巨星手记
บันทึก (ไม่ลับ) ฉบับซูเปอร์สตาร์
อวี่เซี่ยวหลานซาน เขียน
ธมน แปล
get-sem วาด
— โปรย —
ฟางเล่อจิ่ง ที่ตัดสินใจเข้าวงการบันเทิงในที่สุด ได้รับโอกาสแสดงบทนำในภาพยนตร์เรื่องใหม่
ที่จะช่วยผลักดันศักยภาพทางการแสดงและความสำเร็จของเขาให้ก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้น
ทว่าเขาก็ต้องเผชิญกับแผนสกปรก และการชิงดีชิงเด่นของใครบางคนในวงการ
ซึ่งคอยจ้องจะแทงข้างหลังและหวังสร้างกระแสเพื่อทำให้เขาตกต่ำ
จนทำให้การถ่ายทำต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด
แต่ก็เหมือนเทพแห่งความโชคดีมักจะอยู่เคียงข้างเขาเสมอ
อีกทั้งยังมีคนรักอย่าง เหยียนข่าย คอยสนับสนุน
ฟางเล่อจิ่งได้รับโอกาสอันไม่คาดฝันบางอย่าง จนทำให้ใครหลายคนต้องพากันอิจฉาตาร้อน
ขณะเดียวกันนั้นเอง ใครคนหนึ่งก็ดันมาล่วงรู้ความลับ
เรื่องความสัมพันธ์ของเขากับเหยียนข่ายเข้าโดยบังเอิญ!
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
45
ตกลงว่าแทมเบอร์คือใคร!
สถานะลึกลับซะจริง!
หลังจากนั้นห้านาที เสิ่นหานโทร.หาหยางซี ปรากฏว่าอีกฝ่ายกำลังติดสายอยู่
สิบนาทีผ่านไปก็ยังคงติดสายอยู่เหมือนเดิม
ตกลงว่าคุยโทรศัพท์กับใครถึงได้นานขนาดนี้!
เสิ่นหานเข้าไปเกาะกับผนังแล้วฟังอยู่ครู่หนึ่ง ผลที่ได้คือต้องไม่ได้ยินอะไรอยู่แล้ว
ฉนวนกั้นเสียงของห้องพักโรงแรมห้าดาวไม่ต้องดีเกินไปจะได้มั้ย มันชวนให้ร้อนรนชะมัด
หรือว่าจะเจอดาราสาวชวนไปกินข้าวอีกแล้ว! เสิ่นหานหรี่ตา ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นไปได้ หยางซีนั้นหล่อเหลาและเยือกเย็นมาก แม้จะอยู่ท่ามกลางกลุ่มนายแบบเขาก็ไม่โดนกลบรัศมีเลยสักนิด ไปไหนก็มีแต่คนหวังจะครอบครอง สมควรเก็บรักษาไว้ข้างกายตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเพื่อไม่ให้ถูกใครแย่งไปสุดๆ!
ทนไม่ได้จริงๆ
ดังนั้นเมื่อหยางซีวางสายแล้วเข้ามาในห้องก็เจอเข้ากับเสิ่นหานที่กำลังสวมกางเกงด้วยความฉุนเฉียวทันที ดูเหมือนจะหงุดหงิดมาก
มันเรื่องอะไรอีกล่ะเนี่ย
พอเห็นว่าเขายังถือโทรศัพท์อยู่ในมือ เสิ่นหานกลับไปนั่งบนเตียงแล้วถอดกางกางที่เพิ่งสวมเข้าไปออกอีกครั้ง ใส่เพียงกางเกงในลายเป็ดน้อยที่มองเขาเขม็ง
หยางซี “…”
ฉันควรจะรออยู่ด้านนอกต่อไปใช่หรือเปล่า
“มานี่” เสิ่นหานเอื้อมมือไปตบเตียง
หัวคิ้วของหยางซีกระตุกเล็กน้อย
“โทรศัพท์จากใคร” เสิ่นหานถามเหมือนเป็นเรื่องปกติ
หยางซีตอบ “ผู้กำกับตู้มั่ว”
“จริงเหรอ” เสิ่นหานทำท่าทีสงสัยเล็กน้อย ไม่ใช่พวกยัยปิศาจจิ้งจอกทรงโต๊โตนั่นหรือไง
หยางซียื่นโทรศัพท์มือถือให้เขา
“ช่างเหอะ” เสิ่นหานนั่งขัดสมาธิบนเตียง “ฉันไม่ดู”
“บอกนายไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าฉันไม่มีทางไปอยู่กับศิลปินคนอื่นและไม่มีทางถูกซื้อตัวไปด้วย” หยางซีนั่งลงข้างๆ เขา “อีกอย่างครั้งนี้ไม่ใช่บริษัทนายหน้าจริงๆ แต่ผู้กำกับตู้อยากจะมาคุยกับนายเกี่ยวกับหนังเรื่องใหม่”
“หนังอะไร” เสิ่นหานได้ยินก็ตื่นเต้นทันที
“หนังสืบสวนสอบสวนดวลกับผู้ร้าย บทพระรองฝั่งดี” หยางซีตอบ “แพทย์นิติเวช”
“งั้นเหรอ” ได้ยินดังนั้นเสิ่นหานก็ตาเป็นประกาย แพทย์นิติเวช ฟังดูเท่ดีแฮะ
“อืม” หยางซีเอ่ย “แต่เพิ่งอยู่ในขั้นตอนของการวางแผน ยังไม่ได้ตัดสินใจอะไร แค่ติดต่อมาล่วงหน้าเพื่อถามความเห็นนาย”
ในที่สุดก็จะได้เล่นเป็นตำรวจแล้ว ถึงจะไม่ได้ดวลปืนแต่ก็โคตรเท่! เสิ่นหานดีอกดีใจ
“สนใจเหรอ” หยางซีถามเขา
“ผู้กำกับตู้มั่ว คงไว้ใจได้ใช่มั้ย” เสิ่นหานหยั่งเชิงถาม
หยางซีลังเลครู่หนึ่งจากนั้นพยักหน้า ในฐานะผู้กำกับหนังเน้นทำเงินที่มีชื่อเสียงในวงการ แม้ว่าตู้มั่วจะไม่ได้มีผลงานชิ้นสำคัญที่มีชื่อเสียงระดับสากล แต่ก็ไม่เคยสร้างภาพยนตร์ห่วยๆ โดยพื้นฐานแล้วภาพยนตร์ทุกเรื่องของเขาล้วนกระแสตอบรับดี เสียงวิจารณ์ก็ถือว่าใช้ได้ เป็นผู้ที่ศิลปินไม่น้อยใฝ่ฝันอยากจะร่วมงานด้วย
“แล้วทำไมนายถึงดูไม่ดีใจล่ะ” เสิ่นหานมองเขาอย่างไม่เข้าใจ
หยางซีนิ่งไปนิด ทีแรกเขาคิดว่าตัวเองเก็บความรู้สึกได้ดีมากแล้ว แต่นึกไม่ถึงเลยว่ายังถูกมองออก
“หยางซี” เสิ่นหานขยับเข้ามาใกล้เขานิดหน่อย “นายไม่อยากให้ฉันรับเล่นใช่มั้ย”
หยางซี “…”
แววตาของเสิ่นหานดูจริงจังมาก
“รอเห็นบทก่อนค่อยว่ากัน” หยางซีไม่ได้ตอบเขาตรงๆ “ไม่ต้องรีบร้อน”
“แต่นายดูมีเรื่องอะไรในใจชัดๆ” เสิ่นหานนิ่วหน้า อย่าคิดว่าฉันมองไม่ออกนะ
หยางซีเงียบ
เสิ่นหานจ้องเขาอย่างไม่ลดละ ท่าทางบ่งบอกว่า ‘ถ้านายไม่พูดฉันก็จะจ้องอยู่อย่างนี้!’
สุดท้ายหยางซีเลือกที่จะยอมลงให้ เขาถอนหายใจพร้อมบอก “ซานหย่วนชิงเป็นคนเขียนบท นางเอกคือจางเสี่ยวม่าน”
“แล้วยังไง” เสิ่นหานถาม “นายไม่ชอบจางเสี่ยวม่าน?”
หยางซีพูดไม่ออก ทีแรกเขาอยากจะบอกว่าตอนงานแถลงข่าวภาพยนตร์เรื่อง ‘หนามหัวใจ’ ครั้งก่อน เคยเห็นจางเสี่ยวม่านไปที่ห้องของซานหย่วนชิงกลางดึกโดยบังเอิญ เรื่องนี้ตัดสินใจเลือกนางเอกอย่างไร ไม่ต้องบอกก็รู้ แต่มาคิดๆ ดูแล้ว การใช้ร่างกายติดสินบนแบบนี้ก็พบเห็นได้บ่อยในวงการ ไม่ถือว่าแปลกอะไร ยิ่งไปกว่านั้นหากว่ากันตามตรงแล้วนี่ก็ไม่เกี่ยวข้องกับเสิ่นหาน จึงไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธบทเพราะเรื่องนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดว่าเขาอยากจะเล่นเป็นซูเปอร์ฮีโร่กับตำรวจมากขนาดไหน นานๆ ทีกว่าจะมีโอกาสแบบนี้ ไม่ว่าอย่างไรตัวเขาเองก็ไม่ควรขัดขวาง
“อย่าขมวดคิ้ว” เสิ่นหานยื่นมือกดหัวคิ้วของเขา “ถ้านายไม่ชอบฉันก็ไม่รับ แค่หนังเรื่องเดียวเอง ไม่ใช่เรื่องใหญ่สักหน่อย”
หยางซียังอยากจะพูดอะไรบางอย่างต่อ แต่ถูกอีกฝ่ายโผเข้ากอดไว้
ภายในห้องเงียบกริบ
“นายสำคัญกว่าเรื่องหนังนะ” เสิ่นหานถูไถอยู่ข้างใบหูของเขา ลมหายใจแผ่วเบากระทบใบหูชวนให้รู้สึกจั๊กจี้
ร่างของหยางซีแข็งทื่อจนเกือบจะขยับไม่ได้
“รู้สึกไม่ดีก็ไม่ต้องพูดหรอก ฉันไม่ถามแล้ว” เสิ่นหานผละออก “ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรสักหน่อย แค่ปฏิเสธผู้กำกับตู้ก็พอ”
หยางซีลังเลไปชั่วขณะจึงเอ่ยปาก “จางเสี่ยวม่าน…” พูดมาได้เพียงครึ่งก็กลืนคำที่เหลือลงไป ไม่บ่อยนักที่เขาจะคิดไม่ตกแบบนี้
“จางเสี่ยวม่านทำอะไร เธอคุกคามนายจริงๆ ใช่มั้ย!” แต่เสิ่นหานได้ยินอย่างชัดเจน เขาเบิกตาโพลงทันที
เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด!
นัยน์ตาของหยางซีฉายแววสับสน อะไรคือคุกคาม…
“ฉันว่าแล้ว เห็นแววตาก่อนหน้านี้ก็รู้สึกว่ามันไม่ปกติ ไม่งั้นอยู่ดีๆ จะมาชวนกินข้งกินข้าวอะไรล่ะ ทั้งที่มีคนตั้งเยอะแยะแต่เธอกลับไม่ไปชวน” เมื่อเห็นหยางซีไม่พูดอะไร เสิ่นหานก็กระโดดลงจากเตียงคว้ากางเกงมาสวมทันที “ฉันจะลองไปเตือนดูก่อน ถ้าไม่ไหวจริงๆ เราค่อยแจ้งความ!” ท่าทางฮึกเหิมสุดๆ
“แจ้งความ?” หยางซีเสียวสันหลังวาบ
“นายรอฉันที่นี่” เสิ่นหานพุ่งตัวไปนอกห้องด้วยท่าทางน่ากลัว
หยางซีเอื้อมมือไปดึงเขากลับมา “ไม่ต้องกังวล มันเป็นเรื่องตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว”
“จะหลายปีก่อนก็ไม่ได้!” เสิ่นหานได้ยินก็ยิ่งโมโหหนักขึ้นไปอีก ไม่คิดเลยว่าจะชิงลงมือไปก่อนแล้ว!
“นายฟังฉันพูดก่อน” หยางซีปวดหัวตุบๆ ก่อนหน้านี้ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันที่ตัวเองต้องข้องเกี่ยวกับคำว่า ‘ถูกคุกคาม’
“พูดอะไร” เสิ่นหานมองเขาด้วยสายตาสุดจะเห็นอกเห็นใจราวกับว่ากำลังมองสาวน้อยแสนดีถูกโจรหยามเกียรติอย่างไรอย่างนั้น “ไม่ต้องกังวล ค่อยๆ นึกรายละเอียด อย่าให้ตกหล่นแม้แต่นิดเดียว” แบบนี้ฉันจะได้คิดบัญชีง่ายหน่อย
คิ้วหยางซีกระตุก ทีแรกเขาอยากจะเรียบเรียงคำพูดสักหน่อยแต่สุดท้ายด้วยทนกับสายตาของเขาไม่ไหวจริงๆเลยเอ่ยตัดบทเพื่อจบความยุ่งยาก “หลายปีก่อนจางเสี่ยวม่านอยากจะคบกับฉัน”
สายฟ้าฟาดลงมากลางวันแสกๆ ทำเอาเสิ่นหานตะลึงงัน!
อะไรคือหลายปีก่อนอยากจะคบกับฉัน!
“หานหาน?” หยางซีโบกมือไปมาด้านหน้าเขา ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย ทำไมจู่ๆ ก็นิ่งไป
เสิ่นหานหรี่ตาจับสังเกตเขา
หยางซี “…”
“มันเรื่องอะไรกัน!” เสิ่นหานจริงจัง
“ฉันเคยบอกนายไปว่าตอนที่ยังไม่ได้เดบิวต์ เธอถูกคนอื่นรังแกเป็นประจำ ฉันเคยช่วยอยู่สองสามครั้ง” หยางซีเอ่ย “หลังจากนั้นเธอก็มาหาฉันบ่อยๆ”
“บ่อยๆ?!” เสิ่นหานอ้าปากค้าง ไม่นึกเลยว่าตัวเองจะไม่รู้เรื่อง!
“แต่ก็แค่ประมาณสองเดือน หลังจากนายถ่ายละครเสร็จเราก็ไม่ได้เจอกันอีก” หยางซีตอบ “อีกอย่าง ช่วงสองเดือนนั้นก็ไม่ได้มีอะไร แค่คุยกันเยอะขึ้นเท่านั้น”
“แล้วตอนนี้ล่ะ” เสิ่นหานคาดคั้น “นอกจากเธอแล้วยังมีใครคิดจะงาบนายอีก”
หยางซีกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “มีแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวจริงๆ”
แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวก็น่าหงุดหงิดพอแล้ว! เสิ่นหานคว้าเนกไทของเขา “แล้วนายคิดยังไง”
“นายคิดว่าฉันจะคิดยังไงล่ะ” หยางซีบีบแก้มของเขา “ทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว ถ้าฉันยังคิดอะไรจริงๆ ก็คงไม่ขัดนายเรื่องที่จะรับเล่นหนังเรื่องนี้หรอก”
“ถูกต้อง เราจะไม่รับเด็ดขาด” เสิ่นหานตัดสินใจโดยไม่ลังเล ถ้ารับงานขึ้นมาก็ต้องเจอหน้ากันที่กองทุกวัน ถึงเวลานั้นใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะปล่อยให้วิกฤติไปกว่านี้ไม่ได้จริงๆ ต้องป้องกันไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ
“งั้นเรื่องนี้ก็จบแค่นี้ใช่มั้ย” หยางซีเอ่ย “ใกล้ได้เวลาแล้ว ถ้ายังไม่ออกจากห้องอีกได้สายแน่”
“อืม” เสิ่นหานดึงหูของเขาแล้วกำชับด้วยใบหน้าจริงจัง “ต่อไปมีเรื่องอะไรต้องบอกฉันทุกอย่าง ห้ามปิดบังแม้แต่เรื่องเดียว!”
หยางซีช่วยจัดคอเสื้อของเขาให้เรียบร้อย “ได้”
“ถ้าปิดบังอีกขอให้อนาคตไม่มีเนื้อกิน!” เสิ่นหานย้ำอีกรอบ คำสาปแช่งนี้มันโคตรของโคตรจะเลวร้ายเลยนะ แค่ได้ยินก็ทำเอาเขาผวาแล้ว
หยางซีหัวเราะแล้วบีบจมูกของเขาเบาๆ
อีกด้านหนึ่งของมหาสมุทร ฟางเล่อจิ่งกำลังเอนกายอยู่บนที่นอนอันอบอุ่นของโรงแรมพลางเล่นไอแพ็ดไม่ยอมลุกจากเตียง
“ยังไม่ตื่น?” เมื่อได้ยินเสียงที่ฟังดูเกียจคร้านของเขาแล้ว เหยียนข่ายยิ้มพลางเอ่ย “เจ้าแมลงขี้เกียจ ได้เวลาตื่นแล้ว”
“ยังต้องปรับเวลา” ฟางเล่อจิ่งกอดหมอน “คุณทำงานอยู่ที่บริษัทเหรอ”
“เพิ่งประชุมเสร็จ” เหยียนข่ายวางเอกสารลงบนโต๊ะ “ตื่นแล้วก็ไปกินมื้อเช้า ไม่งั้นจะปวดท้องเอา”
ผ้าม่านของโรงแรมบังแสงได้เป็นอย่างดี แสงที่เข้ามาจึงสลัวลงเล็กน้อย บนที่นอนมีกลิ่นหอมของครีมอาบน้ำจางๆ คำรักหวานแหบต่ำเอาใจกระซิบอยู่ข้างหู บรรยากาศแบบนี้พาให้หัวใจรู้สึกอ่อนระทวยตามไปด้วย
“ทำไมไม่พูด” พอเห็นเขาเงียบไปนาน เหยียนข่ายก็งุนงงเล็กน้อย
ฟางเล่อจิ่งลูบใบหูและแก้มที่แดงก่ำ “อือ”
“ยังง่วงอยู่เหรอ” เหยียนข่ายเลิกคิ้วเล็กน้อย
“เปล่า” ฟางเล่อจิ่งฟุบหน้าลงกับหมอน “ผมคิดถึงคุณแล้ว” แม้จะห่างกันได้ไม่ถึงสองวันแต่ก็รู้สึกคิดถึงมากจริงๆ
เหยียนข่ายจูบเขาผ่านโทรศัพท์ “ฉันจะหาเวลาไปเยี่ยมนะ”
“ไม่ต้องหรอกครับ ได้ยินหลี่จิ้งบอกว่าพักนี้คุณยุ่งมาก” ฟางเล่อจิ่งตอบ “แค่ได้โทร.คุยกันทุกวันก็พอแล้ว”
“ฉันก็คิดถึงนายเหมือนกัน” ท่าทีอ่อนโยนของเหยียนข่ายทำเอาป๋ายอี้ที่ผลักประตูเข้ามาเพื่อรายงานผลการทำงานถึงกับประหลาดใจ
นี่เขาโดนคุณไสยหรือไง…
“โทษทีนะ พอดีมีงานเข้านิดหน่อย” เหยียนข่ายกลับมาอยู่ในมาดเจ้านายสุดหล่อผู้เย็นชาอย่างรวดเร็ว
“งั้นผมวางก่อนนะ คุณเองก็อย่าลืมพักบ้างล่ะ” ฟางเล่อจิ่งเอ่ย “เลิกงานแล้วค่อยโทร.หาผมละกันครับ”
“โอเค” เหยียนข่ายวางสายด้วยสีหน้าไม่แสดงอารมณ์
ป๋ายอี้ถือแฟ้มเอกสารยืนอยู่หน้าประตู ไม่รู้ว่าควรจะเดินหน้าหรือถอยหลังดี
อันที่จริงก็ไม่ได้จำเป็นต้องเข้าไปสักหน่อย สู้ปล่อยให้เวลาย้อนกลับไปเมื่อสองนาทีก่อนดีกว่า
“ครั้งหน้าก่อนเข้ามา ช่วยเคาะประตูก่อน” รังสีแห่ง ‘ความไม่สบอารมณ์ที่ถูกขัดจังหวะขณะจู๋จี๋กับคนรัก’ แผ่ออกมาจากร่างของเหยียนข่าย
“ฉันจะระวัง” ป๋ายอี้ยกมือขึ้นอย่างรู้งาน “ไม่งั้นให้ฉันออกไปเคาะแล้วค่อยเข้ามาใหม่มั้ย”
“ออกไปก็ไม่ต้องเข้ามาแล้ว” บอสนี่ไม่มีความเมตตาปรานีเอาซะเลย
โชคดีที่ป๋ายอี้ฝึกฝนจิตใจจนแข็งแกร่งไปนานแล้วเลยไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร หลังจากรายงานผลการทำงานเสร็จก็ออกจากห้องไป ตลอดระยะเวลานั้นเขาไม่ได้สนใจแรงกดดันจากเหยียนข่ายเลย สมกับเป็นผู้ช่วยของท่านประธานซึ่งมีคุณสมบัติแตกต่างกับคนอื่นจริงๆ
“รองประธานป๋าย” เลขาฯกำลังรออยู่นอกห้อง “ประธานกรรมการเอาแต่ถามหาคุณ บอกว่าติดต่อไม่ได้”
ป๋ายอี้ได้ยินก็เริ่มรู้สึกมวนท้อง ไม่โทร.หาเหยียนข่ายแต่โทร.หาตัวเอง คงต้องการถามเรื่องส่วนตัวแน่ๆ…
ตระกูลป๋ายและตระกูลเหยียนคบหากันมาหลายชั่วอายุคน ด้วยเหตุนี้ประมุขเหยียนจึงเห็นป๋ายอี้เป็นเหมือนลูกชายคนหนึ่ง นอกจากจะช่วยเหยียนข่ายดูแลบริษัทในยามปกติแล้วยังมอบหมายหน้าที่คอยรายงานเรื่องต่างๆ ให้ด้วย
“คุณลุง” หลังจากป๋ายอี้กลับถึงห้องทำงานก็โทร.กลับทันที “ขอโทษครับ เมื่อกี้โทรศัพท์ของผมแบตหมด”
“เรื่องไปถึงไหนแล้ว” ประธานใหญ่ออกปากถาม
“ยังไม่ได้ถามเลยครับ” ป๋ายอี้สารภาพไปตามตรง ตั้งแต่เหยียนข่ายเปิดตัวว่ามีคนรักในครั้งนั้น ประธานใหญ่ก็โทร.มาถามว่าตกลงแล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้น ตะ…แต่เขาไม่รู้จริงๆ นี่! ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้ยินข่าวลืออะไรเลยสักนิดยังเข้าใจได้ แต่หลังจากเรื่องราวแพร่ออกไป ตัวเองก็เลียบๆ เคียงๆ ถามอยู่หลายครั้ง แต่ไม่คิดเลยว่าจะไม่ได้อะไรกลับมาสักอย่าง ล้มเหลวไม่เป็นท่า เขาถึงขั้นสงสัยว่าข่าวลือเรื่อง ‘Honey’ ที่ว่านั่นเหยียนข่ายเป็นคนกุขึ้นมาเองหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นก็ปิดได้มิดเกินไปแล้ว นี่มันมีความรักหรือแอบค้ายากันแน่ถึงต้องเก็บเงียบขนาดนี้ ฉันเองก็อยากจะเห็นหน้าค่าตาของพี่สะใภ้เหมือนกัน
ประธานใหญ่ที่อยู่ปลายสายสูดหายใจเข้าลึก เห็นได้ชัดว่าไม่สบอารมณ์กับคำตอบนี้เท่าไหร่
“ผมจะจับตาดูต่อครับ” ป๋ายอี้เองก็จนปัญญาไม่รู้จะทำอย่างไร
“ลำบากหน่อยนะ” ด้วยเข้าใจนิสัยของเหยียนข่ายดี ประธานใหญ่จึงแสดงความเห็นใจป๋ายอี้เล็กน้อย
หลังจากวางสาย ป๋ายอี้อยากจะเอาหัวโขกกำแพงให้รู้แล้วรู้รอด
ไม่มีงานง่ายๆ ให้ทำแล้วหรือไง! ตัวเขาไม่ถนัดตามสืบเรื่องรักๆ ใคร่ๆ อะไรพรรค์นี้จริงๆ…
“เล่อเล่อ” ณ ฟากสมุทรที่ไกลออกไป เฝิงฉู่กำลังเคาะประตู “ได้เวลาตื่นแล้วนะ”
“อื้ม” ฟางเล่อจิ่งคาบแปรงสีฟันไปเปิดประตู “ใกล้เสร็จแล้ว”
“ฉันเห็นตารางงานแล้ว วันนี้ไม่ถือว่าเยอะมาก” เฝิงฉู่บอก “ประมาณสามสี่ชั่วโมงก็น่าจะเสร็จ”
“โอเค” ที่ผ่านมาฟางเล่อจิ่งไม่ค่อยบ่นเรื่องงานเท่าไหร่ หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จเรียบร้อยก็ออกจากห้องไปพร้อมเฝิงฉู่ แม้แต่มื้อเช้ายังต้องกินบนรถ
เนื่องจากเป็นการถ่ายทำวันแรกและเมื่อพิจารณาถึงเรื่องที่ทุกคนต้องปรับตัวเข้ากับความแตกต่างของเวลา ดังนั้นเนื้อหาในการถ่ายทำเลยค่อนข้างง่าย แค่ถ่ายภาพนิ่งไม่กี่เซตเท่านั้น แน่นอนว่าไม่เป็นปัญหาสำหรับฟางเล่อจิ่งอยู่แล้ว และเสร็จสิ้นการถ่ายทำทั้งหมดได้เร็วกว่าที่คิดไว้ครึ่งชั่วโมง
“เยี่ยมมาก” ช่างภาพพึงพอใจ “พรุ่งนี้ก็ขอความรู้สึกแบบนี้อีกนะ เราเสร็จงานเร็วกว่ากำหนดแน่นอน”
“โอเค” ฟางเล่อจิ่งยิ้ม “งั้นเราขอตัวกลับก่อนนะครับ”
“ไม่มีปัญหา เรายังต้องสร้างฉากถนนหนทางอีกหลายเซต” ช่างภาพแนะนำ “ยังเหลือเวลาตั้งเยอะ คุณเดินเล่นดูรอบๆ ได้นะ ฤดูหนาวของกรุงโรมถึงจะเงียบเหงาแต่ก็สวยมาก นักท่องเที่ยวไม่เยอะ ถือซะว่าเป็นการผ่อนคลายก็ไม่เลว”
ฟางเล่อจิ่งพยักหน้า หลังจากเอ่ยขอบคุณทีมงานแล้วก็ขอตัวกลับออกมาก่อนพร้อมเฝิงฉู่
“อยากไปเดินเล่นมั้ย” เฝิงฉู่ถาม
“กลับโรงแรมก่อนดีกว่า ผมขับเองละกัน พี่ดูเหนื่อยๆ” ฟางเล่อจิ่งคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย “ฉันไม่เป็นไร” เฝิงฉู่ออกปาก
“เห็นชัดๆ ว่าเหนื่อย” ฟางเล่อจิ่งดูจนใจ “หาวตลอดเลย”
เฝิงฉู่ “…”
“แล้วผมก็ไม่ใช่เด็กตัวเล็กๆ ที่ต้องให้พี่คอยดูแลตลอดเวลาสักหน่อย” ฟางเล่อจิ่งหันไปมองเขา “นอนพักสักงีบเถอะ ยังต้องเดินทางอีกสักระยะ ผมขับรถเก่งนะ”
เฝิงฉู่ยิ้ม “ขอบคุณ”
“ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณ ยังไม่ทันปรับตัวให้ชินกับเวลาก็ต้องออกมากับผมแล้ว” ฟางเล่อจิ่งสตาร์ตรถ ไม่นานก็ส่งเขากลับถึงโรงแรม หลังจากช่วยสั่งอาหารเบาๆ ให้นิดหน่อยและอยู่ดูเขาจนกระทั่งกินเสร็จแล้วหลับไปถึงได้ออกจากห้องมาอย่างระมัดระวัง
ยังเหลือเวลาอีกเยอะ อยู่โรงแรมไปก็ไม่มีอะไรทำ ฟางเล่อจิ่งเปิดดูแผนที่แล้วพบว่าใกล้ๆ นี้เป็นบ่อน้ำพุเทรวี่[1]พอดีจึงออกจากห้องแล้วเดินไปตามลำพังเพื่อพักผ่อนพร้อมหามื้อค่ำกินด้วยเลย
แม้อากาศจะไม่ได้ถือว่าอุ่นนักแต่ก็ยังคงมีผู้คนอยู่รอบๆ บ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์เป็นจำนวนมาก ฟางเล่อจิ่งซื้อไอศกรีมแท่งหนึ่งแถวๆ นั้น แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ ค่อยๆ ละเลียดชิมและถือโอกาสมองวิวทิวทัศน์โดยรอบ
เหรียญส่องประกายวิบวับถูกโยนลงไปในบ่อน้ำพุขอพร เด็กสาวคนหนึ่งกุมสองมือเข้าหากันแน่น ก้มหน้าแล้วตั้งจิตอธิษฐาน ผมยาวสีดำของเธอปลิวไสวไปตามสายลม หินแกะสลักขนาดมหึมาประกอบกับน้ำพุใสกระจ่าง ราวกับฉากหนึ่งในภาพยนตร์
หลังจากอธิษฐานเสร็จแล้ว เด็กหนุ่มที่อยู่ข้างกายก็สวมกอดเธอด้วยความอ่อนโยน ทั้งสองพูดคุยพลางหัวเราะพร้อมจูงมือกันเดินห่างออกไป ทั้งอบอุ่นและอ่อนหวาน
ฟางเล่อจิ่งมองภาพด้านหลังของคนทั้งคู่แล้วอดยิ้มไม่ได้
ได้อยู่กับคนที่ชอบ ดีจังเลยนะ…
ในกระเป๋ายังมีเหรียญเหลืออยู่อีกเหรียญ ฟางเล่อจิ่งลุกขึ้นยืนแล้วหันหลังให้บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ หลับตาลงก่อนจะอธิษฐานสิ่งที่ปรารถนา
สุภาพบุรุษสวมเสื้อโค้ทสีดำคนหนึ่งยืนยิ้มอยู่ไม่ไกล รอจนกระทั่งเขาโยนเหรียญลงไปในบ่อน้ำพุแล้วถึงได้โบกมือทักทาย
“แทมเบอร์?” ฟางเล่อจิ่งแปลกใจเล็กน้อย ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอกันที่นี่
“คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้พบเธออีก เรามีวาสนาต่อกันนะ” แทมเบอร์ยิ้มพร้อมเดินเข้ามาหา “อธิษฐานอะไรล่ะ”
“ถ้าบอกก็ไม่กลายเป็นจริงสิครับ” ฟางเล่อจิ่งปฏิเสธที่จะเปิดเผย
“มันก็ไม่แน่หรอกนะ บางทีฉันอาจจะช่วยให้ความปรารถนาของเธอเป็นจริงก็ได้” แทมเบอร์เก็บไม้เท้า
“ถึงอย่างนั้น…ผมก็บอกไม่ได้อยู่ดี” ฟางเล่อจิ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงแบบเด็กๆ
“มาคนเดียวเหรอ” แทมเบอร์เองก็ไม่ได้ถามอะไรต่ออีก
“อื้อ ผมพักอยู่โรงแรมใกล้ๆ นี้เอง พอดีมีถ่ายโฆษณาเซตหนึ่ง” ฟางเล่อจิ่งตอบ “ทำงานเสร็จยังเหลือเวลาก็เลยออกมาเดินเล่นครับ”
“กินมื้อเย็นด้วยกันสักมื้อได้มั้ย” แทมเบอร์เชื้อเชิญเขา
“ได้สิครับ” ฟางเล่อจิ่งพยักหน้า “แต่ว่าผมไม่คุ้นเคยกับแถวนี้ คุณพอรู้มั้ยว่ามีร้านอาหารอยู่ตรงไหนบ้าง”
“ฉันเองก็ไม่คุ้นเคย แต่เธอต้องเชื่อว่าที่ไหนมีคนที่นั่นก็มีอาหาร” แทมเบอร์เอ่ยขำๆ “เลือกถนนมาสักเส้น ภายในสิบนาทีจะต้องหาร้านอาหารได้แน่นอน”
“ก็จริง” อันที่จริงเวลาทำอะไรฟางเล่อจิ่งจะวางแผนเสมอ แต่เวลานี้กลับได้รับอิทธิพลจากนิสัยสบายๆ ของเขา ทั้งสองคนเดินคุยกันไปตามทางเล็กๆ แล้วก็เจอกับร้านพิซซ่าขนาดเล็กแห่งหนึ่ง มันเล็กมากจริงๆ แม้แต่ที่นั่งยังมีแค่สองที่
“อุ่นจัง” ฟางเล่อจิ่งกุมถ้วยช็อกโกแลตร้อน
แทมเบอร์สั่งเหล้าแก้วเล็กแก้วหนึ่ง “ฉันได้ดูหนังที่เธอเล่นแล้วนะ แสดงได้ดีทีเดียว รวมถึงหนังสั้นรักษ์โลกเรื่องนั้นของจงหลีเฟิงป๋ายด้วย โน้มน้าวคนดูได้ดีมาก”
“ขอบคุณครับ” ฟางเล่อจิ่งค่อนข้างแปลกใจ ครั้งก่อนตอนที่ได้เจอกันที่บาร์ เขาคิดว่าอีกฝ่ายแค่พูดตามมารยาทเท่านั้น นึกไม่ถึงเลยว่าจะไปดูทั้งหมดจริงๆ เลยรู้สึกประหลาดใจไปชั่วขณะ
แทมเบอร์ล้วงเอากระดาษกับปากกาออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้วเขียนรายชื่อคนยาวเป็นหางว่าว “ต่อไปถ้ามีโอกาส ลองร่วมงานกับผู้กำกับเหล่านี้ดูนะ จะช่วยเธอได้มากทีเดียว แต่จำไว้ว่าต้องเก็บเป็นความลับ อย่าพูดถึงฉัน”
ฟางเล่อจิ่งรับกระดาษแผ่นนั้นมาด้วยความสงสัยและเห็นรายชื่อผู้กำกับชื่อดัง มีทั้งคนที่มีชื่อเสียงมานานและหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าสู่วงการอยู่บนนั้น ในบรรดารายชื่อเหล่านั้นมีหลายคนที่บริษัทกำลังพิจารณาอยู่จริงๆ
“ดื่ม” แทมเบอร์ชูแก้วเหล้า
“คุณดูคุ้นเคยกับวงการภาพยนตร์มากเลยนะครับ” ฟางเล่อจิ่งถือถ้วยช็อกโกแลตร้อนแล้วชนแก้วกับเขาเบาๆ นัยน์ตาฉายแววอยากรู้
“ฉันคุ้นเคยกับทั้งวงการบันเทิงนั่นแหละ” แทมเบอร์ส่งพิซซ่าชิ้นหนึ่งให้เขา
“คุณอยู่ต่างประเทศตลอดเลยเหรอครับ” ฟางเล่อจิ่งถาม
“คิดจะหลอกถามสถานะของฉันเหรอ” นัยน์ตาของแทมเบอร์แฝงแววขบขัน
เมื่ออุบายเล็กๆ ถูกมองออกทะลุปรุโปร่ง ฟางเล่อจิ่งจึงเงียบลงด้วยท่าทีนิ่งเฉย
“ไม่พูดเรื่องงานตอนพักผ่อน” แทมเบอร์เขียนเบอร์โทรศัพท์แถวหนึ่งลงบนกระดาษอีกครั้ง “เธอมีคุณสมบัติดีมากอยู่แล้ว ต่อไปถ้ามีปัญหาอะไรก็โทร.หาฉันได้ทุกเมื่อ หรือถ้าไม่มีอะไรก็คุยเล่นกับฉันได้”
“ขอบคุณครับ” ฟางเล่อจิ่งได้เพื่อนต่างวัยอย่างคาดไม่ถึงทำให้รู้สึกดีมาก
แทมเบอร์เองก็อารมณ์ดีเช่นกัน
พออารมณ์ดีก็พาให้ดื่มไปค่อนข้างเยอะ หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ฟางเล่อจิ่งพยุงแทมเบอร์ที่เริ่มเมาอย่างเห็นได้ชัด ตั้งใจว่าจะส่งเขากลับที่พัก
“ไม่เป็นไร” แทมเบอร์โบกไม้โบกมือแล้วกดโทร.ออกลวกๆ “อีกครึ่งชั่วโมงจะมีคนมารับฉัน”
“อย่างนั้นก็โอเคครับ” ฟางเล่อจิ่งสั่งน้ำผลไม้เปรี้ยวๆ ให้เขาแก้วหนึ่งแล้วอยู่รอเป็นเพื่อน
เป็นเพราะฟังภาษาอิตาลีไม่ออก ฟางเล่อจิ่งเลยคิดว่าคนที่มารับแทมเบอร์คงจะเป็นคนในครอบครัวของเขาอย่างภรรยาหรือไม่ก็ลูกชาย ปรากฏว่าครึ่งชั่วโมงถัดมา รถลิมูซีนสีดำคันหนึ่งหยุดลงหน้าประตูร้านพิซซ่าและมีชายชุดดำท่าทางเหมือนบอดี้การ์ดสี่คนเดินเข้ามา
ฟางเล่อจิ่งนึกถึงพวกมาเฟียขึ้นมาทันที
นี่มันออกจะข่มขวัญไปหน่อยหรือเปล่า
“ฉันต้องไปแล้ว” แทมเบอร์ลุกขึ้นยืน “วันนี้ที่ได้คุยกันฉันสนุกมาก หวังว่าเธอจะมีความสุขกับช่วงเวลาที่อยู่ในโรมนะ มีปัญหาอะไรก็โทร.หาฉันได้ตลอดเวลา”
“ผมก็เหมือนกันครับ อยู่กับคุณแล้วสนุกมาก” ฟางเล่อจิ่งหยิบไม้เท้าและหมวกส่งให้คนที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดซึ่งดูเหมือนจะเป็นพ่อบ้าน รู้สึกราวกับกำลังถ่ายหนังอยู่
หลังจากอีกฝ่ายเอ่ยขอบคุณด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่วก็ประคองแทมเบอร์กลับขึ้นรถ ฟางเล่อจิ่งมองตามจนรถคันนั้นขับออกไปถึงได้หมุนตัวกลับโรงแรม ตั้งใจว่าวันพรุ่งนี้จะลองถามเหยียนข่ายว่ารู้จักคนคนนี้หรือไม่
“แทมเบอร์?” เหยียนข่ายส่ายหน้าหลังจากได้รับโทรศัพท์ “ไม่เคยได้ยินเลย”
“แต่เขาดูรู้จักวงการบันเทิงบ้านเราดีมากเลยนะ ดูเหมือนคนมีประสบการณ์แล้วก็เก่งมาก แถมยังบอกให้ผมเก็บเป็นความลับด้วย” ฟางเล่อจิ่งเล่า “จริงสิ คุณห้ามบอกใครนะ!”
“ฉันยังไม่รู้จักเลยจะไปบอกใครล่ะ” เหยียนข่ายไม่รู้จะขำหรือร้องไห้ดี “จำไว้ คราวหน้าคราวหลังอย่าเที่ยวตามคนแปลกหน้าไปกินข้าวส่งเดชอีก”
“ไม่ใช่คนแปลกหน้าสักหน่อย” ฟางเล่อจิ่งว่า “อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่ใช่”
“ถ้ายังไม่ระวังตัวแบบนี้อีก ฉันจะให้คนไปเอาตัวนายกลับมา” เหยียนข่ายนิ่วหน้า “บางที่ในยุโรปก็เสื่อมโทรมมาก”
“ผมรู้” เมื่อเห็นว่าเขามีทีท่าจะเทศนาอีกยาวเหยียด ฟางเล่อจิ่งเลยยอมรับผิดทันที จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องคุย “ใกล้ๆ โรงแรมมีร้านอาหารอร่อยๆ ร้านหนึ่ง ครั้งหน้าถ้ามีโอกาสไว้ไปด้วยกันนะ”
“ได้” เหยียนข่ายผุดลุกจากเก้าอี้ “มีบางเรื่องที่เฝิงฉู่น่าจะบอกนายเร็วๆ นี้ บริษัทกำลังเจรจากันเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง เป็นบทพระเอก ไว้รอนายกลับมาแล้วมั่นใจว่าไม่มีปัญหาก็เซ็นสัญญาได้เลย”
“อื้ม เป็นหนังอะไรเหรอ” ฟางเล่อจิ่งถาม
“เรียกสามีสิแล้วฉันจะบอก” เหยียนข่ายยกยิ้มมุมปาก
ฟางเล่อจิ่งได้ยินก็อึ้งไปทันที พอได้สติ “คุณเคยพูดเองว่าห้ามเล่นในเวลางาน” ควรจริงจังหน่อยไม่ใช่หรือไง
“นายห้ามล้อเล่น แต่ฉันทำได้” เหยียนข่ายเอ่ยด้วยท่าทีไม่สะทกสะท้าน
“ทำไมล่ะ!” ฟางเล่อจิ่งประท้วง ฟังดูไม่มีเหตุผลเลย
เหยียนข่ายตอบ “เพราะฉันเป็นเจ้านาย”
ฟางเล่อจิ่งสะอึกไปครู่หนึ่ง
นี่มันใช้อำนาจข่มเหงกันชัดๆ…
“แค่เรียกหน่อยเดียวเอง” เหยียนข่ายล่อลวงกระต่ายขาวตัวน้อย
“ไม่!” ฟางเล่อจิ่งปฏิเสธทันควันแล้วเริ่มหน้าแดง
“งั้นคิดถึงนายต้องทำยังไง” เหยียนข่ายว่า “เมื่อคืนยังเก็บเอาไปฝันเลย”
ฟางเล่อจิ่ง “…”
“ไม่มีใครได้ยินสักหน่อย” เหยียนข่ายยังคงหลอกล่อต่อ
ฟางเล่อจิ่งอยากจะขุดหลุมแล้วกระโดดลงไปเหลือเกิน
สิบนาทีถัดมา เหยียนข่ายวางสาย มุมปากยกขึ้นอย่างอารมณ์ดี
ถึงจะเบาจนเหมือนยุงกระซิบแต่ก็ถือว่าเป็นรางวัลละนะ
“เล่อเล่อ เตรียมถ่าย…เอ๊ะ นายไม่สบายเหรอ” เฝิงฉู่มองเขาด้วยความสงสัย
“เปล่านะ!” ฟางเล่อจิ่งโคลงหัวตามสัญชาตญาณ
“หน้าแดงจัง เป็นไข้หรือเปล่า” เฝิงฉู่ยื่นมือมาวัดอุณหภูมิที่หน้าผากของเขา
“…คงงั้นมั้ง” ฟางเล่อจิ่งทำนิ่งไม่รู้ไม่ชี้
“เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่เลยนี่นา” เฝิงฉู่งุนงง ทำไมจู่ๆ จะเป็นไข้ก็เป็นขึ้นมาดื้อๆ เลยล่ะ
ฟางเล่อจิ่งขยับริมฝีปากแล้วพูดว่า “โรคภัยไข้เจ็บมันก็มาเร็วโดยไม่ทันตั้งตัวแบบนี้แหละ”
ทำเอาเฝิงฉู่เหวอไปชั่วขณะ
ทำไมรู้สึกแปลกชอบกลแฮะ…
[1] บ่อน้ำพุใจกลางกรุงโรม มีชื่อเสียงเกี่ยวกับการโยนเหรียญเพื่ออธิษฐานที่ว่ากันว่าศักดิ์สิทธิ์มาก