Time Mover
타임무버
야스 ยาสึ เขียน
พัชรวดี ประเสริฐไพบูลย์ แปล
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
“ตอนนี้ดีขึ้นไหม”
ผู้ชายคนนั้นซื้อน้ำเย็นมา เอาแตะที่แก้มผมแล้วถาม
“ผมดูเหมือนคนบ้าใช่ไหมครับ”
“นายคือซอมุนยอง”
“นั่นคือคำตอบของคำถามที่ว่าผมเหมือนคนบ้ารึเปล่าเหรอครับ”
“ฉันหมายความว่า ไม่ว่านายจะพูดอะไรหรือทำตัวแบบไหนฉันก็ไม่สน แค่นายคือซอมุนยอง ฉันก็พอใจแล้ว”
รู้สึกอยากร้องไห้ออกมาอย่างบอกไม่ถูก ไม่ว่าจะเป็นความฝัน ฝันบอกเหตุหรืออนาคต ทั้งหมดเป็นเรื่องไร้สาระ ผมอาจจะบ้าไปแล้วจริง ๆ ก็ได้ นั่นดูเหมือนจะเป็นคำตอบที่เป็นความจริงที่สุดแล้ว
“ผมไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว”
“ไม่เป็นไร”
เขาลูบหน้าผากที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อของผมและยิ้มบาง ๆ
“ไม่ว่าจะเป็นความฝันหรืออะไรก็ตาม นายแค่คิดตามที่อยากคิดก็พอ”
“เพราะผมคือซอมุนยองเหรอครับ”
“ใช่”
เมื่อกี้ในหัวยังสับสนวุ่นวายราวกับเส้นด้ายพันกันยุ่งเหยิงอยู่เลย แต่หัวใจที่สั่นไหวราวพายุพัดกระหน่ำเริ่มสงบลงเพราะการปลอบโยนของผู้ชายคนนั้น
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะครับ เหมือนผมไม่ปกติเลย”
“ต่างจากที่ฉันคิดนิดหน่อยแฮะ ฉันว่าปกติมากเลยละ”
เป็นการปลอบโยนหรือคำพูดล้อเล่นกันแน่นะ น้ำตาเหมือนจะทะลักออกมาได้ในทันที แต่กลับหัวเราะเพราะ คำพูดของเขา เอาแก้มถูกับมือใหญ่ ๆ ของเขาเหมือนกำลังอ้อน
“เหมือนว่ามีอะไรผิดเพี้ยนไปครับ”
“ไม่ว่าจะเป็นความฝันหรือความจริงก็ไม่สำคัญหรอก คิดตามที่นายอยากคิด ทำอย่างที่นายอยากทำก็พอ”
“แต่ว่า…”
แต่ผมคือซอมุนยองเมื่อสี่ปีก่อนหน้านี้ แต่กลับไม่มีความทรงจำในระหว่างนั้นเลย เหตุผลที่กระโดดข้ามเวลาเมื่อสี่ปีก่อนแล้วมาอยู่ที่นี่ตอนนี้คืออะไร ผู้ชายคนนั้นพูดซ้ำว่าไม่เป็นไรราวกับปลอบประโลมความรู้สึกกังวลใจของผม
“ถ้าเป็นแบบนี้แล้วต้องไปโรงพยาบาลประสาทจริง ๆ จะทำยังไงดีครับ”
“ใคร ใครจะจับนายเข้าโรงพยาบาลประสาท ไม่มีใครพานายไปได้ทั้งนั้น”
“พึ่งพาได้มากจริง ๆ นะครับเนี่ย”
ผมยิ้มเล็กน้อยและพยักหน้าให้กับน้ำเสียงที่เฉียบขาด
“ถ้างั้นผมคงต้องเชื่อลุงคนเดียวแล้วละ”
“ไม่มีใครแย่งนายไปจากฉันได้”
“โอเคครับ เข้าใจแล้ว ไม่ต้องพูดแล้วครับ”
เขาเอาแต่พูดเรื่องน่าเขินอายอย่างไม่รู้สึกอะไรบ่อย ๆ จนคนฟังเริ่มรู้สึกอายแทน ผมหน้าแดง ดันมือของเขาออกไป
“ในโลกความจริงน่าจะเป็นแบบนี้บ้าง เมื่อสี่ปีก่อนทำตัวแข็งกระด้างมาก ๆ เลยละ”
ในโลกความจริงก็ช่วยอ่อนโยนกับผมหน่อยเถอะครับ ที่ผมเหนื่อยคือโลกความจริงต่างหาก ทำไมถึงทำตัวอ่อนโยนแค่ที่นี่จนทำให้ผมอยากมาที่นี่บ่อย ๆ เพราะแบบนี้ผมถึงยิ่งค่อย ๆ เหมือนคนบ้ามากขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนว่าที่ผมกำลังฝันประหลาด ๆ อยู่แบบนี้ เป็นเพราะต้องการหนีจากความจริงเลยนี่ครับ
“ผมหิวแล้วครับ”
ผมเกาะแขนเขาและพูดเหมือนอ้อน
“ผมอยากกินของอร่อย”
ช่วยเลี้ยงของอร่อย ๆ ทำให้ผมอารมณ์ดีหน่อยนะครับ เขาถามผมว่า “แล้วอะไรอร่อย” ผมมองเขาอย่างสงสัยว่าถามเพราะไม่รู้จริง ๆ เหรอ ทำไมถึงถามเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วล่ะ
“เนื้อย่าง”
ร้านเนื้อย่างที่เขาพาผมไปบรรยากาศต่างจากร้านเนื้อย่างธรรมดาทั่วไปอย่างสิ้นเชิง พอเดินไปตามทางเดินที่อยู่ด้านในร้านแล้วผ่านตัวร้านออกไปก็จะมีสวนหลังบ้านขนาดกว้างขวางกับบ้านหลังเล็กงดงาม แบบนี้ราคาจะไม่แพงเหรอ อย่างน้อย ๆ ราคาก็คงไม่ใช่แค่หมื่นสองหมื่นวอน
พนักงานให้ผมเข้าไปด้านในบ้านหลังเล็กที่เงียบสงบ เขาเดินตามเข้ามาแล้วเปิดหน้าต่างที่ติดชังโฮจีออกกว้าง มองเห็นทัศนียภาพของสวนผ่านหน้าต่างที่เปิดออก
“ว้าว เหมือนไม่ได้มาร้านเนื้อย่าง แต่มาบ้านเกาหลีแบบดั้งเดิมเลยครับ”
ผมเกาะหน้าต่างแล้วพูดอย่างตื่นเต้น พนักงานก็ยิ้มเล็กน้อย
“จะมีคนมาเพิ่มอีกรึเปล่าครับ”
“ไม่มีครับ”
“ถ้าอย่างนั้นขออนุญาตรับออร์เดอร์เลยนะครับ”
พอพนักงานพูดแบบนั้น ผมก็กลับมานั่งที่ทันทีแล้วรับเมนูมาถือไว้ เมนูดูหรูหรามีลวดลายประดับ ผมกำลังจะเปิดดู แต่มือที่ยื่นมาจากฝั่งตรงข้ามกลับแย่งเมนูไป
“หือ”
“มีอะไรต้องดู อยากกินอะไรก็สั่งไปเลย”
“ต้องดูเมนูถึงจะรู้นี่ครับ”
“ต่อให้ดูเมนูก็มีแต่เนื้อวัวอยู่ดี”
“แต่ยังไง…ก็ต้องดูราคาด้วย”
“ทำไม ฉันดูไม่มีเงินถึงขนาดจะเลี้ยงเนื้อย่างนายสักมื้อไม่ได้เลยรึไง”
คำพูดล้อเล่นที่ไม่เหมือนล้อเล่นของผู้ชายคนนั้นทำให้พนักงานที่ยืนฟังอยู่ข้าง ๆ ยิ้ม ผมหน้าร้อนผ่าวพลางบุ้ยปาก
“แต่ยังไงเมนูก็ทำมาเพื่อให้ดูนี่นา…”
“เอามาทุกเมนูอย่างละนิดแล้วกันครับ แบบนั้นยังไงก็คงจะมีที่ถูกปากใช่ไหมครับ”
“ได้เลยครับ”
หลังจากรับเมนูที่ผู้ชายคนนั้นยื่นให้ พนักงานก็เปิดประตูออกไปอย่างรวดเร็ว ผมมองประตูที่ปิดลงโดยไม่มีเสียงแล้วมองค้อนใส่ผู้ชายคนนั้น
“ที่นี่ดูแพงมากจริง ๆ นะครับ”
“แต่ยังไงมันก็เป็นเนื้อนี่”
“ก็คงเป็นเนื้อที่แพงมาก ๆ ใช่ไหมล่ะครับ”
“คิดว่ากินเนื้อแค่นี้แล้วฉันจะหมดตัวรึไง”
หน้าของผู้ชายที่กำลังยิ้มเยาะคนนั้นน่าหมั่นไส้จริง ๆ ผมเคี้ยวสลัดที่เสิร์ฟเป็นเครื่องเคียงเพื่อระบายความโมโห กลิ่นหอมของผักสดในน้ำสลัดรสเปรี้ยวอมหวานอบอวลไปทั่วปาก โอ๊ะ อร่อยแฮะ นี่น้ำสลัดอะไร ผมเอียงคอสงสัยแล้วคีบสลัดเข้าปากอีกหนึ่งคำ
“แล้วที่ที่นายอยากไปคือที่ไหน”
“อะไรนะครับ”
“บอกว่ามีที่ที่อยากไปไม่ใช่เหรอ”
“อ๋อ”
ผมพยักหน้าโดยที่ปากยังกัดตะเกียบอยู่
“รู้จักบ้านที่พ่ออยู่ตอนนี้รึเปล่าครับ ตอนแรกกะว่าจะไปที่บริษัท แต่ไปที่บ้านเลยน่าจะดีกว่า”
“…ทำไม จะไปที่นั่นทำไม”
“ลูกไปหาพ่อที่บ้านจะต้องมีเหตุผลพิเศษอะไรด้วยเหรอครับ”
เขาทำหน้านิ่งไปเพราะคำพูดของผม เป็นสีหน้าที่ไม่พอใจอะไรบางอย่างแน่นอน แล้วก็มีความกังวลเล็กน้อยแฝงอยู่ด้วย
“เป็นห่วงเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพ่อไม่ดีเหรอครับ”
เขาแค่ยิ้มด้วยสีหน้าฝืนใจเล็กน้อยแต่ไม่ได้ตอบ
“ถ้ากินข้าวเสร็จแล้วนั่งพักอีกหน่อยค่อยออกไปก็จะใกล้กับเวลาเลิกงานของพ่อพอดี ถ้าไม่มีธุระอะไรพิเศษพ่อก็คงจะกลับบ้าน”
“อย่าไปเลย กินข้าวเสร็จแล้วกลับเลยเถอะ”
“ลุง”
“ทำไมล่ะ นายจะไปเพื่อพูดอะไร ความทรงจำในช่วงเวลาสี่ปีก่อนหายไปแล้ว ก็เลยจะไปคุยขอให้กลับมารักใคร่กันอีกครั้งเหมือนเมื่อก่อนรึไง”
เขาแสยะยิ้ม
“ไม่ว่านายหรือพ่อของนาย การไม่เจอกันจะดีกับทั้งสองฝ่าย”
“ลุงพูดแบบนี้เพราะเป็นห่วงผมจริง ๆ เหรอครับ”
“หมายความว่ายังไง”
“แค่พูดเรื่องพ่อออกมาลุงก็ทำหน้าบึ้งตึง พอบอกว่าจะไปหาพ่อก็ห้าม เป็นแบบนี้เพื่อตัวผมจริง ๆ เหรอครับ”
“ซอมุนยอง”
“ผมไม่ได้จะไปเจอพ่อเพราะมีเรื่องจะต้องพูดหรอกครับ แล้วก็ไม่ได้จะไปพูดว่าความทรงจำของผมหายไป ที่ผ่านมาพ่อสบายดีรึเปล่า ผมคิดถึง หรืออะไรทำนองนั้นด้วย ผมแค่…อยากรู้ว่าสี่ปีข้างหน้า พ่อจะมีความเป็นอยู่ยังไง”
ความอร่อยของสลัดหายไปภายในพริบตา ผมใช้ตะเกียบเขี่ยมัน แล้วหันไปมองนอกหน้าต่าง คงเป็นเวลาที่ดวงอาทิตย์กำลังตก ท้องฟ้าถึงได้เป็นสีแดง
“พ่อผมแต่งงานใหม่เหรอครับ”
“…ใช่”
“เหมือนว่าพ่อมีผู้หญิงคนอื่นตั้งแต่ก่อนแม่เสียแล้วครับ พอจบงานศพของแม่ก็คงจะเข้าออกบ้านผู้หญิงคนนั้นเพราะอดทนนาน ๆ ไม่ไหว เลิกงานก็ตรงเวลา แต่ไม่กลับมาบ้าน”
คงเป็นผู้หญิงคนนั้นที่พ่อแต่งงานใหม่ด้วย ต้องชอบขนาดไหนถึงได้มีชู้อย่างไร้จิตสำนึกทั้ง ๆ ที่มีภรรยาและลูกรออยู่ที่บ้านอยู่แล้ว ต้องชอบขนาดไหนถึงเอาเรื่องบริษัทมาเป็นข้ออ้างเพื่อไปหาผู้หญิงคนนั้นทั้ง ๆ ที่เพิ่งฝังศพภรรยาของตัวเองและทิ้งลูกให้อยู่บ้านคนเดียว เป็นผู้หญิงที่ชอบขนาดนั้นก็คงจะแต่งงานใหม่ด้วยอยู่แล้ว ผมไม่ได้อยู่ด้วยแล้วยิ่งไม่มีอะไรต้องเกรงใจ
ผมก็แค่สงสัยว่าพ่อจะมีความเป็นอยู่ยังไงแค่นั้น แค่อยากเห็นว่าจะกินดีอยู่ดีขนาดไหนกับผู้หญิงที่ชอบมากจนจะเป็นจะตายขนาดนั้น พ่อในตอนนี้คงจะต้องเข้าออกบ้านของผู้หญิงคนนั้นโดยระวังสายตาคนรอบข้าง แต่อยากรู้จริง ๆ ว่าพ่อในอีกสี่ปีต่อมาจะทำอะไรอยู่
“นายไปเห็นแล้วจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงงั้นเหรอ”
“อย่างน้อยก็ไม่ต้องค้างคาใจ เอาแต่คิดวกวนเหมือนคนโง่ว่าพ่อตัวเองไม่มีทางทำแบบนั้น ถ้าได้เห็นกับตาตัวเอง ความค้างคาใจที่ติดอยู่และปฏิเสธว่าไม่ใช่แบบนั้นก็คงจะหายไปด้วย จริงไหมครับ”
เขาถอนหายใจเบา ๆ กับคำพูดของผม เสียงเคาะประตูก๊อก ๆ ดังพร้อมประตูที่ถูกเปิดออก ผมมองพนักงานที่ถือเนื้อมาแล้วฝืนยิ้มกว้างสดใสเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ
“ว้าว เนื้อแทรกลายมันนี่เหมือนงานศิลปะจริง ๆ นี่คือเนื้อฮันอู [1] ใช่ไหมครับ”
“ใช่ครับ ร้านของเราใช้แต่เนื้อฮันอูแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์เท่านั้นครับ”
พนักงานยิ้มพร้อมพยักหน้า
“เราหยุดคุยกันก่อนแล้วรีบย่างเนื้อกินดีกว่าครับ เดี๋ยวหายอยาก”
ผมหันไปพูดกับผู้ชายคนนั้น เขาพยักหน้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ ผมตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะไปโดยไม่ให้เห็นสภาพแย่ ๆ จึงต้องเติมเต็มท้องให้เต็มที่ เพราะถ้ามัวแต่เศร้าแล้วกินเนื้อฮันอูที่เหมือนงานศิลปะนี้ไม่ลง ก็มีแต่ผมที่จะขาดทุน ถ้าพ่อเป็นห่วงลูกและภรรยาของตัวเองที่อยู่ที่บ้านสักหน่อยคงไม่คิดมีชู้ ช่างเถอะ เลิกคิดดีกว่า ไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องไร้สาระให้หมดความอยากอาหาร
[1] เนื้อวัวชั้นดีของเกาหลี