巨星手记
บันทึก (ไม่ลับ) ฉบับซูเปอร์สตาร์
อวี่เซี่ยวหลานซาน เขียน
ธมน แปล
get-sem วาด
— โปรย —
ฟางเล่อจิ่ง ที่ตัดสินใจเข้าวงการบันเทิงในที่สุด ได้รับโอกาสแสดงบทนำในภาพยนตร์เรื่องใหม่
ที่จะช่วยผลักดันศักยภาพทางการแสดงและความสำเร็จของเขาให้ก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้น
ทว่าเขาก็ต้องเผชิญกับแผนสกปรก และการชิงดีชิงเด่นของใครบางคนในวงการ
ซึ่งคอยจ้องจะแทงข้างหลังและหวังสร้างกระแสเพื่อทำให้เขาตกต่ำ
จนทำให้การถ่ายทำต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด
แต่ก็เหมือนเทพแห่งความโชคดีมักจะอยู่เคียงข้างเขาเสมอ
อีกทั้งยังมีคนรักอย่าง เหยียนข่าย คอยสนับสนุน
ฟางเล่อจิ่งได้รับโอกาสอันไม่คาดฝันบางอย่าง จนทำให้ใครหลายคนต้องพากันอิจฉาตาร้อน
ขณะเดียวกันนั้นเอง ใครคนหนึ่งก็ดันมาล่วงรู้ความลับ
เรื่องความสัมพันธ์ของเขากับเหยียนข่ายเข้าโดยบังเอิญ!
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
47
โรแมนติกชะมัด!
เจ้าพ่อจิตใจเปราะบางอ่อนไหวง่าย!
น้ำในอ่างกระเพื่อมไหว เหยียนข่ายโอบฟางเล่อจิ่งไว้จากด้านหลังแล้วจูบซับลงบนลาดไหล่
“จั๊กจี้” ฟางเล่อจิ่งเอี้ยวตัวหลบตามสัญชาตญาณ
“ผอมลงอีกแล้ว” เหยียนข่ายกระชับวงแขน “กลับไปจะขุนให้กลับมาเหมือนเดิมเลย”
“ต้องผอมหน่อยถึงจะถ่ายออกมาดูดี” ฟางเล่อจิ่งพิงร่างอยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างเหนื่อยอ่อน
“ต้องอ้วนหน่อยเวลากอดถึงจะรู้สึกดี” ดูเหมือนเหยียนข่ายจะไม่คิดเหมือนกันกับเขา
ฟางเล่อจิ่งหลุดขำ โขกหัวเข้ากับลำตัวของเขา
เหยียนข่ายจับเขาเปลี่ยนท่าให้นั่งหันหน้าเข้าหากันบนตัก
ผิวกายที่แนบสนิททำเอาในใจเริ่มร้อนรุ่ม
เมื่อเห็นดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักตรงหน้า ฟางเล่อจิ่งก็เป็นฝ่ายจูบลงไปบนกลีบปากของเขาอย่างสั่นไหวราวกับต้องมนตร์
เหยียนข่ายกระชับวงแขนขึ้นอีกเล็กน้อย ให้ทั้งสองคนแนบชิดกันมากยิ่งขึ้น ขณะห้วงอารมณ์ไต่ถึงขีดสุดก็แทบจะฝังอีกคนเข้าในกระดูก น้ำกระเพื่อมล้นจากอ่างตามการเคลื่อนไหวเกิดเป็นรอยหยดน้ำน้อยใหญ่ซึมไปบนผืนพรม
“ฉันรักนาย” เหยียนข่ายกระซิบข้างใบหูของเขา
ฟางเล่อจิ่งหลับตาลง แพขนตาสั่นสะท้านเล็กน้อยภายใต้แสงจากโคมไฟ
บรรยากาศงดงามหวานละมุนภายในห้องคล้ายกับจะดำเนินไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด
เตียงภายในห้องนอนมีขนาดใหญ่เกินไป ฟางเล่อจิ่งสอดตัวเข้าในผ้าห่มนุ่มสบายแล้วโผล่ใบหน้าออกมาเพียงครึ่งเดียว
“ถ้าแอบอีกนิดก็หาไม่เจอแล้ว” เหยียนข่ายโน้มตัวลงประทับจูบไปบนหน้าผากอีกฝ่าย มันแผ่วเบา ไม่ได้พันเกี่ยวร้อนแรงอย่างเมื่อครู่ แต่กลับส่งไปถึงส่วนลึกภายในหัวใจยิ่งกว่าเดิม
ใบหูของฟางเล่อจิ่งแดงก่ำ ตัดสินใจหลับตาแกล้งหลับมันซะเลย
เหยียนข่ายหัวเราะเบาๆ เอนกายลงข้างๆ เขาพร้อมโอบกอดอีกคน “นอนพักสักหน่อย เดี๋ยวค่อยไปกินมื้อค่ำ”
บรรยากาศอันแสนคุ้นเคย ฟางเล่อจิ่งหลับตาลงอย่างว่าง่ายแล้วจมสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็ว เขาเร่งถ่ายทำโฆษณาตลอดหลายวันมานี้ เดิมทีก็เหนื่อยมากอยู่แล้ว ยิ่งรวมกับหนึ่งชั่วโมงในห้องน้ำเมื่อครู่อีก จึงแทบไม่อยากจะขยับแม้แต่ปลายนิ้ว
เหยียนข่ายใช้มือขวาตบแผ่นหลังของเขาเบาๆ อย่างอ่อนโยนและนุ่มนวล
เวลาผ่านไปชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า ทีแรกเขาตั้งใจว่าจะรอให้อีกฝ่ายตื่นเองแต่เวลาล่วงเลยมาถึงสามทุ่มแล้ว คนข้างๆ กลับยังคงหลับสนิท ดูท่าอาจจะหลับไปถึงพรุ่งนี้เช้า
“เล่อเล่อ” เหยียนข่ายกระซิบแผ่วเบาข้างใบหู “ตื่นได้แล้ว”
“ไม่เอา” ฟางเล่อจิ่งพึมพำด้วยความสะลึมสะลือ ยังนอนไม่พอเลย
เหยียนข่ายขบขัน ก้มหน้าลงไปงับแก้มของเขา
สัมผัสชุ่มชื้นเหมือนกับถูกสุนัขตัวใหญ่ไล้เลียทำให้ฟางเล่อจิ่งลืมตาขึ้นมาอย่างไม่เต็มใจนัก กว่าจะตื่นเต็มตาก็ผ่านไปอีกครู่ใหญ่
“เด็กดี กินอะไรสักหน่อยแล้วค่อยนอนต่อ เดี๋ยวกลางดึกจะหิวเอา” เหยียนข่ายอุ้มเขาออกจากผ้าห่ม
“ง่วง” ฟางเล่อจิ่งซบลงกับบ่าของเขา ไม่อยากแม้แต่จะลืมตา
“แค่นิดเดียวก็ได้” เหยียนข่ายคว้าเอาชุดนอนที่อยู่ด้านข้างมาบรรจงสวมใส่ให้เขา
ฟางเล่อจิ่งหาวพร้อมกับถูกอีกคนพาไปห้องอาหาร
อาหารที่ฟิลลิปส์เตรียมไว้ก่อนหน้านี้เย็นชืดไปหมดแล้ว ฟางเล่อจิ่งศึกษาวิธีใช้ไมโครเวฟนิดหน่อยจากนั้นนำมาอุ่นร้อนทีละอย่าง
“ไม่ได้ใช้น้ำในพื้นที่เพราะงั้นไม่เป็นอะไรแน่นอน” เหยียนข่ายเลื่อนเก้าอี้ให้เขา “ลองดู”
แม้ว่าจะผ่านความร้อนถึงสองครั้งแต่ดูเหมือนอาหารจะยังหน้าตาน่ากินเหมือนเดิม ฟางเล่อจิ่งกินข้าวหน้าเนื้อไปหนึ่งคำแล้วต้องเอ่ยขึ้นด้วยความพอใจ “อร่อย”
“กินแซนด์วิชกับน้ำอัดลมมานานขนาดนี้ก็ต้องอร่อยอยู่แล้ว” เหยียนข่ายเติมซุปให้เขา “เป็นฉันเองที่ไม่ทันคิด น่าจะให้ฟิลลิปส์มาดูแลเรื่องอาหารให้นายเร็วกว่านี้ จะได้ไม่ต้องหิ้วท้องทนหิวนานขนาดนั้น”
“ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แซนด์วิชก็อร่อยดีเหมือนกัน” ฟางเล่อจิ่งจิ้มเนื้อชิ้นหนึ่งยื่นไปตรงปากเขา “ลองดูสิ รสชาติใช้ได้เลย”
เหยียนข่ายยิ้มแล้วก้มหน้าลงไปรับเข้าปาก
“อืม ใช้ได้”
“คุณจะอยู่ที่ไคโรนานแค่ไหน” ฟางเล่อจิ่งกินไปพลางเอ่ยถามเขา
“จนกว่านายจะถ่ายเสร็จ” เหยียนข่ายตอบ
“ผมคิดไว้ว่าน่าจะถ่ายเสร็จอาทิตย์หน้า” ฟางเล่อจิ่งตอบ “เหลืออีกสี่วัน”
เหยียนข่ายเช็ดปากให้เขา “หลังถ่ายเสร็จก็อยู่อียิปต์ต่ออีกสองวัน เราไปเที่ยววิหารลักซอร์กัน”
“เอาสิ” ฟางเล่อจิ่งพยักหน้าดีอกดีใจทันที ทำงานเสร็จยังได้ไปเที่ยวพักผ่อนด้วย!
เกลี้ยกล่อมง่ายจริงๆ เหยียนข่ายลูบศีรษะของเขา “กินเยอะๆ”
“ฟิลลิปส์เป็นเพื่อนของคุณเหรอ” ฟางเล่อจิ่งถามขึ้นมาอีกครั้งด้วยความอยากรู้
“ฉันเป็นเพื่อนกับพี่ชายของเขา” เหยียนข่ายตอบ “ความจริงออกัสตินเป็นคนฝรั่งเศส ช่วงนี้มาทำธุรกิจที่แอฟริกาเหนือพอดีเลยให้เขาหาบ้านหลังนี้ให้ ยังไงเขาก็คุ้นเคยกับไคโรดีกว่าฉันอยู่แล้ว จะทำอะไรก็สะดวก”
“มิน่าล่ะ” ฟางเล่อจิ่งเอ่ยขำๆ “ตอนเลิกงานเฝิงฉู่ยังถามผมเลยว่าทำไมถึงมีเพื่อนร่วมรุ่นอยู่ที่นี่ได้”
“อีกหน่อยเขาจะได้รู้ว่านายมีเพื่อนอยู่ทั่วทุกที่” เหยียนข่ายบีบปลายจมูกของเขา “ฉันจะวิ่งตามนายไปทั่วทุกมุมโลก”
“เหนื่อยหรือเปล่า” ฟางเล่อจิ่งรู้สึกผิดเล็กน้อย ที่บริษัทยุ่งขนาดนั้น ไม่บอกก็รู้ว่าต้องทำงานล่วงเวลาเพื่อหาเวลามาอีกแล้วแน่ๆ
“ไม่เลย” เหยียนข่ายจับมือของเขาไว้แล้วจูบลงไป “แค่ได้เจอนายก็พอแล้ว”
คำรักหวานแสนอบอุ่นพลอยทำให้บรรยากาศนุ่มละมุนตามไปด้วย
ราตรีเงียบสงบ ฟางเล่อจิ่งพิงร่างอยู่ในอ้อมกอดของเหยียนข่าย ไม่วายบีบกล้ามเนื้อหน้าท้องของเขา
“นอน” เหยียนข่ายบอก “พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า”
ฟางเล่อจิ่งยื่นมือไปกอดเขาไว้
“ไม่ทนแล้ว” เหยียนข่ายจับคางอีกคน
ฟางเล่อจิ่ง “…”
“ขอครั้งเดียวพอ” เหยียนข่ายพลิกตัวมากดทับเขาไว้แล้วโน้มลงไปจูบ “พรุ่งนี้ต้องทำงาน หักโหมเกินไม่ได้”
ฟางเล่อจิ่งร้อนผะผ่าวไปทั้งร่าง ตอนแรกเขาคิดว่าเป็นเพราะพวกเขาสองคนอยู่ห่างกันมานานถึงได้พร้อมยอมตามใจทุกอย่าง คิดไม่ถึงเลยว่าพอมองตอนนี้แล้วกลับเป็นตัวเองที่…ยังต้องการเติมเต็มความปรารถนามากกว่านี้อีก!
อันที่จริง ก็ไม่ขนาดนั้นสักหน่อย
เหยียนข่ายขบเม้มติ่งหูของเขาแล้วเอ่ยอย่างมีเลศนัย “ที่เหลือเอาไว้หลังจากกลับไปแล้ว”
ฟางเล่อจิ่งพลิกตัวหันหลังให้เขาทำเป็นแกล้งตาย
“ขดจนจะเป็นกุ้งแล้ว” เหยียนข่ายสวมกอดจากด้านหลังให้อีกฝ่ายเข้ามาอยู่ในอ้อมแขน
ฟางเล่อจิ่งจับมือของเขาไว้ หัวใจเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย
“ดวงตาของเหยียนข่ายเต็มไปด้วยรอยยิ้มขบขัน เขาเอื้อมมือไปปิดโคมไฟหัวเตียงแล้วโน้มหน้าลงจูบเส้นผมของอีกฝ่าย
“ราตรีสวัสดิ์”
เช้าวันถัดมา ที่กองถ่าย เฝิงฉู่มองซ้ายมองขวาดูกระวนกระวายเล็กน้อยจนกระทั่งเห็นฟางเล่อจิ่งถึงได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
โชคดีที่ไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น!
“มีอะไรเหรอ” ฟางเล่อจิ่งงุนงงเล็กน้อย ทำไมถึงได้ทำหน้าเหมือนยกภูเขาออกจากอกแบบนี้
“เปล่า แค่ฝันว่านายเป็นภูมิแพ้” เฝิงฉู่ว่า “เมื่อวานไม่ได้กินอะไรที่บ้านเพื่อนใช่มั้ย”
“ไม่ได้กิน แม้แต่น้ำยังไม่ดื่มเลย” ฟางเล่อจิ่งโกหกหน้าตาย
“งั้นก็ดีแล้ว” เฝิงฉู่ส่งมื้อเช้าที่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วให้เขา “รีบกินให้เสร็จ สไตลิสต์ใกล้จะถึงแล้ว”
เมื่อเช้าฟางเล่อจิ่งเพิ่งจะถูกเหยียนข่ายกดดันให้กินอาหารมากมายก่ายกองเข้าไปจนรู้สึกอาหารไม่ย่อย อย่าว่าแต่กินเลย แค่เห็นก็ไม่เหลือความอยากแล้ว
“เป็นอะไรไป” เมื่อเห็นเขาเอาแต่ถือไม่ยอมกินสักที เฝิงฉู่เลยย้ำอีกครั้ง “รสเนื้อผสมไข่ที่นายชอบที่สุดไง”
“ผม…ไม่ค่อยหิวน่ะ” ฟางเล่อจิ่งตอบ “เพื่อนซื้อแซนด์วิชให้กินแล้ว”
“เพื่อนของนายนี่ดีจริงๆ” เฝิงฉู่เอ่ยชมจากใจจริง ไม่นึกเลยว่าจะไม่ลืมเตรียมอาหารพิเศษให้ด้วย
“ใช่แล้ว” ฟางเล่อจิ่งตอบ “ผมเองก็คิดแบบนั้นเพราะงั้นคืนนี้ไปบ้านเขาอีกดีกว่า”
“หา?” เฝิงฉู่แปลกใจ “จะไปอีกเหรอ” นึกว่าจะจบแค่วันเดียว
“มีปัญหาเหรอ” ฟางเล่อจิ่งเลิ่กลั่กเหมือนกับแอบโดดเรียนลับหลังพ่อแม่
“ฉันจะไปมีปัญหาอะไรได้” เฝิงฉู่เอ่ยเตือน “แต่นายไปบ้านคนอื่นบ่อยๆ แถมยังต้องรบกวนให้คนขับรถมาส่งอีก อีกฝ่ายจะไม่ว่าอะไรเอาเหรอ”
“ไม่หรอก” ฟางเล่อจิ่งตอบ “ช่วงนี้เพื่อนของผมเขาอกหัก อยากให้ผมไปเป็นที่ปรึกษาน่ะ”
เฝิงฉู่ “…”
ไม่ยักรู้ว่านายก็มีความสามารถด้านนี้ด้วย
“หลังจากนี้ผมอาจจะไปทุกวันจนกว่าจะถ่ายเสร็จ” ฟางเล่อจิ่งตัดสินใจพูดออกมารวดเดียว “แล้วจะอยู่กับเขาต่ออีกสองวันถึงค่อยกลับจีนนะ”
เฝิงฉู่งุนงงเล็กน้อย “สนิทกันขนาดนั้นเลยเหรอ” ก่อนหน้านี้ไม่เห็นจะเคยพูดถึงมาก่อนเลย
ฟางเล่อจิ่งพยักหน้า
“ฉันไม่มีสิทธิ์ยุ่งเรื่องของนายอยู่แล้ว” เฝิงฉู่เอ่ย “แต่ทางที่ดีนายลองคิดดูอีกที ตอนกลางวันนายต้องถ่ายงานแล้วตอนกลางคืนยังต้องไปให้คำปรึกษาเพื่อนผู้อกหักของนายอีก มันจะหนักไปหน่อยหรือเปล่า นายจะทนไหวมั้ย”
“ผมรู้ขีดจำกัดของตัวเองดี รับรองว่าจะไม่ทำให้ทุกคนเสียเวลา” ฟางเล่อจิ่งชูมือรับประกัน แล้วยัดแซนด์วิชกับเครื่องดื่มคืนเขาไป “ผมไปแต่งตัวแล้ว เอาตามนี้แหละ!”
เฝิงฉู่รู้สึกกลัดกลุ้ม ในฐานะผู้ช่วยแน่นอนว่าเขาคาดหวังให้ศิลปินอยู่ข้างกายตัวเองตลอดเวลา แต่ตอนเพิ่งเซ็นสัญญาใหม่ๆ บริษัทเคยบอกไว้ว่าไม่ให้แทรกแซงชีวิตส่วนตัวของอีกฝ่ายมากเกินไปนอกซะจากจะมีผลกระทบกับงาน ดังนั้นเขาเลยทำได้เพียงแค่ยอมรับ
ไม่แฮ็ปปี้…เอาซะเลย!
ทางด้านประเทศจีน เสิ่นหานกลับตรงกันข้าม เขาไม่ได้ยุ่งมากเหมือนช่วงก่อนหน้านี้ ยิ่งกว่านั้นหลังจากเสร็จสิ้นกิจกรรมเป็นตัวแทนแบรนด์สินค้าแล้ว ยังใช้วันหยุดสองสามวันไปเที่ยวเกาะเล็กๆ กับหยางซีด้วย
พื้นในบ้านไม้หลังเล็กนั้นสะอาดมาก เสิ่นหานวิ่งไปวิ่งมาด้วยเท้าเปล่า แล้วเหยียบลงบนบันไดจนเกิดเสียงตึงๆ
“ทำอะไรน่ะ” หยางซีออกมาจากห้องครัว
“ดูสิ!” เสิ่นหานหอบแหจับปลาปากใหญ่มาด้วยความดีใจ “เราออกไปจับปลาได้” เยี่ยมยอด!
“มีเรือหรือไง” หยางซีเอ่ยถาม
เสิ่นหาน “…”
ไม่มี
“เอาไปเก็บ” หยางซีบอก “แล้วอาบน้ำนอน”
“ไม่ง่วงเลยสักนิด” เสิ่นหานวิ่งลงมาอีกครั้ง
“คืนนี้อาจจะฝนตก ไม่อนุญาตให้ออกไปข้างนอก” หยางซียังคงล้างถ้วยชามต่อ
“งั้นเราดูหนังกัน” เสิ่นหานหยิบไอแพ็ดออกจากกระเป๋ามาเล่นเกมเหมือนกับเด็กสมาธิสั้น
หยางซีแอบส่ายหัวในใจและรู้สึกขบขันเล็กน้อย มาเที่ยวทีไรก็ร่าเริงแบบนี้ทุกครั้งอย่างกับเด็กประถมที่ปิดเทอมฤดูร้อนอย่างไรอย่างนั้น
เตียงภายในบ้านไม้นั้นมีขนาดเล็กมาก กลางดึกเงียบสงัด คนสองคนอิงแอบแนบชิดอยู่ด้วยกัน ต่างใส่หูฟังดูหนังกันคนละข้าง นางเอกสวมชุดวาบหวิวยั่วยวนพลทหารกลางดึก ชุดชีฟองบนร่างร่วงหล่นลงพื้นเผยสองขาเรียวยาว
“เราเปลี่ยนไปดูเรื่องอื่นดีกว่า” ท่ามกลางเสียงครวญครางที่ดังขึ้นเป็นระลอก เสิ่นหานกดปิดหนังด้วยท่าทีเรียบเฉย
หยางซีกลั้นหัวเราะ
ทีแรกเขาตั้งใจจะหาหนังเรื่องอื่นดูแต่บนหน้าจอกลับแจ้งเตือนว่ามีข่าวใหม่เข้ามา เมื่อเห็นชื่อของเว่ยอี้อยู่ในนั้น เสิ่นหานเอื้อมมือกดเปิดโดยไม่ลังเล
อันที่จริงเนื้อหาข่าวนั้นไม่มีอะไรมากนอกจากเล่าว่ากองถ่ายเรื่อง ‘แสงดาวในป่าใหญ่’ ใกล้จะปิดกล้องเร็วๆ นี้และจะฉายให้ชมทางสถานีโทรทัศน์หลักทุกแห่งในอีกไม่นาน แฟนคลับได้โปรดตั้งตารอ เสิ่นหานเบะปาก “ไม่ดังแน่นอน!”
“ไม่ต้องอ่านแล้ว” หยางซีกดเปิดหนังอีกเรื่อง “ไม่จำเป็นต้องสนใจเขา ยังไงเขาก็ไม่มีทางเอาชนะนายได้หรอก”
“ใช่” เสิ่นหานมีความสุขขึ้นมาทันที คำว่าไม่มีทางเอาชนะได้นี่มันฟังแล้วรู้สึกดีสุดๆ!
สำหรับกองถ่ายเรื่อง ‘แสงดาวในป่าใหญ่’ การถ่ายทำนั้นลุล่วงไปแล้วกว่าครึ่ง เวลานี้ปักหลักอยู่ในเมืองเล็กๆ ไม่ไกลจากเกาะ เว่ยอี้เอนร่างบนโซฟาในโรงแรมมองวิวทิวทัศน์นอกหน้าต่างอย่างสบายอารมณ์
“พี่” ซุนขุยโทรศัพท์มาหา น้ำเสียงตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
“ถ่ายได้แล้วเหรอ” เว่ยอี้ถาม
“ถ่ายได้แล้ว เดี๋ยวต้องเป็นประเด็นร้อนแน่!” ซุนขุยเอ่ยด้วยความดีใจ “จุ๊ๆ รูปนั้น”
“ไหนลองเล่ามาให้ละเอียดซิ” เว่ยอี้ลุกขึ้นยืน
“ก็ตามที่พี่บอกนั่นแหละ ผมเฝ้าอยู่ที่สนามกีฬาตลอด ผ่านไปสักพักก็เห็นเซี่ยฉิงมาทำลับๆ ล่อๆ แล้วขึ้นรถคันหนึ่งไปจริงๆ” ซุนขุยเล่า “เข้าไปในนั้นก็เรียกว่าไปถูกทรมานดีๆ นี่เอง แทบจะดูไม่ได้เลย”
“แกมองเห็นในรถด้วยเหรอ” เว่ยอี้ขำ
“มองไม่เห็นแต่จินตนาการได้” ซุนขุยตอบ “ผ่านไปเกือบสองชั่วโมงกว่าเซี่ยฉิงจะลงมาจากรถ ผู้ชายคนนั้นผมก็ถ่ายเอาไว้ได้ เป็นรองประธานของหัวย่วนกรุ๊ป โชคดีที่มีแสงเลยเห็นชัดเป็นพิเศษเลยละ”
“ยินดีด้วย” เว่ยอี้ตอบ “อีกไม่กี่วันก็ปิดกล้องแล้ว แกกลับไปเตรียมตัวก่อน อีกเดี๋ยวคงออกข่าวไปทั่ว”
“โอเคๆ ไม่มีปัญหาแน่นอน” หลังจากพูดจบซุนขุยก็กังวลเล็กน้อย “แต่เธอเป็นนางเอกของเรื่องนี้ จะไม่มีผลกระทบอะไรกับพี่เหรอ” ถึงอย่างไรละครก็ยังไม่ได้ออกฉาย การที่นางเอกมีข่าวรถสั่นออกมา อย่างไรก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องดีเลย
“วางใจเถอะ เรื่องนี้ไม่มีทางกระทบฉันแน่” เว่ยอี้ตอบ “ไม่งั้นฉันคงไม่ให้แกไปทำหรอก”
“งั้นก็แล้วไป” ซุนขุยตอบ “ผมส่งรูปไปให้พี่แล้วชุดหนึ่ง งั้นผมซื้อตั๋วแล้วบินกลับก่อนนะ”
“โอเค” เว่ยอี้พยักหน้า “เดินทางปลอดภัย”
หลังจากวางสายไป เว่ยอี้ยืนอยู่ริมหน้าต่าง กระตุกมุมปากขึ้นเล็กน้อย
ช่วงก่อนหน้านี้เขาบังเอิญพบว่าเซี่ยฉิงแอบทำข้อตกลงลับๆ กับนักลงทุนเลยโทร.เรียกซุนขุยมาทันที หลังจากเฝ้าอยู่หลายวันก็นับว่าไม่เสียเปล่า
เขาไม่ได้กังวลว่าเรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อตัวเองเลย ตรงกันข้าม ถ้าปั่นกระแสได้ดีเรื่องนี้ยังมีส่วนช่วยได้ไม่น้อย
ข่าวรถสั่นของนางเอกสาวที่ถูกแฉตอนปิดกล้องต้องเรียกความสนใจได้มากแน่ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น อย่างน้อยระดับความนิยมของละครโทรทัศน์เรื่องนี้ต้องเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมด้วยเหตุนี้ แม้ว่าจะออกอากาศก็หลังจากนี้อีกไม่กี่เดือน ถึงตอนนั้นกระแสคงผ่านพ้นไปแล้ว และชาวเน็ตส่วนใหญ่จะอยากดูละครเรื่องนี้เพราะแค่อยากรู้อยากเห็นก็ตาม แต่เดิมทีมันก็เป็นเพียงละครน้ำเน่าอยู่แล้ว เขาเองก็ไม่ได้หวังจะให้เป็นผลงานชิ้นเอกจึงไม่ได้กลัวว่าจะมีข่าวด้านลบอะไร เป้าหมายสูงสุดคือการดึงดูดความสนใจให้ได้มากที่สุด
ส่วนเรื่องนี้จะกระทบกับเซี่ยฉิงหรือไม่นั้น เห็นได้ชัดว่าไม่ได้อยู่ในขอบข่ายที่เขาสนใจ ถ้าจะโทษก็ทำได้แค่โทษตัวเธอเองที่ทำอะไรไม่ระวัง ทิ้งจุดอ่อนไว้ให้คนอื่นเล่นงาน
ณ ไคโร ประเทศอียิปต์ ฟางเล่อจิ่งเสร็จสิ้นการถ่ายทำโฆษณาทั้งหมดอย่างราบรื่นในอีกสี่วันถัดมา ทีมงานขึ้นเครื่องบินกลับประเทศตามกำหนด เหลือเพียงเฝิงฉู่อยู่ที่โรงแรมคนเดียวด้วยความเบื่อหน่ายเพื่อรอให้ ‘ปาร์ตี้กับเพื่อน’ ของฟางเล่อจิ่งจบลงแล้วเดินทางกลับพร้อมกัน
แค่อกหักยังเป็นขนาดนี้ แถมยังต้องการการปลอบใจเป็นพิเศษอีก
อยากจะเห็นเจ้าพ่อจิตใจเปราะบางอ่อนไหวง่ายคนนั้นจริงๆ
รถไฟแล่นผ่านเมืองไคโรส่งเสียงหวีดหวิดแล้วหยุดลงที่ลักซอร์ วิหารสูงใหญ่ที่อาบอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ ทั้งสว่างไสวและอ้างว้าง
“วิหารแห่งนี้เป็นการสร้างขึ้นร่วมกันของฟาโรห์แรเมซีสที่หนึ่ง ฟาโรห์เซติที่หนึ่ง และฟาโรห์แรเมซีสที่สอง โดยมีเสาทรงกลมขนาดใหญ่ทั้งหมดหนึ่งร้อยสามสิบสี่ต้นครับ” ฟิลลิปส์อธิบายด้วยความสุภาพราวกับเป็นไกด์มืออาชีพ
ฟางเล่อจิ่งเหวอไปสักพัก “ขอบคุณ”
“หินสลักและภาพวาดบนประตูเป็นการสรรเสริญฟาโรห์” ฟิลลิปส์ยังคงอธิบายต่อ
เหยียนข่ายเอ่ยเสียงเย็น “อยู่ห่างๆ พวกฉันหน่อย”
ฟิลลิปส์ยื่นมือออกมา
เหยียนข่ายโยนบัตรใบหนึ่งให้เขา
ฟิลลิปส์ทำหน้ายินดีปรีดาแล้วหายตัวไปด้วยความร่าเริงโดยอัตโนมัติ
ฟางเล่อจิ่งไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“เด็กเกเรไม่ยอมเรียนหนังสือน่ะ ช่วงนี้ทำความผิดเลยถูกพี่ชายของเขาตัดค่าขนมทั้งหมด” เหยียนข่ายพาเขาเดินเข้าไปข้างใน “ไม่ต้องไปสนใจ”
แสงอาทิตย์สีทองลอดผ่านประตูเสาหินเข้ามา ทั้งดูศักดิ์สิทธิ์และลึกลับ เสาหินวิหารหลายต้นเริ่มหักพังแล้วแต่ยังคงงดงาม
ทั้งสองคนเดินในวิหารไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย จนเมื่อไปถึงมุมอับสายตา เหยียนข่ายก็เอ่ยถาม “ตอนมาอียิปต์ ไกด์ได้เตือนนายว่าให้เก็บของดีๆ หรือเปล่า”
“อื้ม” ฟางเล่อจิ่งตอบ “พอมาถึงก็เตือนทุกคนทันทีเลย”
“แล้วนายรู้มั้ยว่าเพราะอะไร” เหยียนข่ายถาม
ฟางเล่อจิ่งโคลงศีรษะ เอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “เรื่องนี้ก็ปกติไม่ใช่หรือไง”
“ที่นี่ไม่เหมือนกับที่อื่น” เหยียนข่ายบอก “ถ้ามีใครเก็บของได้ ขอแค่ตะโกนเรียกอยู่ที่เดิมสามครั้ง ถ้าไม่มีใครมารับคืนก็จะถือว่าเป็นรางวัลจากพระเจ้า ไม่ต้องเอาไปคืน”
“อย่างนี้ก็ได้เหรอ” ฟางเล่อจิ่งขำ
“อืม” เหยียนข่ายโอบเขาไว้จากด้านหลังแล้วปิดปากของเขาเบาๆ ด้วยมือข้างหนึ่งจากนั้นเอ่ยเรียกเสียงเบาข้างใบหู “เล่อเล่อ”
ฟางเล่อจิ่งตัวแข็งทื่อ หน้าร้อนวูบวาบทันที
“เล่อเล่อ” เหยียนข่ายยังคงเรียกต่อ
ฟางเล่อจิ่งพิงร่างไปในอ้อมกอดของเขา
“เรียกครั้งสุดท้าย” เหยียนข่ายจูบบนติ่งหูของเขา เสียงแผ่วเบาจนแทบเป็นกระซิบ “เล่อเล่อ”
ฟางเล่อจิ่งจับมือของเขาออกแล้วหันไปมอง
“หลังเรียกครบสามครั้งแล้วไม่มีใครขานรับ” เหยียนข่ายดึงเขาเข้ามากอด “ก็ตกเป็นของฉันแล้ว”
ฟางเล่อจิ่งใช้แขนคล้องเอวเขาไว้ ในอกรู้สึกอบอุ่นจนแทบจะหลอมละลาย
“ว้าว!” ฟิลลิปส์นั่งยองๆ บนบันไดขั้นหนึ่ง “โรแมนติกจัง”
ฟางเล่อจิ่งตัวแข็งค้างไปชั่วขณะ ทำไมคนคนนี้ถึงอยู่ไปทุกที่เลยนะ
เหยียนข่ายสีหน้าอึมครึมทันที
“เฮ้ๆ ผมเจตนาดีนะ! คอยดูต้นทางให้พวกคุณไง” ฟิลลิปส์ชูมือแสดงความบริสุทธิ์ใจของตัวเอง “ยังไงซะถึงจะปลีกวิเวกแค่ไหน แต่ที่นี่ก็ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยว เผื่อจะถูกใครเห็นเข้า” หยุดคิดครู่หนึ่งก็พูดเสริม “อีกอย่างคนประเทศคุณก็เยอะซะขนาดนั้น”
เหยียนข่ายตอบ “ขอบใจ”
“ไม่เป็นไร” ฟิลลิปส์ยิ้มร่า
“นับถึงสาม” เหยียนข่ายว่า “ทำให้ตัวเองหายไปซะ”
“ถ้าไม่ไปล่ะ” ฟิลลิปส์ถาม “จะมีเรื่องอีกรอบหรือไง”
เหยียนข่ายส่ายหัว “ถ้าไม่ไป ฉันก็ไม่รังเกียจที่จะไปคุยกับพี่ชายของนาย”
ฟิลลิปส์อ้าปากค้าง “ไหนบอกว่าจะไม่ฟ้องไง”
“ฉันเคยพูดเหรอ” เหยียนข่ายกระตุกมุมปากดูร้ายกาจเล็กน้อย
ฟิลลิปส์เผ่นแน่บหายไปพร้อมน้ำตา
พวกนักธุรกิจนี่เจ้าเล่ห์จริงๆ…