我要这盛世美颜有何用
หน้าตางามเลิศล้ำแล้วมีประโยชน์อันใด
ลาเหมียนฮวาถังเตอะทู่จื่อ เขียน
ชานมไข่มุกหวานร้อย แปล
千二百 Qian Er Bai วาด
— โปรย —
ฉีเซ่อเจียง ผู้สืบทอด “จื่อตี้ซู” คนสุดท้ายตายไปด้วยโรคไทฟอยด์
แต่เมื่อเขาฟื้นขึ้นมากลับพบว่าตนเองอยู่ในร่างของดาราหนุ่มหน้าหล่อ
อีกทั้งบรรยากาศต่างๆ รอบตัวก็ยังดูแปลกตาไม่คุ้นเคย
เพราะนี่คือประเทศจีนในแปดสิบปีต่อมา!
แล้วเขาจะสามารถใช้อาชีพเดิมที่ตนภาคภูมิใจเอาตัวรอดในยุคปัจจุบันได้ไหมนะ
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 3
ฉีเซ่อเจียงไม่ใช่นักแสดงเพลงกลองมืออาชีพ และไม่เคยเขียนเพลงกลองเอง ที่เหล่าไป๋ฟังไม่ออกเพราะท่อนที่เขาร้องเมื่อครู่อาจมีกลิ่นอายของเพลงกลอง ทว่าจริงๆ มันคือ “จื่อตี้ซู”
เทียบกับเพลงกลองแล้ว เขาคิดว่าท่วงทำนองของจื่อตี้ซูเหมาะกับเพลงนี้มากกว่า
จื่อตี้ซูเป็นรูปแบบการแสดงศิลปะและเริ่มขับร้องจากแปดกองธง[1]ในเมืองหลวงเก่าของจีน ดังนั้นไม่ว่าการตั้งชื่อ ธีมของเพลง หรือเนื้อร้อง ทั้งหมดล้วนสุภาพและสง่างาม
ในยุคของฉีเซ่อเจียง มีคนที่ร้องได้น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย เรียกได้ว่าหายไปจากการรับรู้ของสาธารณชน แทบไม่มีผู้สืบทอด ตัวเขาเองก็บังเอิญได้เรียนจากศิลปินเก่าไร้ลูกศิษย์
ท่วงทำนองการขับร้องจื่อตี้ซูทั้งยากและซับซ้อน ศิลปินเก่าคนดังกล่าวก็ใช่ว่าจะเชี่ยวชาญมาก เขาสอนทุกอย่างที่รู้ให้ฉีเซ่อเจียง น่าเสียดายที่ยังไม่ทันทำพิธีรับลูกศิษย์ เขาก็เสียชีวิตไปก่อน
ถึงแม้จื่อตี้ซูจะไม่มีผู้สืบทอด แต่มันยังมีอีกชื่อหนึ่งคือ “จิ่วรื่อกู่ฉือ[2]”
หมายความว่าอย่างไรน่ะหรือ กู่ฉือ[3]ในที่นี้หมายถึงเพลงกลอง
ต่อมาขณะเขียนเพลงกลองจิงอวิ้น เพลงกลองหลีฮวา เหอหนานจุ้ยจื่อ ก็มักสืบทอดบางส่วนของจื่อตี้ซูด้วย เช่น จังหวะการตี สัมผัสของเสียงในคำร้อง จังหวะการร้องและเนื้อเพลง เพราะแบบนั้นจื่อตี้ซูจึงมีอีกชื่อว่า “จิ่วรื่อกู่ฉือ”
จะนับว่าจื่อตี้ซูเป็นกึ่งหนึ่งของเพลงกลองเหล่านี้ก็ไม่ผิดนัก เพราะมันคือต้นกำเนิดของเพลงกลองนั่นเอง
ต้นฉบับเดิมของเพลงกลอง เหตุใดต้องเรือนปีกตะวันตก มีเนื้อหาเยอะมาก รวมถึงท่วงทำนองที่ขับร้องก็ดัดแปลงมาจากจื่อตี้ซู
…ดังนั้นไม่ใช่การขับร้องของฉีเซ่อเจียงที่เหมือนเพลงกลอง แต่เพลงกลองเหมือนจื่อตี้ซูที่ฉีเซ่อเจียงร้องต่างหาก!
ส่วนเพลงกลองเหมยฮวาของเหล่าไป๋นักซานเสียนนั้นยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่
การพัฒนาของจื่อตี้ซูกับเพลงกลองได้รับอิทธิพลจากส่วนหนึ่งของอุปรากรจีนเข้าไปด้วย ฉีเซ่อเจียงเรียนอุปรากรจีนมาตั้งแต่เด็ก ย่อมมีกลิ่นอายติดมาด้วยขณะขับร้อง
เมื่อร้องมาถึงช่วงท้าย ฉีเซ่อเจียงยังกล่าวทิ้งท้ายอีกสองประโยค “ประวัติศาสตร์เติมเต็มความชอบธรรม การเพิ่มเนื้อเพลง เพื่อเพิ่มความรู้สึกให้มากขึ้นครับ!”
ประโยคนี้มาจากหนังสือจื่อตี้ซูเช่นกัน มาถึงตอนนี้เขากับเหล่านักดนตรีก็เหมือนรู้ใจกันเป็นอย่างดี ร่วมมือร่วมใจแม้จะไม่รู้จักกัน เพราะอุปรากรจีนมีหลักการตายตัวที่แน่นอน
เมื่อถึงช่วงท้าย เหลือเพียงเสียงของซานเสียนคลอไปกับเสียงสบายๆ ของฉีเซ่อเจียง และค่อยๆ จบลงอย่างงดงามและสมบูรณ์
เหล่าไป๋จบการแสดงด้วยความรู้สึกเหมือนยังไม่เต็มอิ่ม ขณะเดียวกันก็เห็นฉีเซ่อเจียงที่ยืนอยู่ใต้สปอร์ตไลต์หันมาโค้งให้พวกเขาเล็กน้อย
เหล่าไป๋และนักดนตรีคนอื่นๆ ก็ส่งยิ้มตอบกลับไป แม้พวกเขาจะไม่ได้พูดคุยกันเลยสักคำ ทว่ากลับจบการแสดงที่รวมกันเป็นหนึ่งลงได้อย่างงดงาม
หลังจบคอนเสิร์ต เดิมทีฉีเซ่อเจียงอยากเข้าไปคุยกับนักซานเสียน ทว่ากลับถูกหลี่จิ้งกับซย่าอีเหว่ยดึงตัวไปหลังเวทีแบบเลี่ยงไม่ได้
พวกเขาประหลาดใจกับการแสดงของฉีเซ่อเจียงมาก ทั้งสองคิดว่าท่าทีของชายหนุ่มเหมือนเป็นคนละคน!
ซย่าอีเหว่ยเปิดตัวมาหลายปี เธอรับรู้ได้ถึงออร่าของลูกชายยามที่ยืนบนเวทีด้วยความสุขุมเยือกเย็น
คนละเรื่องกับตอนเธอเพิ่งเปิดตัว เธอล้มลุกคลุกคลานหลายปีกว่าจะพบจุดยืนของตัวเอง
ส่วนความสามารถในการร้องเพลงของเซ่อเจียงนั้น เธอมีความรู้เรื่องการแสดงและขับร้องเพลงกลองไม่มาก คิดแค่ว่าเซ่อเจียงอาจเคยฝึกมาก่อน สิ่งที่เธอสนใจมากกว่านั้นคือ…แม้ว่าการพูดถึงลูกชายของตัวเองแบบนี้อาจไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ก่อนหน้านี้การแสดงของเซ่อเจียงไม่มีจิตวิญญาณสักนิดเดียว
ทว่าวันนี้กลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง
หรือนี่เป็นพัฒนาการเพียงชั่วข้ามคืน?
กระทั่งหลี่จิ้งบอกซย่าอีเหว่ยว่าเซ่อเจียงอยากเป็นนักแสดงเซี่ยงเซิงจริงๆ เธอก็ถึงกับอึ้ง
“เซ่อเจียง แม่รู้ว่าลูกชอบพวก…ศิลปะพื้นบ้าน แต่เซี่ยงเซิงดูไม่ค่อยเหมาะกับลูกเลยนะ” ซย่าอีเหว่ยพยายามใช้คำพูดที่ฟังแล้วรื่นหู “ลูกออกอัลบั้มได้นะ ที่ร้องบนเวทีก็เพราะมากด้วย”
ฉีเซ่อเจียงไม่เห็นด้วย “แต่นั่นไม่ใช่อาชีพเดิมของผม”
ซย่าอีเหว่ยเอ่ยแย้ง “ลูกเข้าวงการนี้ยังไม่ถึงครึ่งปีเลย อาชีพเดิมของลูกคือนักเรียนนะ”
ฉีเซ่อเจียง “…”
ชายหนุ่มรีบพูดกลบเกลื่อน “…จริงด้วย ผมหมายถึงงานที่ผมชอบจริงๆ น่ะครับ”
ซย่าอีเหว่ยโบกมือรัวๆ “ตอนลูกเพิ่งออกรายการวาไรตี้ ลูกยังบอกอยู่เลยว่าจะเป็นนักแสดงด้วยความสามารถของตัวเอง ความฝันของลูกเปลี่ยนเร็วเกินไปนะ ไว้เราค่อยมาคุยกันดีกว่า”
หลี่จิ้งเองก็คิดแบบนั้น แต่คำพูดของเขาดูรักษาน้ำใจกว่า “เราค่อยๆ ดูไปดีกว่า”
ฉีเซ่อเจียงเพียงฟัง และได้แต่พูดว่า “ผมขอโอกาสแค่ครั้งเดียว แล้วผมจะพิสูจน์ให้แม่เห็น”
กาลเวลาพิสูจน์คน วันนี้อาจดึกแล้ว แต่ยังมีเวลาให้พวกเขาเห็น
ซย่าอีเหว่ยกับหลี่จิ้งมองหน้ากัน ท่าทางของเด็กหนุ่มดูจริงจัง แต่มันยังยากสำหรับพวกเขาที่จะนึกภาพตอนฉีเซ่อเจียงไปเป็นนักแสดงเซี่ยงเซิง…
คอนเสิร์ตของซย่าอีเหว่ยไม่มีการบันทึกการแสดงและเผยแพร่อย่างเป็นทางการ แต่มีผู้ชมบางคนใช้มือถือถ่ายบางช่วงไปโพสต์ลงบนอินเทอร์เน็ต แน่นอนว่ารวมถึง เหตุใดต้องเรือนปีกตะวันตก ที่ซย่าอีเหว่ยกับฉีเซ่อเจียงร้องร่วมกันด้วย
ตอนแรกมีแต่คลิปประโยคเด็ดที่จางเยว์นักร้องนำวงกวนซานเอ่ยทิ้งไว้ถูกรีโพสต์ซ้ำๆ [ฟังแล้ว ดูดีมาก]
ต่อมาแฟนคลับของฉีเซ่อเจียงก็กรูมาชื่นชมไอดอลของตัวเองยามอยู่ท่ามกลางสปอร์ตไลต์บนเวทีคอนเสิร์ตของซย่าอีเหว่ย กรี๊ดกร๊าดตั้งแต่เส้นผม แพขนตา ริมฝีปาก แม้กระทั่งนิ้วมือ
ภายหลังถึงมีคนเริ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง และเริ่มโพสต์ [ทำไมฉันรู้สึกว่าเขาร้องเพลงได้ดีเลย ท่อนที่เขาร้องมันได้อารมณ์มากเลย] [ฉันก็ว่างั้น ฉันให้คะแนนทั้งเพลงเพิ่มเพราะท่อนนี้เลย แถมยังให้ความรู้สึกเหมือนเป็นต้นฉบับเลยด้วย]
แต่ทุกคนก็ยังมีภาพจำที่ทำให้มีอคติกับฉีเซ่อเจียง แม้จะรู้สึกว่าเพลงเพราะ แต่ก็ยังไม่แน่ใจนัก
ทว่ามีคนจำนวนมากไม่มีความรู้เรื่องเพลงกลอง คนในสายอาชีพนักซานเสียนก็ยังไม่รู้ว่านี่เป็นจื่อตี้ซู ไม่ใช่เพลงกลอง และไม่สามารถห้ามไม่ให้คนที่เข้าใจครึ่งไม่เข้าใจครึ่งมาโพสต์ได้ [ต้นฉบับงั้นเหรอ ขำตายแหละ ไม่รู้ไปซื้อทำนองเพลงอะไรนี่มาจากไหน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นเพลงกลองประเภทไหน ปนกันมั่วไปหมด]
แต่นั่นเป็นส่วนน้อย ส่วนมากหากไม่ใช่แฟนคลับที่แยกแยะอะไรไม่ได้เข้ามาโพสต์ [กฎเดิม พวกเธอฟังเพลง ส่วนฉันดื่มด่ำกับหน้าตา] ก็เป็นคนที่เข้ามาพูดถึงเรื่องที่ฉีเซ่อเจียงแซวตัวเองก่อนเริ่มร้องเพลง แถมยังดึงแม่ตัวเองมาแซวด้วย
…ไม่ใช่ว่าซย่าอีเหว่ยหานักแต่งเพลงมาเขียนเพลงเพื่อเปลี่ยนภาพลักษณ์ให้ลูกชายหรอกนะ
อาคารเฟิ่งหลีมีเดีย
งานวันนี้คือถ่ายภาพ เพราะเห็นแก่หน้าซย่าอีเหว่ย ทำให้อย่างน้อยๆ ก็ไม่มีใครมารังแกฉีเซ่อเจียง
สำหรับช่างภาพแล้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถ่ายภาพให้ฉีเซ่อเจียง รูปเซตแรกในบริษัทก็เป็นฝีมือเธอ เธอเป็นคนที่ได้เห็นการเดินทางสู่ดวงดาวในระยะเวลาหลายเดือนนี้ของชายหนุ่ม
เพราะนี่ไม่ใช่การร่วมงานกันครั้งแรก เธอจึงรู้จุดเด่นของฉีเซ่อเจียงเป็นอย่างดี ทว่าฉีเซ่อเจียงในวันนี้ดูเปลี่ยนไปมากจนทำให้ช่างภาพแปลกใจ
ไม่ใช่หน้าตาที่เปลี่ยนไป แต่เป็นบุคลิกที่เปลี่ยนไปอย่างบอกไม่ถูก คล้ายกับเขาตกตะกอนอะไรบางอย่าง ทว่าไม่ใช่ตกตะกอนกลายเป็นฝุ่น ตรงกันข้ามกลับดูมีพลังขึ้น แววตายามมองกล้องดูเป็นประกายจนน่าตกใจ
เธอคิดอยู่นานมาก อาจเพราะเมื่อก่อนบางทีฉีเซ่อเจียงก็ดูซึมๆ หรือว่าตอนนี้เขาจะแก้ปมในใจได้แล้ว…ได้ยินข่าววงในว่าเขากับซย่าอีเหว่ยมีความเห็นไม่ตรงกัน…เพราะแบบนั้นเขาถึงได้ทำตัวให้เก่งขึ้นอย่างนั้นหรือ
อีกอย่าง เธอรู้สึกว่าฉีเซ่อเจียงดูเข้าถึงง่ายขึ้น เมื่อก่อนเขาดูขี้เกรงอกเกรงใจเพราะที่บ้านสอนมาดีอะไรทำนองนั้น ทว่าตอนนี้แตกต่างออกไป แต่หากให้อธิบาย เธอก็ไม่สามารถบอกรายละเอียดได้
ฉีเซ่อเจียงมีพลังเต็มเปี่ยม หากเป็นเมื่อก่อน ถ่ายแค่รูปเดียวยังยากแทบตาย แต่นี่ถ่ายครู่เดียวก็เสร็จแล้ว ทั้งยังถ่ายได้หลายรูปอีกด้วย
ถึงขั้นว่าถ่ายเสร็จแล้วยังรู้สึกไม่หนำใจ แถมตอนมีทีมงานมาขอถ่ายรูปคู่ เขาก็ให้ความร่วมมืออย่างดี และยังชมว่าทักษะการถ่ายรูปของอีกฝ่ายยอดเยี่ยมมาก
หลังจากเสร็จงานทั้งหมด ฉีเซ่อเจียงก็ดื่มน้ำ บอกลาทีมงาน แล้วไปนั่งรอให้หลี่จิ้งมารับตรงที่นัดกันไว้
หลี่จิ้งไม่ได้คอยรับคอยส่งฉีเซ่อเจียงทุกวัน แต่ที่อีกฝ่ายมารับคราวนี้เพราะจะพาเขาไปคุยงานต่อ เขานั่งรอจนเลยเวลาที่หลี่จิ้งบอกว่าจะมาถึงไปครึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว
ฉีเซ่อเจียงหยิบมือถือออกมา ตั้งใจจะโทร.หา แต่หลังจากจ้องมือถืออยู่พักใหญ่ กลับรู้สึกลำบากใจขึ้นมา
แย่ละ ฉันลืมว่ากดโทร.ตรงไหน…
เขาได้รับความทรงจำจากร่างเดิมมาแบบไม่ปะติดปะต่อและความทรงจำที่ว่าก็ไม่มีวิธีการใช้มือถือ เพราะของสิ่งนี้มันซับซ้อนเกินไปสำหรับคนที่ข้ามมิติมาจากแปดสิบปีก่อน
ความจริงคือฉีเซ่อเจียงไม่มีพื้นฐานในการใช้มือถือเลย จากโทรศัพท์แบบหมุนหมายเลขแล้วข้ามมาที่สมาร์ตโฟนเลยมันแตกต่างกันเกินไป ต้องพยายามรับมือกับความรู้มากมาย พอชายหนุ่มได้หนังสือคู่มือที่หามาได้อย่างยากลำบาก ในนั้นกลับมีแต่อักษรจีนตัวย่อ
โชคดีที่ก่อนหน้านี้พอจะจำวิธีเปิดเครื่องและปลดล็อกได้ แต่ดันลืมการโทร.ออกซะได้
เขามองไปรอบๆ ฝั่งตรงข้ามมีชายหนุ่มเดินผ่านมาและกำลังหยุดคุยมือถือพอดี เขาจึงรีบเดินเข้าไป ตั้งใจจะขอให้อีกฝ่ายช่วยสอน
ชายหนุ่มคนนั้นอายุประมาณยี่สิบกว่า เป็นคนหน้าตาดี ระหว่างที่คุยมือถือ คิ้วดกดำก็เลิกขึ้นเล็กน้อย ผมเผ้าของเขายุ่งเหยิง ใส่รองเท้าแตะ ดูท่าทางเป็นคนสบายๆ
ชายหนุ่มคนนั้นสังเกตเห็นฉีเซ่อเจียงกำลังเดินมาหา สายตาของเจ้าตัวก็ฉายแววแปลกใจขึ้นมาทันที และมองประเมินเขาอยู่ครู่หนึ่ง
ฉีเซ่อเจียงหยุดยืนตรงหน้าเขา ตั้งใจจะรอให้เขาคุยมือถือเสร็จก่อน
ชายหนุ่มกวาดตามอง ก่อนยกมือขึ้นปิดมือถือ แล้วขมวดคิ้วถาม “จะทำอะไร”
ฉีเซ่อเจียงเองก็ไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้มองตนแบบนั้น แต่ในเมื่อชายหนุ่มเอ่ยปากถาม เขาจึงก้าวไปข้างหน้าอีกนิด เอ่ยพลางยิ้มแบบเขินๆ “ขอโทษนะครับ คือผมอยากขอให้ช่วยอะไรหน่อย”
เมื่อเขายิ้มก็ยิ่งดูมีชีวิตชีวาจนยากจะปฏิเสธ
ทว่าอีกฝ่ายกลับยิ่งแปลกใจ มองเขาด้วยความประหลาดใจอยู่นาน แล้วถามช้าๆ “มีอะไร”
ฉีเซ่อเจียงยื่นมือถือให้ “คุณรู้ไหมว่าโทร.ออกยังไง”
ชายหนุ่ม “…”
ฉีเซ่อเจียงมองเขาอย่างใสซื่อ
“…แม่ง” ชายหนุ่มพูดออกมาหลังจากนิ่งไปสามวินาที จากนั้นหันหลังเดินออกไปพร้อมกับพูดใส่มือถือ “ไม่มีอะไร เมื่อกี้มีคนมาหาเรื่องนิดหน่อย”
ฉีเซ่อเจียงรู้ดีว่าคำถามของตัวเองอาจดูโง่เง่าไปหน่อย แต่อีกฝ่ายก็อารมณ์รุนแรงเกินกว่าเหตุไปเหมือนกัน ขณะที่เขากำลังคิดว่าคงต้องไปถามคนอื่น หลี่จิ้งก็ปรากฏตัวขึ้นพอดี เขาถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก
หลี่จิ้งเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าและเอ่ยปากถาม “นายคุยอะไรกับจางเยว์ ทำไมเขาทำหน้าตาแบบนั้น”
ฉีเซ่อเจียงตอบคำถามอย่างรวบรัดตัดความ “เมื่อกี้มือถือมีปัญหานิดหน่อยครับ ผมเลยถามเขา”
หลี่จิ้งถึงกับพูดไม่ออก “นายไม่ได้แค้นเขาใช่ไหม”
ฉีเซ่อเจียงงุนงง “แค้นอะไรครับ ผมยังไม่เคยเจอเขาด้วยซ้ำ”
เขาไม่มีความทรงจำเรื่องเหล่านั้นในหัวเลย และท่าทีที่ฝ่ายนั้นมองเขาก็ไม่เหมือนคนที่รู้จักมักจี่กันด้วย
หลี่จิ้งพูดด้วยความแปลกใจ “พวกนายไม่เคยเจอกันน่ะมันแน่อยู่แล้ว แต่นายจำไม่ได้เหรอว่าประโยค ‘ฟังแล้ว ดูดีมาก’ บนอินเทอร์เน็ตมันเป็นคำพูดของเขา หมอนั่นก็เป็นแบบนั้นแหละ ผู้จัดการเขายังยกธงขาวยอมแพ้ที่จะดัดนิสัยเขาเลย”
ฉีเซ่อเจียงพอจะเข้าใจความหมายของหลี่จิ้งแล้ว ชายหนุ่มเพิ่งจะถึงบางอ้อก็ตอนนี้ มิน่าล่ะคนคนนั้นถึงมองเขาแปลกๆ แถมคิดว่าเขาไปหาเรื่อง!
[1] แปดกองธง เป็นกองกำลังทหารในยุคราชวงศ์ชิง
[2] จิ่วรื่อกู่ฉือ หมายถึง เพลงกลองเก่าแก่
[3] กู่ฉือ เป็นศิลปะการแสดงและการขับร้องที่ได้รับความนิยมทางเหนือ ใช้เครื่องดนตรีจำพวกกลองและซานเสียนในการขับร้อง