[ทดลองอ่าน] หวังทง องครักษ์เสื้อแพร เล่ม 1 ตอนที่ 4

หวังทง องครักษ์เสื้อแพร
เล่ม 1

 

特别白 เท่อเปี๋ยไป๋ เขียน
ซิวเสียนอวี๋เล่อ แปล

 

— โปรย —
ชีวิตก่อนต้องตายอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลเพียงลำพังตั้งแต่ยังหนุ่ม
ชีวิตนี้ได้เกิดใหม่อีกครั้งพร้อมความทรงจำจากยุคสมัยปัจจุบัน
หากใช้คำพูดของคนโบราณคงเรียกว่าเกิดมาพร้อมพรสวรรค์และความเฉียบแหลม
แต่สำหรับตัว ‘หวังทง’ เองแล้ว นี่จะเรียกว่า ‘สูตรโกง’ เล็ก ๆ ก็ไม่ผิด
รัชสมัยว่านลี่แห่งต้าหมิง หวังทง ลูกหลานองครักษ์เสื้อแพรประสบกับจุดหักเหในชีวิต
ทำให้หนทางสู่อำนาจวาสนาและความมั่งคั่งได้เปิดออกตรงหน้า
หนุ่มน้อยขอสาบานกับตัวเอง ชีวิตในครั้งนี้ของตนจะต้องไม่เรียบ ๆ ง่าย ๆ
แต่เขาจะพยายามไต่ขึ้นไปให้สูงที่สุดเท่าที่โชคชะตาจะพาไปถึง!

 

ต้นฉบับนี้ยังไม่ใช่ฉบับสมบูรณ์

 

ตอนที่ 4

เดิมพันครั้งใหญ่

 

เถียนหรงหาวรับกล่องไม้มาด้วยสีหน้าประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่ากล่องไม้หนักยิ่งนัก เกือบจะทำร่วงตก เมื่ออุ้มไว้ในอ้อมแขนแล้วก็แง้มฝา

โอ เสียงแหบพร่าดังขึ้น นายกองร้อยเถียนและผู้คนเบื้องหลังต่างพากันตื่นตะลึง พวกเขากวาดล้างจับกุมมาไม่น้อย เห็นโลกมาก็มาก ย่อมรู้ว่าตรงหน้านี้คือสิ่งใด นี่คือทองบริสุทธิ์เลยทีเดียว เถียนหรงหาวคำนวณแล้วน่าจะสิบกว่าชั่งได้ แปรเป็นเงินอย่างน้อยก็ต้องพันกว่าตำลึง

องครักษ์เสื้อแพรแม้ว่าบารมีจะน่าเกรงขาม แต่ในเมืองหลวงผู้เก่งกล้าสามารถมากบารมีนั้นมีมากมาย จึงไม่กล้ากำเริบเสิบสานนัก ผลประโยชน์มีมาก็ไม่ถึงมือคนนอกสักเท่าไร ยิ่งตั้งแต่รัชสมัยเจียจิ้งเป็นต้นมา งานใหญ่เงินก้อนโตก็มีให้ทำน้อยลงเรื่อย ๆ ทุกคนต่างค่อนข้างแห้งกรอบกันถ้วนหน้า เรื่องไปเอ้าเหมินแดนใต้นั้นหนทางก็ยาวไกล คิดกันว่าเป็นที่ที่มีกลิ่นอายพิษมากมาย ถึงได้ส่งหวังลี่ไป

คาดไม่ถึงว่าที่เอ้าเหมินนั่น พ่อค้าวาณิชแต่ละคนจะร่ำรวยเงินทอง มีกิจการลับมากมาย หวังลี่เก็บเกี่ยวประโยชน์ไว้ได้ไม่น้อยเลย ลูกน้องที่ติดตามหวังลี่ไป หลังจากกลับมาก็ป่าวประกาศกันใหญ่ ถึงได้นำพาพวกหลิวซินหย่งมาที่นี่

เงินตำลึงจำนวนมากมายเช่นนี้ สำหรับเถียนหรงหาวแล้วเป็นเงินก้อนใหญ่ที่จับต้องได้ก้อนหนึ่ง นับประสาอะไรที่เจ้าเด็กน้อยหวังทงยังกล่าวที่มาที่ไปอย่างละเอียดต่อหน้าผู้คนว่าหวังลี่ยืมไปจากตน ตอนนี้คนตายไปก็จะคืนหนี้ให้หมด นับว่าสมเหตุสมผล ไม่ว่าใครก็กล่าววาจาใดไม่ได้

อำนาจองครักษ์เสื้อแพรมีมาก นายกองร้อยแม้ว่าตำแหน่งไม่สูงนัก แต่อำนาจแท้จริงกลับมากอยู่ สามารถขึ้นสู่ตำแหน่งนี้ได้ล้วนเป็นผู้มีความคิดเฉียบแหลมพอตัว เถียนหรงหาวตรึกตรองอยู่ชั่วครู่ก็มองไปยังหวังทงที่ยืนอยู่เบื้องหน้า พลันถามขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มว่า

“บิดาเจ้ายังกล่าวอันใดอีกหรือไม่”

หวังทงคุกเข่าลง ‘พรึ่บ’ โขกคำนับสามที สะอื้นตอบว่า

“เรียนใต้เท้า บิดาที่จากไป…บิดาที่จากไปบอกว่าข้าน้อยกำพร้าไร้ที่พึ่ง ขอให้ใต้เท้าช่วยดูแล ยังบอกให้ข้าน้อยเข้าไปทดแทนตำแหน่งที่ขาดในสำนักองครักษ์เสื้อแพรด้วยขอรับ เพื่อท่านลุงท่านอาที่รู้จักกันมาจะได้ช่วยดูแลข้าน้อย…”

พูดจาน่าเศร้า แต่ในใจหวังทงกลับรู้สึกโชคดีที่เดิมพันไม่พลาด คนในแวดวงขุนนางรู้ความนัย เงินทองที่ได้รับอย่างไร้ที่มาย่อมหมายความว่าอีกฝ่ายมีเรื่องร้องขอ เถียนหรงหาวถามกลับมาจริงตามคาด

พันหกร้อยตำลึงแลกตำแหน่งองครักษ์เสื้อแพร ค่าเงินนี้ไม่รู้ว่าถูกหรือแพง ผู้เกี่ยวข้องเท่านั้นที่จะรู้สึกเองว่าคุ้มหรือไม่

“ใต้เท้าเถียน อายุหวังทงน้อยไปหรือไม่ขอรับ”

ใครก็ไม่คาดคิดว่าผู้ที่เอ่ยขึ้นก่อนจะเป็นนายกองธงใหญ่หลิวซินหย่ง ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความแคลงใจ แต่ก็มองไม่เห็นข้อน่าสงสัยอันใด เท่ากับติดกับดักหวังทงพอดี

นายกองร้อยเถียนเหลือบตามองอย่างเยียบเย็น ใจหลิวซินหย่งพลันสว่างวาบ รู้ว่าคำพูดของตนได้ล่วงเกินเข้าแล้ว

นายกองร้อยเถียนเอ่ยเสียงเรียบนิ่งว่า

“อายุสิบสามจะไปน้อยอะไร หลานเจ้าไม่ใช่อายุสิบเอ็ดก็เข้าเป็นทหารม้ากินเบี้ยหวัดแล้วหรอกหรือ”

หลิวซินหย่งก้มหน้าอย่างรู้สึกเสียใจภายหลังกับสิ่งที่ได้ทำลงไป ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดอีก เถียนหรงหาวหันไปทางหวังทง กล่าวเป็นการเป็นงานว่า

“ล้วนเป็นลูกหลานคนกันเอง ในเมื่อบิดาเจ้าประสงค์ให้เจ้าได้กินเบี้ยหวัดต่อ รอให้ธุระนี้เสร็จสิ้น เจ้าไปพบข้า ข้าจะให้ตำแหน่งพลทหารแก่เจ้าแล้วกัน”

ตำแหน่งระดับล่างสุดขององครักษ์เสื้อแพรก็คือพลทหาร หากมีคุณวุฒิหน่อยก็จะได้เป็นหัวหน้าหน่วย พอได้ยินคำกล่าวเช่นนี้ของเถียนหรงหาว ใจหวังทงพลันสงบลง โขกศีรษะคำนับอย่างแรง

ไม่มีใครอยากอยู่ที่โถงไว้ทุกข์นานนัก ในเมื่อเสร็จธุระแล้วทุกคนต่างแยกย้ายกันจากไป ก่อนออกจากประตู นายกองร้อยเถียนหรงหาวยังหันกลับมาถามอย่างไม่ใส่ใจนักว่า

“เงินทองคืนให้ข้าหมด เจ้าเด็กน้อยจะกินใช้อย่างไร ยังมีเงินอีกเท่าไร”

หวังทงตกตะลึง คุกเข่าลงตอบว่า

“ยังมีอีกหนึ่งร้อยกว่าตำลึงขอรับ รอให้เข้าประจำการก็จะได้เบี้ยหวัดพอเลี้ยงชีพขอรับ”

เถียนหรงหาวพยักหน้ายิ้มรับ หันกายจากไป หวังทงตะลึงอยู่กับที่พักหนึ่ง ลมหนาวนอกโถงไว้ทุกข์พัดเข้ามาราวกับเขากำลังทำสงครามอยู่ในดินแดนหนาวเหน็บ

คำถามสุดท้ายทำเอาเหงื่อเย็นไหลโซมกาย ควักเงินทองออกมามากมายเช่นนี้ในครั้งเดียวทำให้นายกองร้อยเถียนจิตใจหวั่นไหว คิดจะสืบความต่อว่าในมือหวังทงยังมีอีกกี่ตำลึง หากยังมีอีกมากเกรงว่าเขาคงคิดจะฮุบเอาไปเช่นกัน แต่หวังทงตอบสนองว่องไว รายงานจำนวนที่ไม่ควรค่าแก่การลงมือ

ทุกคนคิดว่าเด็กน้อยใสซื่อบริสุทธิ์คงไม่โกหก จึงได้หลบมหันตภัยใหญ่พ้นอย่างหวุดหวิด

องครักษ์เสื้อแพรไม่เคยมีตำแหน่งว่าง หากมีตำแหน่งเหลือก็จะนำลูกหลานมาบรรจุต่อให้เต็มจำนวน แต่หลังรัชสมัยฮ่องเต้อิงจงก็เริ่มมีราษฎรทั่วไปได้รับการคัดเลือก ต่อมาระบบเสื่อมโทรมลง มักมีเรื่องที่องครักษ์เสื้อแพรที่มีลูกหลานแต่เข้าบรรจุไม่ได้เกิดขึ้น ตำแหน่งที่ขาดไปก็จะให้คนอื่นเข้ามาสวมแทน

เมื่อจัดการงานศพเสร็จ หลังจากฝังศพเรียบร้อย ในมือหวังทงยังเหลืออีกสี่ร้อยยี่สิบตำลึง เขาซ่อนไว้ใต้ช่องลับในห้องนอน

ยามเขาและบิดาใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยกันนั้นรู้จักใช้เงิน อาหารการกินและเสื้อผ้าอาภรณ์ของตระกูลหวังแม้นับว่าอยู่ในระดับครอบครัวปานกลางชั้นสูง หากปีหนึ่งก็ใช้เงินไม่ถึงสิบตำลึง สี่ร้อยยี่สิบตำลึงนี้อาจทำอะไรได้มากมาย แต่นั่งกินนอนกินคงไม่ใช่แผนระยะยาว และก็คงไม่อาจดำรงชีวิตบนโลกใบนี้ได้

งานศพงานมงคลล้วนต้องจัดใหญ่ แต่หวังทงตัวคนเดียว ไว้ทุกข์ที่บ้านได้เจ็ดวันก็ต้องไปรายงานตัวรับตำแหน่งที่กองปราบสำนักองครักษ์เสื้อแพรแล้ว

องครักษ์เสื้อแพรแม้ว่าเป็นทหารองครักษ์เช่นกัน แต่เพราะเป็นหน่วยที่มีภารกิจพิเศษจึงไม่ต้องรวมตัวกันในฐานกำลัง สามารถพักอาศัยอยู่ที่บ้าน ทุกวันช่วงเช้ายามเหม่า[1]จึงจะมารายงานตัวและไปประจำการ

แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะให้คนหลายพันต้องมารายงานตัวที่กองปราบสำนักองครักษ์เสื้อแพรทั้งเหนือใต้ ดังนั้นวิธีปฏิบัติที่ผ่านมาคือองครักษ์เสื้อแพรจะไปรายงานตัวยังกองร้อยที่ตนสังกัดเพื่อฟังคำสั่งจัดสรรแบ่งงาน

 

วันที่สองเดือนสิบ วันนั้นหวังทงตื่นแต่เช้าตรู่ ประสบการณ์ยุคปัจจุบันบอกเขาว่า วันแรกที่เข้างานต้องไปให้เช้าและต้องสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้หัวหน้าประทับใจ

เสื้อผ้าที่สวมแม้จะไม่ใหม่ แต่ก็ซักจนสะอาด ลงแป้งเรียบกริบไว้นานแล้ว หวังทงเก็บของสักพักก็ออกจากบ้านไป

เขตรับผิดชอบของนายกองร้อยเถียนหรงหาวอยู่ละแวกนี้ จากบ้านเดินไปจวนนายกองร้อยเถียนระยะทางแค่จุดธูปหนึ่งก้าน[2]เท่านั้น ก็ไม่ไกลเท่าไร ตอนออกจากบ้านฟ้าเพิ่งจะสว่างรำไร พอไปถึงประตูจวนกลับไม่พบเห็นผู้ใด หวังทงร้อนใจ หากก็ได้แต่คอยอยู่ตรงนั้น

คนที่พบเขาคนแรกคือบ่าวรับใช้ผมขาวผู้หนึ่งที่ออกมาจวนนายกองร้อยเถียน ถามจุดประสงค์ที่เขามาเข้าใจแล้วก็เดินกลับเข้าไป ไม่นานก็มีอีกคนมานำหวังทงเข้าไป

เถียนหรงหาวผู้นั้นสวมชุดลำลองสบาย ๆ กำลังรำมวยอยู่ที่ลานบ้าน พอเห็นหวังทงมาถึงก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้ารับ กล่าวชมเชยขึ้นในทันที

รอบกายนายกองร้อยเถียนมักจะมีแต่พวกชายหนุ่มท่าทางหยาบกระด้าง มีความเป็นชาวบ้านร้านตลาดอยู่มาก หาความสุภาพเรียบร้อยไม่เจอ หากหวังทงผู้นี้ท่าทางสะอาดสะอ้าน หยิบจับทำอะไรก็อ่อนโยนนุ่มนวล ทั้งยังรู้กาลเทศะ เห็นแล้วก็สบายตายิ่งนัก กอปรกับมีเงินพันกว่าตำลึงเป็นสินน้ำใจ แน่นอนว่าย่อมให้ภาพที่ประทับใจ

กำชับสองสามคำเถียนหรงหาวก็ให้คนผู้หนึ่งพาหวังทงไปรับชุดและป้ายประจำตำแหน่งที่กองเอกสารสำนักองครักษ์เสื้อแพร และยังบอกว่าทันทีที่จัดการขั้นตอนเรียบร้อยก็ให้กลับมารับคำสั่งปฏิบัติงาน

กองเอกสารสำนักองครักษ์เสื้อแพรตั้งอยู่เขตประจิมของเมืองหลวง ตอนรับป้ายประจำตำแหน่งกับชุดกลับมา พระอาทิตย์ก็คล้อยไปทางตะวันตกแล้ว

เมื่อการจัดสรรงานผ่านไป ประตูใหญ่ของจวนนายกองร้อยเถียนก็ว่างเปล่าเหมือนกับตอนที่มายามเช้า มีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งคอยอยู่ที่ประตู

 

[1] คือช่วงเวลา 5.00 น. ถึง 6.59 น.

[2] ชั่วเวลาหนึ่งก้านธูปเท่ากับ 2 เค่อ หรือประมาณ 30 นาที แต่บางตำราก็ว่าหมายถึงเวลา 1 ชั่วโมง

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า