาแล้วคนอื่นๆ ก็ไม่อยากจะให้ฝืนทำงานต่ออีก เลยทำได้เพียงรีบถ่ายทุกแบบให้เสร็จ แล้วค่อยมาชดเชยเอาตอนตัดต่อในช่วงหลัง
ชิ้นงานถูกส่งมาที่ตงหวนเอนเตอร์เทนเมนต์หลังผ่านไปสองสามวันและได้รับการตอบกลับอย่างรวดเร็ว มีเพียงคำสั้นๆ ว่า [ทำใหม่]
คนในสตูดิโอพากันโอดครวญไปเป็นแถบ พูดง่ายนี่!
พวกนายทุนอะไรนี่ช่างน่ารังเกียจชะมัด เราอุตส่าห์ตั้งใจว่าจะไปกินปิ้งย่างกันอาทิตย์นี้!
หยางเทียนจำต้องต่อสายไปถามให้แน่ชัด
“ประธานเหยียนดูเสร็จก็ส่งคืนเลย” ป๋ายอี้เองก็ไม่ได้เป็นคนผิด “แต่พูดตามตรง ภาพชุดนี้มันดูไม่ดีจริงๆ ต่างกับภาพตัวอย่างลิบลับเลย”
นั่นเพราะเปลี่ยนตัวนายแบบไงล่ะ! หยางเทียนคำรามในใจ เราบอกแต่แรกแล้วว่าเล่อเล่อน่ะเหมาะสมกว่า
“สรุปก็คือไปคิดหาวิธีมาอีกรอบละกัน” ป๋ายอี้เตะลูกคืนอย่างไม่รับผิดชอบ “ฉันต้องเข้าประชุม เอาตามนี้”
หยางเทียนแทบกระอักเลือด ฉันจะคิดหาวิธีอะไรได้ สำนวนที่ว่าต่อให้เป็นผู้หญิงเก่งแค่ไหน ถ้าไม่มีข้าวก็ทำกับข้าวไม่ได้น่ะรู้จักมั้ย
ช่วยมีเหตุผลหน่อยเหอะ!
อย่างไรก็ตามท่านประธานอย่างเขาก็ร้ายกาจทั้งยังไม่มีเหตุผล หลังจากจัดการเอกสารชุดสุดท้ายเสร็จ เหยียนข่ายปิดคอมพิวเตอร์ ตั้งใจว่าจะพักสักครู่ แต่หางตากลับเหลือบเห็นถนนคนเดินด้านล่างของอาคารเหมือนกับมีจลาจลบางอย่าง
“ตำรวจน่ะ” ป๋ายอี้เดินเอากาแฟถ้วยหนึ่งเข้ามาให้เขา “กวาดล้างพวกบริษัทต้มตุ๋น”
“ลงมือสักที” เหยียนข่ายนึกถึงเด็กหนุ่มเมื่อไม่กี่วันก่อนขึ้นมาอีก “คนที่ถ่ายตัวอย่างแทนเสิ่นหานชื่ออะไรนะ”
“ฟางเล่อจิ่ง” ดวงตาป๋ายอี้เป็นประกาย “ลองดูหน่อยมั้ย”
เหยียนข่ายส่ายหน้า “ฉันแค่ถามไปอย่างงั้น”
ป๋ายอี้ “…”
นายนี่น่าเบื่อได้มากกว่านี้อีกมั้ย
“ตอนบ่ายไม่มีงานอะไร ฉันขอตัวกลับก่อน” เหยียนข่ายลุกขึ้นยืน “ให้นายเป็นประธานในการประชุมแล้วกัน”
“ยุ่งมาตั้งหลายวัน นายเองก็ควรพักผ่อนได้แล้ว” ป๋ายอี้พยักหน้า “ไม่ต้องห่วง เรื่องที่เหลือเดี๋ยวฉันจัดการเอง”
หลังออกจากลิฟต์ เหยียนข่ายก็เห็นชายหนุ่มที่กำลังนั่งอยู่ในล็อบบี้ทันที วูบหนึ่งเขารู้สึก…ปวดหัวเล็กน้อย
ทำไมถึงได้อยู่ไปทุกที่เลยนะ
และเวลานี้ฟางเล่อจิ่งเองก็ปวดหัวมาก ความจริงเขาไม่ใช่แค่ปวดหัวแต่ยังอยากเอาหัวโขกกำแพงสุดๆ หลังจากให้ความช่วยเหลือทางตำรวจบุกเข้าบริษัทต้มตุ๋น ทีแรกเขาอยากจะนั่งรถไฟใต้ดินกลับมหาวิทยาลัย แต่ตอนที่เดินผ่านอาคารใหญ่โตของตงหวนเอนเตอร์เทนเมนต์ก็เกิดผีเข้านึกถึงเรื่องที่ ‘เหยียนข่ายบอกว่าเขาปัญญาอ่อน’ ขึ้นมาเลยเดินเข้าไปด้วยความวู่วาม หวังจะดูว่าอีกฝ่ายเป็นคนแบบไหนกันแน่ แม้บริเวณสำนักงานจะไม่สามารถเข้าไปได้อยู่แล้ว แต่ภายในล็อบบี้ต้อนรับนั้นมีรูปประชาสัมพันธ์ไม่น้อย และด้านในก็มีรูปของเหยียนข่าย เมื่อมองเห็นใบหน้าที่ดูคุ้นตานั่น ฟางเล่อจิ่งก็หายใจติดขัดขึ้นมาทันที
เป็น! เขา! เหรอ! เนี่ย!
เมื่อนึกถึงประโยคเสียงดังฟังชัดของตัวเองในตอนนั้นว่า ‘ผมอยากเป็นซูเปอร์สตาร์’ แล้ว…ก็อยากจะเป็นลมมันเสียตรงนั้นจริงๆ!
เหยียนข่ายส่ายหน้าเดินก้าวยาวๆ ออกไปด้านนอก จงใจไม่ให้ฟางเล่อจิ่งเห็น แต่คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเดินตามมา
เหยียนข่ายเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
ฟางเล่อจิ่งเองก็วิ่งตาม
เส้นเลือดปูดโปนขึ้นบนขมับของเหยียนข่าย นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกันเนี่ย
“คุณ รอก่อน!” ฟางเล่อจิ่งมาขวางหน้าเขาไว้
เหยียนข่ายเรียกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยโดยไม่ลังเลเพื่อเชิญเขาออกไปด้านนอก
ครั้งแรกในชีวิตที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ทำเอาฟางเล่อจิ่งรู้สึกทนไม่ได้
ผมแค่อยากจะอธิบาย ทำท่าเหมือนผู้หญิงใสซื่อโดนลวนลามไปได้ ยังเป็นผู้ชายอยู่หรือเปล่าเนี่ย!
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมองเขาด้วยสายตาเห็นใจเต็มที่
ฟางเล่อจิ่งตัดสินใจหันหลังเดินจากไป
ดวงของฉันคงไม่สมพงศ์กับที่นี่แน่ๆ คราวหลังอย่ามาอีกจะดีกว่า
งานในมหาวิทยาลัยค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นพร้อมๆ กับฤดูแห่งการเรียนจบที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หลังจากฟางเล่อจิ่งจัดการวิทยานิพนธ์เสร็จเรียบร้อยอาจารย์ก็แนะนำเขาให้กับบริษัทหลายแห่ง ทุกอย่างผ่านไปอย่างราบรื่น และได้รับการเสนองานมาสี่ห้างาน หลังจากพิจารณาอย่างรอบคอบในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเลือกธนาคารแห่งหนึ่งที่มีนัดวันสอบข้อเขียนรอบสุดท้ายในเช้าวันรุ่งขึ้น
ตอนค่ำหลังจากกินอาหารเรียบร้อย ฟางเล่อจิ่งหยิบกุญแจออกไปข้างนอก ตั้งใจจะออกไปรับเสื้อเชิ้ตที่ร้านซักแห้ง พอผ่านร้านหนังสือเลยแวะเข้าไปแช่อยู่ในนั้นสักพักหนึ่ง กว่าจะกลับถึงบ้านก็เป็นเวลาดึกดื่นไปแล้ว
ไฟทางในชุมชนจัดสรรพังไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ทางเดินจึงมืดเล็กน้อย ฟางเล่อจิ่งหยิบโทรศัพท์มือถือมาส่องไฟ ขณะที่เดินทะลุสวนหย่อมนั้นเอง เขารู้สึกได้ว่าด้านหลังมีเสียงอะไรบางอย่าง ยังไม่ทันหันกลับไปดูก็ได้ยินเสียงแหวกอากาศดังขึ้นข้างหู หลังจากเบี่ยงตัวหลบตามสัญชาตญาณแล้ว ไม้ท่อนหนึ่งก็กระแทกเข้ากับต้นไม้ข้างตัวเขาอย่างแรง
ฟางเล่อจิ่งตกใจ แต่ไม่นานก็จำได้ว่าหนึ่งในชายสองคนนั้นเป็นคนที่ถูกเรียกว่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของบริษัทต้มตุ๋นเลยกระจ่างทันที
“ไอ้เด็กแสบ กล้ามาวางกับดักกู” อีกฝ่ายโกรธเกรี้ยวอย่างเห็นได้ชัด ฟางเล่อจิ่งโยนหนังสือไม่กี่เล่มในมือทิ้งแล้วหันหลังวิ่งเข้าไปด้านในสวนหย่อม ถึงแม้ว่าเขาเองเคยเรียนมวยไทยมาบ้าง แต่ภายใต้สถานการณ์ที่ตกเป็นรองชัดเจนแบบนี้ การเอาตัวรอดเป็นทางออกที่ดีที่สุด
ชุมชนจัดสรรนั้นเก่ามากและไม่มีรปภ. ทั้งยังห่างจากคอนโดไปอีกระยะหนึ่ง ฟางเล่อจิ่งหมุนตัวมุดเข้าไปในสวนดอกไม้แล้ววิ่งไปทางรั้ว ด้านนอกเป็นถนนสายหนึ่งของตลาดกลางคืน และตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ผู้คนพลุกพล่านที่สุดพอดี
อิฐก้อนหนึ่งลอยหวือมากระแทกลงบนไหล่ของเขาอย่างแรง ฟางเล่อจิ่งกัดฟันดึงราวกั้นแล้วปีนออกไป กระโดดลงบนถนนคนเดิน ยื่นมือไปเรียกรถแท็กซี่
ทีแรกเจียงหยวนประจำการอยู่ที่สถานีตำรวจ หลังได้รับโทรศัพท์ก็ตกใจรีบขับรถไปโรงพยาบาล
ภายในห้องพัก ฟางเล่อจิ่งที่มีผ้าก๊อซพันอยู่บนไหล่ข้างขวากำลังก้มหน้าเล่นโทรศัพท์
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” เจียงหยวนรีบนั่งลงข้างเตียง
“ยังจะเรื่องอะไรได้อีกล่ะ” ฟางเล่อจิ่งรู้สึกว่าตัวเองดวงซวยสุดๆ
เจียงหยวนโมโห “ฉันจะไปอัดพวกมันให้เละเลย”
ฟางเล่อจิ่งเอ่ยเตือนเสียงอ่อน “พี่เป็นตำรวจ”
“เป็นความผิดฉันเอง” เจียงหยวนยื่นมือไปลูบหัวของเขา เอ่ยอย่างแค้นเคือง “ไม่ต้องห่วง ฉันจะเอาคืนแทนนายแน่นอน”
เพราะถูกอิฐก้อนนั้นกระแทกเข้าอย่างจัง ไหล่ข้างขวาของฟางเล่อจิ่งเลยบวมขึ้นมา ถึงกระดูกจะไม่เป็นไรแต่ก็รู้สึกเจ็บแม้ขยับเพียงเล็กน้อย
“หมดกัน” ฟางเล่อจิ่งสิ้นหวัง “พรุ่งนี้เช้าผมมีสอบข้อเขียน”
“ฉันช่วยนายแก้ปัญหาเอง” เจียงหยวนรู้สึกผิดต่อลูกพี่ลูกน้อง แต่โชคดีที่หลังจากธนาคารได้รับโทรศัพท์จากตำรวจและทราบเรื่องราวทั้งหมดแล้วก็บอกว่ารอให้เขาหายดีแล้วค่อยกลับมาสอบได้ จะนานเท่าไหร่ก็ได้ อย่างไรการกระทำอันกล้าหาญเพื่อความชอบธรรมนั้นย่อมมีชัยไปกว่าครึ่ง
“อย่าเพิ่งกลับคอนโดเลย มาอยู่บ้านฉันก่อนละกัน” หลังจากจัดการธุระที่เหลือเสร็จ เจียงหยวนก็เอ่ยขึ้นมา “คนเช่าย้ายออกพอดีเลยว่างอยู่ห้องหนึ่ง”
ด้วยเหตุนี้ฟางเล่อจิ่งเลยเก็บข้าวของด้วยแขนแข็งทื่อข้างหนึ่งแล้วย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านญาติผู้พี่ชั่วคราว และโทร.หาสตูดิโอโฆษณา บอกว่าคงไปกินอาหารทะเลที่นัดกันไว้ดิบดีไม่ได้แล้วจริงๆ
“บาดเจ็บ?” บรรดาเพื่อนร่วมงานที่สตูดิโอตกใจเมื่อทราบข่าว
“ใช่” ฟางเล่อจิ่งนอนดูโทรทัศน์อยู่บนเตียง “จะขยับก็ขยับไม่ได้”
คำว่าขยับไม่ได้ทำให้คนฟังรู้สึกเป็นห่วง ทุกคนแสดงออกอย่างกระตือรือร้นว่าอยากมาเยี่ยมทันที ฟางเล่อจิ่งส่งมือถือให้พี่ชายเพื่อให้เขาบอกที่อยู่ ตัวเองเลยถือโอกาสลุกไปห้องน้ำ ตอนออกมาก็เห็นเจียงหยวนยังคงถือโทรศัพท์อยู่ “ผมจะบอกที่อยู่ พวกคุณจดนะครับ”
“ก่อนหน้านี้คุยอะไรกัน ทำไมถึงได้นานขนาดนี้” รอจนเขาวางสายแล้ว ฟางเล่อจิ่งเอ่ยถามอย่างสงสัย
เจียงหยวนบอก “ทุกคนถามว่านายบาดเจ็บได้ยังไง”
“อย่างนี้นี่เอง” ฟางเล่อจิ่งคว้าลูกพีชลูกหนึ่งขึ้นมากัด
“พวกเพื่อนๆ ของนายใช้ได้เลยนี่ เป็นห่วงนายกันน่าดู” เจียงหยวนดึงกระดาษทิชชูส่งให้ “แต่ตื่นตูมไปหน่อย” คุยแค่ไม่กี่นาทีก็โหวกเหวกกันจนหูแทบดับ
และในเวลาเดียวกันนี้ ป๋ายอี้กำลังโทรศัพท์หาหยางเทียน “โฆษณาของเสิ่นหานชุดนั้นแก้ไปถึงไหนแล้ว”
“จะเอาตอนนี้เลยเหรอ” พี่หยางดูปฏิทินครู่หนึ่ง “ตกลงกันไว้ว่าวันศุกร์หน้านี่”
“เสร็จได้ก่อนกำหนดน่าจะดีที่สุด” ป๋ายอี้บอก “ประธานเหยียนเองก็รอดูอยู่”
“ความจริงก็ใกล้แล้ว เร็วสุดมะรืนนี้น่าจะเสร็จ” หยางเทียนบอก “แต่เพื่อความชัวร์ ขอเป็นวันจันทร์หน้าละกัน พรุ่งนี้เราต้องไปเยี่ยมเล่อเล่อ เขาได้รับบาดเจ็บ”
“เล่อเล่อ?” ป๋ายอี้จำเขาได้แม่น “ฟางเล่อจิ่ง?”
“ใช่” หยางเทียนกดเปิดลำโพงโทรศัพท์ เอ่ยอย่างจริงจัง “เพราะกำจัดคนชั่ว”
คนอื่นๆ ในกองกรูเข้ามาทันที ทำแบบนี้แสดงว่าลูกพี่เรียกพวกเรามาร่วมวง งั้นก็ต้องเข้าร่วมสิ!
“เพราะกำจัดคนชั่ว?” ป๋ายอี้ประหลาดใจเล็กน้อย
“ถูกต้อง” ความจริงแล้วเพื่อคุ้มครองฟางเล่อจิ่ง เจียงหยวนจึงไม่ได้เล่าอะไรผ่านโทรศัพท์มากมายนัก แค่บอกว่าได้รับบาดเจ็บจากการช่วยตำรวจทำคดี แต่นี่ไม่ได้มีผลต่อจินตนาการของคนในสตูดิโอ ถึงขั้นมโนไปถึงคำว่า ‘สายลับ’ ได้อย่างน่าอัศจรรย์ ที่จริงพวกเขากังวลใจกับคำพูดของเหยียนข่ายในตอนนั้นที่ว่า ‘ไม่ฉลาดพอ’ และอยากหาโอกาสทำคะแนนคืนมาโดยตลอด
ดังนั้นป๋ายอี้เลยถูกบังคับให้ฟังเรื่องราวการร่วมมือกันระหว่างตำรวจกับประชาชนที่เรียกได้ว่าเป็นแบบอย่างอันน่ายกย่องแห่งยุคจนจบ จนกระทั่งวางสายไปแล้วเขาก็ยังรู้สึกวิงเวียนเล็กน้อย
“เตรียมประชุม” เหยียนข่ายเดินผ่านโถงทางเดินมาเจอเขาพอดี
ป๋ายอี้สูดหายใจเข้าลึก “นายจะไม่พิจารณาฟางเล่อจิ่งจริงๆ เหรอ”
เหยียนข่ายขมวดคิ้ว “ทำไมนายยังนึกถึงเขาอยู่อีก”
“ฉันคิดว่าเขาตรงกับความต้องการของบริษัทในตอนนี้จริงๆ” ป๋ายอี้ตอบ “สายตานายแม่นยำกว่าฉันเสมอ เขาต้องดังแน่นอน”
“ไม่” เหยียนข่ายส่ายหน้า “โง่เกินไป”
ป๋ายอี้จุก ไม่มีคำอื่นจะพูดแล้วหรือไง
เหยียนข่ายย้ำอีกรอบ “ฉันไม่มีทางเซ็นสัญญากับเขา”
ที่ผ่านมาป๋ายอี้มีความเห็นตรงกับเขาเสมอ นี่เป็นครั้งแรกที่ความคิดต่างกันมากขนาดนี้ “การเจอเด็กใหม่ที่เหมาะสมสักคนไม่ใช่เรื่องง่าย ฉันตั้งใจว่าจะไปเยี่ยมเขา”
“ไปเยี่ยม?” คราวนี้กลายเป็นเหยียนข่ายที่สงสัย
“เมื่อกี้ได้ยินจากหยางเทียนบอกว่าเขาได้รับบาดเจ็บเพราะไปเป็นสายให้ตำรวจ” ป๋ายอี้บอก “ฉันไม่คิดว่าคนโง่จะไปเป็นสายได้” ที่อยากจะสื่อก็คือ ขอร้อง นายช่วยวางทิฐิลงได้มั้ย ฉันโคตรอยากเซ็นสัญญากับเขาเลยโว้ย!
เพราะได้รับรู้ข้อมูลหลายอย่างพร้อมกันทำให้เหยียนข่ายขมวดคิ้วคิดอยู่นานสองนาน จากนั้นหันหลังกลับห้องทำงาน “ไปหาข้อมูลของเขามาให้ฉัน”
ป๋ายอี้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ในที่สุดก็คืบหน้าขึ้นบ้างแล้วสินะ…