เล่ห์รักประมุขพรรคมาร 杨书魅影
南风歌 หนานเฟิงเกอ เขียน
เจ้าเจิน แปล
นิยาย 3 เล่มจบ (วางขายเเยกเล่ม)
** หมายเหตุ : ต้นฉบับที่สำนักพิมพ์ได้รับ เป็นฉบับ Uncensored
TRIGGER WARNING : นิยายเรื่องนี้ NOT FOR EVERYONE *
มีเนื้อหาเกี่ยวกับ mpreg (เพศชายตั้งครรภ์ได้) , among other immoralities (การผิดศีลธรรมจรรยา) , angst (มีความรุนแรงในอารมณ์ บีบคั้นกดดัน) , coercion (การใช้อำนาจที่เหนือกว่าบังคับให้คนอื่นทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ) , corporal punishment (การลงโทษทางร่างกาย) , death (การตาย) , depression (ภาวะซึมเศร้า) , gore (เนื้อหามีความโหดร้าย และรุนแรง) , massacre (การสังหารหมู่) , mental and emotional abuse (การทำร้ายร่างกายและจิตใจ) , rape/non-con/dub-con (การข่มขืนโดยที่อีกฝ่ายไม่ยินยอม หรือ กึ่งจำยอม) , suicide (การฆ่าตัวตาย) , torture (การทรมาน) , underage sex (การมีความสัมพันธ์กับคนที่อายุต่ำกว่าเกณฑ์) and unhealthy relationship (ความสัมพันธ์ที่เป็นปัญหา)
________________________________________________________
บนรถม้ากว้างขวางยิ่งนัก สามคนนั่งอยู่ในรถม้าก็ไม่เบียดเสียด
ฉู่อวิ๋นเฟยนั่งเรียบร้อยอยู่ในมุมหนึ่ง ขมวดคิ้วไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร
จวินซูอิ่งพิงหน้าต่างบานเล็ก รวบม่านหนาไว้ที่มุม มองทิวทัศน์นอกหน้าต่างอย่างเบื่อหน่าย
ฉู่เฟยหยางนั่งข้างจวินซูอิ่ง ดึงขาเรียวยาวทั้งสองข้างของจวินซูอิ่งให้เหยียดตรงอยู่บนขนเตียว [1] นุ่มอุ่นอย่างสบาย จวินซูอิ่งขยับตามเขา พื้นที่อบอุ่นและสบายใจในห้องโดยสารทำให้เขาเริ่มจะง่วงนอน
ฉู่อวิ๋นเฟยเหลือบมองสองคน นึกสงสัยในใจ พลันสบเข้ากับสายตาเฉียบคมภายใต้เปลือกตาที่สะลืมสะลือของจวินซูอิ่ง ก็นั่งตัวตรงอีกครั้งทันที แอบก่นด่าตัวเองว่าไม่ควรสงสัยความสัมพันธ์ระหว่างจอมยุทธ์ฉู่และสหายให้มาก เขาไม่ได้ต่ำช้าเยี่ยงคนลิ้นยาวที่แพร่ข่าวลือเหล่านั้นในยุทธภพไม่ใช่รึ
จวินซูอิ่งหลับตาเอาแรงอีกครั้ง ตอนที่ฉู่เฟยหยางคิดว่าเขาหลับไปแล้ว จู่ๆ จวินซูอิ่งก็เอ่ยถามขึ้น “เหตุใดเจ้าจึงมุ่งมั่นจะเดินทางโดยรถม้าหรือ เรื่องครั้งนี้มีจุดน่าสงสัยมากเกินไป หากไม่ใช่เพราะเจ้ากล่าวว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสำนักเทียนซานแน่นอน เป็นข้าจะไม่สนใจโดยสิ้นเชิง แต่ในเมื่อยื่นมือเข้ามาแล้ว พวกเรารีบจัดการจะไม่ดีกว่าหรืออย่างไร”
ฉู่เฟยหยางมองฉู่อวิ๋นเฟย ยามที่ได้ยินว่าเขามาเพราะสำนักเทียนซาน ฉู่อวิ๋นเฟยก็มีสีหน้าซาบซึ้งใจอย่างยิ่งตามคาด ไม่รู้ว่าจวินซูอิ่งพูดไปเช่นนั้นเฉยๆ หรือว่าจงใจให้ผู้อื่นได้ยินแล้วสำนึกบุญคุณ เขาพยักหน้ายิ้มให้ฉู่อวิ๋นเฟย แล้วเอ่ยกับจวินซูอิ่งว่า “เจ้าก็พูดแล้วว่าจุดน่าสงสัยมีมากมาย ข้าว่าเจียงซานผู้นี้ก็ไม่ใช่คนซื่อสัตย์อะไร แม้ว่าสมบัติตรงหน้าจะดึงดูดคน แต่ความรีบร้อนของเขากลับเห็นชัดจนเกินไป ไม่เหมือนกับทำเพื่อสมบัติ แต่เหมือนกับกลัวบางอย่างหนีไป หรือไม่ก็กลัวบางอย่างตามมา” ฉู่เฟยหยางเอ่ยพลางขมวดคิ้ว คิดครู่หนึ่งจึงยิ้มเอ่ยอีกครั้ง “เขารีบร้อน พวกเราชักช้า ไม่อาจให้เขาจูงจมูกเดินได้ตลอด”
“พี่ใหญ่ฉู่พูดถูกต้อง ข้าก็รู้สึกว่าเจียงซานผู้นี้แปลกนัก แต่กล่าวไม่ถูกว่าแปลกที่ใด ยังเป็นพี่ใหญ่ฉู่ที่พูดได้อย่างถี่ถ้วน ต่อไปข้าจะฟังท่านทุกอย่าง!” ฉู่อวิ๋นเฟยเอ่ยจริงจัง “พี่ใหญ่ฉู่มีเรื่องอะไรสั่งข้าได้เลย!”
“พี่ใหญ่ฉู่นั่น พี่ใหญ่ฉู่นี่ เจ้าไม่เมื่อยปากรึ” ฉู่เฟยหยางยิ้มเอ่ย “พี่ใหญ่ให้เจ้าทำอะไร เจ้าล้วนเชื่อฟังใช่หรือไม่”
“ใช่แล้ว!” ฉู่อวิ๋นเฟยพยักหน้า
“เช่นนั้นก็ดี ตอนนี้พี่ใหญ่ฉู่อยากให้เจ้าทำเรื่องหนึ่ง”
“เรื่องอะไรหรือ” ฉู่อวิ๋นเฟยกระพริบตาโน้มไปข้างหน้า
“ข้าอยากให้เจ้าไปรถม้าคันหน้า จับตาดูเจียงซานไว้ ระวังไม่ให้เขาเล่นลูกไม้อะไร” ฉู่เฟยหยางเอ่ยพลางตบฉู่อวิ๋นเฟยเบาๆ
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะดูเขาอย่างดี!” ฉู่อวิ๋นเฟยเอ่ยรับปากจริงจัง เอี้ยวตัวลุกขึ้น แหวกม่านกระโดดออกไป
จวินซูอิ่งมองออกนอกหน้าต่าง เห็นเงากายที่ตรงไปยังรถม้าอีกคันของฉู่อวิ๋นเฟยก็ส่ายหน้า หันกลับมาเจอสายตาแปลกประหลาดเป็นประกายของฉู่เฟยหยางเข้าพอดี
“หากเขารู้ความคิดในใจของพี่ใหญ่ฉู่ ย่อมผิดหวังเป็นแน่” จวินซูอิ่งเอ่ย แล้วปล่อยม่านลง
“เจ้าดูถูกข้าเกินไปแล้ว จำต้องมีคนไปเฝ้าระวังเจียงซานผู้นั้นจริงๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจปล่อยเขาอยู่อิสระคนเดียวได้” ฉู่เฟยหยางเอ่ยไม่เห็นด้วย
“หืม เช่นนั้นเหตุใดเจ้าไม่ไปเองเล่า” จวินซูอิ่งเลิกคิ้วเอ่ย
“เจ้าคิดอย่างไรเล่า!” ฉู่เฟยหยางยิ้ม โน้มตัวลงกระซิบข้างหูจวินซูอิ่ง แล้วแลบลิ้นตั้งอกตั้งใจโลมเลียอยู่ข้างหูครู่หนึ่ง
จวินซูอิ่งเอียงศีรษะ ผลักฉู่เฟยหยางออกแล้วเอ่ย “อย่าวุ่นวาย นี่อยู่บนรถนะ”
“เจ้าดูถูกข้าอีกแล้ว” ฉู่เฟยหยางคลอนศีรษะท่าทางเจ็บปวดใจ “ข้าไล่ผู้อื่นไป เพียงอยากให้เจ้าพักผ่อนอย่างดีเท่านั้น”
จวินซูอิ่งหัวเราะอย่างเย็นชาต่อการกระทำตีคราดกลับด้าน [2] ของเขา แต่ยามฉู่เฟยหยางดึงตนไป จวินซูอิ่งกลับล้มตัวลงบนตักของฉู่เฟยหยางตามแรง
ฉู่เฟยหยางดึงขนเตียวอ่อนนุ่มมาคลุมกายจวินซูอิ่งอย่างดี ดึงม่านหน้าต่างด้านข้างปิดอย่างมิดชิด เพื่อป้องกันหิมะด้านนอก นิ้วที่เรียวยาวแข็งแรงกดอยู่บนหน้าผากจวินซูอิ่ง “สองสามวันนี้ไม่ได้พักผ่อนให้ดีกระมัง เจ้านอนหลับเถิด” เขารู้ว่าตั้งแต่ตกลงกับเจียงซาน จวินซูอิ่งล้วนกระวนกระวายมาตลอด ทุกวันยุ่งอยู่กับการตรวจสอบที่มาของแผนที่เก่าแผ่นนั้น และประวัติของเกาะเดียวดายที่ทำเครื่องหมายอยู่บนแผนที่
ใบหน้าเรียบเนียนดุจหยก มีรอบคล้ำจางๆ อยู่ใต้ดวงตาจึงดูซีดเซียวเล็กน้อย ฉู่เฟยหยางก้มหน้าจุมพิตเบาๆ ลงบนเปลือกตาบาง ขนตายาวดุจพัดกวาดผ่านริมฝีปากผะแผ่ว สัมผัสจั๊กจี้ทำให้ในใจฉู่เฟยหยางเปี่ยมล้นด้วยความละมุนละไม
“นอนเถิด ข้าจะดูเจ้าเอง” ฉู่เฟยหยางกระซิบ น้ำเสียงดึงดูดมีเสน่ห์สิบส่วน ท่ามกลางการดูแลที่อ่อนโยนของฉู่เฟยหยาง ลมหายใจของจวินซูอิ่งก็ค่อยๆ ยาวขึ้น
ฉู่เฟยหยางพิงกับผนังตู้รถม้า มือเล่นผมนุ่มลื่นของจวินซูอิ่งเบาๆ ในห้องโดยสารที่ปิดสนิทอย่างดี เสียงล้อด้านนอกฟังดูเบาและห่างไกลออกไป ช่วงเวลาที่เงียบสงบ ทำให้ฉู่เฟยหยางเกือบจะคิดถึงคำว่า “ตลอดไป”
ทั้งสี่เดินทางมาแล้วหลายวัน แต่ระยะทางรวมแล้วก็ไม่ได้ไกลมากนัก เจียงซานอดทนไม่ไหวขึ้นเรื่อยๆ เรียกสั่งฉู่เฟยหยางหลายหน กลับถูกฉู่เฟยหยางโต้กลับอย่างง่ายดาย จึงกลายเป็นว่าต้องโมโหตนเองยิ่งนัก
อย่างไรก็มีเรื่องขอร้องผู้อื่น ทั้งยังต้องอาศัยฉู่เฟยหยางไปตามหาสมบัติที่เขาคิดถึงมาโดยตลอด ในใจไม่ยินยอมแค่ไหน เจียงซานก็ทำได้เพียงข่มอารมณ์ให้คล้อยไปตามฉู่เฟยหยาง ทุกวันดวงอาทิตย์ขึ้นสูงสามราวไผ่ [3] จึงออกเดินทาง ท้องฟ้ายังสว่างก็ต้องหยุดพัก เชื่องช้าจนราวกับจะใช้เวลาเดินทางทั้งชีวิต
เจียงซานไล่คนขับไปอย่างหมดความอดทน ก่อนจะใช้เชือกผู้รถม้าสองคันเชื่อมต่อกัน ส่วนตนเองก็ขึ้นบังคับม้า อย่างน้อยก็จะได้ออกเดินทางแต่เช้าทุกวัน และเร่งเวลาได้อีกหน่อย
“ข้ากลับอยากลองดูว่าเขาจะสามารถทนได้นานอีกเท่าไหร่” ฉู่เฟยหยางเอนพิงผนังรถม้า มือบีบจอกสุราหยกขาวที่เล็กกะทัดรัดใบหนึ่งไว้ พลางหรี่ตาสองข้างเล็กน้อยอย่างสุขใจ
จวินซูอิ่งก็เอ่ย “คนมีความสามารถในยุทธภพมีมากดั่งปลาจี้ [4] ที่ข้ามแม่น้ำ หากเพียงเพื่อไปตามหาสมบัติ คนมากมายก็สามารถทำเรื่องนี้ได้ เขากลับยอมหลีกทางเพื่อดึงให้เจ้าไปด้วยมากกว่า หากกล่าวว่าเขาไม่ได้มาเพราะพุ่งเป้าที่เจ้า…” จวินซูอิ่งส่งเสียงหึ “ไม่ว่าเบื้องหลังฉากนี้คือใครบงการ เขาก็ควรไตร่ตรองความสามารถของตนเองให้ดี”
ฉู่เฟยหยางอมยิ้ม ชายตามองจวินซูอิ่งปราดหนึ่ง ท่าทางเคร่งขรึมจริงจังสำหรับเขากลับน่ารักน่าเข้าใกล้ยิ่งนัก อดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปสัมผัส
“จะทำอะไร!” จวินซูอิ่งหันหน้ามาเอ่ยถาม
“รินสุรา” ฉู่เฟยหยางชูจอกในมือ ก่อนจะบอกใบ้ไปยังไหสุราบนโต๊ะเตี้ยข้างตัวจวินซูอิ่ง
จวินซูอิ่งยังคงไม่ขยับ และแล้วด้านข้างก็มีมือที่เห็นข้อกระดูกชัดเจนยื่นเข้ามาหยิบไหสุราสีน้ำตาลเข้ม แล้วรินลงจอกของฉู่เฟยหยางด้วยใบหน้าเคารพ
“พี่ใหญ่ฉู่ เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ให้อวิ๋นเฟยทำเถิด ท่านสิ้นเปลืองแรงเพื่อสำนักเทียนซานของพวกเราเช่นนี้ ข้าไม่รู้จะตอบแทนท่านอย่างไรดี” ฉู่อวิ๋นเฟยที่นั่งแกร่วอยู่ในมุมเป็นของตกแต่งมาโดยตลอด ยามนี้ในที่สุดก็พบโอกาสแสดงความขอบคุณ เขาเอี้ยวตัวเดินมาข้างกายฉู่เฟยหยาง รินสุราด้วยความจริงจังสิบส่วน ก่อนจะวางไหสุราบนโต๊ะเล็กระหว่างตนเองกับฉู่เฟยหยาง เพื่อให้หยิบจับได้สะดวก
ฉู่เฟยหยางดึงสีหน้า เผยรอยยิ้มฝืนให้กับเด็กหนุ่มหน้าตาใสซื่อ
เฮ้อ…เขาต้องทำเช่นไรจึงจะทำให้เด็กที่ซื่อเกินไปคนนี้เข้าใจสักหน่อย ว่าบางครั้งเขาดื่มสุราไม่ใช่เพื่อดื่มสุรา และเจตนาของเขาก็ไม่ใช่สิ่งนี้แต่เป็นสิ่งอื่น!
นอกจากจวินซูอิ่งในอดีตแล้ว ยังไม่มีใครสามารถทำให้ฉู่เฟยหยางรู้สึกไร้เรี่ยวแรงได้เช่นนี้ ดูท่าหนึ่งดีเกินไปและหนึ่งแย่เกินไป ล้วนเป็นการสร้างบาดแผลขนาดใหญ่สำหรับเขาเช่นกัน
“ที่จริงข้ารู้ว่าเหตุใดเจียงซานจึงเกาะแกะพี่ใหญ่ฉู่” จู่ๆ ฉู่อวิ๋นเฟยก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง นี่กลับดึงดูดความสนใจของฉู่เฟยหยางและจวินซูอิ่ง
“เจ้ารู้รึ” ฉู่เฟยหยางค่อนข้างแปลกใจ เห็นท่าทางเงอะงะของเขา คิดไม่ถึงว่ายังมีความคิดความอ่าน ว่าแล้วก็เห็นเป็นเช่นนั้น อย่างไรเสียเขาก็เป็นศิษย์คนโตของสำนักเทียนซาน
“เจ้าลองพูดมาสิ” จวินซูอิ่งเอ่ยด้วยสีหน้าสงสัย
“เพราะทั่วทั้งยุทธภพที่คู่ควรให้เชื่อใจที่สุดก็คือพี่ใหญ่ฉู่อย่างไรเล่า!” ฉู่อวิ๋นเฟยเอ่ยอย่างตื่นเต้น “แม้ข้าเกลียดเจียงซานผู้นี้ แต่ข้าต้องยอมรับว่าจุดนี้เขามองไม่ผิด หากสามารถค้นหาสมบัติล้ำค่าอะไรนั่นพบจริงๆ ย่อมรู้สึกสบายใจกับพี่ใหญ่ฉู่ที่สุด ไม่ต้องกังวลว่าถึงตอนนั้นจะแบ่งผลประโยชน์ไม่ลงตัวแล้วทำให้เกิดเรื่องร้าย”
ฉู่เฟยหยางและจวินซูอิ่งต่างนิ่งเงียบ
ฉู่อวิ๋นเฟยเห็นทั้งสองคน คนหนึ่งก้มหน้าดื่มสุรา คนหนึ่งเปิดหน้าต่างชมทิวทัศน์หลังจากสิ้นเสียง ก็ไม่รู้ว่าตนเองพูดผิดตรงไหนไป ทำได้เพียงหัวเราะแหย “ข้าพูดผิดไปใช่หรือไม่ แหะๆ ข้าจะออกไปดูคนผู้นั้น”
รอจนฉู่อวิ๋นเฟยจากไป จวินซูอิ่งจึงปล่อยม่านลงแล้วถอนหายใจอย่างระอา “ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเจ้าไปทำอะไรมากันแน่ ความเลื่อมใสที่เขามีต่อเจ้าถึงมืดบอดจนน่าขันนัก”
“เจ้าก็เหมือนกันไม่ใช่รึ” ฉู่เฟยหยางรวบตัวจวินซูอิ่ง ยกจอกที่รินสุราจนเต็มอีกครั้งจ่อริมฝีปากอีกฝ่าย
“ใคร…อื้อ!” จวินซูอิ่งเพิ่งคิดจะเอ่ยก็ต้องกลืนคำ ปากถูกสุราดีรสกลมกล่อมเติมจนเต็ม ทำได้เพียงกลืนลงคอไปก่อน แล้วค่อยเอ่ยอีก
แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยอีกครั้ง ฉู่เฟยหยางก็โน้มใบหน้าเข้าใกล้ ดูดบนริมฝีปากเขาเบาๆ ทีละนิดๆ ยกยิ้มพลางเอ่ยกระซิบ “เจ้าดูข้างนอกอีกสิ พวกเราถึงไหนแล้ว”
จวินซูอิ่งรอฉู่เฟยหยางปล่อยตนเอง มองเขาอย่างมึนงงครู่หนึ่ง ฉู่เฟยหยางก็เปิดม่าน แล้วยิ้มพลางส่งสัญญาณให้เขา
จวินซูอิ่งเอียงตัวมองออกไปด้านนอก เห็นเพียงฟ้าดินเป็นผืนสีขาวหนา ต้นไม้ไร้ชีวิตยืนตระหง่านบางตาท่ามกลางพายุหิมะ
“หิมะตกก็จำไม่ได้แล้วหรือ เจ้ายังจำหมู่บ้านตระกูลหูได้หรือไม่” ฉู่เฟยหยางเอ่ยเตือนอยู่ด้านหลัง
จวินซูอิ่งนึกออกทันที เขามองด้านนอกอีกครั้งก็เห็นสิ่งที่คุ้นตามากมายดังคาด กระทั่งลำห้วยเล็กๆ ที่เขาป้อนน้ำม้าครั้งนั้นก็มองเห็นเช่นกัน เพียงแต่ยามนี้ถูกแช่แข็ง ไม่มีน้ำใสสะอาดไหลดังซ่าๆ อีกแล้ว
“ที่แท้ก็ถึงที่นี่แล้ว…” จวินซูอิ่งพึมพำ เช่นนั้นก็ไม่ใช่ว่า…โรงเตี๊ยมที่ทั้งสองคนเคยอยู่ยามที่ร่างกายไม่ปกติก็อยู่ไม่ไกลแล้วหรอกหรือ
“คืนนี้พวกเราก็พักที่โรงเตี๊ยมนั้น เจ้าว่าดีหรือไม่” ฉู่เฟยหยางคล้ายกับเดาความคิดในใจของจวินซูอิ่งออก เอ่ยข้างหูเขาอย่างสนิทสนม “เพียงแต่ไม่รู้ว่าหลายปีขนาดนี้แล้ว เถ้าแก่จะยังจำสองคนที่ทำห้องพักของเขาพังเละเทะได้หรือเปล่า”
จวินซูอิ่งคิดถึงเถ้าแก่โรงเตี๊ยมที่เวลานั้นตามหาฉู่เฟยหยางให้ชดใช้เงินแทบจะวันเว้นวัน ยังมีเสี่ยวเอ้อร์ที่ถูกเขาบังคับให้ปลอมเป็นตนเอง ในที่สุดความทรงจำก็ปรากฏขึ้นมาเลือนราง เขาอดทอดถอนใจไม่ได้ เวลาผ่านไปเร็วยิ่งนัก พริบตาเดียวก็ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว
ยามนี้หวนคิดขึ้นมา ที่แท้อำนาจและตำแหน่งที่เขาเคยยึดติดไม่ได้ยากจะปล่อยวางถึงเพียงนั้น กลับกันเหล่านั้นเป็นเพียงความทรงจำที่คละเคล้าด้วยความรู้สึกมากมาย ซึ่งไม่เคยลืมมาตลอด ราวกับกล่องผุพังใบเก่าที่ปกคลุมด้วยฝุ่น เพียงโซ่คล้องเปิดออก เรื่องราวที่ผ่านมาก็ปรากฏในสายตาอย่างชัดเจนทันที กระทั่งรายละเอียดที่ยิบย่อยที่สุดก็สามารถจำได้
“หลายปีขนาดนี้ บางทีเถ้าแก่อาจจะไม่อยู่แล้ว” จวินซูอิ่งเอ่ย “ต่อให้ยังอยู่ ก็คงไม่เหมือนเดิมแล้ว…”
“ข้ายังเหมือนเดิมก็พอแล้วไม่ใช่รึ คนเหล่านั้นสับสนวุ่นวายนัก จะสนใจเขาทำไมกัน” ฉู่เฟยหยางกอดจวินซูอิ่งจากทางด้านหลัง วางคางไว้บนไหล่เขา
จวินซูอิ่งถูกคำพูดอวดดีประโยคนี้ก่อกวนจนไม่เหลือความปลงตกเสียใจอะไรแล้ว ส่งเสียงหึขึ้นแล้วเอ่ย “ใช่ จอมยุทธ์ฉู่ไม่เปลี่ยนมาโดยตลอดจริงๆ ยังคงเป็นสัตบุรุษต่อหน้า จองหองอวดดีลับหลังเช่นเดิม”
“ขอบคุณคำชื่นชมของคุณชายจวิน เช่นนั้น…ไม่ทราบว่าคุณชายชอบข้าน้อยที่เป็นสัตบุรุษ หรือรักข้าน้อยที่จองหองอวดดีมากกว่ากันหรือ”
ยังไม่ทันได้คำตอบจากจวินซูอิ่ง จู่ๆ รถม้าก็โคลงเคลงแล้วหยุดลง ด้านหน้ามีเสียงคำรามของเจียงซานดังขึ้น “พวกเจ้าเป็นใครกัน! กล้าบุกปล้นยามกลางวันแสกๆ เลยรึ!”
ฉู่เฟยหยางและจวินซูอิ่งมองหน้ากัน ต่างเห็นความมึนงงในสายตาของอีกฝ่าย
“หรือเป็นหมู่บ้านตระกูลหูนั่น” จวินซูอิ่งเอ่ยอย่างสงสัย “ตอนนั้นไม่ใช่ว่าถูกเจ้าสังหารจนหมดไม่เหลือสักคนแล้วรึ หรือยังมีคนรอดไปได้”
“แม้ความจริงเป็นเช่นนั้น แต่พอปากเจ้าพูดออกมา เหตุใดก็ดูไม่ถูกต้องแล้วล่ะ” ฉู่เฟยหยางส่งเสียงจิ๊จ๊ะ “นั่นข้ากำจัดสิ่งไม่ดีรักษาคุณธรรม เจ้าพูดสิ่งนี้ ฟังอย่างไรก็ดูว่าโหดเหี้ยมเหลือเกิน”
จวินซูอิ่งส่งเสียงหึ “เจ้าย่อมฟังไม่รื่นหู ปากกล่าวถูกต้องเป็นธรรมในยามปกติ พูดกันแล้ว ความสำเร็จอันรุ่งโรจน์เหล่านั้นของจอมยุทธ์ฉู่ ล้วนใช้ชีวิตคนรวบรวมขึ้นมา หากคำนวณให้ชัดเจน คนที่เจ้าสังหารล้วนมากกว่าผู้ใด กลับนำคุณธรรมศีลธรรมเหล่านั้นมาบังคับข้า ติเตียนเรื่องที่ข้าเคยกระทำอย่างไร้เหตุผล”
“นี่ ไม่ใช่ว่าทำให้เจ้าขุ่นเคืองแล้วหรอกนะ” ฉู่เฟยหยางยิ้มเจ้าเล่ห์ ยื่นสองนิ้วบีบคางของจวินซูอิ่ง ให้ใบหน้าของเขาหันมาหาตน “เจ้าสะสมความแค้นมานานแล้วกระมัง มานี่ ให้ข้าดูหน่อยว่ามีความน้อยใจมากน้อยเท่าใด”
จวินซูอิ่งปัดมือที่จับไว้เบาๆ ของฉู่เฟยหยาง ก่อนจะดิ้นออกจากแขนที่โอบเอวตนไว้ แล้วลุกขึ้นเอ่ย “ไม่รู้จักหนักเบาจริงๆ เวลาเช่นนี้ยังมีใจมาเล่นตลก ข้าจะออกไปดูว่าเป็นใคร”
“เจ้าวางใจเถิด ไม่มีทางเป็นคนของหมู่บ้านตระกูลหูหรอก โจรภูเขาเหล่านั้นโหดเหี้ยมอำมหิต หากพบพวกเขาจริง เจียงซานน่าจะไม่มีชีวิตรอดแล้ว จะยังสามารถตะโกนอยู่ด้านนอกได้อีกหรือ” ฉู่เฟยหยางพิงผนังรถม้า ไม่รีบร้อนแม้แต่น้อย
“ไม่มีหมู่บ้านตระกูลหู ยังมีหมู่บ้านตระกูลจาง หมู่บ้านตระกูลหลี่ ที่นี่เป็นเขตของตระกูลเหมย มีสิ่งใดล้วนถูกตระกูลเหมยฉวยผลประโยชน์ไปแล้ว พื้นที่เลวร้ายย่อมไม่ขาดแคลนโจรภูเขา” จวินซูอิ่งเอ่ยพลางแหวกม่านออกไป
ฉู่เฟยหยางยิ้มอยู่ในรถม้าคนเดียวอย่างเบิกบานใจยิ่ง ด้านหนึ่งคิดถึงว่าไม่กี่ปีมานี้จวินซูอิ่งใกล้ชาดติดสีแดง [5] ไปจากเขา ความคิดการกระทำนับวันยิ่งคล้ายคลึงเขา ด้านหนึ่งฟังน้ำเสียงไร้ไมตรียามจวินซูอิ่งกล่าวถึงตระกูลเหมย ก็ไม่รู้ว่าในนั้นมีกี่ส่วนที่เป็นเพราะคุณหนูตระกูลเหมยซึ่งเคยมีความสัมพันธ์อันดีกับเขาในวันวาน
จวินซูอิ่งกระโดดลงจากรถม้า เพราะเจียงซานล่ามรถสองคันไว้ด้วยกัน เขาต้องอ้อมผ่านรถม้าคันแรก จึงมองเห็นสถานการณ์เบื้องหน้า
เห็นเพียงบุรุษแต่งกายเช่นนักสู้สิบกว่าคนยืนเรียงแถวริมทาง สองคนด้านหน้าแบกธงสองหน้า คลี่สะบัดท่ามกลางลมหนาว อักษร “เวิน” ตัวใหญ่หนึ่งตัวปรากฏอยู่บนนั้น
หากไม่ใช่เพราะนักสู้ที่ดุร้ายเหล่านั้นวางถังใบใหญ่จำนวนหนึ่งไว้ใกล้ตัว อีกทั้งริมถนนยังเต็มไปด้วยคนธรรมดาที่เสื้อผ้ามอมแมม ทั้งเฒ่าทั้งเด็ก กำลังกล่าวขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจกับนักสู้ตัวสูงที่ถือดาบพกขวานเหล่านั้น ท่าทางเหล่านี้ก็คล้ายกับการขวางถนนปล้นสะดมยิ่งนัก
เจียงซานและฉู่อวิ๋นเฟยกำลังพูดคุยบางอย่างกับบุรุษหนึ่งในนั้น จวินซูอิ่งเดินเข้าไป ก็พบกับสายคมกริบดุจมีดพอดี เขาตกตะลึงไปชั่วขณะ เห็นชัดว่าที่อยู่ภายใต้การห่อหุ้มของผ้าเนื้อหยาบเป็นชายร่างสูงโปร่งผู้หนึ่ง ผมยาวดำสนิทดุจน้ำหมึก ใช้กิ่งไม้อันหนึ่งปักไว้ ก่อนจะปล่อยผมให้สยายออก
แม้การแต่งกายจะเหมือนกัน บุรุษผู้นั้นกลับมีท่วงท่าและลักษณะพิเศษแตกต่างจากคนอื่นสิ้นเชิง ทำให้คนแยกแยะได้อย่างง่ายดายว่าเขาคือผู้นำของคนกลุ่มนี้
อารมณ์ร้ายที่เจียงซานอดทนกับฉู่เฟยหยางมาตลอด ทำให้ความอดทนของเขาใกล้หมดลงแล้ว เขาจึงแสดงท่าทางไร้ไมตรีจิตกับบุรุษที่ขวางทาง สั่งให้อีกฝ่ายเคลื่อนย้ายลูกน้องออกและเปิดทางให้อย่างหัวเสีย
กลับเป็นฉู่อวิ๋นเฟยที่มองออกแล้วว่าคนที่อยู่ทั่วทุกมุมกลุ่มนี้ แท้จริงแล้วกำลังแบ่งข้าวแจกจ่ายเสื้อผ้าแก่เหล่าคนทุกข์ยาก มีกระทั่งเงินตำลึงและทองแดง แม้ในใจจะสงสัยถึงที่มาของพวกเขา แต่ก็เห็นด้วยกับการทำดียิ่งนัก จึงโน้มน้าวเจียงซานไม่ให้หาเรื่องทะเลาะไร้เหตุผล รอพวกเขาแจกจ่ายของเสร็จค่อยเดินทางก็ไม่สาย
“รอพวกเขารึ!” เจียงซานรีบร้อนจนดวงตาลุกโชน เอ่ยอย่างโมโห “เจ้าลองดูว่ายังมีคนรออยู่อีกเท่าไหร่! ต่อให้ฟ้ามืดพวกเขาก็แจกไม่เสร็จหรอก!” ก่อนจะเอ่ยกับบุรุษผมยาวที่นิ่งเงียบมาโดยตลอด “พี่ชายท่านนี้ ท่านอยากทำดีก็เป็นเรื่องที่ดี เป็นเรื่องดีอย่างยิ่ง! แต่อย่าขวางทางได้หรือไม่!”
ฉู่อวิ๋นเฟยเอ่ยกับเจียงซานอย่างหมดความอดทน “เจ้าพอได้แล้ว! เห็นชัดว่าคนอื่นกำลังทำดี เหตุใดเจ้าจึงต้องการให้คนอื่นหยุดทำความดีเพื่อให้ทางกับเจ้า เพื่อความละโมภเงินทองของเจ้าด้วย! เหล่าคนน่าสงสารมีมากมายขนาดนั้น เจ้ารอสักหน่อยจะเป็นอะไรไป!”
เจียงซานหัวเราะเสียงเย็นคราหนึ่ง แล้วเอ่ย “เจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม เจ้ารู้อะไรบ้างรึ ที่นี่เป็นถนนหลวง ที่ราชสำนักใช้เดินทาง พ่อค้าใช้สัญจร ที่ใช้มากที่สุดคือใครงั้นรึ ก็คือพ่อค้าที่พกทองบรรทุกสินค้า เห็นชัดว่าเขาให้คนของเขาแจกจ่ายของที่ริมถนนได้ แต่ตอนนี้มาขวางอยู่กลางถนนเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าตั้งใจขวางทางแล้วจะคืออะไร! ผีสางก็รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร!”
“เจ้า! จิตใจเลวทราม! ไม่มีเหตุผล!” ฉู่อวิ๋นเฟยเอ่ยอย่างโมโห
เจียงซานกลับไม่สนใจ หันไปกล่าวกับบุรุษผู้นั้นต่อ “ตอนนี้ข้าจะบอกท่านให้เข้าใจ ไม่ว่าท่านจะเป็นผีหัววัวเทพตัวงู [6] หรืออะไร บนรถม้าท่านนี้ ท่านก็แหย่ไม่ได้ ทางที่ดีท่านรีบหลีกทางเถิด จากนั้นท่านใคร่จะทำความดีก็ดี บุกปล้นก็ได้ ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา”
ยามนี้บุรุษที่เงียบมาตลอดผู้นั้นมองจวินซูอิ่ง ก่อนจะมองฉู่อวิ๋นเฟย ในเบ้าตาที่ลึกกว่าใครบนใบหน้าที่เครื่องหน้าคมชัดของเขา คือลูกตาที่ดำดุจน้ำหมึกเช่นเดียวกัน สายตาที่มีความพินิจพิจารณาทำให้ฝ่ายตรงข้ามเสียวสันหลัง ลางสังหรณ์จากการฝึกฝนวรยุทธ์มาหลายปีทำให้ฉู่อวิ๋นเฟยอดที่จะระวังตัวขึ้นไม่ได้ กระทั่งจวินซูอิ่งเองก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยเช่นกัน
ตอนนี้บุรุษผู้นั้นกลับยกมือข้างหนึ่งขึ้นสูง คนที่อยู่ด้านหลังเขาเคลื่อนย้ายไปด้านข้างสองฝั่งทันที จึงเกิดช่องถนนตรงกลาง
เจียงซานตะโกนให้จวินซูอิ่งและฉู่อวิ๋นเฟยขึ้นรถม้า ส่วนตนนั่งอยู่หัวรถ สะบัดแส้ควบม้าเร่งเดินหน้า
จวินซูอิ่งและฉู่อวิ๋นเฟยกลับขึ้นรถม้า เห็นฉู่เฟยหยางแหวกม่านมองด้านนอกพอดี คนที่ยืนอยู่ริมถนนห่างไกลออกไป ตามการวิ่งกุกกักไปข้างหน้าของรถม้า
บรรดานักสู้ตัวสูงยังคงใบหน้าเคร่งขรึมไร้อารมณ์ เหล่าผู้ทุกข์ยากที่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งเหล่านั้นก็ส่งสายตาขุ่นมัวมายังรถม้าตรงหน้าที่ค่อยๆ เคลื่อนผ่านไป การจับจ้องที่ตั้งใจมากเกินไป ทำให้บนใบหน้าด้านชาเหล่านั้นคล้ายกับมีสีหน้าท่าทางแปลกประหลาด
“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะกล่าวได้แม่นยำจริงๆ” ฉู่เฟยหยางปล่อยม่าน แล้วยิ้มเอ่ยอย่างขมขื่นให้จวินซูอิ่ง “แต่เดิมที่นี่นับว่าเป็นที่ที่สงบสุข คาดไม่ถึงว่าตอนนี้จะมีเหล่าคนทุกข์ยากพลัดถิ่นมากถึงเพียงนี้”
จวินซูอิ่งส่งเสียงหึแล้วเอ่ย “ข้าเคยพูดไปแล้ว ตระกูลเหมยไม่ใช่คนดีอะไร ความสามารถในการเก็บรวมเงินอย่างไม่ชอบธรรมของเหมยเซี่ยง เจ้าไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็น ยิ่งกว่านั้นเขาก็ไม่ใช่คนที่มีจิตใจดี”
“นี่…อาจจะไม่ใช่เพราะตระกูลเหมยก็ได้” ฉู่เฟยหยางเอ่ยอย่างไม่มั่นใจ
จวินซูอิ่งหัวเราะเย็นชาหนหนึ่ง “เจ้ายังห่วงใยคิดถึงมิตรภาพในวันเก่าจริงๆ”
ฉู่เฟยหยางลูบจมูกโด่งพลางถอนหายใจ “หากเป็นเช่นนั้นจริง ดูท่าต้องไปเยือนตระกูลเหมยสักครั้งแล้ว”
เสียงซี๊ดของเจียงซานดังมา…อาจโกรธจนเท้ากระตุกกระมัง ฉู่อวิ๋นเฟยอยู่ข้างๆ ไม่เอ่ยแทรกบทสนทนา ได้ยินฉู่เฟยหยางเอ่ยว่าต้องไปที่ใดสักแห่งอีก คิดแล้วอาจจะล่าช้าไปอีกหลายวัน ใจที่ซื่อตรงเกินไปถึงขั้นเห็นใจเจียงซานขึ้นมาเล็กน้อย
เจียงซานเร่งรถม้า เดินทางได้อีกไม่ไกล จู่ๆ ก็เห็นกลุ่มคนชุดดำปรากฏอยู่เบื้องหน้าขวางอยู่กลางถนนอีกครั้ง
เจียงซานถูกอุปสรรคตลอดทางยุแหย่จนหมดความอดทน เขาไม่หยุดรถม้าง่ายๆ คิดจะควบม้าพุ่งเข้าไปตรงๆ
เกิดเสียงดังปัก ลูกธนูขนนกดอกหนึ่งปักบนกรอบรถม้า หางลูกธนูสั่นเล็กน้อยอยู่ข้างใบหน้าเจียงซาน
เจียงซานกวาดเหงื่อเย็นที่ไหลออกมาท่วมตัว รีบหยุดม้าทันที เขาหันกลับไปมองลูกธนูที่สะท้อนแสงเย็นวับนั่นอย่างหวั่นกลัว หากศรเอียงอีกสักหน่อย คงไม่ปักลงบนกรอบไม้ของรถม้า แต่ปักลงบนหัวของเขา
“เป็นอะไรอีกรึ” ฉู่อวิ๋นเฟยส่งเสียงฮึดฮัดพร้อมโผล่ออกมา พลันถูกการต่อสู้หนักหน่วงตรงหน้าทำให้ตกใจจนแน่นิ่ง
บนถนนกว้างตรงหน้า เต็มไปด้วยกลุ่มคนร่างกายสูงใหญ่ ทั้งหมดล้วนกำลังขี่ม้าตัวใหญ่ มองแล้วถึงกับนับไม่ชัดเจนว่ามีจำนวนเท่าใด เมื่อมองอย่างละเอียด การแต่งกายของคนเหล่านี้คาดไม่ถึงว่าจะคล้ายกับกลุ่มคนที่พบเมื่อครู่อย่างมาก
ฉู่อวิ๋นเฟยรู้สึกถึงลมระลอกหนึ่งพัดผ่านข้างกาย เมื่อหันไปมอง ฉู่เฟยหยางและจวินซูอิ่งก็มายืนเคียงไหล่เขาแล้ว
“พี่ใหญ่ฉู่ คนกลุ่มนี้และพวกคนเมื่อครู่สวมชุดคล้ายกันยิ่งนัก ต้องมีความเกี่ยวข้องกันแน่” ฉู่อวิ๋นเฟยเอ่ยอย่างจริงจัง
“ย่อมมีความเกี่ยวข้องเป็นคนกลุ่มเดียวกันแน่นอน” ฉู่เฟยหยางพยักหน้า
“ท่านรู้ได้อย่างไร” ฉู่อวิ๋นเฟยเอ่ยอย่างประหลาดใจ
ฉู่เฟยหยางคลอนศีรษะอย่างระอา ชี้ไปทางธงสองอันที่คนกลุ่มนั้นแบกอยู่
ฉู่อวิ๋นเฟยหันตามไป แม้ว่าธงไม่ได้คลี่ออก แต่อักษร “เวิน” ตัวใหญ่สองตัวก็ยังพอแยกแยะได้
“อ้อ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” ฉู่อวิ๋นเฟยจับหัวอย่างเก้อเขิน
“…เขาออกมาท่องยุทธภพทั้งเช่นนี้จะไม่เป็นไรจริงๆ หรือ” จวินซูอิ่งเอ่ยถามฉู่เฟยหยางด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
ฉู่เฟยหยางมองฉู่อวิ๋นเฟยอย่างเมตตาครู่หนึ่ง เอ่ยกับจวินซูอิ่งว่า “ไม่เป็นไร คนโง่ก็มีวาสนาของคนโง่”
“…” ฉู่อวิ๋นเฟยมองสองคนที่ไม่รู้ว่าเอาเขาไปหัวเราะเยาะหรือเปล่าตาปริบๆ ดูน่าสงสารยิ่งนัก
“จอมยุทธ์ฉู่ คนพวกนี้จะลงมือจริงๆ แล้ว! ท่านไปจัดการเถิด” เจียงซานวิ่งมาด้านหลังฉู่เฟยหยางด้วยสีหน้าลนลาน แล้วผลักเขาไปด้านหน้า
ฉู่อวิ๋นเฟยหยิบกระบี่จากรถม้า แล้วชักกระบี่ออกมา โยนฝักกระบี่ทิ้งด้วยท่าทางภูมิใจสูงเสียดฟ้า เดินไปด้านหน้าเอ่ยถ้อยคำที่ถูกต้องมีเหตุผล “ไม่ว่าพวกท่านจะเล่นอะไรกันอยู่ หากต้องการทำเรื่องเลวอย่างขวางทางบุกปล้น ข้าไม่ปล่อยไปเด็ดขาด!”
ท่ามกลางกลุ่มคนด้านหน้า คนผู้หนึ่งขี่ม้าแหวกฝูงชนออกมา ม้าที่เขาขี่เดินมาถึงตรงกลางของทั้งสองฝั่งอย่างช้าๆ ส่งเสียงหึเยาะเย้ยฉู่อวิ๋นเฟย “คำพูดคำจาไม่เบา เจ้าตำแหน่งใดรึ!”
หลังจากฉู่อวิ๋นเฟยเห็นหน้าตาคนผู้นั้นชัดเจนแล้ว ก็ตกตะลึงถึงกับลืมตอบคำถามชั่วขณะ
เสื้อผ้าที่คนผู้นั้นสวมทั้งตัวเห็นได้ชัดว่าแตกต่างจากผู้อื่นเล็กน้อย โดยเฉพาะเนื้อผ้าขนสัตว์ที่ดีกว่า การตัดเย็บที่พิถีพิถันกว่า ขนสัตว์ที่อ่อนนุ่มห่อหุ้มคนผู้นั้นตั้งแต่หัวจรดเท้า เผยเพียงใบหน้างดงาม ดวงตาสุกใส ฟันขาวสะอาด เส้นผมสีดำหลายกลุ่มลู่ลงข้างแก้ม รูปลักษณ์ที่ละเอียดงดงามใช้ประโยชน์จากเสื้อผ้าเนื้อหยาบ ขับให้ลักษณะที่แตกต่างดูเด่นชัดขึ้น
“สะ…สตรีหรือ!” ฉู่อวิ๋นเฟยอ้าปากค้าง ตั้งแต่เด็กถูกสั่งสอนให้สุภาพอ่อนโยนต่อเพศตรงข้าม เขาถึงกับไปต่อไม่ถูกเมื่อต้องเผชิญหน้ากับโจรภูเขาที่เป็นสตรี
“สตรีหรือ” คนตรงหน้าหรี่ตา สายตาคมกริบดุจมีดราวกรีดลงบนใบหน้าของฉู่อวิ๋นเฟยไปมาหลายครั้ง ยามที่ฉู่อวิ๋นเฟยถูกมองจนอึดอัดขึ้นเรื่อยๆ จู่ๆ คนผู้นั้นก็คลี่รอยยิ้ม ยกมือดึงปมชุดบนตัว “พี่ชายท่านนี้ ท่านอยากลองชม ‘สตรี’ หรือไม่ ว่าเป็นอย่างไร” เอ่ยพลางกระตุกเบาๆ เสื้อคลุมขนสัตว์ที่เดิมห่อหุ้มบนร่างผอมเพรียวก็ร่วงหล่นลงดังพรึ่บ
หางตาฉู่อวิ๋นเฟยเห็นเพียงความขาวผ่องบนต้นคอ ก็ลนลานหมุนตัวหลับตาปี๋ทันที ปากเอ่ย “แม่นางทำอะไรรึ บุรุษมากมายเช่นนี้ ท่านรีบสวมเสื้อให้ดีเถิด”
“แต่ ‘แม่นาง’ เช่นข้าไม่ชื่นชอบการสวมเสื้อ!” น้ำเสียงใสนั่นหัวเราะเย็นชาครู่หนึ่ง กัดฟันเอ่ย
ด้านนี้ฉู่เฟยหยางและจวินซูอิ่งมองเห็นชัดแล้ว คนผู้นั้นเห็นชัดเจนว่าเป็นบุรุษ ด้านในเสื้อคลุมก็สวมชุดสั้นสำหรับฝึกยุทธ์ ฉู่อวิ๋นเฟยทำตัวเหมือนนกกระจอกเทศ [7] ปฏิบัติตามบรรทัดฐานของสัตบุรุษที่ว่าสิ่งไม่เหมาะสมไม่ควรดู บุรุษผู้นั้นกลับฉวยโอกาสช่วงนี้หันศีรษะลงมือทันที แส้คมสายหนึ่งแหวกอากาศเข้ามา
“เจ้าโง่ผู้นี้นี่นะ” ฉู่เฟยหยางถอนหายใจ ลงมือฉับพลันเช่นกัน พริบตาเดียวก็มาถึงด้านหน้าฉู่อวิ๋นเฟย ขวางแส้เส้นนั้นไว้กลางอากาศ
คนผู้นั้นเบิกตากว้าง เห็นชัดว่าคิดไม่ถึงว่าฉู่เฟยหยางจะ…มาเร็วขนาดนี้
มุมปากฉู่เฟยหยางคลี่ยิ้มเล็กน้อย ดึงแส้ไว้ ต้องการให้คนผู้นั้นลงจากม้า
ตอนนี้เอง จู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนขึ้นด้านหลัง “ท่านประมุขใหญ่ รีบยั้งมือเสีย!”
บุรุษผู้นั้นได้ยินก็ปล่อยอาวุธทันที ฉู่เฟยหยางเมื่อรู้สึกว่าแรงดึงคลายลง ก็ดึงแส้เข้ามา
ยามนี้เงากายสูงโปร่งร่างหนึ่งยืนขวางอยู่ด้านหน้าบุรุษผู้นั้น ผมยาวสีดำดุจน้ำหมึกปลิวไสว คือคนผู้นั้นที่เพิ่งพบกันเมื่อครู่
“ดูสิ ข้ากะแล้วคนผู้นี้มีปัญหา!” เจียงซานร้องขึ้นจากทางด้านหลัง
ฉู่เฟยหยางลอยร่อนลงพื้น เก็บแส้ไว้ในมือ ประสานมือคำนับทางสองคนด้านหน้า “ข้าน้อยฉู่เฟยหยางแห่งสำนักกระบี่ชิงเฟิง ตอนนี้ออกเดินทางติดตามสหาย เป็นเพราะมีธุระจริงๆ ไม่ทราบสองท่านขวางทางครั้งแล้วครั้งเล่า มีแผนการอันใดกันหรือ”
บุรุษผมยาวสีดำสนิทผู้นั้นกลับไม่ตอบ เพียงเอ่ยเสียงดุดันใส่คนที่สวมเสื้อผ้าไม่เรียบร้อยอยู่บนม้าข้างกาย “ท่านประมุขใหญ่ ข้าให้คนมาแจ้งข่าวชัดเจนแล้วว่าไม่อาจขวางทางบุกปล้นได้ตลอดเส้นทางนี้ เหตุใดท่านจึงไม่ฟัง!”
ถูกสั่งสอนท่ามกลางผู้คนเช่นนี้ ใบหน้าของท่านประมุขใหญ่ก็ทนไม่ไหว “เหยียนจื่อหรง! เจ้าหุบปาก! หมู่บ้านตระกูลเวินนี้ ข้าเวินหานต่างหากที่เป็นท่านประมุขใหญ่! เจ้ามีสิทธิอันใดให้ข้าเชื่อฟังเจ้าอยู่ตลอด!”
บุรุษที่ถูกเรียกว่าเหยียนจื่อหรงสีหน้าครึ้มเข้มขึ้น ลูกตาสีน้ำหมึกก็ยิ่งมืดลึกขึ้นด้วย
“อีกอย่าง” เวินหานผู้นั้นมองฉู่เฟยหยาง เอ่ยต่ออย่างเหยียดหยาม “สำนักกระบี่ชิงเฟิงอะไร ฉู่เฟยหยางอะไร ล้วนไม่เคยได้ยินมาก่อน ข้ากลับอยากลองดูเสียหน่อยว่าเขามีความสามารถเพียงใด มาให้หมู่บ้านตระกูลเวินของพวกเราหลีกทางให้!”
ยามนี้จวินซูอิ่งเดินมาอยู่ข้างกายฉู่เฟยหยางแล้ว ฉู่เฟยหยางมองสองคนที่ขัดแย้งกันเองด้านหน้า เอ่ยกระซิบกับจวินซูอิ่ง “เจ้าดูสิ ยังมีคนที่เชื่องช้ากว่าอวิ๋นเฟยของพวกเราอีก ไม่เคยได้ยินกระทั่งชื่อของข้าก็ยังสามารถเป็นโจรได้”
จวินซูอิ่งปรายตามองเขาครู่หนึ่ง ไม่คิดกล่าวอะไรกับความอวดดีและหลงตัวเองของคนผู้นี้อีกแล้ว
ฉู่เฟยหยางยื่นมือตบฉู่อวิ๋นเฟยที่ยังคงหลบหน้าเป็นนกกระจอกเทศ เอ่ยอย่างขำขัน “เจ้าตัวแสบ เจ้าจะหลบหน้าถึงเมื่อไหร่หรือ ตั้งสติหน่อย พวกเรายังต้องพึ่งจอมยุทธ์ฉู่อวิ๋นเฟยอย่างเจ้าข้ามผ่านด่านนี้ไปนะ”
รู้สึกว่าตนเองคล้ายถูกหัวเราะเยาะอีกครั้ง ฉู่อวิ๋นเฟยก็ก้มหน้าหมุนตัวกลับมา เหลือบมอง “สตรี” ผู้นั้น พบว่าแผ่นอกเขาราบเรียบก็ถอนหายใจทันที กลับกลายเป็นโมโหที่ถูกคนผู้นี้หยอกล้อ
ยามนี้สองคนเบื้องหน้าเหมือนรู้สึกตัวแล้วเช่นกันว่าไม่ใช่เวลาขัดแย้งกันเอง เหยียนจื่อหรงทำความเคารพตอบฉู่เฟยหยางแล้วเอ่ย “ชื่นชมจอมยุทธ์ฉู่มานาน ช่วงนี้ชาวบ้านส่วนใหญ่พลัดถิ่นอาศัยจึงทุกข์ยากยิ่งนัก หมู่บ้านตระกูลเวินของข้ากระทำเพียงปล้นคนรวยช่วยคนจนมาตลอด แต่ไหนแต่ไรมาก็ปล้นเพียงเงินทองสกปรก เรื่องวันนี้เป็นความเข้าใจผิด หวังว่าจอมยุทธ์ฉู่จะไม่คิดเล็กคิดน้อย” เขากล่าวอย่างสุภาพ ใบหน้ากลับแสดงอารมณ์เพียงเล็กน้อย แลดูเย็นชาเหลือเกิน
ฉู่เฟยหยางไม่คิดเล็กคิดน้อยเรื่องนี้เช่นกัน เขายังต้องการรีบไปตระกูลเหมย ดูว่าสองสามปีมานี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ไม่คิดอยากเสียเวลาอยู่ที่นี่นานนัก จึงยิ้มแล้วเอ่ย “ในเมื่อเป็นการเข้าใจผิด ข้าน้อยย่อมไม่ติดใจ ท่านทั้งสองโปรดถอนลูกน้องกลับ ให้พวกข้าผ่านทางเถิด”
เหยียนจื่อหรงพยักหน้า สั่งให้ลูกน้องหลีกทาง เวินหานที่เงียบมาตลอดกลับเอ่ยเสียงสูง “ช้าก่อน! คนอื่นไปได้ เด็กคนนั้นให้รั้งอยู่! ชีวิตของข้าเวินหาน เกลียดชังคนที่เห็นข้าเป็นสตรีที่สุด! ข้าต้องควักลูกตาเด็กคนนี้ออกมา ตัดลิ้นของเขา จึงจะหายใจคล่อง!”
ฉู่อวิ๋นเฟยมองซ้ายขวาจึงรู้ตัวว่าที่อีกฝ่ายพูดถึงคือตนเอง และสายตาดุร้ายของบุรุษงามก็จับจ้องอยู่ที่เขา ทำให้มีความรู้สึกราวกับถูกอสรพิษจ้องมอง
“มีสิทธิ์อะไรกัน!” ฉู่อวิ๋นเฟยตะโกนอย่างไม่ได้รับความยุติธรรม “ใครให้เจ้าหน้าตาเหมือนสตรีขนาดนั้นเองเล่า! อีกอย่าง ตอนที่ข้ากล่าวว่าเจ้าเป็นสตรี เจ้าก็ไม่ปฏิเสธ! และอีกอย่าง คนที่ไหนจะควักลูกตาตัดลิ้นคนเพราะถูกผู้อื่นเข้าใจผิดว่าเป็นสตรีหรือ! ใจแคบเช่นนี้ ก็เหมือนสตรีแท้ๆ เลย!”
ทุกครั้งที่ฉู่อวิ๋นเฟยพูดคำว่า “สตรี” สีหน้าเวินหานก็ครึ้มเข้มขึ้นทีละส่วน จนในที่สุดก็ดำราวกับก้นหม้อ
“พูดจบแล้วหรือ!” มุมปากเวินหานแสยะรอยยิ้มดุร้าย หากกล่าวว่าเมื่อครู่เขาโกรธแล้วพาลเพียงเพราะไม่พอใจเหยียนจื่อหรง เช่นนั้นตอนนี้เขาก็โกรธจริงๆ แล้ว
เขาเอ่ยทีละคำกับเด็กหนุ่มใบหน้าโง่งมและใสซื่อบริสุทธิ์ตรงหน้า “เจ้า จบ แล้ว!”
[1] หรือ ขนมิงค์
[2] อุปมาถึงการกระทำที่ไม่ยอมรับคำตำหนิของอีกฝ่าย กลับตำหนิอีกฝ่ายแทน
[3] หมายถึง เวลาสาย
[4] ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง
[5] มาจากสำนวน “คนใกล้ชาดติดสีแดง คนใกล้หมึกติดสีดำ” หมายถึง อยู่ใกล้กับอะไรก็จะเป็นเช่นนั้น
[6] ใช้บรรยายสิ่งพิลึก เปรียบเทียบกับคนเลวทุกประเภท
[7] อุปมาถึงคนที่คิดว่าถ้าไม่เผชิญหน้ากับอันตรายก็จะหลบภัยพ้น