一级律师
คุณทนายความขั้นหนึ่ง
木苏里 มู่ซูหลี่ เขียน
isamare แปล
溫捌 เวินปา วาด
— โปรย —
เมื่อหลายเดือนก่อน เยียนสุยจือ ยังดำรงตำแหน่งทนายความขั้นหนึ่ง
ทั้งยังรับผิดชอบตำแหน่งคณบดีคณะนิติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเมซระหว่างดวงดาวอย่างสง่าผ่าเผยอยู่เลย
ไม่ทันไร ก็กลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัวและ ‘คนตาย’ ไปเสียแล้ว
เขาที่ถูกพาดหัวข่าวว่าเป็นผู้เคราะห์ร้ายจากเหตุวางระเบิด
ได้บุคคลปริศนายื่นมือเข้ามาช่วยผ่าตัดปรับแต่งยีน ปรับเปลี่ยนใบหน้า สรีระและลดอายุ
จนอยู่ในรูปลักษณ์ของนักศึกษาจบใหม่ พร้อมบัตรประชาชนปลอมที่ใช้ชื่อว่า ‘หร่วนเหยี่ย’
ตัดสินใจสืบเรื่องคดีวางระเบิดของตัวเอง โดยแฝงตัวไปเป็นเด็กฝึกงาน
ในสำนักงานเซาธ์ครอสส์ซึ่งเป็นสำนักกฎหมายที่รับผิดชอบคดีนี้
ณ ที่นั้น เขาดันได้เจอกับ กู้เยี่ยน ลูกศิษย์จอมหน้าตายของตัวเองที่ความสัมพันธ์ไม่ลงรอย
อีกทั้งยังต้องเข้าไปเป็นเด็กฝึกงานในความดูแลของอีกฝ่ายที่ไม่เต็มใจจะอยู่ร่วมกันสักนิด
ไม่คิดจะรับเด็กฝึกงานงั้นเหรอ บังเอิญจัง ฉันก็คิดแบบนี้เหมือนกัน
ความจริงแล้วนายจะส่งฉันไปให้ทนายคนอื่นก็ได้ ขอแค่ไม่ต้องอยู่ที่นี่ ที่ไหนฉันก็โอเคทั้งนั้น
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 3.1
ทำงานนอกสถานที่
“มีอะไรเหรอ ครบกำหนดเช่าบ้านแล้ว?” ล็อคกลืนเส้นที่ม้วนด้วยส้อมคำสุดท้ายลงไปอย่างลำบาก ก่อนเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ “ฉันก็ว่าทำไมตอนที่เห็นนายเมื่อเช้าถึงจำหน้าไม่ได้ นายไม่ได้พักในมหาวิทยาลัยสินะ”
เยียนสุยจือพยักหน้าเล็กน้อยก่อนตอบ “จริง ๆ แล้วไม่ได้อยู่ประจำ”
มหาวิทยาลัยเมซมีหอเกียรติยศ ในฐานะมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สุดย่อมมีศิษย์เก่าจำนวนมาก หากชื่อของใครถูกจารึกอยู่ในหอเกียรติยศและจารึกลงในประวัติมหาวิทยาลัย ก็นับเป็นเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ที่สุดของเจ้าตัว
ภาพของเยียนสุยจือถูกนำเข้าสู่หอเกียรติยศของคณะนิติศาสตร์เมื่อหลายปีก่อน ท่ามกลางมิตรสหายทั้งวัยกลางคนและอาวุโส สไตล์ภาพวาดมีเสน่ห์ไม่เหมือนใคร โดดเด่นเหนือผู้ใด แน่นอนว่าเขาเป็นคนที่อ่อนเยาว์ที่สุดในหอเกียรติยศโดยไม่ต้องสงสัยเลยแม้แต่น้อย…
แล้วก็เป็นคนที่ตายเร็วที่สุดด้วยเช่นกัน
ตอนนี้เกรงว่าภาพนั้นคงจะถูกย้ายไปยัง ‘หอเกียรติยศผู้ล่วงลับ’ เพื่อให้ผู้คนไว้อาลัยแล้ว
เรื่องนี้ไม่อาจใคร่ครวญละเอียดได้ ยิ่งใคร่ครวญละเอียดก็พาให้ปวดท้อง
สรุปคือ ในฐานะสมาชิกของหอเกียรติยศ ชีวิตของเขาจึงเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมและงานรัดตัวถึงที่สุด แม้จะดำรงตำแหน่ง ‘คณบดี’ และนั่งอยู่ในห้องทำงานกว้างขวางที่ตกแต่งเองตามใจชอบ ทว่าแท้จริงแล้วช่วงเวลาที่เขาอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยเมซนั้นไม่ได้มากนัก
โดยปกติแล้วเฉพาะเมื่อมีงานสำคัญเขาถึงจะอยู่สะสางงานทั้งหมดในมหาวิทยาลัยนานหลายวันสักหน่อย และถือโอกาสเจียดเวลาเล็กน้อยมายั่วโมโหลูกศิษย์ด้วย
ยั่วโมโหลูกศิษย์บางคน
ส่วนเวลาไม่อยู่ในมหาวิทยาลัย ก็ไม่ได้อยู่ที่สำนักงานกฎหมายเซาธ์ลูปเช่นกัน บ้านของตัวเองยิ่งแล้วใหญ่
เรื่องนี้เคยเป็นเรื่องน่าขายหน้ามาแล้วครั้งหนึ่ง…
เมื่อหกปีก่อน สมัยที่เดอคาร์มาเกิดการปฏิรูปครั้งใหญ่ทุกด้าน ทุกคนจำต้องลงทะเบียนประจำตัวกันเป็นครั้งที่สองเพื่อยืนยันตัวตน แน่นอนว่าทะเบียนประเภทนี้ไม่ต้องกรอกข้อความทีละตัวอักษรเข้าฐานข้อมูลเหมือนสมัยก่อนอีกแล้ว โดยเบื้องต้นอาศัยการวิเคราะห์ผลลัพธ์อย่างเช่นการอ้างอิงตามการใช้งานบัตรสินทรัพย์ เพียงให้เจ้าตัวตรวจทานแล้วเซ็นชื่อยืนยันก็เรียบร้อย
ข้อมูลภายในทะเบียนนั้นมีรายการหนึ่งว่าด้วยที่อยู่อาศัยประจำ ระบบจะทำการประมวลผลสถานที่ที่คุณพักอาศัยตามระยะเวลาสั้นยาวและความถี่ออกมาโดยอัตโนมัติ
ตอนที่เยียนสุยจือไปยังสำนักทะเบียนเพื่อยืนยันข้อมูล ช่อง ‘ที่อยู่อาศัยประจำ’ ถูกรันประมวลผล สุดท้ายก็ปรากฏตัวอักษรห้าพยางค์…
ยานจัมป์ไดรฟ์ทางไกล
หญิงสาวผู้ดูแลทะเบียนหัวเราะจนแทบตกเก้าอี้เสียเดี๋ยวนั้น
ต่อให้ใบหน้างามสง่าแค่ไหน ก็ไม่อาจซ่อนสีหน้าเขียวคล้ำของศาสตราจารย์เยียนผู้เป็น ‘นักเดินทางกลางอวกาศ’ ได้
เยียนสุยจือถอดหูฟังมาคลึงเล่นในมือ ก่อนจะมองข้อความที่ส่งมาจากอพาร์ตเมนต์เงียบ ๆ อีกครั้ง
พรุ่งนี้จะสิ้นสุดสัญญาเช่า นั่นหมายความว่าวันนี้ต้องขนของออก อันที่จริงทรัพย์สินทั้งหมดของเขาแค่กระเป๋าเสื้อโค้ตก็ใส่หมด จึงไม่จำเป็นต้องขนของ แต่ต้องหาสถานที่พักใหม่ชั่วคราว…
ด้วยเงิน 5,022 ซี หักค่าอาหารกับค่าเดินทางแล้วจะไปอยู่ที่ไหนได้
“ยังหาบ้านใหม่ไม่ได้เหรอ” แอนนาถามขึ้นอย่างไม่ค่อยแน่ใจ
เธอนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ด้วยหน้าจอฮอโลแกรมที่ตั้งค่าให้แสดงผลด้านเดียวเอาไว้ กอปรกับองศาโค้งงอ ทำให้คนอื่นมองไม่เห็นข้อความข้างใน เธอเองก็ไม่ได้มีงานอดิเรกที่ชอบสอดส่องข้อความคนอื่นด้วย เพียงแต่เห็นเยียนสุยจือไม่แตะต้องอาหารเที่ยงอีกจึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“หืม?” เยียนสุยจือเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มบางก่อนจะตอบ “กำลังหาอยู่น่ะ”
“กลับไปอยู่ที่มหาวิทยาลัยสิ!” ล็อคแนะนำ “หอพักของเราอยู่ใกล้กับเซาธ์ครอสส์ ช่วงฝึกงานก็มีเงินสนับสนุนด้วย”
เงินสนับสนุนเป็นสวัสดิการพิเศษของคณะนิติศาสตร์ ช่วงฝึกงานของทุกปี ทางคณะนิติศาสตร์จะมอบเงินจำนวนหนึ่งให้แก่นักศึกษาที่ยินดีเข้าร่วมการฝึกงานโดยเฉพาะ มีชื่อเรียกอันสวยหรูว่า ‘ทุนนักศึกษาฝึกงาน’ ชื่อเล่นคือเงินสนับสนุน ส่วนฉายานั้นค่อนข้างยาว คือ…รู้ว่าพวกเธอฝึกงานได้เงินน้อยและยากจนข้นแค้น ดังนั้นเลยโอนเงินเล็กน้อยไว้ต่อชีวิตพวกเธอ
ความจริงก็ไม่ถือว่ามากอะไร แค่วันละ 30 ซี โอนให้เป็นรายเดือน หักค่าเดินทางแล้วก็ยังเหลืออยู่นิดหน่อย
“แม้เป็นเนื้อยุงแต่ยังไงก็คือเนื้อ” [1] ล็อคเอ่ยชื่นชมเงินสนับสนุน
เยียนสุยจือพูดในใจ ขอบใจที่เตือน แต่ถึงเป็นเนื้อยุงฉันก็กินไม่ได้
เขาเป็นนักศึกษาที่แอบอ้างปลอมตัวเข้ามา แค่แสร้งวางมาดในสำนักงานกฎหมายยังพอทำเนา แต่หากกลับไปที่มหาวิทยาลัย นั่นไม่ใช่ว่าต้องนั่งรอความจริงเปิดเผยหรอกเหรอ เขากลัวมากว่าตัวเองจะเดินตรงไปยังประตูห้องทำงานของคณบดีด้วยความเคยชิน
อีกอย่าง ที่มหาวิทยาลัยมีสำนวนคดีระเบิดหรือเปล่า
ก็ไม่มีน่ะสิ
ช่วงบ่าย ห้องทำงานอันกว้างขวางยังคงมีแค่เยียนสุยจือเพียงลำพัง
เห็นชัดว่ากู้เยี่ยนไม่มีนิสัยไปไหนมาไหนแล้วจะแจ้งใครไว้ ดังนั้นเยียนสุยจือก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหายไปไหนกันแน่ แล้ววันนี้จะกลับมาที่ออฟฟิศหรือไม่ แต่ถึงไม่กลับก็ไม่แปลกใจ เพราะเมื่อก่อนตัวเขาเองก็ใช้ชีวิตแบบนี้
เอกสารที่เคยพับเอาไว้เหลือแค่กองเล็ก ๆ ไม่กี่แผ่น ดูไม่เกะกะลูกตาขนาดนั้นแล้ว เยียนสุยจือไม่ได้รีบจัดให้เสร็จ หากแต่ค้นหา ‘คดีระเบิด’ จากเอกสารเหล่านี้ก่อน
คอมพิวเตอร์โฟตอนส่งเสียงติ๊งสองครั้ง ไฟล์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคดีระเบิดถูกคัดออกมา
จะว่าสะดวกก็สะดวก…แต่นี่มันเยอะเกินไปหรือเปล่า?!
เห็นชัดว่าไม่ได้มีแค่คดีเดียว อย่างน้อยก็ห้าหกสิบคดีได้เลย
เยียนสุยจือกอดอกพิงพนักเก้าอี้อย่างแรง เขาแค่นหัวเราะ ตลอดห้าปีมานี้สำนักงานกฎหมายเซาธ์ครอสส์ไม่ทำคดีอื่นแล้ว เลือกรับแต่คดีระเบิดทุกรูปแบบเลยหรือไง??
“หร่วน?” ขณะที่เยียนสุยจือกำลังปวดหัว ล็อคก็มาเคาะประตูอีกครั้งและยื่นศีรษะเข้ามาราวกับเป็นโจร
“นายไม่เอาถุงน่องสวมหัวแล้วค่อยเข้ามาซะเลยล่ะ” เวลาศาสตราจารย์เยียนอารมณ์ไม่ค่อยดีก็จะเริ่มพูดจาเหน็บแนมผู้อื่นพร้อมกับรอยยิ้มบาง
เด็กหนุ่มที่ถูกเหน็บหัวเราะแหะ ๆ ก่อนจะเดินเข้ามา “นายนี่น่าสนใจจริง ๆ”
เยียนสุยจือ…ไม่น่าสนใจเท่านายหรอก
“ทนายกู้ยังไม่กลับมาอีกเหรอ” ล็อคเดินย่องเข้ามาในห้อง ไม่เข้าใจว่าทำไมหญิงสาวสองคนนั้นถึงอยากย้ายเข้ามาในห้องทำงานนี้เหลือเกิน ขนาดเขาแค่เห็นใบหน้าเยือกเย็นราวกับภาพนิ่งของทนายกู้ยังสั่นกลัว ไม่ทันรู้จักก็กลัวนำไปก่อนแล้ว
“เขากลับมาแล้วนายจะกล้าเข้ามาเหรอ” เยียนสุยจือจี้ใจดำ
“ไม่กล้าน่ะสิ เขาดูเข้าหายากยิ่งกว่าอาจารย์ของฉันซะอีก” ล็อคเบะปาก
อาจารย์ของล็อคชื่อฮอบส์ มีผมสีเงิน ดวงตาดุจเหยี่ยว รูปร่างผอม และดูน่าเกรงขาม เป็นทนายอาวุโสที่เปี่ยมล้นด้วยมาดอันยอดเยี่ยม ทว่าหากพิจารณาจากเรื่องสีหน้าเย็นชาแล้วก็ราวกับเป็นพ่อของกู้เยี่ยน
“นายจัดเอกสารถึงไหนแล้ว ฉันเผลอทำเรื่องโง่เง่าลงไป” ล็อคกล่าว
“ทำอะไร”
“ฉันมือลั่นลากแบบฟอร์มเข้าถังขยะลบถาวรน่ะสิ”
“แบบฟอร์มไหน” เยียนสุยจือนึกไม่ออก
“หา? นายยังไม่อ่านเหรอ” ล็อคใช้นิ้วมือวาดเป็นรูปสี่เหลี่ยม “เป็นแบบฟอร์มประมาณนี้ ระบุไว้ชัดเจนว่าต้องจัดเอกสารโดยเรียงลำดับจากอะไร ข้างหน้าเป็นเอกสารอะไร ข้างหลังเป็นเอกสารอะไรนั่นน่ะ”
“อ้อ ลิสต์นั่นน่ะเหรอ” เยียนสุยจือกล่าว ก่อนจะนั่งตัวตรงแล้วขยับนิ้วมือหาให้ “ฉันยังไม่ได้อ่าน แต่ลบไปแล้วก็ไม่เป็นไร ให้ทนายของนายส่งให้ใหม่ก็ได้”
ล็อคหัวเราะแห้ง “อาจารย์ฉัน? ไม่ละ ๆ ๆ น่ากลัวจะตาย”
“…”
“อีกอย่าง เขาออกไปข้างนอกแล้ว” ล็อคกล่าวเสริมเพื่อแสดงออกว่าตนไม่ได้กลัวขนาดนั้น “ดูเหมือนว่าเขาไม่ค่อยชอบฉัน เขาบอกว่าจะไปพบลูกความ แต่ไม่ได้พาฉันไปด้วย”
เยียนสุยจือปลอบใจ “ไม่เห็นเป็นไร ดีร้ายยังไงเขาก็ยังบอกนายว่าจะไปไหน”
ส่วนของฉัน ก่อนออกไปไม่แม้แต่จะมองฉันสักแวบเลย
“อีกอย่าง ปกติแล้ววันแรกไม่มีใครพาเด็กฝึกงานไปด้วยหรอก” ศาสตราจารย์เยียนกล่าวเสียงเรียบ “สำหรับเด็กฝึกงานถือเป็นเจ้านายที่จู่ ๆ ก็หางานให้ทำตลอดทั้งวัน แต่สำหรับทนายว่าความแล้วถือเป็นหางที่จู่ ๆ ก็เพิ่มภาระขึ้นมาโดยเฉพาะ ทั้งสองฝ่ายต้องทำใจให้เย็นลงสักหน่อย”
ล็อค “…” คิดไม่ถึงว่าจะมีเหตุผลมาก
“หาเจอแล้ว” เยียนสุยจือดึงลิสต์รายละเอียดที่เขียนว่า ‘ปกสำนวนคดี สารบัญสำนวนคดี สัญญาแต่งตั้ง’ ตามลำดับพร้อมด้วยชื่อของเอกสารข้อมูลออกมา
“ใช่แล้ว อันนี้แหละ”
“เอาละ นายกลับไปเถอะ ฉันจะส่งเข้าคอมพิวเตอร์โฟตอนให้นาย” เยียนสุยจือกล่าว
ล็อคกล่าวขอบคุณอย่างซาบซึ้ง ทำเอาเยียนสุยจือเกือบสงสัยว่าตนไม่ได้ส่งเอกสารให้เขา แต่เป็นโอนเงินหนึ่งล้านซีให้แทน
แม้ว่าห้องทำงานของทนายแต่ละคนในสำนักงานกฎหมายเซาธ์ครอสส์จะตั้งอยู่เป็นเอกเทศ แต่เนื่องด้วยใช้ฝ่ายบุคคลและนิติกรร่วมกัน ดังนั้นจึงมีระบบติดต่อเจ้าหน้าที่ภายในโดยเฉพาะ เยียนสุยจือมองหาชื่อของล็อคจากในตารางแล้วส่งลิสต์รายละเอียดไปให้
ขณะที่กำลังปิดหน้าต่าง หางตาเหลือบไปเห็นชื่อของกู้เยี่ยนในตาราง สถานะด้านข้างบ่งบอกว่าสามารถติดต่อได้
ศาสตราจารย์เยียนมองอยู่สองวินาที พลันเกิดความคิดหนึ่ง
เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะจิ้มหน้าต่างของกู้เยี่ยนแล้วส่งข้อความออกไป
[ทนายกู้ ที่นี่อนุญาตให้ค้างในออฟฟิศหรือเปล่า]แปดชั่วคนไม่เคยเผชิญปัญหาขาดแคลนเงินทองมาก่อน ศาสตราจารย์เยียนวางแผนไว้ว่า ในเมื่อบ้านเช่าครบกำหนดแล้ว ที่พักอาศัยใหม่ที่เหมาะ (ถูก) สม (มีระดับ) ก็ยังไม่ได้มองหาเป็นกิจจะลักษณะ ถ้าอย่างนั้นสองวันนี้ก็อยู่ในห้องทำงานแก้ขัดไปก่อนแล้วกัน
ถึงอย่างไรเมื่อก่อนเวลางานยุ่งเขาก็ค้างคืนในห้องทำงานออกบ่อย เรียกได้ว่ามีประสบการณ์เต็มเปี่ยม
ทว่าข้อความส่งออกไปพักใหญ่แล้วยังไร้การตอบกลับ
เยียนสุยจือจ้องหน้าจอพลางระงับอารมณ์ของตัวเอง ก่อนจะอดทนส่งข้อความออกไปอีกครั้ง
[ทนายกู้?]ผ่านไปหนึ่งนาทีเห็นจะได้ เสียงแจ้งเตือนข้อความถึงดังขึ้นในที่สุด
เยียนสุยจือเหลือบตามองแวบหนึ่ง กู้เยี่ยนไม่ได้พิมพ์อะไรมาสักตัว หากแต่ส่งภาพสกรีนช็อตมาภาพหนึ่ง
เจ้านี่คืออะไรกันล่ะเนี่ย
เยียนสุยจือกดดู พบว่าภาพนั้นคือภาพสกรีนช็อตจากคู่มือเด็กฝึกงาน เป็นประโยคหนึ่งในคู่มือที่เขียนว่า ‘มารยาทการเรียกชื่อ เด็กฝึกงานควรเรียกทนายที่ปรึกษาว่า “อาจารย์” โดย…’
แค่ประโยคเดียวยังตัดมาไม่ครบ เห็นชัดว่าอีกฝ่ายทำอย่างขอไปทีขนาดไหน คงจะลากเอาลวก ๆ แล้วส่งมาแหง
ศาสตราจารย์เยียนคลี่ยิ้มบางพลางมองดูหน้าต่างสนทนา คิดในใจว่า อาจารย์???? ลูกศิษย์คนนี้ท่าจะเหิมเกริมใหญ่แล้ว
ลำดับอาวุโสที่มั่วขนาดนี้ทำเอาพูดไม่ออกจริง ๆ …
แต่เขายังรับมือไหว
เยียนสุยจือแค่นหัวเราะผ่านโพรงจมูกทีหนึ่ง ก่อนจะจิ้มหน้าจอฮอโลแกรมส่งประโยคที่สามไปให้กู้เยี่ยนผู้เหิมเกริม
[ก็ได้ อาจารย์กู้ ผมจะอยู่ที่ห้องทำงานตอนค่ำ]คราวนี้ผ่านไปครู่เดียวกู้เยี่ยนก็ตอบกลับมาหนึ่งคำเสมือนตัวอักษรมีค่าดั่งทอง
[เหตุผล]‘เพื่อจะได้ไม่ต้องนอนข้างถนน’ เรื่องเหลวไหลแบบนี้จะปล่อยให้ลูกศิษย์ของตัวเองรู้ได้ยังไง ถึงลูกศิษย์คนนี้จะไม่มีท่าทีที่นักศึกษาควรมีแม้แต่น้อยก็ตาม แต่เยียนสุยจือก็ยังตั้งใจที่จะรักษาภาพลักษณ์ ดังนั้นจึงโกหกไป
[ทำโอที จัดเอกสาร]กู้เยี่ยนเงียบไปนาน คงจะทึ่งกับความกระตือรือร้นที่จะทำงานของเขา
หลังผ่านไปอีกหนึ่งนาทีถึงมีคำตอบจากกู้เยี่ยน
[กลับไปทำที่บ้าน]ไอ้…
ศาสตราจารย์เยียนโมโหจนเอนหลังพิงพนักเก้าอี้
ไสหัวไปเลย ถ้าฉันมีบ้าน จะหาเรื่องทำโอทีหาสวรรค์วิมานอะไร???
เขาคิดว่าเรื่องที่ตนเองทำผิดอย่างมหันต์ที่สุดในชีวิตก็คือการสอนลูกศิษย์เฮงซวยอย่างกู้เยี่ยน จบไปตั้งหลายปีแล้ว ยังสร้างความยุ่งยากให้ได้อีก
โชคดีว่าความคับแค้นใจนี้คงอยู่ไม่นาน ตกเย็น หน้าต่างสนทนาที่เยียนสุยจือฟาดฝ่ามือปิดไปแล้วก็เด้งขึ้นมากะทันหัน
ข้างในเป็นข้อความที่กู้เยี่ยนส่งมาใหม่
[หกโมงเย็น มาที่สถานีเทียบท่ายานนิวเซอร์]เยียนสุยจือตอบกลับอย่างเกียจคร้าน
[ไปทำอะไร] [ทำงานนอกสถานที่] [?]
[1] หมายถึง แม้จะน้อยนิดแต่ก็ดีกว่าไม่มีเลย