[ทดลองอ่าน] คุณทนายความขั้นหนึ่ง ตอนที่ 2.1

一级律师
คุณทนายความขั้นหนึ่ง

 

木苏里 มู่ซูหลี่ เขียน
isamare แปล
溫捌 เวินปา วาด

 

— โปรย —

เมื่อหลายเดือนก่อน เยียนสุยจือ ยังดำรงตำแหน่งทนายความขั้นหนึ่ง
ทั้งยังรับผิดชอบตำแหน่งคณบดีคณะนิติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเมซระหว่างดวงดาวอย่างสง่าผ่าเผยอยู่เลย
ไม่ทันไร ก็กลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัวและ ‘คนตาย’ ไปเสียแล้ว
เขาที่ถูกพาดหัวข่าวว่าเป็นผู้เคราะห์ร้ายจากเหตุวางระเบิด
ได้บุคคลปริศนายื่นมือเข้ามาช่วยผ่าตัดปรับแต่งยีน ปรับเปลี่ยนใบหน้า สรีระและลดอายุ
จนอยู่ในรูปลักษณ์ของนักศึกษาจบใหม่ พร้อมบัตรประชาชนปลอมที่ใช้ชื่อว่า ‘หร่วนเหยี่ย
ตัดสินใจสืบเรื่องคดีวางระเบิดของตัวเอง โดยแฝงตัวไปเป็นเด็กฝึกงาน
ในสำนักงานเซาธ์ครอสส์ซึ่งเป็นสำนักกฎหมายที่รับผิดชอบคดีนี้
ณ ที่นั้น เขาดันได้เจอกับ กู้เยี่ยน ลูกศิษย์จอมหน้าตายของตัวเองที่ความสัมพันธ์ไม่ลงรอย
อีกทั้งยังต้องเข้าไปเป็นเด็กฝึกงานในความดูแลของอีกฝ่ายที่ไม่เต็มใจจะอยู่ร่วมกันสักนิด

ไม่คิดจะรับเด็กฝึกงานงั้นเหรอ บังเอิญจัง ฉันก็คิดแบบนี้เหมือนกัน
ความจริงแล้วนายจะส่งฉันไปให้ทนายคนอื่นก็ได้ ขอแค่ไม่ต้องอยู่ที่นี่ ที่ไหนฉันก็โอเคทั้งนั้น

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 2.1

เด็กฝึกงาน

 

โครงสร้างสำนักงานกฎหมายเซาธ์ครอสส์เป็นรูปแบบที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดภายใต้ระเบียบข้อบังคับองค์กรในปัจจุบัน เนื่องจากลักษณะการทำงานโดยทั่วไปนั้น ทนายแต่ละคนค่อนข้างอยู่เป็นเอกเทศ ดังนั้นเวลาทำงานพวกเขาจึงไม่ข้องเกี่ยวกัน หนึ่งคนต่อหนึ่งห้องทำงานใหญ่ของตัวเอง เมื่อประตูบานใหญ่ปิดลงก็กั้นคนอื่น ๆ ไว้ข้างนอก หากไม่มีสถานการณ์พิเศษอะไร โดยปกติแล้วก็จะไม่ถูกรบกวน

สำหรับบรรยากาศห้องทำงานประเภท ‘แสร้งหูหนวก ใครหน้าไหนก็อย่ามากวนฉัน’ แบบนี้ เยียนสุยจือปรับตัวได้นานหลายปีแล้ว เพียงแต่คุณฟิซซ์ไม่ทราบเท่านั้นเอง

ดังนั้นก่อนขนข้าวของเข้ามาในห้องทำงานห้องนี้ คุณฟิซซ์ลากเขามาคุยเบา ๆ ตรงด้านข้างโดยเฉพาะ “ต้องอาศัยห้องทำงานร่วมกับทนายว่าความคงอึดอัดแน่ ๆ เด็กฝึกงานใหม่ต้องมีเกร็งกันบ้าง ฉันเข้าใจดี ปีก่อนมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเพิ่งเข้ามาวันแรก ถึงขั้นไม่กล้าแม้แต่จะไปห้องน้ำ ฉันจำได้ว่าเจอเขาตอนเที่ยง หน้าเขาเขียวซีดไปหมด ฉันถามว่าเป็นอะไร เขาบอกว่าห้องทำงานปิดสนิทแถมยังเงียบ กลัวว่าเกิดขยับเล็กน้อยจะรบกวนสมาธิอาจารย์เอาได้”

“ความตั้งใจนั้นน่านับถือจริง ๆ” เยียนสุยจือชม

“อย่าพูดเป็นเล่นไป” คุณฟิซซ์กำชับต่ออีกครั้ง “ในอนาคต บางทีช่วงเวลาที่นายต้องติดตามทนายกู้ออกไปข้างนอกยังน้อยกว่าเวลาอยู่ในห้องทำงานซะอีก แต่ฉันหวังว่านายจะยังรู้สึกได้ว่าเป็นเจ้าของห้องนี้ ถึงแม้ว่าโต๊ะทำงานของนายใหญ่ไม่เท่าทนายกู้ แต่มันก็คือห้องทำงานของนาย อย่างน้อยพื้นที่หนึ่งในสามก็เป็นของนาย เชิญใช้ได้ตามสบายเลย ไม่ต้องเกรงใจอะไรทั้งนั้น มั่นใจเข้าไว้ล่ะ”

ไม่รู้เธอรู้ตัวหรือเปล่า แต่เยียนสุยจือกลับรู้สึกว่าตอนที่อีกฝ่ายพูดถ้อยคำเหล่านั้นออกมา น้ำเสียงเหมือนกับกำลังกล่าวถ้อยคำไว้อาลัยอย่างไรอย่างนั้น

แต่เห็นได้ชัดว่าคุณฟิซซ์กังวลมากแค่ไหน เยียนสุยจือไม่เพียงมั่นใจมาก แต่ยังเกือบจะพลิกเบี้ยล่างให้กลายเป็นเบี้ยบนด้วยซ้ำ

เขามักเผลอคิดว่านี่เป็นห้องทำงานของตัวเองอยู่เรื่อย ตำแหน่งของเขาคือทนายว่าความ และนักศึกษากู้ที่กำลังดื่มกาแฟด้วยใบหน้าบึ้งตึงเยื้องกันข้างหน้าต่างหากคือเด็กฝึกงานที่เขาไม่เต็มใจรับเข้ามาเพิ่มความยุ่งยากให้ตัวเอง

ถึงขั้นว่าเกือบอ้าปากสั่งงานอีกฝ่ายอยู่หลายครั้ง โชคดีที่เขาตอบสนองไวและยั้งปากได้ทัน

เขาเบนการตอบสนองนี้ไปยังกาแฟที่อุณหภูมิสูงเกินไปแทน ควันสีขาวลอยหนาเหนือปากแก้วพาให้ตกอยู่ในภวังค์ได้อย่างง่ายดาย อีกทั้ง…การตกแต่งของห้องทำงานนี้ก็คุ้นตาเหลือเกิน

มองแวบแรก ห้องนี้เหมือนกับห้องทำงานคณบดีของเขาราวกับแกะ และมีส่วนคล้ายกับห้องทำงานทนายของเขาที่เซาธ์ลูปด้วยเช่นกัน

เยียนสุยจือกวาดตามองทั่วห้อง ในใจเกิดความปลื้มปริ่มอย่างน่าประหลาด

แม้ว่าความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์ไม่ได้ดีอะไร แต่ดีร้ายอย่างไรก็ยังได้รับอิทธิพลจากภายในมา ดูสิ ด้านรสนิยมก็ส่งต่อกันมาไม่ใช่เหรอ

เขาคลี่ยิ้มกว้าง กำลังจะเอ่ยชมว่าตกแต่งได้ไม่เลว ทว่าเพิ่งจะอ้าปาก กู้เยี่ยนก็วางแก้วกาแฟลงพร้อมเอ่ยปากกล่าวประโยคแรกอย่างยอมลดตัว “ฉันไม่คิดจะรับเด็กฝึกงาน”

เสียงของอีกฝ่ายน่าฟังอย่างยิ่ง น้ำเสียงสงบนิ่งเป็นพิเศษ หากมองข้ามเนื้อหาใจความไปก็ชวนให้คนเกิดอารมณ์ชั่ววูบที่ ‘อยากฟังเขาพูดมากกว่านี้’ ได้ง่ายมาก

แต่เยียนสุยจือไม่ได้รู้จักเขาเป็นวันแรก ซ้ำยังมีภูมิคุ้มกันร่างกายต่อความเข้าใจผิดแบบนี้แล้ว

ยิ่งกว่านั้นเนื้อความในคำพูดของเขาก็ไม่อาจมองข้ามได้

ไม่คิดจะรับเด็กฝึกงานงั้นเหรอ บังเอิญจัง ฉันก็คิดแบบนี้เหมือนกัน ความจริงแล้วนายจะส่งฉันไปให้ทนายคนอื่นก็ได้ ขอแค่ไม่ต้องอยู่ที่นี่ ที่ไหนฉันก็โอเคทั้งนั้น

เยียนสุยจือคิดในใจ

นิ้วมือของกู้เยี่ยนหมุนวนแก้วกาแฟเบา ๆ ครู่หนึ่งก่อนกล่าวขึ้น “…ดังนั้นก่อนหน้านี้ฉันเลยไม่ได้เตรียมตัวสำหรับการมาของนาย ได้ยินว่าในออฟฟิศมีคู่มือเพิ่มประสบการณ์อยู่เล่มหนึ่ง อธิบายไว้ละเอียดว่าควรมอบหมายงานเด็กฝึกงานยังไง มีทั้งแบบที่ทำให้พวกนายยุ่งจนเท้าไม่ได้แตะพื้น มีทั้งแบบที่ไม่เพิ่มภาระ แต่ฉันไม่เคยเปิดอ่านมาก่อน เพราะงั้นเลยรับประกันไม่ได้ว่านายจะได้ฝึกงานแบบปกติ”

เยียนสุยจือเลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย น้อยครั้งจะมีโอกาสได้ยินนักศึกษากู้พูดยาวขนาดนี้นอกชั้นศาล แถมยังเป็นครั้งแรกที่พูดภาษาคนด้วย

แน่นอนว่าก็แค่เป็นภาษาคนเท่านั้น ยังห่างไกลจากระดับที่ทำให้คนฟังรู้สึกดี เพราะคนพูดปราศจากอารมณ์ใด ๆ น้ำเสียงก็ยังคงเย็นชาเช่นเดิม

ส่วนเวลาฝึกงานต้องเจออะไรบ้าง เยียนสุยจือไม่ได้ให้ความสนใจมากเท่าไรนัก เทียบกับใจความบทสนทนาแล้ว ท่าทางของกู้เยี่ยนที่พูดจาดี ๆ แบบนี้ต่างหากที่ทำให้เขารู้สึกสนใจมากกว่า

แต่ว่า…

กับเด็กฝึกงานที่ถูกยัดเยียดมาให้นายยังพูดดี ๆ ด้วยได้ แล้วทำไมกับอาจารย์ที่ปรึกษาที่นายตั้งใจใคร่ครวญเลือกมาเองถึงทำหน้าบอกบุญไม่รับล่ะ

ขณะที่เยียนสุยจือทอดถอนใจ คอมพิวเตอร์โฟตอน[1]บนโต๊ะทำงานของเขาพลันเด้งเอกสารฮอโลแกรมขึ้นมากองหนึ่ง

“นี่คือคู่มือเด็กฝึกงานที่ฟิซซ์ทำเอาไว้ นายอ่านไปก่อน” กู้เยี่ยนบอก “ฉันจะรับสาย”

เยียนสุยจือเลื่อนดูหน้าจอฮอโลแกรม ดีว่าเนื้อหาในคู่มือไม่ได้เยอะอย่างที่คิดไว้ ทั้งหมดค่อนข้างกระชับและเหมาะกับสภาพจิตใจของเด็กฝึกงาน ถึงขั้นแฝงความสนุกสนานเอาไว้ด้วย สมเป็นสไตล์ของคุณฟิซซ์โดยแท้

เนื้อหาการฝึกงาน กฎระเบียบในสำนักงานกฎหมาย เขาล้วนกวาดตาผ่าน ๆ

อันที่จริงเขาไม่ได้อ่านคู่มือทั้งหมดโดยละเอียด ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่คนมาใหม่จริง ๆ ไม่ได้มาที่นี่เพื่อจะฝึกงานจริงจังด้วย เขาเท้าศีรษะเปิดหน้าถัดไปเรื่อยเปื่อย ก่อนสายตาจะหยุดลงบนตัวเลขบรรทัดหนึ่ง

ค่าตอบแทนระหว่างการฝึกงาน…วันละ 60 ซี

สำหรับนักศึกษาหนึ่งคนแล้ว ให้แค่ 60 ซีจะไปมีความหมายอะไร นั่นเพียงพอแค่อาหารสามมื้อต่อวันเท่านั้น แต่หากจะให้เพิ่มเงินอีกหน่อยก็เลิกคิดไปได้เลย นี่เป็นแค่สถานการณ์ทั่วไปในสำนักงานกฎหมายของเดอคาร์มา เพราะทุกคนต่างรู้ดีแก่ใจว่าช่วงแรกที่เด็กฝึกงานเข้ามานั้นเป็นการเพิ่มภาระ

ทนายว่าความหนึ่งคนเหมือนหัวใจจะหลั่งเลือดเมื่อต้องมอบหมายงานให้เด็กฝึกงาน เพราะเมื่องานนั้นเสร็จก็มีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะต้องทำซ้ำใหม่อีกรอบ ในขณะเดียวกันยังต้องให้ความเห็นเพื่อแก้ไขให้ถูกต้องด้วย เท่ากับว่าปริมาณงานเท่าเดิมกลับต้องทำเพิ่มอีกเป็นเท่าตัว

นอกเหนือจากเด็กฝึกงานจำนวนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอย่างไร้เป้าหมายไปวัน ๆ แล้ว ยังมีเด็กฝึกงานอีกกลุ่มที่อุทิศตนสร้างผลงานยอดเยี่ยมเพื่อเพิ่มสถิติโรคคาโรชิ[2]ของบรรดาทนายว่าความให้สูงขึ้น

คุณหลับหูหลับตาเพิ่มภาระงานให้เรา มิหนำซ้ำยังนำมาซึ่งปัจจัยเสี่ยงต่อชีวิตเราอีก เราไม่เก็บค่าเทอมก็ดีแค่ไหนแล้ว ยังต้องจ่ายเงินให้คุณมากขึ้นอีกเหรอ กำลังฝันอยู่หรือไง

เหล่าเด็กฝึกงานต่างตระหนักถึงเรื่องนี้ดี ดังนั้นจึงไม่มีข้อโต้แย้งต่อค่าตอบแทนรูปแบบเบี้ยเลี้ยงจำนวนเล็ก ๆ น้อย ๆ ในช่วงแรกนี้ อย่างไรภายหลังก็มีการปรับขึ้นอยู่ดี

ตอนเยียนสุยจือมองเห็นตัวเลขค่าตอบแทนก็จุปากในใจทีหนึ่งก่อนเลย แถมยังถอนหายใจแทนนักศึกษาผู้น่าสงสารเหล่านี้ด้วย

แต่ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองในตอนนี้ก็เป็นหนึ่งใน ‘นักศึกษาผู้น่าสงสาร’ เช่นกัน ลมหายใจยังปล่อยออกมาไม่สุดก็พลันสำลักไอโขลกอย่างรุนแรง

ขณะที่เขากำลังเท้าศีรษะหายใจไม่ออกอยู่นั้นเอง เสียงของกู้เยี่ยนก็ใกล้เข้ามาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้…

“เวลากับสถานที่โดยละเอียดล่ะ”

“เกาะย่าปา?”

“ไม่ไป”

เขายังคงติดสายกับใครอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นก็คว้าเอาแก้วน้ำติดมือมาวางบนโต๊ะเด็กฝึกงาน

เยียนสุยจือชะงักแล้วเงยหน้ามอง คิดว่านักศึกษากู้คนนี้กินยาผิดหรือเปล่า คาดไม่ถึงว่าจะมีมุมที่เป็นห่วงเป็นใยคนอื่นด้วย?

ผลคือได้ยินกู้เยี่ยนใช้ปลายนิ้วเคาะโต๊ะเบา ๆ พลางหลุบตามองลงมา กล่าวด้วยเสียงเย็นชา “ฉันสงสัยจริง ๆ ว่าในคู่มือเขียนอะไรไว้ นายอ่านแล้วถึงสำลักหน้าแดงจนเกือบหมดสติไป”

“…”

เยี่ยม คนเดิมของแท้ พ่นพิษทั่วสารทิศเหมือนเดิม

เขาไม่ได้ใส่หูฟัง ดังนั้นเสียงจากปลายสายเลยดังลอดออกมาแม้จะปรับไว้แค่เบา ๆ เมื่อเดินเข้ามาใกล้ เยียนสุยจือจึงพลอยได้ยินไปด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้

“หมดสติอะไร” เสียงผู้ชายถามขึ้น “นายคุยกับใครอยู่”

“เด็กฝึกงาน” กู้เยี่ยนตอบ

“อ้อ โอเค” ปลายสายกล่าว “ตกลงนายไม่มาจริงเหรอ ฉันอุตส่าห์โทร.มาชวนนายด้วยใจจริงขนาดนี้ นายไม่ไว้หน้าฉันหน่อยหรือไง เจ้ากีต้าของบ้านฉันก็ไปด้วยนะ”

สีหน้าของกู้เยี่ยนบึ้งตึงกว่าเดิมในชั่วพริบตา “นายข้ามดาวไปโต้คลื่นยังพาหมากลัวน้ำตัวนั้นของนายไปด้วย…?”

มุมปากของเยียนสุยจือกระตุกเล็กน้อย

ปลายสายเป็นคนช่างคุย พูดจ้ออยู่พักใหญ่ ราวกับอยากโน้มน้าวกู้เยี่ยนให้ไปร่วมงานเลี้ยงหรืองานอะไรสักอย่าง ทว่าคำตอบของกู้เยี่ยนกลับสั้นมาก

“ไม่”

“ไม่ว่าง”

“ขึ้นศาล”

เยียนสุยจือรู้สึกว่าเสียงของคนคนนั้นคุ้นหูเล็กน้อย ทว่ายังไม่ทันคิดออกว่าเป็นใคร กู้เยี่ยนก็วางสายแล้วมองมา “อ่านคู่มือจบหรือยัง มีอะไรอยากถามไหม”

เยียนสุยจือส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหยุดกลางคันคล้ายนึกขึ้นได้ “อ้อ รอเดี๋ยวครับ”

พูดจบก็จับแหวนอัจฉริยะของตัวเอง เปิดหน้าต่างบัตรสินทรัพย์ออกมาแล้วมองยอดเงินคงเหลือแวบหนึ่ง ความรู้สึกหายใจไม่ออกตีขึ้นมาทันที ก่อนหน้านี้เดินรอบตลาดมืดเที่ยวหนึ่งก็ลองคำนวณเงินที่เหลือดูแล้วว่าไม่พอให้เขาใช้ชีวิตถึงหนึ่งสัปดาห์

ด้วยเหตุนี้เขาจึงเงยหน้าส่งยิ้มให้กู้เยี่ยน “ผมมีหนึ่งคำถาม”

กู้เยี่ยนพยักพเยิดคางเป็นนัยให้เขาพูดต่อ

“เบิกค่าตอบแทนล่วงหน้าได้ไหม”

“…”

กู้เยี่ยนมองเขา เงียบไปพักหนึ่งด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ก่อนเอ่ยปาก “นายอ่านอยู่ตั้งนาน คิดคำถามออกแค่นี้?”

“อืม…” ถึงแม้เป็นหมาป่าหางโตอย่างศาสตราจารย์เยียนก็ยังรู้สึกว่าแทบจะยื้อหนังหน้าไว้ไม่อยู่แล้ว

สองวินาทีถัดมากู้เยี่ยนก็กดหมายเลขภายในด้วยใบหน้าเรียบเฉย เขากรอกเสียงว่า “ฟิซซ์ ช่วยโอนเงินค่าตอบแทนสามเดือนให้เด็กฝึกงานคนนี้ที แล้วเชิญเขากลับบ้านไปได้เลย”

เยียนสุยจือ “…”

ก่อนหน้านี้เขาคงไปกินข้าวบูดค้างคืนมาถึงได้คิดว่าอยู่กับนักศึกษากู้อาจไม่ได้แย่

นิสัยเชิญคนกลับบ้านโดยไม่ทันตั้งตัวแบบนี้ได้มาจากไหนกัน???

ฉันไม่ได้สอนแน่นอน เยียนสุยจือคิดในใจ

เขาไม่เคย ‘เชิญคนกลับบ้าน’ ด้วยสีหน้าข่มกลั้นขณะอารมณ์เสียมาก่อน เขามักจะแย้มยิ้มแล้วบอกให้ไสหัวออกไป

แต่เขายังกลับไปตอนนี้ไม่ได้ ยังไม่ทันเห็นสำนวนคดีวางระเบิดแม้แต่เครื่องหมายวรรคตอนเลยนะ

เยียนสุยจือเหลือบมองจอฮอโลแกรมที่ยังไม่ได้พับเก็บ…10.15 น. ตั้งแต่ถูกประกาศว่าอยู่ในความดูแลของกู้เยี่ยนจนถึงตอนนี้เพิ่งผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกับอีกสิบเอ็ดนาทีเท่านั้น นี่คงเป็นสถิติใหม่ของสำนักงานกฎหมายเซาธ์ครอสส์ เพิ่งจะรายงานตัวได้แค่หนึ่งชั่วโมงก็ถูกเชิญออกอย่างไม่ปรานี ไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อนเลย

อาจเป็นเพราะสถานการณ์เปลี่ยนทิศรวดเร็วเกินไป และต่างจากที่คาดการณ์ไว้โดยสิ้นเชิง เยียนสุยจือไม่เพียงไม่รู้สึกโกรธอะไร กลับยังอยากยิ้มออกมา…

โดยปกติแล้วตัวเขาไม่ว่าจะคำพูดหรือการกระทำล้วนทำตามอำเภอใจ คิดจะทำอะไรก็ทำ ดังนั้นมุมปากก็เลยโค้งขึ้นมาจริง ๆ

ด้วยเหตุนี้เมื่อกู้เยี่ยนที่เพิ่งวางสายหันมามอง ก็เห็นว่าเด็กฝึกงานที่ใกล้จะถูกเชิญกลับบ้านเต็มทีคนนี้กำลังยิ้ม ไม่ว่าหางตาหรือมุมปากล้วนเจือรอยยิ้มบาง ๆ ระคนมีความสุข

กู้เยี่ยน “…”

แย่แล้ว

เยียนสุยจือหุบยิ้มโดยพลันและหลุบตาลงมองปลายนิ้ว ใช้ปลายนิ้วปัดหน้าจอฮอโลแกรมกึ่งโปร่งใสที่ขวางอยู่เบื้องหน้าออก ก่อนจะเงยหน้ามองกู้เยี่ยนอีกครั้ง “ผมขอโทษ…”

 

 

[1] หรือคอมพิวเตอร์แสง คือ คอมพิวเตอร์ยุคอนาคต สร้างขึ้นโดยใช้หลักความเร็วของการส่งต่อคลื่นแสงที่ไวกว่าความเร็วอิเล็กตรอน การประมวลผลของคอมพิวเตอร์โฟตอนเร็วกว่าคอมพิวเตอร์ยุคปัจจุบันเป็นพันเท่า นอกจากนี้ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์โฟตอนยังมีจุดเด่นเรื่องปริมาณข้อมูลมหาศาล โดยที่หนึ่งลำแสงสามารถส่งต่อข้อมูลทั่วไปได้นับพันในเวลาเดียวกัน

[2] คือ โรคทำงานหนักจนตาย เป็นศัพท์บัญญัติเฉพาะที่มีจุดเริ่มต้นจากประเทศญี่ปุ่น

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า