一级律师
คุณทนายความขั้นหนึ่ง
木苏里 มู่ซูหลี่ เขียน
isamare แปล
溫捌 เวินปา วาด
— โปรย —
เมื่อหลายเดือนก่อน เยียนสุยจือ ยังดำรงตำแหน่งทนายความขั้นหนึ่ง
ทั้งยังรับผิดชอบตำแหน่งคณบดีคณะนิติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเมซระหว่างดวงดาวอย่างสง่าผ่าเผยอยู่เลย
ไม่ทันไร ก็กลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัวและ ‘คนตาย’ ไปเสียแล้ว
เขาที่ถูกพาดหัวข่าวว่าเป็นผู้เคราะห์ร้ายจากเหตุวางระเบิด
ได้บุคคลปริศนายื่นมือเข้ามาช่วยผ่าตัดปรับแต่งยีน ปรับเปลี่ยนใบหน้า สรีระและลดอายุ
จนอยู่ในรูปลักษณ์ของนักศึกษาจบใหม่ พร้อมบัตรประชาชนปลอมที่ใช้ชื่อว่า ‘หร่วนเหยี่ย’
ตัดสินใจสืบเรื่องคดีวางระเบิดของตัวเอง โดยแฝงตัวไปเป็นเด็กฝึกงาน
ในสำนักงานเซาธ์ครอสส์ซึ่งเป็นสำนักกฎหมายที่รับผิดชอบคดีนี้
ณ ที่นั้น เขาดันได้เจอกับ กู้เยี่ยน ลูกศิษย์จอมหน้าตายของตัวเองที่ความสัมพันธ์ไม่ลงรอย
อีกทั้งยังต้องเข้าไปเป็นเด็กฝึกงานในความดูแลของอีกฝ่ายที่ไม่เต็มใจจะอยู่ร่วมกันสักนิด
ไม่คิดจะรับเด็กฝึกงานงั้นเหรอ บังเอิญจัง ฉันก็คิดแบบนี้เหมือนกัน
ความจริงแล้วนายจะส่งฉันไปให้ทนายคนอื่นก็ได้ ขอแค่ไม่ต้องอยู่ที่นี่ ที่ไหนฉันก็โอเคทั้งนั้น
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 3.2
ทำงานนอกสถานที่
เมื่อช่วงบ่ายเยียนสุยจือยังบอกล็อคอยู่เลยว่า ธรรมเนียมของสำนักงานกฎหมายคือเด็กฝึกงานไม่ได้ออกไปทำงานข้างนอกในวันแรก คาดไม่ถึงว่าไม่กี่ชั่วโมงให้หลัง กู้เยี่ยนจะแหกธรรมเนียมเสียแล้ว
[ทำงานนอกสถานที่อะไร ไปไหน]ครั้งนี้กู้เยี่ยนไม่ได้ปล่อยให้รอนานอีก ตอบกลับอย่างรวดเร็ว
[ไวน์ซิตี้]เยียนสุยจือเห็นชื่อสถานที่นี้แล้วก็คล้ายจะขาดออกซิเจนไปชั่วขณะ
ไวน์ซิตี้จะว่าเป็นเมืองเมืองหนึ่งก็ไม่ใช่ เวลาผู้คนเอ่ยถึงมัน สิ่งที่หมายถึงคือดาวเคราะห์ดวงหนึ่งในกาแล็กซีไลรา เป็นดาวเคราะห์ที่…ไม่ต่างอะไรจากลานทิ้งขยะ เป็นแหล่งผลิตนักต้มตุ๋น อันธพาล และคนถ่อย
สรุปได้ว่าเป็นดาวที่มีกลิ่นเฉพาะตัว กลิ่นราเหม็นอับชวนกลั้นหายใจ ทำให้คนสำลักและสะดุดล้มได้แม้อยู่ห่างกันหลายปีแสง
แน่นอนว่ามีเมืองหนึ่งที่ใช้ชื่อนี้เช่นกัน นั่นคือเมืองหลวงของดาวดวงนี้
ดังนั้นจะทำความเข้าใจยังไงก็ได้ทั้งนั้น เพราะมันไม่ได้ทำให้คนรู้สึกดีไปมากกว่านี้แล้ว
หากจะให้เขาไปยังดาวดวงนี้ ไม่สู้คล้องเชือกผูกคอเขาเอาไปแขวนไว้นอกหน้าต่างให้สิ้นเรื่องไปยังจะดีกว่า
เยียนสุยจือตอบกลับทันควันโดยไม่ต้องคิด
[ไม่ไป] [?] [แค่เห็นชื่อก็ปวดหัวแล้ว ไม่ไปหรอก]ปลายนิ้วของเยียนสุยจือนวดคลึงข้างขมับแผ่วเบา
ฝั่งตรงข้ามเงียบไปอีกหลายวินาที หลังจากนั้นจึงตอบกลับมา
[ฉันจำได้ว่านายน่าจะเป็นเด็กฝึกงานที่เพิ่งเข้ามาใหม่ แต่กลับทำตัวเหมือนคิดไปเองว่าตัวเองเป็นหุ้นส่วนระดับสูง ฉันหรือนายกันแน่ที่เสียสติ]เยียนสุยจือ “…”
กลิ่นเย้ยหยันเข้มข้นรมหน้าเขา
แต่ก็ต้องยอมรับว่านี่คือความจริง…ความจริงที่เยียนสุยจือมักจะลืมอยู่เสมอ
ศาสตราจารย์เยียนขยับริมฝีปากเยาะเย้ยตัวเอง น่าอายจริง ๆ ดันลืมบทบาทซะได้
เขาขยับปลายนิ้วกำลังจะตอบกลับไปอีกหน ทว่าอีกฝ่ายก็ส่งภาพสกรีนช็อตมาอีกสองภาพ
ภาพแรกมาจากคู่มือเด็กฝึกงาน ‘การทำงานนอกสถานที่จะให้เบี้ยเลี้ยงพิเศษคำนวณตามจำนวนวัน วันละ 120 ซี’
ภาพที่สองก็มาจากคู่มือเด็กฝึกงานอีกเช่นกัน ‘เด็กฝึกงานที่ได้คะแนนประเมินต่ำกว่าเกรด C สามารถพิจารณาปรับลดค่าตอบแทนได้’
เยียนสุยจือ “…”
ลูบหลังแล้วตบหัว ลูกศิษย์คนนี้ก้าวหน้าขึ้นมาก
ศาสตราจารย์ผู้มีชื่อเสียงท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า ใครก็ตามที่วางแผนใช้เงินคุกคามหลอกล่อคนจน มันผู้นั้นล้วนต่ำช้ายิ่งกว่าสัตว์
ศาสตราจารย์ผู้มีชื่อเสียงตอบกลับอย่างยอมแพ้
[ไปก็ได้ จะไปเดี๋ยวนี้ละ] [อีกอย่าง พกคู่มือเด็กฝึกงานไปไหนมาไหนตลอดทั้งวันคงลำบากคุณแย่เลย คุณชอบความลำบากเหรออาจารย์กู้]กู้เยี่ยนไม่ได้ตอบอะไรกลับมาอีก คงเพราะไม่อยากสนใจเขาอีกแล้ว
พลบค่ำ เยียนสุยจือยืนอยู่หน้าทางเข้าโถงอาคารของสถานีเทียบท่ายานนิวเซอร์
ที่นี่คือศูนย์กลางการคมนาคมของเดอคาร์มา ประตูขาออกสิบสองทางมียานจัมป์ไดรฟ์และยานอวกาศเข้าออกไม่ขาดสายตั้งแต่เช้าจรดค่ำ
ยานจัมป์ไดรฟ์สะดวกสบายและรวดเร็ว มักเป็นเส้นทางสั้นที่สุดเท่าที่จะเดินทางได้ระหว่างดาวเคราะห์ เหมาะแก่การเดินทางทำธุรกิจ แต่ข้อเสียคือจำนวนการเปลี่ยนวงโคจรและจำนวนการจัมป์ค่อนข้างเยอะ จึงไม่เหมาะสำหรับคนที่สุขภาพร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง
ส่วนเส้นทางการบินของยานอวกาศโรแมนติกกว่าอยู่บ้าง ทั้งมั่นคง ไม่เร่งรีบ เหมาะสำหรับการท่องเที่ยวมากกว่า
คนแบบเยียนสุยจือและกู้เยี่ยน โดยพื้นฐานแล้วชั่วชีวิตถูกผูกติดอยู่บนยานจัมป์ไดรฟ์
อุณหภูมิตอนพลบค่ำต่ำกว่าตอนกลางวันมาก เยียนสุยจือดึงปกเสื้อโค้ตสีดำตั้งขึ้น สองมือซุกอยู่ในกระเป๋าเสื้อโค้ตพลางกวาดสายตามองรอบหนึ่ง ก็เห็นกู้เยี่ยนยกมือให้เขาผ่านฝูงชน ส่งสัญญาณบอกตำแหน่งของตัวเอง
“ทำแบบนี้สะดุดตาจริง ๆ ถ้าสายตาแย่หน่อยคงหาเจอปีหน้า” เยียนสุยจือส่ายศีรษะพลางบ่นอุบด้วยความหงุดหงิด
ขณะที่ริมฝีปากหุบ ๆ อ้า ๆ แผ่วเบา ควันสีขาวที่พ่นออกมาบดบังดวงหน้าเล็กน้อยก่อนจะสลายไป
ตอนที่เขาเดินไปหยุดตรงหน้ากู้เยี่ยน พบว่าอีกฝ่ายกำลังขมวดคิ้วเล็กน้อยมองมา
“มองอะไร”
“ไม่มีอะไร” กู้เยี่ยนละสายตาออก แตะหน้าจออุปกรณ์อัจฉริยะของตัวเองแล้วมองปราดหนึ่ง น้ำเสียงฟังดูไม่พอใจมาก “ทำไมเพิ่งมาถึง”
“ก็หกโมงตามที่คุณบอกไม่ใช่เหรอ” เยียนสุยจือยอมลดตัวยื่นมือข้างหนึ่งออกจากกระเป๋าเสื้อ เรียวนิ้วยาวสะอาดชี้ไปยังจอเที่ยวบินในห้องโถงใหญ่ “หกโมงตรงเป๊ะ ไม่ขาดสักวินาทีเดียว มีปัญหาตรงไหน”
“ตอนเรียนวิชาการเจรจาในมหาวิทยาลัยใช้หน้าฟังหรือไง” กู้เยี่ยนก้าวเท้าเดินเข้าไปในห้องโถง ชายเสื้อโค้ตขนแกะสีเทากระพือขึ้นนิดหนึ่งตอนหมุนตัว เผยให้เห็นเสื้อเชิ้ตตัดเย็บพอดีตัวตรงช่วงเอว “ไม่เคยเรียนกฎแห่งสิบนาทีทอง?”
กฎแห่งสิบนาทีทอง หมายถึง คนที่มาถึงก่อนเวลานัดสิบนาทีมักได้เปรียบทางด้านจิตวิทยากว่าคนที่โอ้เอ้มาเกือบสาย ยังไม่ทันอ้าปากสนทนา ภาพลักษณ์ก็เหนือกว่าขั้นหนึ่งแล้ว เพราะว่าฝ่ายตรงข้ามจะกล่าวขอโทษก่อนที่ตนเองเกือบจะมาสาย
เรื่องนี้เยียนสุยจือย่อมรู้ดี เพราะวิชานี้เป็นเขาเองที่ต้องการให้เข้าเรียน แต่ตัวเองไม่ได้นำทฤษฎีนี้มาประยุกต์ใช้จริง
เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก เพราะขอเพียงแค่เขาไม่ได้มาสาย ต่อให้มาถึงในวินาทีสุดท้ายและให้อีกฝ่ายรอนานถึงสิบนาทีเต็ม เขาก็ไม่คิดจะกล่าวขอโทษแม้แต่คำเดียว ควรทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ไม่มีการใจอ่อนแม้แต่น้อย สบาย-ใจ-ไร้-กัง-วล
เขาเรียกสิ่งนี้ว่าแก่นแท้ของจิตวิทยาอันแข็งแกร่ง
แต่กู้เยี่ยนคงจะเรียกว่าไร้ยางอาย
“วิชานั้นฟังจบก็โยนทิ้งไปแล้ว” เยียนสุยจือเดินตามเขา ตอบโดยไม่สะทกสะท้าน “มาถึงเร็วคนอื่นก็ติดค้างผม มาสายผมก็ติดค้างคนอื่น เทียบกับมาดกดดันแล้ว ผมชอบให้ทั้งสองฝ่ายไม่ติดค้างต่อกันมากกว่า”
ยิ่งไปกว่านั้นใครจะกดดันฉันได้ ฝันไปเถอะ
เยียนสุยจือคิดในใจ
เขาไม่เพียงแต่คิดแบบนี้ในใจ ยังประยุกต์ใช้จริงอย่างหน้าไม่อายด้วย…
ทั้งสองคนผ่านการตรวจตั๋วเข้ามา ขณะที่นั่งอยู่ภายในยานจัมป์ไดรฟ์ เยียนสุยจือลูบแหวนครู่หนึ่ง ก่อนจะแตะสองสามครั้งบนหน้าจอฮอโลแกรมที่เด้งขึ้นมา
แหวนของกู้เยี่ยนสั่นครืดหนึ่งครั้ง
“นายส่งมา?”
อุปกรณ์อัจฉริยะของเขาก็เป็นแหวนเช่นเดียวกัน เป็นแบบที่เรียบง่ายทว่าดูสูงส่ง สวมเอาไว้บนนิ้วก้อยมือขวา มองแวบแรกดูเป็นแหวนที่เหมาะอย่างยิ่ง ขับให้ฝ่ามือเขาขาวและเรียวยาว
ทว่าดูแล้วอีกฝ่ายคล้ายจะไม่ค่อยชอบความรู้สึกสั่นครืดในฉับพลัน หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะข้อความนั้นมาจากเด็กฝึกงานผู้น่ารำคาญ
“นี่อะไร ตั๋วรถโดยสาร?” กู้เยี่ยนเหลือบมองข้อความที่ได้รับ เป็นตั๋วอิเล็กทรอนิกส์ใบหนึ่ง
เยียนสุยจือพิงเก้าอี้ที่นุ่มสบาย รัดอุปกรณ์นิรภัยให้เรียบร้อย ก่อนกล่าวสบาย ๆ “ค่าเดินทางมาสถานีเทียบท่ายานนิวเซอร์ เอาไว้เบิกเงินคืน”
กู้เยี่ยน “…”
ที่นั่งบนยานจัมป์ไดรฟ์สบายอย่างยิ่ง มีฟังก์ชันนวดผ่อนคลายโดยเฉพาะ ต่อให้นั่งนานติดต่อกันสองวันสองคืนก็ไม่มีอาการขากับเท้าบวมหรือเอวกับหลังปวดชา และเวลาพักผ่อนก็ปรับเป็นเตียงที่เหมาะสมได้โดยอัตโนมัติ
เยียนสุยจือหยิบแว่นอ่านหนังสือออกมาจากลิ้นชักข้างที่นั่งอย่างคล่องแคล่ว แล้วนำมาสวมบนสันจมูก
มันเป็นแว่นตาธรรมดาที่สไตล์คล้ายสมัยโบราณ ฝีมือการออกแบบประณีตงดงามอย่างยิ่ง แต่ไม่ได้มีไว้สำหรับปรับค่าสายตาให้ถูกต้อง เยียนสุยจือจรดปลายนิ้วเคาะเบา ๆ ข้างกรอบแว่นครู่หนึ่ง เบื้องหน้าพลันปรากฏรายชื่อหนังสือออกมา เขาสุ่มเลือกมาเล่มหนึ่งเอาไว้อ่านฆ่าเวลา
กู้เยี่ยนเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง คิ้วขมวดเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัวอีกครั้ง ผ่านไปไม่กี่วินาทีถึงกลับไปแสดงสีหน้าปราศจากอารมณ์เช่นเดิมและกล่าวเสียงเย็น “ขอเตือนนะ การเดินทางครั้งนี้ใช้เวลาสิบห้าชั่วโมง ทางที่ดีนายควรจะนอนพักระหว่างเดินทางสักตื่น พอลงจากยานจะตรงไปเรือนจำทันที อย่าหวังว่าฉันจะเผื่อเวลาให้นายนอนชดเชย”
“เรือนจำ?” เยียนสุยจือประคองแว่นตาสักครู่ “ไปพบลูกความเหรอ”
“อืม”
“นานเท่าไรแล้ว ยังไม่ได้ประกันตัว?” เยียนสุยจือถาม
“ประกันตัวไม่ได้ ต้องฟังคำตัดสิน”
เยียนสุยจือย่นหัวคิ้วเล็กน้อย “เป็นไปได้ยังไง ใครกัน”
โดยปกติแล้วการประกันตัวไม่ใช่ขั้นตอนยุ่งยาก เบื้องต้นคือปัญหาของการเดินเรื่อง ทว่าโดยส่วนมากล้วนได้รับการอนุญาต ทั้งราบรื่นและง่ายดาย กลับกันแล้ว สถานการณ์ที่ถูกปฏิเสธนั้นไม่ได้พบเห็นบ่อย
คนแปลกหน้าที่นั่งถัดไปด้านข้างชำเลืองมองพวกเขาแวบหนึ่งผ่านทางเดิน เห็นชัดว่าได้ยินคีย์เวิร์ดสองสามคำ จึงเกิดความใคร่รู้อยู่บ้าง
กู้เยี่ยนไม่ชอบคุยเนื้อหารายละเอียดเรื่องงานในสถานการณ์แบบนี้ จึงปรับที่นั่งให้เรียบร้อยแล้วเอนหลังพิงพนัก “ถึงแล้วค่อยคุยกัน”
เยียนสุยจือเคยชินกับนิสัยของเขาไม่น้อยจึงพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ก่อนละสายตามาอ่านหนังสือต่อ
ทว่าอ่านไปได้ไม่เท่าไร เขาก็คล้ายนึกบางอย่างขึ้นได้จึงสะกิดเรียกกู้เยี่ยน “จริงสิ”
กู้เยี่ยนกำลังเตรียมตัวหลับตาพักผ่อน ได้ยินแบบนี้ก็เหลือบมองเขา “ว่ามา”
“เบิกค่าเดินทางล่วงหน้าได้ไหม”
กู้เยี่ยนขยับริมฝีปากขมุบขมิบ เอ่ยเหน็บประโยคหนึ่ง “เลือกเอาว่าจะลงจากยานจัมป์ไดรฟ์ตอนนี้หรือหุบปาก”
พูดจบก็หลับตาทันที ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจอีกแม้แต่น้อย
โอเค ๆ ๆ ตอนนี้นายเป็นอาจารย์ นายพูดคำไหนก็คำนั้น
เยียนสุยจือระงับอารมณ์ตัวเอง ก่อนหันไปปรับเก้าอี้แล้วอ่านหนังสือต่อ
เขาจำไม่ได้ว่าตัวเองผล็อยหลับไปตอนไหน แต่เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เสียงประกาศบนยานจัมป์ไดรฟ์ก็กำลังแจ้งผู้โดยสารว่าใกล้จะถึงสถานีแรกแล้ว
สถานีแรกก็คือไวน์ซิตี้
เยียนสุยจือยังไม่ตื่นดี หางตาเหลือบเห็นว่ากู้เยี่ยนคล้ายกับเพิ่งละสายตาออกจากตัวเขา คิ้วที่ขมวดเล็กน้อยยังไม่คลายออกจากกัน
“???”
ผ่านไปหลายวินาทีกว่าเขาจะตอบสนองได้ เผลอบีบสันจมูกโดยไม่รู้ตัว คิดในใจว่า ฉันหลับแล้วทำให้นายไม่สบอารมณ์ตรงไหนอีกเหรอ อีกอย่าง ฉันหลับแล้วนายจะมองฉันทำไม
ทว่าความคิดเหล่านี้วนเวียนอยู่ในสมองเฉพาะตอนที่ยังไม่ตื่นดีเท่านั้น เมื่อลงจากยานจัมป์ไดรฟ์ก็ตื่นเต็มตา พาให้เขาลืมทุกอย่างไปหมดสิ้น
เพราะกลิ่นเน่าจากดาวทั้งดวงที่โชยมาปะทะใบหน้านั้นกระตุ้นสมองเกินไป มันได้ผลดีเสียยิ่งกว่าน้ำมันเปปเปอร์มินต์หนึ่งตันเสียอีก
ศาสตราจารย์เยียนสั่นสะท้านไปทั้งตัว หันปลายเท้าไปยืนหลบข้างหลังกู้เยี่ยน
“ทำอะไร” กู้เยี่ยนที่กำลังเข้าแถวตรงจุดตรวจเอ่ยถาม
“ขอยืมคุณเป็นโล่กำบังลมราตรีชวนเคลิบเคลิ้มนี่หน่อยนะ” เยียนสุยจือตอบเต็มปากเต็มคำ
กู้เยี่ยน “…”
ทว่ากู้เยี่ยนในตอนนี้กำลังยุ่งกับการติดต่อเรือนจำ ไม่มีเวลามาทำหน้าเย็นชาใส่เขา
รอสายไม่กี่วินาที ปลายสายก็กดรับแล้ว
กู้เยี่ยนสวมหูฟัง เห็นชัดว่าปลายสายเคยติดต่อกับเขาแล้วล่วงหน้า เมื่อรับสายก็กล่าวเข้าประเด็น กู้เยี่ยนฟังอยู่ไม่กี่วินาทีก็กล่าวเสียงเข้ม “รบกวนโอนสายไปให้เขาด้วย”
ปลายสายตอบตกลงทันที
สองวินาทีให้หลังกู้เยี่ยนกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา “โจชัว? ฉันกู้เยี่ยน นับจากนี้เป็นต้นไป คดีของนายอยู่ในความรับผิดชอบของฉันโดยสมบูรณ์ อีกสองชั่วโมงฉันจะไปพบนาย”
เยียนสุยจือฟังคร่าว ๆ ยังไม่ทันกล่าวอะไร อุปกรณ์อัจฉริยะของตัวเองก็สั่นขึ้นเช่นกัน
เขาเปิดหน้าจอออกมาดูแวบหนึ่ง เป็นหมายเลขแปลก ๆ อีกแล้ว ชุดตัวเลขสั้นมาก ดูแล้วไม่เหมือนแบบที่คนทั่วไปใช้กัน
“สวัสดีครับ” เขากดรับด้วยความสงสัย
“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าใช่คุณหร่วนเหยี่ยหรือเปล่าคะ ทางเราติดต่อจากอพาร์ตเมนต์เมตาซีเควียร์ค่ะ” ปลายสายบอกจุดประสงค์อย่างชัดเจน
เยียนสุยจือ “???” อพาร์ตเมนต์เฮงซวยนั่นโทร.มายืนยันด้วยเสียงอีกแล้วเหรอ
“อพาร์ตเมนต์? เดี๋ยวนะครับ ไม่ใช่ว่าพวกคุณโทร.มายืนยันด้วยเสียงกับผมแล้วเหรอ” เขาอดถามออกไปไม่ได้
ปลายสายงงยิ่งกว่าเขาเสียอีก “เปล่าค่ะ คุณผู้ชาย นี่เป็นครั้งแรก”
เยียนสุยจือ “…”
แล้วไอ้คนไร้มารยาทที่ตัดสายเขาโดยไม่ทันตั้งตัวนั่นคือใคร