一级律师
คุณทนายความขั้นหนึ่ง
木苏里 มู่ซูหลี่ เขียน
isamare แปล
溫捌 เวินปา วาด
— โปรย —
เมื่อหลายเดือนก่อน เยียนสุยจือ ยังดำรงตำแหน่งทนายความขั้นหนึ่ง
ทั้งยังรับผิดชอบตำแหน่งคณบดีคณะนิติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเมซระหว่างดวงดาวอย่างสง่าผ่าเผยอยู่เลย
ไม่ทันไร ก็กลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัวและ ‘คนตาย’ ไปเสียแล้ว
เขาที่ถูกพาดหัวข่าวว่าเป็นผู้เคราะห์ร้ายจากเหตุวางระเบิด
ได้บุคคลปริศนายื่นมือเข้ามาช่วยผ่าตัดปรับแต่งยีน ปรับเปลี่ยนใบหน้า สรีระและลดอายุ
จนอยู่ในรูปลักษณ์ของนักศึกษาจบใหม่ พร้อมบัตรประชาชนปลอมที่ใช้ชื่อว่า ‘หร่วนเหยี่ย’
ตัดสินใจสืบเรื่องคดีวางระเบิดของตัวเอง โดยแฝงตัวไปเป็นเด็กฝึกงาน
ในสำนักงานเซาธ์ครอสส์ซึ่งเป็นสำนักกฎหมายที่รับผิดชอบคดีนี้
ณ ที่นั้น เขาดันได้เจอกับ กู้เยี่ยน ลูกศิษย์จอมหน้าตายของตัวเองที่ความสัมพันธ์ไม่ลงรอย
อีกทั้งยังต้องเข้าไปเป็นเด็กฝึกงานในความดูแลของอีกฝ่ายที่ไม่เต็มใจจะอยู่ร่วมกันสักนิด
ไม่คิดจะรับเด็กฝึกงานงั้นเหรอ บังเอิญจัง ฉันก็คิดแบบนี้เหมือนกัน
ความจริงแล้วนายจะส่งฉันไปให้ทนายคนอื่นก็ได้ ขอแค่ไม่ต้องอยู่ที่นี่ ที่ไหนฉันก็โอเคทั้งนั้น
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 2.1
เด็กฝึกงาน
โครงสร้างสำนักงานกฎหมายเซาธ์ครอสส์เป็นรูปแบบที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดภายใต้ระเบียบข้อบังคับองค์กรในปัจจุบัน เนื่องจากลักษณะการทำงานโดยทั่วไปนั้น ทนายแต่ละคนค่อนข้างอยู่เป็นเอกเทศ ดังนั้นเวลาทำงานพวกเขาจึงไม่ข้องเกี่ยวกัน หนึ่งคนต่อหนึ่งห้องทำงานใหญ่ของตัวเอง เมื่อประตูบานใหญ่ปิดลงก็กั้นคนอื่น ๆ ไว้ข้างนอก หากไม่มีสถานการณ์พิเศษอะไร โดยปกติแล้วก็จะไม่ถูกรบกวน
สำหรับบรรยากาศห้องทำงานประเภท ‘แสร้งหูหนวก ใครหน้าไหนก็อย่ามากวนฉัน’ แบบนี้ เยียนสุยจือปรับตัวได้นานหลายปีแล้ว เพียงแต่คุณฟิซซ์ไม่ทราบเท่านั้นเอง
ดังนั้นก่อนขนข้าวของเข้ามาในห้องทำงานห้องนี้ คุณฟิซซ์ลากเขามาคุยเบา ๆ ตรงด้านข้างโดยเฉพาะ “ต้องอาศัยห้องทำงานร่วมกับทนายว่าความคงอึดอัดแน่ ๆ เด็กฝึกงานใหม่ต้องมีเกร็งกันบ้าง ฉันเข้าใจดี ปีก่อนมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเพิ่งเข้ามาวันแรก ถึงขั้นไม่กล้าแม้แต่จะไปห้องน้ำ ฉันจำได้ว่าเจอเขาตอนเที่ยง หน้าเขาเขียวซีดไปหมด ฉันถามว่าเป็นอะไร เขาบอกว่าห้องทำงานปิดสนิทแถมยังเงียบ กลัวว่าเกิดขยับเล็กน้อยจะรบกวนสมาธิอาจารย์เอาได้”
“ความตั้งใจนั้นน่านับถือจริง ๆ” เยียนสุยจือชม
“อย่าพูดเป็นเล่นไป” คุณฟิซซ์กำชับต่ออีกครั้ง “ในอนาคต บางทีช่วงเวลาที่นายต้องติดตามทนายกู้ออกไปข้างนอกยังน้อยกว่าเวลาอยู่ในห้องทำงานซะอีก แต่ฉันหวังว่านายจะยังรู้สึกได้ว่าเป็นเจ้าของห้องนี้ ถึงแม้ว่าโต๊ะทำงานของนายใหญ่ไม่เท่าทนายกู้ แต่มันก็คือห้องทำงานของนาย อย่างน้อยพื้นที่หนึ่งในสามก็เป็นของนาย เชิญใช้ได้ตามสบายเลย ไม่ต้องเกรงใจอะไรทั้งนั้น มั่นใจเข้าไว้ล่ะ”
ไม่รู้เธอรู้ตัวหรือเปล่า แต่เยียนสุยจือกลับรู้สึกว่าตอนที่อีกฝ่ายพูดถ้อยคำเหล่านั้นออกมา น้ำเสียงเหมือนกับกำลังกล่าวถ้อยคำไว้อาลัยอย่างไรอย่างนั้น
แต่เห็นได้ชัดว่าคุณฟิซซ์กังวลมากแค่ไหน เยียนสุยจือไม่เพียงมั่นใจมาก แต่ยังเกือบจะพลิกเบี้ยล่างให้กลายเป็นเบี้ยบนด้วยซ้ำ
เขามักเผลอคิดว่านี่เป็นห้องทำงานของตัวเองอยู่เรื่อย ตำแหน่งของเขาคือทนายว่าความ และนักศึกษากู้ที่กำลังดื่มกาแฟด้วยใบหน้าบึ้งตึงเยื้องกันข้างหน้าต่างหากคือเด็กฝึกงานที่เขาไม่เต็มใจรับเข้ามาเพิ่มความยุ่งยากให้ตัวเอง
ถึงขั้นว่าเกือบอ้าปากสั่งงานอีกฝ่ายอยู่หลายครั้ง โชคดีที่เขาตอบสนองไวและยั้งปากได้ทัน
เขาเบนการตอบสนองนี้ไปยังกาแฟที่อุณหภูมิสูงเกินไปแทน ควันสีขาวลอยหนาเหนือปากแก้วพาให้ตกอยู่ในภวังค์ได้อย่างง่ายดาย อีกทั้ง…การตกแต่งของห้องทำงานนี้ก็คุ้นตาเหลือเกิน
มองแวบแรก ห้องนี้เหมือนกับห้องทำงานคณบดีของเขาราวกับแกะ และมีส่วนคล้ายกับห้องทำงานทนายของเขาที่เซาธ์ลูปด้วยเช่นกัน
เยียนสุยจือกวาดตามองทั่วห้อง ในใจเกิดความปลื้มปริ่มอย่างน่าประหลาด
แม้ว่าความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์ไม่ได้ดีอะไร แต่ดีร้ายอย่างไรก็ยังได้รับอิทธิพลจากภายในมา ดูสิ ด้านรสนิยมก็ส่งต่อกันมาไม่ใช่เหรอ
เขาคลี่ยิ้มกว้าง กำลังจะเอ่ยชมว่าตกแต่งได้ไม่เลว ทว่าเพิ่งจะอ้าปาก กู้เยี่ยนก็วางแก้วกาแฟลงพร้อมเอ่ยปากกล่าวประโยคแรกอย่างยอมลดตัว “ฉันไม่คิดจะรับเด็กฝึกงาน”
เสียงของอีกฝ่ายน่าฟังอย่างยิ่ง น้ำเสียงสงบนิ่งเป็นพิเศษ หากมองข้ามเนื้อหาใจความไปก็ชวนให้คนเกิดอารมณ์ชั่ววูบที่ ‘อยากฟังเขาพูดมากกว่านี้’ ได้ง่ายมาก
แต่เยียนสุยจือไม่ได้รู้จักเขาเป็นวันแรก ซ้ำยังมีภูมิคุ้มกันร่างกายต่อความเข้าใจผิดแบบนี้แล้ว
ยิ่งกว่านั้นเนื้อความในคำพูดของเขาก็ไม่อาจมองข้ามได้
ไม่คิดจะรับเด็กฝึกงานงั้นเหรอ บังเอิญจัง ฉันก็คิดแบบนี้เหมือนกัน ความจริงแล้วนายจะส่งฉันไปให้ทนายคนอื่นก็ได้ ขอแค่ไม่ต้องอยู่ที่นี่ ที่ไหนฉันก็โอเคทั้งนั้น
เยียนสุยจือคิดในใจ
นิ้วมือของกู้เยี่ยนหมุนวนแก้วกาแฟเบา ๆ ครู่หนึ่งก่อนกล่าวขึ้น “…ดังนั้นก่อนหน้านี้ฉันเลยไม่ได้เตรียมตัวสำหรับการมาของนาย ได้ยินว่าในออฟฟิศมีคู่มือเพิ่มประสบการณ์อยู่เล่มหนึ่ง อธิบายไว้ละเอียดว่าควรมอบหมายงานเด็กฝึกงานยังไง มีทั้งแบบที่ทำให้พวกนายยุ่งจนเท้าไม่ได้แตะพื้น มีทั้งแบบที่ไม่เพิ่มภาระ แต่ฉันไม่เคยเปิดอ่านมาก่อน เพราะงั้นเลยรับประกันไม่ได้ว่านายจะได้ฝึกงานแบบปกติ”
เยียนสุยจือเลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย น้อยครั้งจะมีโอกาสได้ยินนักศึกษากู้พูดยาวขนาดนี้นอกชั้นศาล แถมยังเป็นครั้งแรกที่พูดภาษาคนด้วย
แน่นอนว่าก็แค่เป็นภาษาคนเท่านั้น ยังห่างไกลจากระดับที่ทำให้คนฟังรู้สึกดี เพราะคนพูดปราศจากอารมณ์ใด ๆ น้ำเสียงก็ยังคงเย็นชาเช่นเดิม
ส่วนเวลาฝึกงานต้องเจออะไรบ้าง เยียนสุยจือไม่ได้ให้ความสนใจมากเท่าไรนัก เทียบกับใจความบทสนทนาแล้ว ท่าทางของกู้เยี่ยนที่พูดจาดี ๆ แบบนี้ต่างหากที่ทำให้เขารู้สึกสนใจมากกว่า
แต่ว่า…
กับเด็กฝึกงานที่ถูกยัดเยียดมาให้นายยังพูดดี ๆ ด้วยได้ แล้วทำไมกับอาจารย์ที่ปรึกษาที่นายตั้งใจใคร่ครวญเลือกมาเองถึงทำหน้าบอกบุญไม่รับล่ะ
ขณะที่เยียนสุยจือทอดถอนใจ คอมพิวเตอร์โฟตอน[1]บนโต๊ะทำงานของเขาพลันเด้งเอกสารฮอโลแกรมขึ้นมากองหนึ่ง
“นี่คือคู่มือเด็กฝึกงานที่ฟิซซ์ทำเอาไว้ นายอ่านไปก่อน” กู้เยี่ยนบอก “ฉันจะรับสาย”
เยียนสุยจือเลื่อนดูหน้าจอฮอโลแกรม ดีว่าเนื้อหาในคู่มือไม่ได้เยอะอย่างที่คิดไว้ ทั้งหมดค่อนข้างกระชับและเหมาะกับสภาพจิตใจของเด็กฝึกงาน ถึงขั้นแฝงความสนุกสนานเอาไว้ด้วย สมเป็นสไตล์ของคุณฟิซซ์โดยแท้
เนื้อหาการฝึกงาน กฎระเบียบในสำนักงานกฎหมาย เขาล้วนกวาดตาผ่าน ๆ
อันที่จริงเขาไม่ได้อ่านคู่มือทั้งหมดโดยละเอียด ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่คนมาใหม่จริง ๆ ไม่ได้มาที่นี่เพื่อจะฝึกงานจริงจังด้วย เขาเท้าศีรษะเปิดหน้าถัดไปเรื่อยเปื่อย ก่อนสายตาจะหยุดลงบนตัวเลขบรรทัดหนึ่ง
ค่าตอบแทนระหว่างการฝึกงาน…วันละ 60 ซี
สำหรับนักศึกษาหนึ่งคนแล้ว ให้แค่ 60 ซีจะไปมีความหมายอะไร นั่นเพียงพอแค่อาหารสามมื้อต่อวันเท่านั้น แต่หากจะให้เพิ่มเงินอีกหน่อยก็เลิกคิดไปได้เลย นี่เป็นแค่สถานการณ์ทั่วไปในสำนักงานกฎหมายของเดอคาร์มา เพราะทุกคนต่างรู้ดีแก่ใจว่าช่วงแรกที่เด็กฝึกงานเข้ามานั้นเป็นการเพิ่มภาระ
ทนายว่าความหนึ่งคนเหมือนหัวใจจะหลั่งเลือดเมื่อต้องมอบหมายงานให้เด็กฝึกงาน เพราะเมื่องานนั้นเสร็จก็มีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะต้องทำซ้ำใหม่อีกรอบ ในขณะเดียวกันยังต้องให้ความเห็นเพื่อแก้ไขให้ถูกต้องด้วย เท่ากับว่าปริมาณงานเท่าเดิมกลับต้องทำเพิ่มอีกเป็นเท่าตัว
นอกเหนือจากเด็กฝึกงานจำนวนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอย่างไร้เป้าหมายไปวัน ๆ แล้ว ยังมีเด็กฝึกงานอีกกลุ่มที่อุทิศตนสร้างผลงานยอดเยี่ยมเพื่อเพิ่มสถิติโรคคาโรชิ[2]ของบรรดาทนายว่าความให้สูงขึ้น
คุณหลับหูหลับตาเพิ่มภาระงานให้เรา มิหนำซ้ำยังนำมาซึ่งปัจจัยเสี่ยงต่อชีวิตเราอีก เราไม่เก็บค่าเทอมก็ดีแค่ไหนแล้ว ยังต้องจ่ายเงินให้คุณมากขึ้นอีกเหรอ กำลังฝันอยู่หรือไง
เหล่าเด็กฝึกงานต่างตระหนักถึงเรื่องนี้ดี ดังนั้นจึงไม่มีข้อโต้แย้งต่อค่าตอบแทนรูปแบบเบี้ยเลี้ยงจำนวนเล็ก ๆ น้อย ๆ ในช่วงแรกนี้ อย่างไรภายหลังก็มีการปรับขึ้นอยู่ดี
ตอนเยียนสุยจือมองเห็นตัวเลขค่าตอบแทนก็จุปากในใจทีหนึ่งก่อนเลย แถมยังถอนหายใจแทนนักศึกษาผู้น่าสงสารเหล่านี้ด้วย
แต่ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองในตอนนี้ก็เป็นหนึ่งใน ‘นักศึกษาผู้น่าสงสาร’ เช่นกัน ลมหายใจยังปล่อยออกมาไม่สุดก็พลันสำลักไอโขลกอย่างรุนแรง
ขณะที่เขากำลังเท้าศีรษะหายใจไม่ออกอยู่นั้นเอง เสียงของกู้เยี่ยนก็ใกล้เข้ามาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้…
“เวลากับสถานที่โดยละเอียดล่ะ”
“เกาะย่าปา?”
“ไม่ไป”
เขายังคงติดสายกับใครอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นก็คว้าเอาแก้วน้ำติดมือมาวางบนโต๊ะเด็กฝึกงาน
เยียนสุยจือชะงักแล้วเงยหน้ามอง คิดว่านักศึกษากู้คนนี้กินยาผิดหรือเปล่า คาดไม่ถึงว่าจะมีมุมที่เป็นห่วงเป็นใยคนอื่นด้วย?
ผลคือได้ยินกู้เยี่ยนใช้ปลายนิ้วเคาะโต๊ะเบา ๆ พลางหลุบตามองลงมา กล่าวด้วยเสียงเย็นชา “ฉันสงสัยจริง ๆ ว่าในคู่มือเขียนอะไรไว้ นายอ่านแล้วถึงสำลักหน้าแดงจนเกือบหมดสติไป”
“…”
เยี่ยม คนเดิมของแท้ พ่นพิษทั่วสารทิศเหมือนเดิม
เขาไม่ได้ใส่หูฟัง ดังนั้นเสียงจากปลายสายเลยดังลอดออกมาแม้จะปรับไว้แค่เบา ๆ เมื่อเดินเข้ามาใกล้ เยียนสุยจือจึงพลอยได้ยินไปด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้
“หมดสติอะไร” เสียงผู้ชายถามขึ้น “นายคุยกับใครอยู่”
“เด็กฝึกงาน” กู้เยี่ยนตอบ
“อ้อ โอเค” ปลายสายกล่าว “ตกลงนายไม่มาจริงเหรอ ฉันอุตส่าห์โทร.มาชวนนายด้วยใจจริงขนาดนี้ นายไม่ไว้หน้าฉันหน่อยหรือไง เจ้ากีต้าของบ้านฉันก็ไปด้วยนะ”
สีหน้าของกู้เยี่ยนบึ้งตึงกว่าเดิมในชั่วพริบตา “นายข้ามดาวไปโต้คลื่นยังพาหมากลัวน้ำตัวนั้นของนายไปด้วย…?”
มุมปากของเยียนสุยจือกระตุกเล็กน้อย
ปลายสายเป็นคนช่างคุย พูดจ้ออยู่พักใหญ่ ราวกับอยากโน้มน้าวกู้เยี่ยนให้ไปร่วมงานเลี้ยงหรืองานอะไรสักอย่าง ทว่าคำตอบของกู้เยี่ยนกลับสั้นมาก
“ไม่”
“ไม่ว่าง”
“ขึ้นศาล”
เยียนสุยจือรู้สึกว่าเสียงของคนคนนั้นคุ้นหูเล็กน้อย ทว่ายังไม่ทันคิดออกว่าเป็นใคร กู้เยี่ยนก็วางสายแล้วมองมา “อ่านคู่มือจบหรือยัง มีอะไรอยากถามไหม”
เยียนสุยจือส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหยุดกลางคันคล้ายนึกขึ้นได้ “อ้อ รอเดี๋ยวครับ”
พูดจบก็จับแหวนอัจฉริยะของตัวเอง เปิดหน้าต่างบัตรสินทรัพย์ออกมาแล้วมองยอดเงินคงเหลือแวบหนึ่ง ความรู้สึกหายใจไม่ออกตีขึ้นมาทันที ก่อนหน้านี้เดินรอบตลาดมืดเที่ยวหนึ่งก็ลองคำนวณเงินที่เหลือดูแล้วว่าไม่พอให้เขาใช้ชีวิตถึงหนึ่งสัปดาห์
ด้วยเหตุนี้เขาจึงเงยหน้าส่งยิ้มให้กู้เยี่ยน “ผมมีหนึ่งคำถาม”
กู้เยี่ยนพยักพเยิดคางเป็นนัยให้เขาพูดต่อ
“เบิกค่าตอบแทนล่วงหน้าได้ไหม”
“…”
กู้เยี่ยนมองเขา เงียบไปพักหนึ่งด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ก่อนเอ่ยปาก “นายอ่านอยู่ตั้งนาน คิดคำถามออกแค่นี้?”
“อืม…” ถึงแม้เป็นหมาป่าหางโตอย่างศาสตราจารย์เยียนก็ยังรู้สึกว่าแทบจะยื้อหนังหน้าไว้ไม่อยู่แล้ว
สองวินาทีถัดมากู้เยี่ยนก็กดหมายเลขภายในด้วยใบหน้าเรียบเฉย เขากรอกเสียงว่า “ฟิซซ์ ช่วยโอนเงินค่าตอบแทนสามเดือนให้เด็กฝึกงานคนนี้ที แล้วเชิญเขากลับบ้านไปได้เลย”
เยียนสุยจือ “…”
ก่อนหน้านี้เขาคงไปกินข้าวบูดค้างคืนมาถึงได้คิดว่าอยู่กับนักศึกษากู้อาจไม่ได้แย่
นิสัยเชิญคนกลับบ้านโดยไม่ทันตั้งตัวแบบนี้ได้มาจากไหนกัน???
ฉันไม่ได้สอนแน่นอน เยียนสุยจือคิดในใจ
เขาไม่เคย ‘เชิญคนกลับบ้าน’ ด้วยสีหน้าข่มกลั้นขณะอารมณ์เสียมาก่อน เขามักจะแย้มยิ้มแล้วบอกให้ไสหัวออกไป
แต่เขายังกลับไปตอนนี้ไม่ได้ ยังไม่ทันเห็นสำนวนคดีวางระเบิดแม้แต่เครื่องหมายวรรคตอนเลยนะ
เยียนสุยจือเหลือบมองจอฮอโลแกรมที่ยังไม่ได้พับเก็บ…10.15 น. ตั้งแต่ถูกประกาศว่าอยู่ในความดูแลของกู้เยี่ยนจนถึงตอนนี้เพิ่งผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกับอีกสิบเอ็ดนาทีเท่านั้น นี่คงเป็นสถิติใหม่ของสำนักงานกฎหมายเซาธ์ครอสส์ เพิ่งจะรายงานตัวได้แค่หนึ่งชั่วโมงก็ถูกเชิญออกอย่างไม่ปรานี ไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อนเลย
อาจเป็นเพราะสถานการณ์เปลี่ยนทิศรวดเร็วเกินไป และต่างจากที่คาดการณ์ไว้โดยสิ้นเชิง เยียนสุยจือไม่เพียงไม่รู้สึกโกรธอะไร กลับยังอยากยิ้มออกมา…
โดยปกติแล้วตัวเขาไม่ว่าจะคำพูดหรือการกระทำล้วนทำตามอำเภอใจ คิดจะทำอะไรก็ทำ ดังนั้นมุมปากก็เลยโค้งขึ้นมาจริง ๆ
ด้วยเหตุนี้เมื่อกู้เยี่ยนที่เพิ่งวางสายหันมามอง ก็เห็นว่าเด็กฝึกงานที่ใกล้จะถูกเชิญกลับบ้านเต็มทีคนนี้กำลังยิ้ม ไม่ว่าหางตาหรือมุมปากล้วนเจือรอยยิ้มบาง ๆ ระคนมีความสุข
กู้เยี่ยน “…”
แย่แล้ว
เยียนสุยจือหุบยิ้มโดยพลันและหลุบตาลงมองปลายนิ้ว ใช้ปลายนิ้วปัดหน้าจอฮอโลแกรมกึ่งโปร่งใสที่ขวางอยู่เบื้องหน้าออก ก่อนจะเงยหน้ามองกู้เยี่ยนอีกครั้ง “ผมขอโทษ…”
[1] หรือคอมพิวเตอร์แสง คือ คอมพิวเตอร์ยุคอนาคต สร้างขึ้นโดยใช้หลักความเร็วของการส่งต่อคลื่นแสงที่ไวกว่าความเร็วอิเล็กตรอน การประมวลผลของคอมพิวเตอร์โฟตอนเร็วกว่าคอมพิวเตอร์ยุคปัจจุบันเป็นพันเท่า นอกจากนี้ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์โฟตอนยังมีจุดเด่นเรื่องปริมาณข้อมูลมหาศาล โดยที่หนึ่งลำแสงสามารถส่งต่อข้อมูลทั่วไปได้นับพันในเวลาเดียวกัน
[2] คือ โรคทำงานหนักจนตาย เป็นศัพท์บัญญัติเฉพาะที่มีจุดเริ่มต้นจากประเทศญี่ปุ่น