一级律师
คุณทนายความขั้นหนึ่ง
木苏里 มู่ซูหลี่ เขียน
isamare แปล
溫捌 เวินปา วาด
— โปรย —
เมื่อหลายเดือนก่อน เยียนสุยจือ ยังดำรงตำแหน่งทนายความขั้นหนึ่ง
ทั้งยังรับผิดชอบตำแหน่งคณบดีคณะนิติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเมซระหว่างดวงดาวอย่างสง่าผ่าเผยอยู่เลย
ไม่ทันไร ก็กลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัวและ ‘คนตาย’ ไปเสียแล้ว
เขาที่ถูกพาดหัวข่าวว่าเป็นผู้เคราะห์ร้ายจากเหตุวางระเบิด
ได้บุคคลปริศนายื่นมือเข้ามาช่วยผ่าตัดปรับแต่งยีน ปรับเปลี่ยนใบหน้า สรีระและลดอายุ
จนอยู่ในรูปลักษณ์ของนักศึกษาจบใหม่ พร้อมบัตรประชาชนปลอมที่ใช้ชื่อว่า ‘หร่วนเหยี่ย’
ตัดสินใจสืบเรื่องคดีวางระเบิดของตัวเอง โดยแฝงตัวไปเป็นเด็กฝึกงาน
ในสำนักงานเซาธ์ครอสส์ซึ่งเป็นสำนักกฎหมายที่รับผิดชอบคดีนี้
ณ ที่นั้น เขาดันได้เจอกับ กู้เยี่ยน ลูกศิษย์จอมหน้าตายของตัวเองที่ความสัมพันธ์ไม่ลงรอย
อีกทั้งยังต้องเข้าไปเป็นเด็กฝึกงานในความดูแลของอีกฝ่ายที่ไม่เต็มใจจะอยู่ร่วมกันสักนิด
ไม่คิดจะรับเด็กฝึกงานงั้นเหรอ บังเอิญจัง ฉันก็คิดแบบนี้เหมือนกัน
ความจริงแล้วนายจะส่งฉันไปให้ทนายคนอื่นก็ได้ ขอแค่ไม่ต้องอยู่ที่นี่ ที่ไหนฉันก็โอเคทั้งนั้น
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 4.1
ไวน์ซิตี้
การตรวจสอบเป็นไปอย่างรวดเร็วมากเพราะคนที่เข้าแถวมีอยู่ไม่มาก หรือกล่าวได้ว่าคนที่เต็มใจมาที่นี่มีน้อยยิ่งกว่าน้อย และในบรรดาผู้มาเยือนน้อยนิดนี้ ส่วนใหญ่ก็คล้ายกู้เยี่ยนกับเยียนสุยจือที่มาด้วยเรื่องงานหรือราชการ ยังมีนักธุรกิจระหว่างดวงดาวผู้แหวกแนวอีกนิดหน่อย รวมถึงนักท่องเที่ยวรสนิยมแปลกที่มาที่นี่เพื่อปลดปล่อยตัวเองเป็นอิสระอีกจำนวนหนึ่ง
กล่าวได้เพียงว่าผืนป่ากว้างขวาง นกอะไรก็มีทั้งนั้น
เทียบกับสถานีเทียบท่ายานนิวเซอร์ในเดอคาร์มาที่วุ่นวายตลอดทั้งวัน สถานีเทียบท่ายานแห่งนี้ของไวน์ซิตี้ทั้งเล็กและเก่า ดูคล้ายจะถล่มลงมาได้ทุกเมื่อ ราวกับผ่านเหตุการณ์ทิ้งระเบิดมาแล้วหลายหน
ทุกสองวันถึงจะมียานจัมป์ไดรฟ์หนึ่งเที่ยวบินมาลงจอดที่นี่ แวะจอดไม่ถึงยี่สิบนาที หลังจากนั้นก็รีบจากไป
ดังนั้นเจ้าหน้าที่ของที่นี่จึงว่างงานจนแทบราขึ้น ถึงขั้นว่าหางานพาร์ตไทม์ทำได้…
“คุณผู้ชายต้องการรถไหมครับ”
“สถานีเทียบท่ายานไกลจากย่านดาวน์ทาวน์มาก คุณผู้ชายกับคุณผู้หญิงต้องการใช้บริการไหมครับ ผมพาคุณไปได้ทุกที่เลย แถมเป็นไกด์ให้ฟรีด้วย เอ่อ…ถ้าหากว่าคุณต้องการน่ะนะครับ”
“ตลาดผู้อพยพ โรงกลั่นเหล้าใต้ดิน ตลาดมืด…เฮ้ มีลูกค้าคนไหนอยากจะเล่นพนันบ้างไหม!”
บรรยากาศและการตะโกนเรียกลูกค้าอันคุ้นเคยโหวกเหวกหนวกหูจนแก้วหูดังวิ้ง ๆ เสียงเหล่านี้เริ่มดังตั้งแต่ออกมาจากจุดตรวจ และดังประชิดอยู่ข้างหูตลอดจนออกจากห้องโถงใหญ่
ศาสตราจารย์เยียนรำคาญคนที่พูดจ้อใส่เหลือเกิน ดังนั้นจึงไม่ชอบที่นี่อย่างยิ่ง แต่กลับต้องมาที่นี่ด้วยเรื่องงานหลากหลายรูปแบบครั้งแล้วครั้งเล่า
“ในที่สุดก็สงบลงสักที ผมแทบจะฝืนยิ้มไม่ไหวแล้ว” เยียนสุยจือออกมาจากประตูห้องโถงแล้วถือโอกาสปัดเสื้อโค้ต ก่อนจะกลั้นหายใจกล่าวเสียงอู้อี้ “คาดการณ์พลาดไปหน่อย เมื่อก่อนผมจะไม่ลืมว่าต้องพกหน้ากากอนามัยมาที่นี่ด้วย”
กู้เยี่ยนเพียงเหลือบตาขึ้น ไม่ได้กล่าวอะไร ถึงขั้นว่าแม้แต่มุมปากยังไม่ขยับสักนิด
เยียนสุยจือเดาว่าเขาเองก็กลั้นหายใจจนแทบขาดใจแล้วเช่นกัน แต่ต้องรักษามารยาทเลยไม่แสดงออกทางสีหน้า อีกอย่าง ด้วยนิสัยของนักศึกษากู้แล้ว ถึงแม้จะแสดงออกมา ก็แค่เปลี่ยนจากหน้านิ่งเป็นหน้านิ่งยิ่งกว่าเดิมเท่านั้น
“ไปที่หัวมุมตรงนั้น ตรงนี้เรียกรถยาก เจ้าหน้าที่ข้างในผูกขาดการบริการไปแล้ว” เยียนสุยจือชี้อาคารที่ไม่สะดุดตาหลังหนึ่งฝั่งตรงข้าม “ไปกันเถอะ”
“ฉันรู้” เสียงของกู้เยี่ยนอู้อี้เช่นกัน ดูออกว่าเขาเองก็หายใจลำบากมาก “ฉันแค่แปลกใจนักว่าทำไมนายถึงรู้ เมื่อก่อนมาบ่อยเหรอ”
ฝีเท้าที่กำลังข้ามถนนของศาสตราจารย์เยียนชะงักไปชั่วครู่ ถ้อยคำเหลวไหลแค่อ้าปากก็ออกมา “สมัยเด็กยังไม่รู้ความเคยถูกหลอกมาเที่ยวที่นี่เลยจำฝังใจ ชั่วชีวิตก็ไม่ลืม”
กู้เยี่ยนแค่นเสียง “เฮอะ” ราวกับข้ามเวลาไปเยาะเย้ยเยียนสุยจือที่เป็นเด็กไม่รู้ความ
“คุณรู้ไหม…”
เยียนสุยจือเพิ่งจะหยุดยืนตรงหัวมุมบังลม รถยนต์สองสามคันก็เลี้ยวออกมาอย่างลับ ๆ ล่อ ๆ เขายกมือสุ่มเรียกมาคันหนึ่ง เปิดประตูรถแล้วหันมากล่าวกับกู้เยี่ยน “หลายมหาวิทยาลัยมีระบบประเมินจรรยาบรรณอาจารย์ โดยปกติแล้วคนที่ชอบแค่นหัวเราะเยาะนักศึกษาจะถูกกำหนดมาให้ตกงาน อย่างเช่นคุณที่อยู่ดี ๆ ก็ ‘เฮอะ’ แบบนี้”
เขายิ้มบางพูดจบก็มุดเข้าไปในรถ เว้นที่นั่งข้างกายและประตูรถที่เปิดเอาไว้ให้นักศึกษากู้
ระบบนี้กู้เยี่ยนย่อมรู้จัก นักศึกษาทุกคนต่างก็รู้จักดี มหาวิทยาลัยเมซชอบจัดการประเมินโดยไม่ระบุชื่อแบบนี้เป็นอย่างยิ่ง ตั้งแต่อาจารย์ไปจนถึงอธิการบดีล้วนหนีไม่พ้น จุดมุ่งหมายเพื่อให้ศาสตราจารย์และนักศึกษามีฐานะเท่าเทียมกันภายในรั้วมหาวิทยาลัย
และทุกคนล้วนทราบดีว่า คณะนิติศาสตร์มีศาสตราจารย์ท่านหนึ่งที่ได้คะแนนประเมินสูงอย่างเหลือเชื่อทุกปี…ไม่ใช่ใครอื่น ก็คือคณบดีผู้ที่ชอบอ้าปากเหน็บแนมคนอื่นของพวกเขานั่นละ
ความคิดเห็นเป็นลายลักษณ์อักษรที่รวบรวมออกมาได้ส่วนมากเป็นทำนอง ‘มีอารมณ์ขัน’ หรือ ‘สง่าสุขุม’ ไม่ก็ ‘กลัวเขามาก แต่ก็เคารพเขาอย่างยิ่งเช่นกัน’
ช่าง…
ต้องการคำพูดเหลวไหลเท่าไรก็มีเท่านั้น
กู้เยี่ยนเท้าประตูรถ มองเยียนสุยจือแวบหนึ่งจากมุมสูง หลังจากนั้นก็ปิดประตูใส่อย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ขังเด็กฝึกงานผู้น่ารำคาญคนนี้ไว้ข้างใน ก่อนที่ตนเองจะขึ้นไปนั่งที่นั่งข้างคนขับ
“คุณผู้ชายจะไปไหนครับ” คนขับรถเหลือบมองสองฝั่งอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันได้รับคำตอบจากเยียนสุยจือหรือกู้เยี่ยน ก็เหยียบคันเร่งแล้ว
รถยนต์เลี้ยวโค้งวงใหญ่ แล่นไปบนถนนแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ
คุณภาพชีวิตในไวน์ซิตี้ล้าหลังกว่าที่อื่น เทียบได้กับเดอคาร์มาสมัยโบราณที่ยังไม่ผ่านการปฏิวัติอุตสาหกรรมวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีหลายครั้งในภายหลัง
ที่นี่สร้างอุตสาหกรรมที่มั่นคงไม่ได้ คนท้องถิ่นที่น่าเชื่อถือทั่วทั้งดาวมีเพียงแค่หยิบมือ มิหนำซ้ำยังดึงดูดผู้คนจากที่อื่นไม่ได้ การสื่อสารกับภายนอกไม่สะดวก ราวกับฝุ่นละอองระหว่างดวงดาวอันมืดมนที่ผู้คนมักลืมเลือน
“ตลาดมืด โรงกลั่นเหล้า หรือว่าบ่อนพนัน?” คนขับรถหัวเราะคิกพลางเอ่ยถาม “คนที่มาที่นี่มักจะหนีไม่พ้นสถานที่พวกนี้ แน่นอนว่ายังมี…อืม พวกคุณก็รู้ดี!”
คนขับรถคนนี้เหมือนกับคนดื่มหนัก ลากหางเสียงแฝงนัยลึกซึ้ง จากนั้นก็หัวเราะ “ฮิ ๆ ๆ ๆ” ขึ้นมาอีกหน “สาว ๆ ที่นั่นโคตรแจ่ม!”
กู้เยี่ยน “…”
เยียนสุยจือ “…”
ทนายว่าความกู้หันศีรษะเหลือบมองไปยังเด็กฝึกงานที่นั่งอยู่เบาะหลังแวบหนึ่ง สายตาดุจคมมีดราวกับกำลังแขวะว่า ‘นายแม่งเรียกรถเก่งชะมัด’
เดิมเยียนสุยจือยังจนปัญญาอยู่บ้าง ครั้นเห็นใบหน้าราวกับกำลังไหว้หลุมศพของใครบางคนที่นั่งอยู่เบาะหน้าก็อดคลี่ยิ้มออกมาไม่ได้
กู้เยี่ยนจัดชายเสื้อโค้ตด้วยสีหน้าปราศจากอารมณ์แล้วคาดเข็มขัดนิรภัยดังคลิก ก่อนที่คำตอบหกพยางค์จะหลุดออกมาจากริมฝีปาก “ขอโทษที ไปเรือนจำ”
คนขับรถ “…”
คนที่เมื่อครู่ยังหัวเราะฮิ ๆ ๆ ๆ ตอนนี้กลับคล้ายกลืนวาฬทั้งเป็น รถยนต์ทั้งคันส่ายในองศาแปลก ๆ สองครั้งถึงจะกลับมามั่นคง
“ไปไหนนะ???”
“ชานเมืองไวน์ซิตี้ เรือนจำโคลด์เลค”
“ต้องส่งถึงหน้าประตูไหม”
ถึงแม้ว่าใบหน้าเยือกแข็งของทนายว่าความกู้จะเกร็งจนใกล้ปริร้าวแล้ว แต่ก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับสไตล์ของคนขับรถคนนี้ เพราะว่าทั้งไวน์ซิตี้ คนขับรถทั่วท้องถนนอาจจะไม่ต่างจากนี้เท่าไรนัก
สถานีเทียบท่ายานอยู่ไกลจากเรือนจำโคลด์เลค แผนที่บนอุปกรณ์อัจฉริยะแสดงเวลาเดินทางหนึ่งชั่วโมงกว่า
ผลคือคนขับรถคนนี้แสดงสมรรถภาพที่สูงกว่าปกติ ตลอดทางที่ขับเสมือนมีไฟลนก้นอยู่อย่างไรอย่างนั้น ราวกับว่าสิ่งที่รับมาไม่ใช่ผู้โดยสารสองคน แต่เป็นชนวนระเบิดเต็มคัน
ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงมาถึงเรือนจำก่อนเวลาที่คาดการณ์ไว้เกือบหนึ่งชั่วโมง
“เป็นไงล่ะ กฎแห่งสิบนาทีทองเปลี่ยนเป็นรอโง่ ๆ หนึ่งชั่วโมงแล้ว” เยียนสุยจือแขวะ
คนขับรถส่งผู้โดยสารตรงบริเวณถนนที่ห่างจากเรือนจำสองสาย หลังจากนั้นก็กลับรถแล้วทะยานออกไปอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ พ่นควันท่อไอเสียเต็มหน้าคน
“ไม่คิดเลยว่าควันท่อไอเสียยังน่าดมกว่าลมตอนกลางคืนซะอีก” เยียนสุยจือกล่าวอีก
“ไม่อย่างนั้นนายก็อยู่ดมต่อตรงนี้ ฉันยื่นคำร้องเข้าไปก่อนแล้วกัน” กู้เยี่ยนพูดเสียงเย็นชาจบก็ไม่รอเด็กฝึกงานของตัวเองอีก ก้าวเท้าเดินจากไปทันที
เยียนสุยจือถอนหายใจก่อนจะสาวเท้าตามไป
“เอาละ มา สถานการณ์ลูกความของเราเป็นยังไง” เยียนสุยจือเดินเคียงไหล่กู้เยี่ยนพลางเอ่ยถามเรื่องงาน
“โจชัว ดาห์เล่ อายุ 14 ปี ถูกกล่าวหาว่าเข้าไปชิงทรัพย์ในเคหสถาน”
ระหว่างสหพันธ์แห่งดวงดาวทั้งหมด แต่ละกาแล็กซีและดาวเคราะห์แต่ละดวงล้วนมีระดับการพัฒนาต่างกัน อายุขัยของคนในแต่ละพื้นที่เลยย่อมต่างกันด้วย อายุขัยที่ยืนยาวเป็นปกติเช่นเดอคาร์มาจะมีอายุขัยเฉลี่ยนานถึง 250 ปี ส่วนอายุขัยที่ค่อนข้างสั้นเช่นไวน์ซิตี้จะมีอายุขัยเฉลี่ยไม่ถึง 100 ปี
แต่ไม่ว่าอย่างไร สำหรับเกณฑ์กำหนดอายุของเยาวชน ทั่วทั้งสหพันธ์แห่งดวงดาวล้วนเห็นพ้องต้องกัน
บรรลุนิติภาวะเมื่ออายุครบ 18 ปีบริบูรณ์
ต่อให้มีช่วงอายุเท่าเต่าดึกดำบรรพ์ แต่เมื่ออายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ก็ถือว่าบรรลุนิติภาวะแล้ว ส่วนหลังจากที่บรรลุนิติภาวะแล้วจะโลดแล่นบนโลกใบนี้นานแค่ไหน นั่นก็เป็นเรื่องของตัวเอง
แต่ในประมวลกฎหมายอาญาทั่วไปของสหพันธ์แห่งดวงดาว เกณฑ์กำหนดอายุยังแบ่งได้อีกสองช่วงสำคัญ นั่นคืออายุ 14 ปี และ 16 ปีบริบูรณ์
ขอเพียงอายุครบ 14 ปีบริบูรณ์ก็รับโทษคดีอาญาในความผิดสถานหนักไม่กี่ประเภทได้ แต่หากไม่ระวัง อีกสองปีอายุครบ 16 ปีบริบูรณ์ ไม่ว่าทำผิดข้อหาอะไรก็ย่อมหนีไม่รอดแล้ว
และโชคไม่ดีเลยที่ความผิดสถานหนักไม่กี่ประเภทในช่วงอายุครบ 14 ปีบริบูรณ์นั้นครอบคลุมถึงการชิงทรัพย์ด้วยพอดี
“อายุ 14 ปี? ผ่านวันเกิดไปแล้วหรือยัง” เยียนสุยจือถาม
“เพิ่งอายุครบ 14 ปีเมื่อสองวันก่อนเกิดคดีชิงทรัพย์”
“งั้นเขาก็เกิดได้ถูกวันจริง ๆ” เยียนสุยจือวิจารณ์
คนคนนี้ไม่ว่าจะกับคนคุ้นเคยหรือคนแปลกหน้า เวลาอ้าปากเหน็บแนมขึ้นมาล้วนเป็นไปในทำนองเดียวกัน พาให้เดายากว่าถากถางจริงจังหรือว่าเพื่อความเป็นกันเองกันแน่ ทั้งยังฟังไม่ออกว่าประโยคไหนเจือความปรารถนาดี ประโยคไหนแฝงเจตนาร้าย
กู้เยี่ยนมองอีกฝ่ายแวบหนึ่ง ขยับริมฝีปากราวกับจะกล่าวอะไร
เยียนสุยจือไม่สังเกตแม้แต่นิด เอ่ยถามอีกหน “แล้วเรื่องประกันตัวล่ะเป็นมายังไง ตามหลักแล้วถ้าเป็นเยาวชนและยังไม่ถูกตัดสินว่ามีความผิด การประกันตัวย่อมเป็นเรื่องปกติ ถึงขั้นไม่ต้องเปลืองแรงเราด้วยซ้ำ นี่เป็นงานที่พนักงานสอบสวนควรทำ”
ก่อนที่ศาลจะอ่านคำพิพากษาว่ามีความผิด จำต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาเป็นผู้บริสุทธิ์ เพื่อไม่เป็นการทำร้ายผู้บริสุทธิ์โดยไม่เจตนา
นี่เป็นระเบียบวิชาชีพโดยทั่วไปของสหพันธ์แห่งดวงดาว เพราะมีระเบียบข้อนี้ การประกันตัวสำเร็จจึงเป็นสภาพการณ์ที่ปกติอย่างยิ่ง
“นั่นเป็นกฎของที่อื่น ไม่ใช่ที่นี่” กู้เยี่ยนตอบ
“เป็นไปได้ยังไง” เยียนสุยจือแปลกใจไม่น้อย “เมื่อก่อนที่นี่ก็ไม่ได้รับการยกเว้นนี่”
“เมื่อก่อน?” กู้เยี่ยนหันหน้ามองเยียนสุยจือ “นายไปรู้เรื่องเมื่อก่อนมาจากไหน”
แย่ละ เผลอหลุดปากไปซะได้
เยียนสุยจือแก้ตัวอย่างไหลลื่นทันที “ตัวอย่างคดีไง เรียนมากี่ปี อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง แต่ตัวอย่างคดีความต้องอ่านมาไม่น้อย เมื่อก่อนการประกันตัวในไวน์ซิตี้ไม่ได้ยาก อย่างน้อยเมื่อสิ้นปีก่อนก็ยังปกติ”
กู้เยี่ยนละสายตากลับมาและกล่าว “งั้นดูท่าทางความขยันหมั่นเพียรของนายคงหยุดอยู่ที่ปีก่อน คดีใหม่ ๆ ช่วงหลายเดือนมานี้คงไม่ได้อ่านสินะ”
ศาสตราจารย์เยียนกลอกตาในใจ ก็ใช่น่ะสิ หลายเดือนมานี้นอนให้ผู้อื่นไว้อาลัยอย่างเดียว ได้อ่านก็แปลกแล้ว
“ไวน์ซิตี้ถดถอยปีแล้วปีเล่า โดยเฉพาะช่วงสองสามเดือนมานี้วุ่นวายเป็นพิเศษ มีการเลือกปฏิบัติ และแน่นอนว่าการประกันตัวก็ไม่มีข้อยกเว้น” กู้เยี่ยนอธิบายสั้น ๆ
เยียนสุยจือคิดในใจ ฉันหลับไปแค่ครึ่งปี ทำไมลืมตาตื่นขึ้นมาฟ้าถึงเปลี่ยนไปแล้ว
เขายังไม่ได้อ่านข้อมูลรายละเอียดของคดีความจึงไม่อาจตัดสินสุ่มสี่สุ่มห้าได้ชั่วขณะ เลยไม่กล่าวอะไรอีก
เรือนจำโคลด์เลคเป็นสถานที่ที่ตั้งอยู่อย่างเป็นเอกเทศและปลีกวิเวก บ้านเรือนเก่าทรุดโทรมซึ่งแออัดวุ่นวายเหล่านั้นหยุดอยู่ตรงบริเวณสองสามร้อยเมตรห่างจากเรือนจำ ให้ตายก็ไม่มีวันขยายออกมาข้างหน้าแม้แต่ครึ่งก้าว
คนที่อยู่อาศัยในละแวกใกล้เคียงก็ไม่ชอบมาเดินเล่นแถวนี้เช่นกัน คงจะกลัวซวยไปด้วย
ดังนั้นเป็นไปได้สูงว่าหน้าทางเข้าเรือนจำจะเป็นพื้นที่โล่งสะอาดเพียงหนึ่งเดียวของทั่วทั้งไวน์ซิตี้ แม้แต่นกท้องร่วงก็ยังอั้นไว้แล้วบินเลี่ยงบริเวณนี้ไปก่อนระยะหนึ่ง
ทว่าเยียนสุยจือกับกู้เยี่ยนกลับเจอเด็กน้อยคนหนึ่งในสถานที่ที่นกไม่ถ่ายแห่งนี้
เด็กผู้หญิงตัวผอมซูบ อายุราวเจ็ดแปดขวบ กำลังนั่งยอง ๆ อยู่ตรงมุมกำแพงด้วยใบหน้าที่ไม่รู้ว่าไม่ได้ล้างมาแล้วกี่วัน ดวงตากลมโตเขม้นมองประตูเรือนจำ
“สาวน้อยคนนี้ไปเรียนการหลอกผีมาจากใครกัน แม้แต่เสียงสักแอะยังไม่มี” เยียนสุยจือเกือบจะเดินผ่านไปอยู่แล้วถึงเห็นเงาดำก้อนหนึ่งข้างฝ่าเท้าโดยพลัน ทำเอาตกใจจนกระโดดโหยง
การตอบสนองของเด็กหญิงค่อนข้างช้า ผ่านไปราวสองวินาทีเธอถึงละสายตาออกจากประตูใหญ่ของเรือนจำแล้วเงยหน้ามองเยียนสุยจือ
ทันทีที่เด็กหญิงเงยหน้าก็เผยให้เห็นว่าสีหน้าของเธอย่ำแย่มากแค่ไหน ใบหน้าเหลืองซีดไร้ชีวิตชีวา ผิวแก้มสองข้างแห้งลอก ทั้งยังเริ่มส่งกลิ่นตุ ๆ
ทว่าในเวลาแบบนี้เยียนสุยจือไม่ได้บ่นว่าอากาศเป็นพิษแล้ว
เด็กหญิงมองเห็นชายแปลกหน้าคนนี้ก้มตัวลงราวกับอยากพูดบางอย่างกับตนเอง
แต่เธอหวาดกลัวนิดหน่อยเลยถดตัวหนีสองก้าวติดตามสัญชาตญาณ แผ่นหลังชนกับกำแพงหินเย็นเยียบ ไร้หนทางถอยหนี แสดงให้เห็นถึงความน่าสงสารอย่างยิ่ง
“ผมหน้าตาเหมือนพ่อค้ามนุษย์เหรอ” เยียนสุยจือหันกลับไปถามกู้เยี่ยน
ทนายว่าความกู้เห็นด้วยกับเขาเป็นครั้งแรกจึงพยักหน้าตอบอย่างหนักแน่น
เยียนสุยจือ “…”
ไสหัวไปเลยไป
“อยากเลี้ยง?” กู้เยี่ยนเอ่ยถามเขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ฟังไม่ออกว่าถามอย่างขอไปทีหรือว่าถากถางกันแน่
ถึงอย่างไรอาจารย์ลูกศิษย์ก็รับสืบทอดด้านนี้กันมา
เยียนสุยจือหัวเราะน้อย ๆ แล้วยืดตัวตรง “คุณนี่ช่างจินตนาการเก่งจริง ๆ ผมไม่ใช่คนดีอะไรสักหน่อย”
เขาหันหน้าพยักพเยิดคางไปยังถนนทรุดโทรมสายหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล “ที่นี่น่ะ ถนนสายหนึ่งมีสิบซอยก็มีคนเร่ร่อนทั้งสิบซอย ต้องซื้อทั้งไวน์ซิตี้มาสร้างสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าถึงจะเลี้ยงดูหมด”
กล่าวจบเขาก็โบกแหวนบนนิ้วมือของตัวเองให้กู้เยี่ยน “กับเงินแค่ 5,022 ซี ไว้ชาติหน้าแล้วกัน”
กู้เยี่ยนไม่แสดงสีหน้าใด “ก็ไม่แน่ ชาติหน้าอาจจะจนยิ่งกว่านี้”
เยียนสุยจือ “…คุณนี่ปลอบใจคนเก่งแฮะ”
“ชมกันเกินไป”
“…”
“สาวน้อยไม่ชอบผม ไปกันเถอะ” เยียนสุยจือว่า
ทั้งสองคนดูเวลาแวบหนึ่ง เหลือเวลาอีกยี่สิบนาทีแล้ว จึงก้าวเท้าตรงไปยังประตูใหญ่ของเรือนจำ
หลังจากที่เดินไปได้แค่สองก้าว เยียนสุยจือราวกับคิดอะไรได้จึงหันหลังกลับ เอามือข้างหนึ่งออกจากกระเป๋าเสื้อโค้ต ก่อนก้มตัวลงแบมือออกตรงหน้าเด็กหญิงคนนั้น กลางฝ่ามือมีช็อกโกแลตชิ้นหนึ่งวางอยู่ “คิดไม่ถึงว่าจะยังเหลืออยู่ชิ้นหนึ่ง เอาไหม”
เด็กหญิงตัวติดชิดกำแพง จ้องตาเขาอยู่นานหลายวินาที ทันใดนั้นก็ยื่นมือมาหยิบช็อกโกแลตชิ้นนั้นแล้วเก็บมือกลับไปอีกหน
“หิวจนมีสภาพแบบนี้แต่ก็ยังว่องไวมาก” เยียนสุยจือเลิกคิ้ว ก่อนจะหันหลังเดินไป
ตอนที่เดินห่างออกมาระยะหนึ่งแล้วเขาก็ได้ยินประโยคหนึ่งเบา ๆ ดังแว่วมาจากข้างหลัง “…ขอบคุณ”
เยียนสุยจือหันไปมองแวบหนึ่ง เด็กหญิงคนนั้นกลับไปมีท่าทีเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว เธอนั่งยองจ้องประตูใหญ่ของเรือนจำเขม็งอยู่ตรงนั้น ราวกับเดิมทีมองไม่เห็นเขา เพียงแต่แก้มข้างหนึ่งอูมขึ้นเพราะอมช็อกโกแลตชิ้นหนึ่งเอาไว้
“เดินทางเที่ยวหนึ่งสิบห้าชั่วโมง นายแตะอาหารมื้อหลักแค่ไม่กี่คำ กลับกินของหวานซะเยอะ” กู้เยี่ยนเอ่ย
เยียนสุยจือเผยสีหน้าไร้กังวล “กินน้อยแต่กินหลาย ๆ มื้อ ของหวานก็นับเป็นอาหารเหมือนกัน”
ความจริงแล้วตอนนี้เขามีปัญหาน้ำตาลในเลือดต่ำนิดหน่อย ไม่รู้ว่าเป็นอาการที่ตามมาหลังจากการนอนหลับนานเกินไปหรือไม่ หรือเป็นผลจากการปรับแต่งยีนชั่วคราวกันแน่ สรุปคือต้องพกของหวานติดตัวเพื่อไม่ให้เกิดอาการเวียนหัว
แน่นอนว่าเอ่ยถึงสาเหตุนี้กับกู้เยี่ยนไม่ได้ จึงพูดจาเหลวไหลออกไป
ประตูใหญ่เสมือนกำแพงเหล็กของเรือนจำล็อกไว้อย่างแน่นหนา ยามเฝ้าประตูสองสามนายยืนอยู่ด้านข้าง
กู้เยี่ยนเดินมาหยุดข้างกุญแจอิเล็กทรอนิกส์ ก่อนจะยกมือใช้แหวนอัจฉริยะบนนิ้วก้อยแตะกุญแจครู่หนึ่ง การเข้าพบที่ยื่นคำร้องไว้ล่วงหน้าทั้งหมดเชื่อมต่อกับกุญแจอิเล็กทรอนิกส์ในจังหวะเดียวกัน เมื่อตรวจสอบยืนยันตัวตนที่ผูกไว้กับอุปกรณ์สำเร็จก็ผ่านเข้าไปได้
ติ๊ด
ประตูใหญ่ส่งเสียงทีหนึ่งก่อนค่อย ๆ แง้มเปิดออก
ประตูใหญ่บานนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ทันสมัยที่สุดภายในเขตพื้นที่ละแวกนี้แล้ว และเป็นการอุปถัมภ์จากกลุ่มทุนที่อยู่ว่างไม่มีอะไรทำเมื่อหลายสิบปีก่อน สมัยนั้นกลุ่มทุนให้การประคับประคองรัฐบาลของไวน์ซิตี้อยู่เบื้องหลัง เรียกว่าแทบจะเปลี่ยนโฉมหน้าสถานที่สำคัญทั้งหมดในดาวเคราะห์เฮงซวยดวงนี้ ทั้งยังมีท่าทีว่าจะตัดสินใจช่วยเหลือบูรณะ
ความฝันนั้นแสนงดงาม ทว่าความเป็นจริงน่าเวทนาอยู่เล็กน้อย
ถึงอย่างไรตอนนี้กลุ่มทุนก็เงียบหายไปแล้ว ข้าวของที่เคยอุปถัมภ์ในปีนั้นก็เปลี่ยนจากใหม่เป็นเก่า
ภายในเรือนจำมืดสลัวคับแคบ ระเบียงทางเดินแคบและเล็กมาก ช่องหน้าต่างยิ่งเล็กเข้าไปใหญ่ แสดงให้เห็นถึงความอึดอัดอย่างยิ่ง ทว่าไม่ได้เงียบสงัด
สถานที่แห่งนี้ในไวน์ซิตี้เรียกได้ว่าวุ่นวาย มันเต็มไปด้วยเสียงตำหนิและก่นด่า ถ้อยคำหยาบคายดังเข้าหูไม่ขาดสาย แต่เสียงจอแจเหล่านั้นก็ถูกกั้นอยู่หลังประตูแคบห้องแล้วห้องเล่า ไม่เฉพาะเจาะจง ไม่ต่างอะไรกับการด่าทอเรื่อยเปื่อย
เยียนสุยจือเดินอยู่บนระเบียงทางเดินได้ระยะหนึ่ง บรรพบุรุษแปดรุ่นล้วนถูกพาดพิง แต่เขาเคยชินกับบรรยากาศแบบนี้ดี เลยเดินอย่างไร้กังวลเป็นพิเศษ
นอกประตูลูกกรงเหล็ก ผู้คุมร่างกำยำล่ำสันคนหนึ่งถือกระบองไฟฟ้ายืนคุมอยู่ตรงนั้น “เป็นใคร มาจากไหน มาพบใคร”
เยียนสุยจือคลี่ยิ้ม “ทนายครับ ยื่นคำร้องไว้แล้ว มาพบโจชัว ดาห์เล่”
กู้เยี่ยนที่กำลังจะอ้าปาก “…”
ผู้คุมเลิกคิ้วเล็กน้อย “ดาห์เล่? พวกคุณนี่อารมณ์ดีเสียจริงนะ”
กล่าวพลางหัวเราะแฝงนัย บอกไม่ถูกว่าเยาะเย้ยหรือว่าอะไรกันแน่
เยียนสุยจือยังคงตอบอย่างเป็นธรรมชาติ “แน่นอน ผมก็รู้สึกแบบนั้น”
กู้เยี่ยน “…”
ผู้คุมพ่นลมหายใจแค่นหัวเราะผ่านโพรงจมูกทีหนึ่ง ก่อนจะโบกมือเป็นสัญญาณบอกลูกน้อง จากนั้นก็เปิดประตูลูกกรงเหล็กออก “ไปกันเถอะ ตามผมมา”
โดยปกติแล้วมักแยกขังเยาวชนกับผู้ใหญ่ออกจากกัน แต่ที่ไวน์ซิตี้กลับอยู่รวมกันทั้งหมด
ผู้คุมหยุดอยู่หน้าประตูเหล็กแคบบานหนาในเวลาอันรวดเร็ว บุ้ยปากไปข้างใน “นี่ไง ดาห์เล่ที่พวกคุณต้องการพบ”
“ขอบคุณมากครับ” เยียนสุยจือกล่าว
กู้เยี่ยน “…”
ผู้คุมเลื่อนแผ่นสี่เหลี่ยมที่ขยับได้บนประตูซึ่งเป็นช่องหน้าต่างที่เล็กเสียจนเห็นแค่เพียงดวงตา เขาตะโกนเข้าไปข้างในด้วยน้ำเสียงหยาบคาย “ไอ้เด็กเหลือขอ! ทนายของแกมาขอพบแล้ว!”
หลังช่องหน้าต่างปรากฏดวงตาสีเขียวมรกตคู่หนึ่งทันที ลำพังพินิจจากสายตาแล้วดูไม่เป็นมิตรแม้แต่นิด ถึงขนาดว่าแฝงความเป็นศัตรูอันเยือกเย็นเอาไว้เลยทีเดียว
จากนั้นคนข้างในก็พลันยกมือขึ้นปิดช่องหน้าต่างดัง ‘ปึง’ เต็มแรงต่อหน้าทุกคน
เยียนสุยจือแค่นยิ้ม หันกลับไปถามกู้เยี่ยน “คุณแน่ใจเหรอว่านัดเอาไว้แล้ว”
นี่คือท่าทีของการนัดหมายไว้เหรอ
ทว่าเขายังไม่ทันหัวเราะจบก็พบว่าทนายว่าความกู้ที่อยู่ข้างหลังกำลังทำหน้าบึ้งตึงพลางพิงกำแพงมองเขา
เยียนสุยจือเกือบหลุดปากถามออกไปว่า ‘ทำไมนายถึงอารมณ์บูดได้ทุกวัน’ ถ้อยคำยังไม่กล่าวออกมา ก็พลันนึกขึ้นได้ว่าตลอดทางมาตนแย่งงานทนายว่าความกู้ไปเท่าไรแล้ว
ความเคยชินช่างทำร้ายคนโดยแท้
เขาจับจมูกกระแอมอย่างเคอะเขินแล้วหลบไปด้านข้างก้าวหนึ่ง “เอ๋? ทำไมคุณถึงไปเดินอยู่ข้างหลังล่ะ”
กู้เยี่ยน “…”
คนไร้ยางอายแบบนี้หายากนักในชีวิต
กู้เยี่ยนมองเขาแวบหนึ่งอย่างเย็นชา ขยับริมฝีปากเอ่ย “ไม่ทำหน้าที่ต่อแล้วเหรอ ทนายว่าความหร่วน?”
เยียนสุยจือโบกมือหัวเราะแห้ง ๆ “คุณเป็นอาจารย์ เชิญคุณเลย”
เพื่อคลายความเคอะเขิน ใบหน้านี้ปล่อยให้อับอายไปเถอะ ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ไม่มีใครรู้จักเขา
พูดจบก็ชี้ช่องหน้าต่างเล็กที่ปิดสนิทและเอ่ยถาม “ตอนที่ลงจากยาน ผมได้ยินคุณคุยกับเขาแล้วนี่นา เด็กนี่ทำไมถึงโมโหไม่ไว้หน้ากันซะแล้ว”
ทำผิดแล้วเปลี่ยนเรื่อง ใบหน้าไม่ขึ้นสีแม้แต่นิด กู้เยี่ยนนับว่าได้เปิดหูเปิดตากับเด็กฝึกงานคนนี้แล้ว
ทว่าเขายังตอบเสียงเรียบ “ให้ผู้คุมโอนสายไปให้เขา พูดจบแล้วฉันก็ตัดสาย ถ้าหากว่าการพูดอยู่ฝ่ายเดียวนับเป็นบทสนทนาละก็ งั้นก็ถือว่าได้คุยกันแล้ว”
ผู้คุมมั่นอกมั่นใจ ชี้ช่องหน้าต่างด้วยท่าทางที่เหมือนเป็นเรื่องปกติ “โอนให้แล้ว เปิดช่องหน้าต่างให้เขาฟัง”
เยียนสุยจือ “…”
ยอมแพ้
เยียนสุยจือสละตำแหน่ง กู้เยี่ยนรับสิทธิ์เป็นผู้นำอย่างที่ควรเป็น เขาชี้ประตูลูกกรงเหล็กบานนั้นและกล่าว “รบกวนเปิดประตูด้วย”
“แน่ใจเหรอ ขนาดนี้แล้วพวกคุณยังจะพบอีกเหรอ” ผู้คุมแม้ว่าปากจะพูดแบบนี้ แต่ก็ยังคงเปิดประตูอยู่ดี ชั่วพริบตาที่เปิดประตู เขาก็กุมกระบองไฟฟ้าตรงข้างเอว อยู่ในท่าเตรียมดึงออกมาชอร์ตคน
เยียนสุยจือกลับกดมือเขาเอาไว้ บอกเป็นนัยว่าไม่ต้องเตรียมลงไม้ลงมือขนาดนั้น
ในความเป็นจริงเขากับกู้เยี่ยนคนหนึ่งเดินนำหน้าอีกคนเดินตามหลังเข้าไปข้างใน เด็กที่ชื่อโจชัว ดาห์เล่ นั่นก็ไม่ได้ทำอะไร
อีกฝ่ายเพียงนั่งอยู่ตรงนั้น จ้องตาทั้งสองคนอย่างเย็นชา พร้อมแค่นหัวเราะเยาะทีหนึ่งแล้วสะบัดหน้าหนี
เวลานี้เองเยียนสุยจือถึงเห็นหน้าตาของตัวโชคร้ายคนนี้ชัดเจน
อีกฝ่ายมีผมสีดำยาวมัดรวบอยู่ข้างหลัง มองออกว่าไม่ได้สระมาหลายวันแล้วจึงยุ่งรุงรัง นัยน์ตาสองข้างเป็นสีมรกต ด้วยร่างกายที่ผอมซูบจึงขับให้ดวงตาโตมากขึ้น เบ้าตาก็ลึกมากเช่นกัน
ริมฝีปากของเขาบางกว่ากู้เยี่ยน ดังนั้นเวลาที่เม้มปากจึงคล้ายส่งความดุดันร้ายกาจออกมาทางสีหน้า
อันที่จริงความดุดันแบบนี้กู้เยี่ยนก็มีเช่นกัน เพียงแต่ทุกอากัปกิริยาของเขามักแสดงออกอย่างเหมาะสม ดังนั้นความรู้สึกดังกล่าวจึงแปรเปลี่ยนเป็นความหล่อเหลาเย็นชาแทน
ทว่าเด็กเหลือขอตรงหน้าคนนี้…
เพราะเพิ่งอายุ 14 ปี ถึงแม้จะทำหน้าดุดันก็ให้ความรู้สึกว่าฝืนแสร้งทำ
“ฉันคือทนายที่รับคดีมาทำต่อ ก่อนหน้านี้คุยกับนายแล้ว” กู้เยี่ยนเอ่ยขึ้น
เยียนสุยจือ “…” นายยังจะกล้าพูดออกมาอีกเหรอ
โจชัว ดาห์เล่ คล้ายจะไม่พอใจกับคำว่า ‘คุย’ ที่ออกจากปากเขาเช่นกัน สีหน้าจึงฉายความรังเกียจเหลือแสน แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอีก ราวกับได้แสดงความรู้สึกทั้งหมดออกมาด้วยการปิดหน้าต่างเมื่อครู่แล้ว ไม่มีทีท่าว่าจะเอ่ยปากกล่าวอีก
“ฉันมาที่นี่แค่เพื่อพบนาย ให้นายจดจำใบหน้าของฉันเอาไว้” กู้เยี่ยนไม่ยี่หระต่อความเงียบของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย และพูดอย่างเย็นชา “ไม่ว่าตอนนี้นายจะคิดยังไง หวังว่าครั้งหน้าที่ได้พบกัน นายจะบอกทุกอย่างกับฉันตามความเป็นจริงและครบถ้วน”
ประโยคนี้ไม่รู้ว่าไปทิ่มแทงส่วนใดของโจชัว ดาห์เล่ เข้า เป็นผลให้เขาเอ่ยปากในที่สุด “บอกนาย? บอกนายแล้วจะมีประโยชน์อะไร ทนายคนก่อน ๆ แม่งก็พูดแบบนี้เหมือนกันหมด สุดท้ายเป็นยังไงล่ะ”
เขาถีบผนังอันแข็งแกร่ง “ฉันก็ยังถูกขังอยู่ในสถานที่น่าสะอิดสะเอียนแบบนี้อยู่ดี!”
“นายลองดูอีกครั้งได้” กู้เยี่ยนไม่รู้สึกร่วมไปกับเขาแม้แต่น้อย น้ำเสียงยังคงเย็นชา
“ลองแม่นายสิ! ฉันไม่ผิด! ฉันไม่ได้ทำ! มีสิทธิ์อะไรให้ฉันนั่งอยู่ที่นี่รอทนายคนแล้วคนเล่ามาบอกให้ฉันลองดู! มีปัญญาพาฉันออกไปแล้วค่อยมาพูดว่าลอง! ถ้าไม่มีปัญญาก็ไสหัวไปซะ” โจชัว ดาห์เล่ ตวาดกร้าว แทบจะควบคุมอารมณ์ไว้ไม่อยู่
เยียนสุยจือที่อยู่ด้านข้างคลี่ยิ้ม “พูดไม่กี่ประโยคก็ว่าร้ายกันแล้ว นายทำตัวแบบนี้จะให้คนประกันตัวนายได้ยังไง ผู้พิพากษาที่รอฟังการพิจารณาพอเห็นหน้านายแล้วรับรองว่าต้องหันหน้าปฏิเสธคำร้องแน่นอน”
โจชัว ดาห์เล่ หอบพลางถลึงตาใส่เขา “คำพูดโกหกแบบนี้อีกแล้ว! ถ้าประกันตัวได้ ตอนนี้ฉันจะนั่งอยู่ที่นี่เหรอ?!”
“การประกันตัวไม่ใช่ปัญหา” กู้เยี่ยนมองตาเขาแล้วกล่าว “แต่นายต้องรับปากฉัน พบกันครั้งหน้าจะบอกทุกอย่างกับฉัน ไม่ปกปิดแม้แต่น้อย”
เวลาเขาจ้องใครขึ้นมาก็มักจะทำให้คนโอนอ่อนตามโดยไม่รู้ตัว หากคนแบบนี้เป็นอาจารย์ขึ้นมาจริง ๆ เวลานักเรียนเห็นแล้วคงเหมือนหนูเห็นแมว
โจชัว ดาห์เล่ ฝืนข่มกลั้นอยู่หลายวินาที ก่อนจะมองอีกฝ่ายแวบหนึ่งด้วยสายตาอ่อนลง แล้วนั่งลงอีกครั้ง
ราวกับเขาใช้พลังทั้งหมดจนเกลี้ยง จึงนั่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่ขยับเขยื้อนเสมือนรูปปั้น
เห็นได้ชัดว่าแม้เขาจะไม่ได้ก่นด่าอย่างคลุ้มคลั่งแล้ว แต่ก็ยังคงไม่เชื่อคำพูดของกู้เยี่ยน
ผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดเขาก็อ้าปากอย่างโอนอ่อนอีกครั้ง เอ่ยเยาะเสียงทุ้มต่ำ “ถ้าพาฉันออกไปได้ ฉันจะยอมเรียกแกว่าปู่เลย ไสหัวไปได้แล้ว พวกต้มตุ๋น”
วิธีการพูดแบบนี้ ครั้งแรกที่ได้ยินอาจชวนให้ทอดถอนใจ แต่หากได้ยินบ่อยเข้าก็จะชินชาไปเอง
นักต้มตุ๋นเยียนสุยจือกับนักต้มตุ๋นกู้เยี่ยนเดินตามกันออกมาเงียบ ๆ
ผู้คุมเองก็ลูบกระบองไฟฟ้าลูกรักของตัวเองด้วยท่าทางคันไม้คันมือเช่นกัน พลางเอ่ยปากว่า “ทนายอย่างพวกคุณนี่ช่าง…” กล่าวจบก็ส่ายศีรษะเบา ๆ ก่อนจะปิดประตูลงอย่างไม่เกรงใจ