[ทดลองอ่าน] บันทึก (ไม่ลับ) ฉบับซูเปอร์สตาร์ ตอนที่ 42

巨星手记
บันทึก (ไม่ลับ) ฉบับซูเปอร์สตาร์

 

อวี่เซี่ยวหลานซาน เขียน
ธมน แปล
get-sem วาด

 

— โปรย —

ฟางเล่อจิ่ง ที่ตัดสินใจเข้าวงการบันเทิงในที่สุด ได้รับโอกาสแสดงบทนำในภาพยนตร์เรื่องใหม่
ที่จะช่วยผลักดันศักยภาพทางการแสดงและความสำเร็จของเขาให้ก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้น
ทว่าเขาก็ต้องเผชิญกับแผนสกปรก และการชิงดีชิงเด่นของใครบางคนในวงการ
ซึ่งคอยจ้องจะแทงข้างหลังและหวังสร้างกระแสเพื่อทำให้เขาตกต่ำ
จนทำให้การถ่ายทำต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด
แต่ก็เหมือนเทพแห่งความโชคดีมักจะอยู่เคียงข้างเขาเสมอ
อีกทั้งยังมีคนรักอย่าง เหยียนข่าย คอยสนับสนุน
ฟางเล่อจิ่งได้รับโอกาสอันไม่คาดฝันบางอย่าง จนทำให้ใครหลายคนต้องพากันอิจฉาตาร้อน
ขณะเดียวกันนั้นเอง ใครคนหนึ่งก็ดันมาล่วงรู้ความลับ
เรื่องความสัมพันธ์ของเขากับเหยียนข่ายเข้าโดยบังเอิญ!

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

42

ตอนนี้ต้องทำยังไง!

พรรคพวกตกใจจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว!

 

เป็นเพราะพวกเขาสนิทกันมาก ตอนที่ฟางเล่อจิ่งเพิ่งย้ายบ้านจึงเคยเชิญทุกคนมาเที่ยวบ้านแล้ว แต่ตอนนั้นสตูดิโอเพิ่งรับงานใหญ่มาพอดี ต้องทำงานล่วงเวลาจนถึงดึกดื่นทุกวันจึงไม่มีเวลา ไปๆ มาๆ เลยกลายเป็นลากยาวมาถึงตอนนี้

“เราเตรียมของขวัญมาด้วย!” บรรดาเพื่อนฝูงต่างทำตัวเป็นแขกที่ดี

เมื่อนึกถึงเหยียนข่ายที่อยู่ในห้องหนังสือ ฟางเล่อจิ่งก็ปวดหัวขึ้นมาทันที “ทำไมถึงไม่โทร.มาบอกก่อน ผมจะได้ลงไปรับ”

“ใช่ไง ตอนแรกเราคิดว่าจะโทร.ตอนมาถึงข้างล่าง” เซี่ยงเสี่ยวตงบอก “แต่พอลงจากรถก็เจอกับรองประธานหลิวของเชียนซานกรุ๊ปที่เป็นคนรู้จักเก่าแก่ของพี่หยางเข้าพอดีก็เลยพาเราเข้ามาด้วยเลย” โคตรบังเอิญเลยจริงๆ

ฟางเล่อจิ่ง “…”

“ฉันขอเข้าห้องน้ำหน่อยได้มั้ย” หลังออกจากห้องครัว หลิวเหมิงเหมิงก็เอ่ยถามฟางเล่อจิ่ง

“ได้สิ” ฟางเล่อจิ่งพยักหน้า

“ขอบใจ” หลิวเหมิงเหมิงหมุนตัวพุ่งตรงไปยังห้องหนังสือ

“ไม่ใช่ห้องนั้น!” ฟางเล่อจิ่งอกสั่นขวัญหาย รีบเข้าไปยืนขวางประตูไว้อย่างรวดเร็ว

“งั้นห้องไหนล่ะ” หลิวเหมิงเหมิงกระวนกระวายเพราะซอสช็อกโกแลตมันแห้งกรังคากางเกงสีชมพูของเขาแล้ว

“เลี้ยวซ้าย” ฟางเล่อจิ่งยื่นมือชี้แล้วโอดครวญในใจไม่หยุดว่าทำไมประตูห้องหนังสือถึงล็อกจากข้างในไม่ได้นะ

“เราเตรียมนี่มาให้นายเป็นพิเศษด้วย!” เซี่ยงเสี่ยวตงพยายามอุ้มลังกระดาษใหญ่ลังหนึ่งเข้ามา “สำเนาต้นฉบับบทละครเวอร์ชันหายาก” ไม่ใช่แค่ราคาสูงลิ่ว แต่ยังมีคุณค่าในการใช้สอยด้วย!

“ขอบคุณนะ” ฟางเล่อจิ่งยื่นสองมือออกไปรับ

“ฉันช่วยเอาไปวางที่ห้องหนังสือให้เลยละกัน” เซี่ยงเสี่ยวตงกระตือรือร้นเกินบรรยาย “ยังไงก็คงไม่ได้อ่านตอนนี้อยู่แล้ว”

“ไม่ต้องจริงๆ” ฟางเล่อจิ่งแย่งลังกระดาษมาด้วยความรวดเร็วแล้ววางบนโต๊ะน้ำชาจนเสียงดัง ‘ตึง’ แทบอยากจะเอาหัวโขกกำแพง ทำไมทุกคนถึงได้อยากไปห้องหนังสือนัก

เมื่อเห็นว่าพวกเพื่อนๆ ทำท่าจะอยู่สังสรรค์กันทั้งคืน ยิ่งกว่านั้นยังพกเอาแผ่นละครโทรทัศน์ความยาวยี่สิบตอนกับถังป็อปคอร์นขนาดมหึมามาด้วย แน่นอนว่าถ้าเป็นเวลาปกติเขาก็คงไม่ทักท้วงอะไร แต่เมื่อนึกถึงเหยียนข่ายที่อยู่ในห้องหนังสือแล้ว ฟางเล่อจิ่งเลยเอ่ยแบบไม่ลังเล “พรุ่งนี้ผมต้องถึงบริษัทตั้งแต่เจ็ดโมง คืนนี้อยู่โต้รุ่งไม่ได้หรอกนะ”

“ถึงบริษัทเจ็ดโมง งั้นนายก็ตื่นหกโมงไม่ใช่หรือไง” ผองเพื่อนได้ยินก็เริ่มตัดพ้อด้วยความขุ่นเคือง พากันพูดว่า นี่มันจะเกินไปแล้ว ไม่ต่างอะไรกับพวกนายทุนหน้าเลือดเลย! เป็นเหมือนกันหมดจริงๆ ทีแรกเราคิดว่าบอสขูดเลือดขูดเนื้อมากพอแล้วนะ ไม่คิดเลยว่าของนายจะยิ่งกว่าอีก

หยางเทียนเอ่ยด้วยความโมโห “ตรูยังนั่งตรงนี้โว้ย!”

ก็เพราะนั่งอยู่นั่นแหละ เราถึงได้พูด! ทุกคนต่างทำหน้าว่าสมควรแล้ว เราไม่เคยนินทาบอสลับหลัง ลองมาสัมผัสความรู้สึกแบบนี้ดูบ้าง แล้วเดือนหน้าอย่าลืมโบนัสสองเท่าด้วย

บอสหยางจุกจนพูดไม่ออก พูดต่อหน้ามันก็ไม่ต่างกันหรอกเฟ้ย

“วันนี้ไม่ได้จริงๆ” ฟางเล่อจิ่งยืนกราน “ทำไมไม่เปลี่ยนมาปาร์ตี้กันวันศุกร์ล่ะ ผมจะได้เตรียมขนมกับแผ่นหนังไว้”

ก็ได้นะ! พวกเพื่อนๆ ว่าง่าย ถึงอย่างไรช่วงนี้ก็ไม่ค่อยยุ่งอยู่แล้ว จะตอนไหนก็ได้หมด! เพราะงั้นหลิวเหมิงเหมิงเลยไปเอาเค้กไอศกรีมออกจากตู้เย็นอีกครั้ง ตั้งใจว่าพอกินเสร็จค่อยกลับเพื่อให้เล่อเล่อได้พักผ่อนเร็วหน่อย

ฟางเล่อจิ่งแอบพรูลมหายใจ เขาหาข้ออ้างจะไปหยิบของแล้วแอบหนีเข้าไปในห้องหนังสือ

เหยียนข่ายนั่งอยู่บนเก้าอี้ริมหน้าต่าง กำลังมองมาที่เขาเงียบๆ ราวกับพระราชา!

นี่มันภาพอะไรกันเนี่ย…ฟางเล่อจิ่งเกิดความรู้สึกหลากหลายทั้งอยากร้องไห้และอยากขำ

เหยียนข่ายกระดิกนิ้วเรียกเขา

ฟางเล่อจิ่งส่ายหน้าสุดชีวิตเพราะเขาจำเป็นต้องใช้หลังดันประตูไว้เพื่อไม่ให้ใครบุกเข้ามา!

ใครจะมาเข้าใจความทุกข์ระทมที่ห้องหนังสือล็อกจากด้านในไม่ได้แบบนี้

เหยียนข่ายลุกขึ้นก้าวยาวๆ ไปด้านหน้าแล้วรวบเอวเขาไว้ก่อนจะก้มหน้าลงจูบ

ด้วยรู้ดีว่าตอนนี้เขาต้องอารมณ์ไม่ดีแน่ๆ ฟางเล่อจิ่งเลยให้ความร่วมมือเต็มที่ ถึงขั้นเป็นฝ่ายเกี่ยวกระหวัดเข้าหาปลายลิ้นของอีกคนด้วยตัวเอง อย่างไรประตูห้องหนังสือก็ทำมาจากไม้เลยไม่ต้องกลัวว่าคนด้านนอกจะมองเห็น

เมื่อรับรู้ถึงการกระทำที่ต้องการเอาใจอย่างชัดเจนของเขา เหยียนข่ายเลยอารมณ์ดีขึ้นมานิดหน่อย หลังจากดูดเม้มหนักๆ อยู่ครู่หนึ่งถึงได้ยอมปล่อย

ฟางเล่อจิ่งชูนิ้วขึ้นมานิ้วหนึ่ง สัญญาว่าจะทำให้พวกเขากลับไปภายในหนึ่งชั่วโมง!

เหยียนข่ายพยักหน้าแล้วเขี่ยจมูกของเขาเบาๆ

“เล่อเล่อ!” หลิวเหมิงเหมิงส่งเสียงเรียกเขาจากด้านนอก “รีบมากินเค้กเร็ว ป้ายชื่อที่เราตั้งใจสั่งทำให้นายโดยเฉพาะมันจะละลายแล้ว!”

ฟางเล่อจิ่งจูบใบหน้าด้านข้างของเหยียนข่ายอีกครั้งแล้วหันหลังออกจากห้องหนังสือไป

เหยียนข่ายกลับไปนั่งบนเก้าอี้แล้วยกมือคลึงขมับด้วยความกลุ้มใจ

ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะมีวันที่ตัวเองต้องมาถูกใครสักคนแอบซ่อนเอาไว้แบบนี้

“เอ๋” เซี่ยงเสี่ยวตงส่งจานเค้กให้ฟางเล่อจิ่ง จากนั้นเอ่ยด้วยความสงสัย “ทำไมปากนายแดงขนาดนี้”

ฟางเล่อจิ่งตอบกลับทันควัน “ช่วงนี้เป็นร้อนในนิดหน่อย”

“ร้อนในมันมีอาการแบบนี้ด้วยเหรอ” เซี่ยงเสี่ยวตงขยับเข้ามาดูครู่หนึ่ง “เพิ่งเคยได้ยินครั้งแรก”

“ใช่น่ะสิ” ฟางเล่อจิ่งตอบด้วยท่าทีเฉยเมย “ผมเป็นร้อนในก็แบบนี้ตลอด”

“ครั้งหน้าจะต้มชาสมุนไพรมาให้นะ” หลิวเหมิงเหมิงอาสา “ใช้ระบายความร้อนรุ่มได้ดีมากเลยละ”

ทุกคนตกตะลึงทันที ให้ตายสิ แบบนี้ก็ได้หรือไง ถึงร้อนในกับร้อนรุ่มมันจะร้อนเหมือนกันก็เถอะ แต่มันก็ยังต่างกันนะ กินมั่วซั่วไปจะไม่เป็นอะไรเหรอ มันจะทำให้นกเขาไม่ขันหรือเปล่า

“ไม่ใช่นะ!” เมื่อรู้สึกได้ว่าตัวเองเหมือนจะพูดอะไรผิดไป หลิวเหมิงเหมิงตื่นตระหนกขึ้นมาทันที “ฉันไม่เคยให้แฟนกินเลยนะ พวกนายอย่าคิดอะไรบ้าๆ!”

ปริมาณข้อมูลที่มากเกินไปทำให้ทุกคนประมวลผลไม่ทัน ต่างตื่นเต้นจนสองข้างแก้มแดงระเรื่อ พากันเรียกร้องอย่างดุเดือดให้แชร์เรื่องราวของเกย์ผู้กล้าหาญต่อ ทั้งยังขู่ว่าถ้าไม่เล่าจะให้บอสเพิ่มกฎบริษัทเข้าไปอีกหนึ่งข้อ คือไม่อนุญาตให้ใส่กางเกงสีชมพูเวลาทำงาน

หลิวเหมิงเหมิงยัดเยลลี่เข้าปากอย่างบ้าคลั่ง ปฏิเสธหนักแน่นว่าจะไม่พูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว

แม้ว่าช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันจะมีความสุขแต่อย่างไรวันรุ่งขึ้นก็ยังต้องตื่นแต่เช้า ดังนั้นหลังจากกินเค้กหมด กลุ่มเพื่อนที่สตูดิโอก็เตรียมตัวกลับเพื่อให้เขาได้เข้านอนเร็วหน่อย ถึงฟางเล่อจิ่งจะรู้สึกผิดกับทุกคนอยู่บ้างทว่าก็ทำอะไรไม่ได้ ตอนที่ทุกคนยืนขึ้นเตรียมออกจากห้องไปนั้นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือดังมาจากห้องหนังสือ!

ฟางเล่อจิ่ง “…”

เซี่ยงเสี่ยวตงคลำกระเป๋ากางเกงทันทีตามสัญชาตญาณแล้วบอกว่า “ไม่ใช่ของฉันนะ”

ฟางเล่อจิ่งไม่สะทกสะท้าน “ของฉันเอง”

“เสียงเรียกเข้าของเราเหมือนกันเลย” เซี่ยงเสี่ยวตงล้วงโทรศัพท์มือถืออย่างรวดเร็ว “นายก็ซื้อรุ่นนี้มาเหมือนกันหรือเปล่า” อะไรที่เป็นรุ่นใหม่ล่าสุดจะทำให้ดูดีมีฐานะได้ในพริบตา ต้องหาโอกาสเอาออกมาอวดอยู่เสมอ

“อย่ามาทำตัวบ้าเห่อแบบนี้ได้มั้ย!” หลิวเหมิงเหมิงประท้วง

“เจอกันวันศุกร์!” ฟางเล่อจิ่งไม่อยากคุยเรื่องโทรศัพท์เลยสักนิด จนกระทั่งมองส่งทุกคนเข้าลิฟต์ไปถึงได้ถอนหายใจโล่งอก

เหยียนข่ายออกมาจากห้องหนังสือแล้วโยนเสื้อสูทตัวนอกไปบนโซฟาแบบส่งๆ

“หนาวหรือเปล่า” ฟางเล่อจิ่งกุมมือของเขาไว้ รู้สึกว่ามันเย็นเล็กน้อย ช่วงนี้ระบบทำความร้อนในห้องหนังสือมีปัญหาแต่เขายังไม่มีเวลาหาคนมาซ่อมเลย

“ไม่เท่าไหร่” เหยียนข่ายแนบหน้าผากกับอีกคน “เมื่อไหร่ถึงจะเลิกปิดบังเรื่องฉันได้สักที”

ฟางเล่อจิ่งคล้องรอบลำคอของเขา “หลี่จิ้งไม่ให้ผมมีความรัก” การตัดสินใจของหลี่จิ้งก็คือการตัดสินใจของบริษัท การตัดสินใจของบริษัทก็คือการตัดสินใจของท่านประธาน

เหยียนข่ายถอนหายใจ “ฉันกลัวว่านายจะได้รับผลกระทบจากข่าวลือพวกนั้น” ถึงอย่างไรเขาก็เพิ่งจะเดบิวต์ การเปิดเผยความสัมพันธ์ในเวลานี้ไม่เป็นประโยชน์ต่อเส้นทางในอนาคตของเขาเลยสักนิดเดียว

“ผมเข้าใจ” ฟางเล่อจิ่งกระซิบข้างหูอีกฝ่าย “ผมจะตั้งใจทำงานแล้วมายืนเคียงข้างคุณให้เร็วขึ้น”

เหยียนข่ายยิ้มแล้วเอียงหน้าไปจูบลำคอของเขา “โอเค”

ด้วยกลัวว่าเขาจะเป็นหวัด ฟางเล่อจิ่งเลยไปที่ห้องครัวหวังจะต้มนมขิงร้อนๆ ให้เขาสักแก้ว ใครจะคิดว่านมยังไม่ทันเดือดก็มีคนมากดกริ่งหน้าประตูอีก

เหยียนข่าย “…”

ฟางเล่อจิ่งเองก็สะดุ้งโหยง “ใครครับ”

“ฉันเอง” หลิวเหมิงเหมิงตอบมาจากด้านนอกประตู

แม้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่จะให้คนอื่นรออยู่นอกห้องก็ไม่ได้ เหยียนข่ายจำต้องหลบเข้าห้องหนังสืออีกครั้งด้วยความหงุดหงิด

ฟางเล่อจิ่งเปิดประตู “มีอะไรเหรอ”

“พี่หยางลืมเสื้อคลุมไว้ที่นี่น่ะ” ทันทีที่หลิวเหมิงเหมิงเห็นเสื้อสูทบนโซฟาก็วิ่งเข้าไปเอาแล้วซุกไว้ในอก “ฉันไปก่อนนะ นายก็รีบพักผ่อนล่ะ”

“กลับดีๆ นะ” ฟางเล่อจิ่งโล่งอก โชคดีที่แค่กลับมาเอาของเท่านั้น

หลังจากหลิวเหมิงเหมิงกลับไปแล้ว เหยียนข่ายก็ถามด้วยความจนใจ “จะมีครั้งที่สามอีกมั้ย”

“ไม่แล้ว” ฟางเล่อจิ่งรีบชูมือเป็นการรับประกัน

เหยียนข่ายแนบหน้าผากลงมา ทั้งขำทั้งเอ็นดู

 

รถของหยางเทียนจอดอยู่ริมทางของย่านที่พักอาศัย หลิวเหมิงเหมิงนั่งลงเบาะหลังแล้วส่งเสื้อสูทมาให้

“ถือให้ฉันก่อน” หยางเทียนสตาร์ตรถเตรียมพาพวกพนักงานไปส่งบ้านก่อน

ห้านาทีถัดมา เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นในรถ เซี่ยงเสี่ยวตงที่นั่งบนเบาะข้างคนขับล้วงโทรศัพท์ออกมาด้วยความเคยชิน “เอ๊ะ ไม่ใช่ของฉันนี่”

“ของบอส” หลิวเหมิงเหมิงควานหาโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋าเสื้อสูท

“ของฉัน?” หยางเทียนสงสัย “ไม่นะ โทรศัพท์ฉันอยู่ในกระเป๋ากางเกง”

“แต่มือถือมันอยู่ในกระเป๋าเสื้อสูทจริงๆ” หลิวเหมิงเหมิงตอบ

หยางเทียนแวะจอดรถข้างทาง พรรคพวกที่อยู่บนรถคันอื่นไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นเลยพากันหยุดตาม

“โอ๊ะ” หลิวเหมิงเหมิงหาโทรศัพท์แล้วส่งมาให้

หยางเทียนเหลือบมอง หน้าจอแจ้งว่าผู้ที่กำลังโทร.เข้าคือ “กู้ข่าย”

“ชื่อคุ้นๆ แฮะ” เซี่ยงเสี่ยวตงอ้าปากค้าง “ลูกพี่ นี่พี่ไปคบค้าสมาคมกับลูกค้ารายใหญ่ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่” ธุรกิจเกมออนไลน์ยักษ์ใหญ่ในประเทศ ราชาแห่งวงการโอตาคุ!

หยางเทียนหยิบเสื้อสูทขึ้นมาดูแวบหนึ่งแล้วชะงักไป “นี่ไม่ใช่เสื้อของฉัน นายไปเอามาจากไหน!”

“หา?” หลิวเหมิงเหมิงแปลกใจ “เป็นไปได้ไง บนโซฟาของเล่อเล่อก็มีแค่เสื้อสูทสีดำตัวเดียว”

“ของฉันวางอยู่บนตู้” หยางเทียนมองเขา

หลิวเหมิงเหมิง “…”

หยิบผิดซะแล้ว

“แต่นี่ก็ไม่เหมือนสูทของเล่อเล่อนะ มันใหญ่ไปหน่อย” เซี่ยงเสี่ยวตงถือเสื้อขึ้นมาดูครู่หนึ่งจากนั้นก็ต้องช็อก “แบรนด์เนมซะด้วย ลูกพี่ๆ ดูมีระดับกว่า HUGO BOSS ของพี่อีก เราได้กำไรแล้ว”

หยางเทียนเขกหัวเขาไปแรงๆ หนึ่งที จากนั้นให้คนบนรถคันที่เหลือล่วงหน้าไปก่อน ส่วนตัวเองหมุนพวงมาลัยกลับเพื่อเอาเสื้อไปคืน

“ก่อนหน้านี้เราก็ไม่เห็นเสื้อตัวนี้นี่นา” หลิวเหมิงเหมิงเอ่ยอย่างสงสัย “ทำไมแค่ไม่กี่นาทีถึงได้มาอยู่บนโซฟาแล้วล่ะ”

ทันทีที่พูด ทุกคนบนรถก็เงียบกริบ

หยางเทียนจำต้องจอดรถที่ข้างทางอีกครั้งเพราะรู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เห็นได้ชัดว่าเสื้อตัวนี้ไม่ใช่ของฟางเล่อจิ่ง ในกระเป๋าเสื้อมีโทรศัพท์มือถือที่เปิดเครื่องไว้อยู่ ดูเหมือนเจ้าของเสื้อสูทก็อยู่ใกล้ๆ นี้เหมือนกัน

“เหมือนฉันจะรู้นะว่าเป็นมือถือของใคร” หลังจากผ่านไปนาน เซี่ยงเสี่ยวตงก็เอ่ยขึ้นช้าๆ

“ใคร!” ทุกคนบนรถถามเป็นเสียงเดียวกัน

เซี่ยงเสี่ยวตงชี้ไปที่ลวดลายโลหะหลังเคสโทรศัพท์ “รุ่นมีลายเซ็นพิเศษ มีจำนวนจำกัดแค่สิบชุดทั่วโลก”

ทุกคนนั่งตัวตรงทันที แม้จะไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไรแต่แค่ฟังดูก็รู้ว่าต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ ปกติหยางเทียนเองก็ติดตามพวกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ พอได้ยินเขาพูดเป็นนัยแบบนี้เลยพลอยนึกถึงข่าวที่เคยเห็นก่อนหน้านี้ว่าดีไซเนอร์มอบให้เหยียนข่ายเองกับมือเอย…เครื่องเดียวในประเทศเอย…

และเมื่อนึกโยงไปถึงประตูห้องหนังสือที่ปิดสนิทบานนั้นรวมถึงเสียงเรียกเข้าที่ดังมาจากภายใน โลกก็เงียบลงในพริบตา

ฉิบหายแล้ว…

ทำไมถึงเกิดเรื่องพรรค์นี้ได้

แล้วนี่จะเอากลับไปคืนยังไง จะถูกฆ่าปิดปากหรือเปล่า

ถึงจะไม่ถูกฆ่าปิดปากแต่ก็ต้องสูญเสียโอกาสในการทำงานร่วมกับตงหวนแน่ๆ

หรือว่าจะต้องไปนั่งติดฟิล์มมือถือใต้สะพานลอยจริงๆ

เรายังไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจเลยนะ!

อยากจะหลั่งน้ำตาไปกับสายลมเหลือเกิน

“ไม่แน่อาจจะมีแค่เสื้อจริงๆ ก็ได้นะ เจ้าของไม่ได้อยู่ด้วย” หลิวเหมิงเหมิงคิดในแง่ดี

“เพราะงั้นช่วงห้านาทีที่เล่อเล่ออยู่ในห้องหนังสือก็แค่เพื่อดูเสื้อตัวนี้น่ะเรอะ” เซี่ยงเสี่ยวตงถาม

“กะ…กะ…ก็พูดยากนะ” หลิวเหมิงเหมิงพยายามผ่อนคลายบรรยากาศ “ยังไงซะเสื้อสูทราคาแพงขนาดนี้ คนธรรมดาก็คงยากจะเอื้อมถึง” เลยจำเป็นต้องเข้าไปตรวจเช็กบ่อยๆ

หยางเทียน “…”

“ไม่งั้นลองโทร.ไปก่อนมั้ย” เซี่ยงเสี่ยวตงเสนอ

คนอื่นๆ ได้ยินก็เห็นด้วยทันที บอกว่าให้โทร.ไปก่อน ใครเสนอคนนั้นก็เป็นคนโทร.!

เซี่ยงเสี่ยวตงทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาว “เมื่อกี้ฉันไม่ได้พูดอะไรเลย”

“ฉันเอง!” หยางเทียนหยิบโทรศัพท์ออกมา

เสียงปรบมือปลื้มปีติดังขึ้นภายในรถ สมกับเป็นบอส ห้าวหาญจริงๆ!

แต่ยังไม่ทันที่เขาจะต่อสายไป ฟางเล่อจิ่งกลับชิงโทร.มาก่อน

ทุกคนหุบปากฉับทันที ภายในรถเงียบราวกับป่าช้า

“ฮัลโหล” หยางเทียนรับสาย

“พี่เทียน” ฟางเล่อจิ่งถามอย่างระมัดระวัง “พี่ถึงบ้านหรือยัง”

“ยังเลย” หยางเทียนตอบ “แวะกินมื้อดึกข้างทางน่ะ”

เซี่ยงเสี่ยวตงส่งเสียงดังขึ้นทันที “เถ้าแก่! เอาเซี่ยงจี๊[1]ย่างอีกสิบไม้!” ด้วยความมีไหวพริบ

“เหมือนหลิวเหมิงเหมิงจะหยิบเสื้อไปผิดน่ะ” ฟางเล่อจิ่งตอบ “ตอนนี้พวกพี่อยู่ที่ไหน ผมจะขับรถเอาไปเปลี่ยน”

“อ้าวเหรอ” หยางเทียนทำน้ำเสียงแปลกใจ “เสื้ออยู่ท้ายรถ ฉันเองก็ไม่ได้ดูให้ดี”

“ไม่ต้องดูให้ดีหรอก!” ฟางเล่อจิ่งรีบบอก “ผมจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”

“ฉันขับรถเอาไปให้แล้วกัน” หยางเทียนตอบ “กินเสร็จพอดี สิบนาทีก็ถึง”

ดังนั้นเซี่ยงเสี่ยวตงเลยให้ความร่วมมืออีกครั้ง “เถ้าแก่! คิดเงิน!”

สายตาของคนที่เหลือในรถแทบอยากจะก้มกราบการแสดงเป็นลิ่วล้อขั้นเทพนี้

“ก็ได้” ฟางเล่อจิ่งพรูลมหายใจ “งั้นผมจะรอสายจากพี่นะ”

“ไม่เป็นไร” หยางเทียนวางสายไปแล้วพูดกับหลิวเหมิงเหมิง “รีบเอาเสื้อไปวางท้ายรถ”

“เดี๋ยวก่อนๆ” เซี่ยงเสี่ยวตงถกเสื้อยืดขึ้นแล้วเช็ดอย่างบ้าคลั่ง “ห้ามเหลือรอยนิ้วมือของฉันเด็ดขาด” อย่างไรเสียคนรวยก็สามารถทำเรื่องอะไรที่ไม่ธรรมดาได้ทั้งนั้น

สิบนาทีถัดมา ฟางเล่อจิ่งมาเอาเสื้อสูทที่ชั้นล่างนำกลับไปคืนให้เหยียนข่ายอย่างราบรื่น “ยังดีที่ไม่ถูกจับได้”

“นายแน่ใจเหรอ” เหยียนข่ายแกว่งโทรศัพท์มือถือไปมา “ก่อนหน้านี้มือถืออยู่ที่กระเป๋าเสื้อด้านในแต่ตอนนี้มันมาอยู่ที่ด้านขวา แถมยังถูกคนเช็ดซะสะอาด”

ภาพตรงหน้าของฟางเล่อจิ่งดับวูบลงทันที หมายความว่ายังไง!

“คนกลุ่มนี้ไว้ใจได้หรือเปล่า” เหยียนข่ายถาม

ฟางเล่อจิ่งกระแทกหัวกับแผงอกของอีกฝ่าย ถ้าถามมาตรงๆ เลยเขาคงไม่คิดอะไร แต่พอรู้แล้วยังแกล้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น…นี่มันตั้งใจปกปิดชัดๆ!

“เอาละๆ” เหยียนข่ายตบหลังเขาเบาๆ พลางปลอบ “ฉันจะจัดการเอง นายเลิกกังวลได้แล้ว”

“คุณคิดจะทำยังไง” ฟางเล่อจิ่งเงยหน้ามองเขาตาปริบๆ

“ป๋ายอี้สนิทกับพวกเขาพอสมควร” เหยียนข่ายตอบ “หยางเทียนเองก็ไม่ใช่คนที่ไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร เพราะงั้นไม่ต้องกังวลเกินไปหรอก”

“ผมรู้” ฟางเล่อจิ่งอยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา “ทุกคนคงไม่ซี้ซั้วพูดหรอก” แต่ก็ยังอยากจะเป็นลมอยู่ดี!

“เลิกคิดได้แล้ว” เหยียนข่ายลูบหัวของเขา “รีบพักผ่อนเถอะ”

ฟางเล่อจิ่งซบไปในอ้อมอกของเขาแล้วแกล้งตาย

ความรู้สึกแปลกๆ ที่ถูกเพื่อนล่วงรู้นี่มัน…

 

เช้าวันถัดมา เสิ่นหานกับฟางเล่อจิ่งมีคลาสออกกำลังกายด้วยกันพอดี หลังจากเจอกันก็ต้องอ้าปากค้าง “เมื่อคืนนายไม่ได้นอนเหรอ ทำไมสีหน้าถึงดูแย่ขนาดนี้”

“ไม่มีอะไร เล่นเกมเพลินจนลืมเวลาน่ะ” ฟางเล่อจิ่งหาวหวอด

“ดีจัง” เสิ่นหานทำท่าอิจฉาอย่างรุนแรง “แค่เกินห้าทุ่มฉันยังไม่นอน หยางซีก็โมโหแล้ว”

ฟางเล่อจิ่งหงอยเหงาเศร้าซึม สั่งชามินต์เย็นมาเรียกสติแก้วหนึ่ง

“ไม่งั้นกลับไปพักผ่อนเร็วหน่อยดีกว่ามั้ย” เสิ่นหานเอ่ยด้วยความหวังดี “ฉันถามโค้ชแล้ว วันนี้ตารางออกกำลังกายของนายเยอะมากเลยนะ”

ฟางเล่อจิ่งส่ายหน้า “ไม่เป็นไร ฉันดื่มน้ำสักแก้วก็ดีขึ้นแล้ว”

“จริงอะ” เสิ่นหานเอ่ย “แต่ทุกครั้งถึงฉันจะกินอิ่มก็ไม่เคยแข็งใจทำจนจบเซตได้เลย” ถ้าไม่ได้นอนทั้งคืนยิ่งไม่ต้องพูดถึง

“น่าจะไม่เป็นไรหรอกมั้ง” ฟางเล่อจิ่งยังคงคิดเรื่องเมื่อคืน สภาพดูค่อนข้างหดหู่

ดังนั้นเสิ่นหานเลยยิ่งเป็นห่วงกลัวว่าเขาจะร่วงจากเครื่องออกกำลังกาย ตัวเองก็ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้มาก่อน มันน่ากลัวสุดๆ

สองชั่วโมงถัดมา ฟางเล่อจิ่งเสร็จสิ้นคลาสเรียนทั้งหมดอย่างราบรื่น ทั้งยังวิ่งบนลู่วิ่งเพิ่มอีกครึ่งชั่วโมง จากนั้นไปอาบน้ำที่ห้องอาบน้ำ

เสิ่นหานนอนคว่ำลงบนเบาะรองนั่งพลางหอบแฮกๆ ไม่คิดจะลุกขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว

โค้ชเอ่ยเตือนขึ้นมา “ยังเหลืออีกหนึ่งในสามที่ยังไม่ครบ”

หยางซีส่งน้ำมาให้แก้วหนึ่งด้วยสีหน้านิ่งเฉย “พักสิบนาทีแล้วทำต่อ”

มันต้องโหดขนาดนี้เลยเหรอ! เสิ่นหานคับแค้นเต็มอก มองฟางเล่อจิ่งและเฝิงฉู่ออกไปกินข้าวด้วยกัน

โลกนี้ไม่มีอะไรจะเลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้ว

 

[1] ไตหมู

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า