一级律师
คุณทนายความขั้นหนึ่ง
木苏里 มู่ซูหลี่ เขียน
isamare แปล
溫捌 เวินปา วาด
— โปรย —
เมื่อหลายเดือนก่อน เยียนสุยจือ ยังดำรงตำแหน่งทนายความขั้นหนึ่ง
ทั้งยังรับผิดชอบตำแหน่งคณบดีคณะนิติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเมซระหว่างดวงดาวอย่างสง่าผ่าเผยอยู่เลย
ไม่ทันไร ก็กลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัวและ ‘คนตาย’ ไปเสียแล้ว
เขาที่ถูกพาดหัวข่าวว่าเป็นผู้เคราะห์ร้ายจากเหตุวางระเบิด
ได้บุคคลปริศนายื่นมือเข้ามาช่วยผ่าตัดปรับแต่งยีน ปรับเปลี่ยนใบหน้า สรีระและลดอายุ
จนอยู่ในรูปลักษณ์ของนักศึกษาจบใหม่ พร้อมบัตรประชาชนปลอมที่ใช้ชื่อว่า ‘หร่วนเหยี่ย’
ตัดสินใจสืบเรื่องคดีวางระเบิดของตัวเอง โดยแฝงตัวไปเป็นเด็กฝึกงาน
ในสำนักงานเซาธ์ครอสส์ซึ่งเป็นสำนักกฎหมายที่รับผิดชอบคดีนี้
ณ ที่นั้น เขาดันได้เจอกับ กู้เยี่ยน ลูกศิษย์จอมหน้าตายของตัวเองที่ความสัมพันธ์ไม่ลงรอย
อีกทั้งยังต้องเข้าไปเป็นเด็กฝึกงานในความดูแลของอีกฝ่ายที่ไม่เต็มใจจะอยู่ร่วมกันสักนิด
ไม่คิดจะรับเด็กฝึกงานงั้นเหรอ บังเอิญจัง ฉันก็คิดแบบนี้เหมือนกัน
ความจริงแล้วนายจะส่งฉันไปให้ทนายคนอื่นก็ได้ ขอแค่ไม่ต้องอยู่ที่นี่ ที่ไหนฉันก็โอเคทั้งนั้น
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 4.2
ไวน์ซิตี้
ภายในห้องคับแคบ คนที่ตะโกนจนเสียงแหบแห้งนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่งด้วยสีหน้าปราศจากอารมณ์ หลังจากนั้นก็ชันเข่าแล้วซุกใบหน้าลงไป ก่อนขดแผ่นหลังไม่ขยับเขยื้อนอีก
เทียบกับภายในเรือนจำแล้ว ข้างนอกท้องฟ้าสว่างจ้า การมองในฉับพลันถึงขั้นทำให้ตาพร่าได้
เยียนสุยจือป้องดวงตาด้วยนิ้วมือ ก่อนจะแตะหน้าจอฮอโลแกรมดูเวลาแวบหนึ่ง “ยังไม่บ่ายสองเลย ไปกันเถอะ ไปศาลแขวงเอา…คุณมองผมแบบนี้ทำไม”
กู้เยี่ยนจ้องตาเขาพักหนึ่ง แล้วละสายตากล่าว “ไม่มีอะไร แค่คิดว่านายเป็นเด็กฝึกงานคนหนึ่ง พบเจอเรื่องแบบนี้เป็นครั้งแรก แต่การตอบสนองค่อนข้างเกินคาด”
เยียนสุยจือตอบโต้ในใจ นั่นสิ
ทว่าปากก็เริ่มพูดจาไร้สาระอีกแล้ว คนคนนี้เวลาพูดเหลวไหลไม่เคยต้องการเวลาเตรียมตัว แค่อ้าปากก็ออกมาทันที “ดูเหมือนว่าผมจะไม่เคยบอกว่านี่เป็นครั้งแรกที่ผมเจอเรื่องแบบนี้นะ”
กู้เยี่ยนมองเขา
เยียนสุยจือเริ่มแต่งเรื่อง “พ่อของผมก็เป็นทนายเหมือนกัน เคยเจอเรื่องแบบนี้กับท่านมาไม่น้อย หลายครั้งท่านคุยงานกับคนอื่นโดยไม่ได้ใส่หูฟัง ผมเลยได้ยินเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ เรื่องที่รุนแรงกว่านี้สิบเท่าก็เคยได้ยินมาแล้ว ตอนที่ได้ยินครั้งแรกยังเด็กเลยตกใจยกใหญ่ มาตอนหลังได้ยินอีกก็รู้สึกเฉย ๆ แล้ว”
ศาสตราจารย์เยียนผู้เชี่ยวชาญศาสตร์แห่งการโกหกว่าไม่ควรลงรายละเอียดมากเกินไป และต้องรู้จักคนที่ตนเองกำลังโกหกเป็นอย่างดีถึงจะแต่งเรื่องเพื่อโน้มน้าวให้อีกฝ่ายเชื่อได้ ทั้งยังตั้งใจใส่รายละเอียดบางอย่างที่จะทำให้คนเชื่อถือ
นี่เข้าตำรากินปูนร้อนท้องหรือที่เรียกว่าร้อนตัว
ตอนที่คุยเล่นกันอย่างเป็นจริงเป็นจังจะคุยเรื่องอะไรได้นอกจากเรื่องที่สนุกและน่าสนใจ แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องประเภทนี้ พูดส่ง ๆ ไปไม่กี่ประโยคก็คงพอแล้ว เพราะต่างคิดว่าสิ่งที่พูดเป็นความจริง ดังนั้นก็ไม่ต้องกังวลว่าอีกฝ่ายจะเชื่อหรือไม่เชื่อ
เขากล่าวจบก็เหลือบหางตาเหล่มองใบหน้าของกู้เยี่ยน
แม้จะเห็นไม่ชัด แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ได้ใช้ ‘สายตาจับผิด’ จ้องมองเขาแล้ว ฝีเท้าก็ไม่ได้หยุดเดินเช่นกัน ราวกับว่าเมื่อครู่แค่เอ่ยถามอย่างขอไปที และฟังคำอธิบายผ่านหูเท่านั้น
“ร้องไห้ไหม” หลังจากเล่าจบไปแล้วพักหนึ่ง กู้เยี่ยนพลันเอ่ยถามแบบนี้
เยียนสุยจือ “???”
“ฉันถามว่า ตอนที่นายยังเด็กและได้ยินเรื่องพวกนั้นตกใจจนร้องไห้หรือเปล่า” กู้เยี่ยนถามอย่างไม่ใส่ใจ
เยียนสุยจือ “…”
ลูกศิษย์คนนี้ นายหันหน้ามามองฉันแล้วถามอีกทีซิ นายว่าใครร้องไห้นะ
เห็นได้ชัดว่าทนายว่าความกู้เพียงแค่อยากจะเยาะเย้ย ‘เขาในวัยเด็ก’ เท่านั้น ไม่ได้มีทีท่าว่าจะรอฟังคำตอบแต่อย่างใด
กระทั่งเขาได้สติกลับมา กู้เยี่ยนก็นำหน้าเขาไปสองก้าวแล้ว
ทว่าเป็นเพราะคำถามเมื่อครู่ ถึงพาให้เยียนสุยจือที่ทำตามอำเภอใจเป็นนิสัยตระหนักได้ว่า ตนเองไม่รู้จักปกปิดซ่อนเร้นขนาดไหน หากยังกำเริบเสิบสานแบบนี้ต่อไป ช้าเร็วคงต้องจบเห่แน่นอน ความจริงแล้วเขาไม่ได้กังวลเรื่องอื่นเลย กลัวอย่างเดียวว่าจะทนไม่ไหวแล้วพาให้อับอายขายขี้หน้า
โดยเฉพาะขายขี้หน้าต่อหน้าลูกศิษย์ของตัวเอง
ศาลแขวงของไวน์ซิตี้อยู่ใกล้กับเรือนจำอย่างยิ่ง เดินเท้าเพียงแค่สิบนาทีเท่านั้น
ศาลแขวงเรียกได้ว่าเป็นศาลชั้นต้น ข้างในมีการจัดการกระบวนการและคดีที่ไร้ระเบียบยิบย่อยหลากหลายประเภททุกวัน รวมถึงเป็นสถานที่ในการยื่นคำร้องขอประกันตัว จึงไม่ได้น่าเกรงขามและเงียบสงัดเหมือนในจินตนาการของใครหลายคน
เยียนสุยจือไม่ได้มาเป็นครั้งแรก แต่ทุกครั้งที่มาก็อยากจะทอดถอนใจว่า เจ้าพนักงานในสามองค์กรยุติธรรม[1]ของไวน์ซิตี้ลำบากจริง ๆ ต้องซวยแปดร้อยชาติถึงได้ถูกโยกย้ายมาที่นี่
ภายในห้องโถงมีคนมากมายรวมตัวกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ไร้ระเบียบ เอกสารฮอโลแกรมมีอยู่ทั่วทุกแห่ง
“เหมือนเข้ามาในฟาร์มสัตว์ปีก…” เยียนสุยจือหัวเราะแห้ง ๆ แล้วพิงริมประตู แสดงท่าทางเชื่อฟังอย่างยิ่ง “ครั้งนี้ผมจะรักษาบทบาทหน้าที่ที่เด็กฝึกงานควรมี ไม่แย่งงานอาจารย์กู้แล้ว เชิญเลย”
กู้เยี่ยน “…”
เขาเองก็ต้องโชคร้ายแปดร้อยชาติเช่นกันถึงได้ได้เด็กฝึกงานคนนี้มา
กู้เยี่ยนยืนห่างออกไปสองก้าว สองมือล้วงอยู่ในกระเป๋าเสื้อโค้ตขนแกะ แผ่นหลังเหยียดตรง กำลังหลุบตามองใครบางคนที่พิงริมประตูอยู่ หลังจากที่เงียบไปครู่หนึ่งก็กล่าวอย่างหน้าตาเฉย “ฉันจำเป็นต้องเตือนนายแล้วสิ งานยื่นคำร้องขอประกันตัวแบบนี้ บังเอิญว่าเป็นงานที่เด็กฝึกงานควรทำพอดี”
เขาพูดพลางพยักพเยิดคางไปที่ประตูใหญ่ “ไปทำบทบาทหน้าที่ที่นายควรทำ”
เยียนสุยจือทุบตีลูกศิษย์ผู้เหยียบจมูกขึ้นหน้า[2]คนนี้อยู่ในใจ ทว่าใบหน้ากลับคลี่ยิ้มครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหลังเข้าไปข้างใน
เสียงจอแจหนวกหูดังเข้าหูเขาในทันที
เยียนสุยจือเอี้ยวตัวหลบคนที่กำลังก้มตัวเซ็นชื่ออยู่ทั่วทุกแห่ง เดินมาหยุดอยู่หน้าเคาน์เตอร์สูง
คนที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์คือหญิงสาวผู้สวมชุดทางการ โดยปกติแล้วงานประเภทนี้เป็นหน้าที่ของคนหนุ่มสาวที่เพิ่งเข้ามาทำงานในศาล เธอมองเยียนสุยจือแวบหนึ่ง ก่อนจะเคาะแป้นพิมพ์เสมือนของคอมพิวเตอร์โฟตอนที่อยู่เบื้องหน้าโดยอัตโนมัติ “มายื่นคำร้องขอประกันตัวเหรอคะ”
“ใช่ครับ โจชัว ดาห์เล่ จากเรือนจำโคลด์เลค ถูกกล่าวหาว่าเข้าไปชิงทรัพย์ในเคหสถาน”
หญิงสาวคนนั้นเคาะแป้นพิมพ์เสมือนตามข้อมูลที่เขาแจ้ง ก่อนจะยืนยันอีกครั้ง “ดาห์เล่…อายุ 14 ปีใช่ไหมคะ”
“ใช่ครับ”
“ตรวจสอบแบบยื่นคำร้องได้เลยค่ะ”
เมื่อเธอกล่าวจบ คอมพิวเตอร์โฟตอนก็เด้งหน้าต่างหนึ่งขึ้นมา แบบฟอร์มบนหน้าต่างแสดงประวัติส่วนตัวของโจชัว ดาห์เล่ อย่างชัดเจน ข้างล่างเป็นสำนวนยื่นคำร้องตามแบบมาตรฐานเดียวกัน
ตามข้อกำหนดโดยทั่วไปของสหพันธ์ในปัจจุบัน การประกันตัวนั้นไม่จำเป็นต้องยื่นคำร้อง แต่จะมีพนักงานสอบสวนเป็นผู้ยืนยันว่าผู้ต้องหาคนใดสมควรได้รับการประกันตัวตามความเหมาะสมหรือไม่ มีแต่เมื่อพนักงานสอบสวนคิดว่าไม่สมควรถึงจะต้องให้ทนายเป็นผู้ยื่นคำร้องเอง หลังจากนั้นก็รอฟังคำตัดสินของศาลตามระเบียบขั้นตอนการยื่นคำร้องภายในวันเดียวกันหรือวันรุ่งขึ้น
ดังนั้นขั้นตอนการยื่นคำร้องจึงง่ายดายเป็นอย่างมาก โดยปกติมักให้เด็กฝึกงานเป็นคนทำ ถึงอย่างไรก็ไม่ต้องกังวลว่าจะทำผิดพลาด
เยียนสุยจือกวาดตาอ่านข้อมูลของโจชัว ดาห์เล่ แวบหนึ่งตั้งแต่ต้นจนจบ และพยักหน้าตอบ “ถูกต้องครับ”
“งั้นแค่เซ็นชื่อก็เสร็จแล้วค่ะ” หญิงสาวชี้โต๊ะที่ทุกคนรวมตัวกันอยู่ข้างหน้า “ตรงนั้นมีปากกาอิเล็กทรอนิกส์ หรือจะใช้นิ้วมือเซ็นโดยตรงเลยก็ได้”
เยียนสุยจือเห็นกลุ่มคนแล้วก็หนักใจ คลี่ยิ้มกล่าว “ผมใช้มือเซ็นแล้วกัน”
หญิงสาวหลุดหัวเราะ “นายดูเหมือนเพิ่งเรียนจบ เป็นเด็กฝึกงานเหรอ”
“อืม” เยียนสุยจือตอบรับคำหนึ่ง
“ดีจังเลย อย่างน้อยก็ได้ออกไปไหนบ้าง ฉันก็เป็นเด็กฝึกงานเหมือนกัน ยืนอยู่ตรงนี้มาเกือบเดือนแล้ว” หญิงสาวยืนอยู่ตรงนี้มาแล้วเกือบเดือน แต่ก็ไม่เคยเป็นฝ่ายชวนใครคุยก่อนเลย ยามนี้จู่ ๆ ก็อยากคุยเล่นขึ้นมา คงมาจากสัญชาตญาณการให้ค่ากับคนหน้าตาดี
เยียนสุยจือเหลือบตาส่งยิ้ม “แล้วก่อนหน้านี้ล่ะ จัดเรียงเอกสารไปแล้วหนึ่งเดือน?”
“นายรู้ได้ยังไง”
“เมื่อนานมาแล้วฉันก็เคยฝึกงานในศาลเหมือนกัน”
“เมื่อนานมาแล้ว?” หญิงสาวงงเล็กน้อย
“อืม” เขาไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น เพียงตอบรับส่ง ๆ แล้วยกมือเซ็นชื่อ ลายเส้นดุจมังกรร่ายหงส์รำ
ทว่าเพิ่งร่ายรำได้สองขีดก็หยุดชะงักโดยพลัน ก่อนจะกดลบเงียบ ๆ
“ทำไมถึงลบล่ะ”
เพราะเกือบจะเซ็นว่า ‘เยียนสุยจือ’ แล้วยังไงล่ะ…
เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “เซ็นไม่สวยน่ะ” หลังจากนั้นก็เซ็นชื่อหร่วนเหยี่ยสองคำอย่างถูกต้อง แล้วกดปุ่มยืนยัน
“เรียบร้อยแล้ว”
เยียนสุยจือช้อนตามองหญิงสาวที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์แล้วกล่าว “ขอบคุณครับ”
“ลาก่อนค่ะ” เธอกล่าวตอบยิ้ม ๆ
“ขอบอกเธอในฐานะของคนมีประสบการณ์นะ เดือนหน้าเธอจะได้ทำงานจริง ๆ จัง ๆ แน่นอน” เยียนสุยจือพูดพลางโบกมือหย็อย ๆ แล้วหันหลังเดินจากมา
ตอนที่เขาเดินมา กู้เยี่ยนรอจนเริ่มจะหงุดหงิดแล้ว แน่นอนว่าลำพังมองจากสีหน้าย่อมมองไม่ออก
“ไปกันเถอะ” เยียนสุยจือหันหน้า “ไปดูผลข้างหน้ากัน”
กู้เยี่ยนชี้หน้าจอฮอโลแกรม กล่าวด้วยสีหน้านับถือ “หร่วนเหยี่ย แค่สองคำนายใช้เวลาเซ็นชื่อถึงห้านาที”
เยียนสุยจือเลิกคิ้ว “เพราะชื่อนี้เซ็นยาก รอบแรกเซ็นไม่สวยด้วย”
กู้เยี่ยนกล่าวเสียงเรียบ “ชื่อหนึ่งเซ็นมายี่สิบกว่าปีแล้วยังไม่สวย ก็อย่าโทษว่าตัวอักษรเขียนยากเลย”
เยียนสุยจือ “…”
ว่าใครลายมือไม่สวยนะ
เขาอยากเอากรอบลายเซ็นที่ติดอยู่ในคณะนิติศาสตร์มาทุ่มใส่หน้าลูกศิษย์คนนี้ไปเลย
ข้อมูลทุกประเภทแบ่งตามคอลัมน์แสดงอยู่บนหน้าจอขนาดใหญ่ภายในห้องโถงหน้าศาล คอลัมน์มุมซ้ายล่างเป็นกำหนดการฟังคำตัดสินของการยื่นคำร้องขอประกันตัว
เยียนสุยจือกับกู้เยี่ยนรอไม่ถึงห้านาที ชื่อของโจชัว ดาห์เล่ ก็ปรากฏขึ้นมา
“สิบโมงเช้าวันพรุ่งนี้” เยียนสุยจือกล่าว “พอไหว ห่างจากมื้อเที่ยงไม่มากไม่น้อย ท่านผู้พิพากษาคงไม่หิวจนหงุดหงิด”
หลังจากทั้งสองออกมาจากศาลก็โบกรถคันหนึ่งที่ริมถนนอีกครั้ง
ครั้งนี้คนขับรถไม่ใช่คนช่างคุย แต่ด้วยเหตุนี้เองเลยดูดุเล็กน้อย
เส้นทางคู่ขนานในไวน์ซิตี้มีน้อย ดังนั้นคนขับรถที่นี่มักจะชอบเหยียบคันเร่งแล่นไปบนถนนก่อนแล้วค่อยถามจุดหมายปลายทาง รอจนเมื่อคนขับรถเอ่ยปากถาม เยียนสุยจือก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงไม่ชอบพูด
เพราะว่าเสียงของเขาชวนให้คนฟังอึดอัด เสียงแหบจนเหมือนอมทรายเอาไว้
“ไปไหนครับ” คนขับรถถามสั้น ๆ
“แคบบิจอเวนิว” กู้เยี่ยนขยายแผนที่บนอุปกรณ์อัจฉริยะแล้วตอบ
ไวน์ซิตี้เป็นสถานที่ที่แท็กซี่เถื่อนเต็มท้องถนน มีเพียงไม่กี่คันที่ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้อง ดังนั้นแม้แต่การจองรถก็ยังจองแบบกำหนดโลเกชั่นไม่ได้ แต่ละครั้งล้วนต้องดูแผนที่แล้วหาชื่อถนน
เยียนสุยจือรู้จักแคบบิจอเวนิว หากถามว่าเขตตัวเมืองที่พวกเขาจะเข้าพักอาศัยมีที่ไหนพอจะคล้ายสถานที่ที่คนทั่วไปอยู่อาศัยได้บ้าง นั่นก็มีเพียงแค่แคบบิจอเวนิวแล้ว ที่นั่นมีโรงแรมสองสามแห่งที่ดูแล้วจะไม่ถูกเอาเปรียบ
กู้เยี่ยนจองที่พักเอาไว้ที่นั่น
เป็นโรงแรมมีระดับที่ชื่อว่าซิลเวอร์ที…คำว่ามีระดับในอาณาเขตไวน์ซิตี้ เมื่อแปลออกมาแล้วก็คือ ‘ไม่ใช่โรงแรมเถื่อน’
ก็เท่านั้นแหละ
ตอนที่ทั้งสองยืนอยู่หน้าฟรอนต์ของโรงแรม พนักงานผู้รับผิดชอบการเช็กอินคือเด็กหนุ่มคนหนึ่ง…เขาถักเปีย ใส่ต่างหูหนึ่งแถวและจิวที่ปาก
เขาเหลือบมองพวกเยียนสุยจือ พินิจไปมารอบหนึ่งอย่างโจ่งแจ้ง จากนั้นก็แย้มรอยยิ้มแบบเดียวกับคนขับรถรายแรก
กู้เยี่ยนแสร้งมองไม่เห็นพฤติกรรมแปลก ๆ ของคนประเภทนี้มาโดยตลอด สีหน้าเขาไม่แปรเปลี่ยน เพียงแค่เหลือบตามองชายคนนั้นแวบหนึ่งแล้วกล่าวเสียงเย็น “จองเอาไว้แล้ว”
โชคดีว่าเด็กหนุ่มคนนี้มีไหวพริบกว่าคนขับรถคนก่อนหน้า ยิ้มเสร็จก็พยักหน้ารับ เปลี่ยนท่าทางเป็นจริงจังเล็กน้อยและกล่าวกับกู้เยี่ยน “ขอเบอร์ติดต่อด้วยครับ”
กู้เยี่ยนตอบ “1971182”
“โอเค ผมจะเช็กอินให้ รอสักครู่ครับ” เด็กหนุ่มอมลูกอมอยู่ในปากเลยพูดจาไม่ชัดเจน
เยียนสุยจือยืนอยู่ครู่หนึ่งก็พลันร้อง “ซี้ด…”
“เป็นอะไร” กู้เยี่ยนย่นคิ้วเหลือบมองเขา “ปวดฟัน?”
หัวคิ้วของเยียนสุยจือขมวดแน่นยิ่งกว่าเขา “เบอร์คุณเบอร์อะไรนะ??? ทวนอีกรอบได้ไหม”
“1971182 ไม่ต้องขอบคุณ” เด็กหนุ่มประจำฟรอนต์ที่กำลังเช็กอินบอกเบอร์อย่างแม่นยำ
เยียนสุยจือเปิดหน้าจอฮอโลแกรมทันที แล้วปัดเร็ว ๆ ไปที่หน้าประวัติการติดต่อที่ทั้งสั้นและน้อยจนน่าเวทนา จำนวนเบอร์ที่เคยโทร.เข้ามาในอุปกรณ์อัจฉริยะเครื่องนี้ตลอดสองวันมีทั้งหมดสองเบอร์ หนึ่งคือเบอร์บริการ
ของอพาร์ตเมนต์ที่โทร.เข้ามาภายหลัง ส่วนอีกเบอร์หนึ่ง…
เป็นเบอร์ใครไม่ต้องถามเลย
กู้เยี่ยนรับคีย์การ์ดที่เด็กหนุ่มคนนั้นยื่นมาให้ เหลือบตากล่าว “ในที่สุดก็รู้แล้วเหรอว่าตัวเองวางสายใส่ใคร”
“ช่วยพูดให้ถูกต้องหน่อย คนที่วางสายก่อนคือคุณชัด ๆ”
ทั้งสองคนเดินตามกันไปที่ลิฟต์
กู้เยี่ยนกดชั้น 7 แล้วเอ่ยเหน็บเสียงเย็นอย่างไม่ปรานี “รับสายแล้วบอกว่า ‘ไม่เช่าอพาร์ตเมนต์ต่อแล้ว’ ถ้าไม่วางสาย จะให้ถามนายต่อว่าให้คะแนนการบริการเท่าไรหรือไง”
“เพราะก่อนหน้านั้นผมเพิ่งได้รับข้อความจากอพาร์ตเมนต์ว่าอีกสักครู่จะโทร.มายืนยันด้วยเสียง หลังจากนั้นคุณก็โทร.เข้ามา” เยียนสุยจือไม่สบอารมณ์ “ทำไมอาจารย์แบบคุณถึงเลือกเวลาได้เหมาะเจาะขนาดนั้น”
เอะอะหาเรื่อง เถียงคำไม่ตกฟาก
กู้เยี่ยนปั้นหน้าเย็นชา แลดูโมโหไม่น้อย
“อีกอย่าง…” เยียนสุยจือกล่าวอีก
ยังจะมีหน้ามาอีกอย่างอีก
กู้เยี่ยนถูกเขายั่วโทสะจนแค่นยิ้ม หัวเราะหึสั้น ๆ ทีหนึ่ง เมื่อประตูลิฟต์เปิดแล้วก็สาวเท้าออกไปเลย
“คุณโทร.มาแล้วทำไมไม่บอกว่าตัวเองเป็นใคร” เยียนสุยจือเดินตามหลังเขาอย่างไม่รีบร้อน พลางกล่าวต่อ “ถ้าคุณบอกสักคำก็ไม่เกิดความเข้าใจผิดตามมาแล้วไหม ผมไม่มีเบอร์คุณสักหน่อย”
กู้เยี่ยนมีเบอร์เขาย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก ถึงอย่างไรหนังสือรายงานตัวกับไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ที่แนบไว้ข้างหลังก็มีบอก
เยียนสุยจือพูดพลางเปิดหน้าจอฮอโลแกรมอีกครั้ง ก้มหน้าเดินพลางเซฟเบอร์ของทนายกู้ไปด้วย
“คู่มือเด็กฝึกงาน” กู้เยี่ยนเอ่ยโดยพลัน ฝีเท้าก็หยุดกะทันหัน
“คู่มือ? คู่มือเฮงซวยนั่นทำไมอีกล่ะ” เยียนสุยจือหยุดฝีเท้าตามแล้วเงยหน้าถาม
เขาในตอนนี้แค่ได้ยินคำนี้ก็ปวดหัวแล้ว มักจะรู้สึกว่าในนั้นซ่อนหลุมพรางที่ไม่มีที่สิ้นสุดเอาไว้ อำนวยให้กู้เยี่ยนแคปเจอร์ภาพส่งมาโจมตีได้ตลอดเวลา
“ฟิซซ์ใส่เบอร์ติดต่อของทนายที่ปรึกษาเอาไว้ในคู่มือ พร้อมกับทำตัวหนาขีดไฮไลต์สามบรรทัดเตือนให้พวกนายเซฟเอาไว้” กู้เยี่ยนตอบ
เยียนสุยจือมึนงง “มีด้วยเหรอ ทำไมผมไม่เห็นอ่านเจอ”
“เพราะนายเห็นแต่เงิน”
“…”
กู้เยี่ยนดึงคีย์การ์ดออกมาเปิดห้องตรงหน้าตนเอง และเข้าไปเปิดไฟ
เยียนสุยจือยอมรับว่าตัวเองก็มีส่วนผิด เลยไม่คิดจะคุยเรื่องเบอร์ติดต่ออีก จึงเอ่ยปากคุยเรื่องอื่นแทน “คุณเคยบอกว่าไม่ได้อ่านข้อมูลเรื่องเด็กฝึกงานสักนิดไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงรู้เนื้อหาในคู่มือดีจัง”
“สองวันนี้แบ่งเวลามาศึกษา”
“ศึกษามันไปทำไม” มีเวลาขนาดนี้ อ่านสำนวนคดีของนายไปไม่ดีกว่าเหรอ
กู้เยี่ยนหันหลังพิงบริเวณโถงทางเข้า ปิดทางเข้าห้องพอดิบพอดี “เพื่อหาข้ออ้างที่ชัดเจนในการไล่นายออก”
เยียนสุยจือ “?”
กู้เยี่ยนว่าจบก็หย่อนคีย์การ์ดอีกใบลงในกระเป๋าเสื้อโค้ตของเยียนสุยจือ จากนั้นก็ชี้ไปนอกประตู กล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งเป็นพิเศษ “ออกไป”
ตามมาด้วยประตูห้องที่ปิดลงต่อหน้าต่อตาเยียนสุยจือ
เยียนสุยจือเลิกคิ้วเล็กน้อย กล่าวในใจ โอเค คำพูดนี้ฉันเป็นคนสอนเองไม่ผิด
เขาหยิบคีย์การ์ดสภาพเยินออกจากกระเป๋าเสื้อแล้วพลิกดูเลขห้องแวบหนึ่ง เป็นห้องข้างกัน จึงเดินไปแตะบัตรเข้าห้องอย่างไม่รีบร้อน
โรงแรมแห่งนี้แม้จะเทียบกับโรงแรมในเดอคาร์มาไม่ติด แต่ยังนับว่าสะอาดและสะดวกสบาย อย่างน้อยภายในห้องก็ไม่มีกลิ่นของคนไร้บ้านผสมกับคนขี้เมาข้างนอกนั่น ถึงขนาดฉีดน้ำหอมที่ให้ความสดชื่นภายในห้องด้วย
มีทั้งเตียงนอนและโซฟา อุณหภูมิในห้องไม่สูงไม่ต่ำจนเกินไป
การทำงานนอกสถานที่ครั้งนี้แก้ปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยของเขาได้อย่างเหมาะเจาะ แม้ไม่ได้พักอยู่นาน แต่ก็ไม่เลวเลย
เที่ยงวันนั้นหลังจากที่วางสายกู้เยี่ยน ตอนบ่ายก็ถามว่าห้องทำงานอนุญาตให้ค้างคืนได้หรือเปล่า แม้แต่คนโง่ก็เกรงว่าคงเดาสถานการณ์คร่าว ๆ จากสองประโยคนั้นออก ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายยังรู้ดีว่าสมบัติติดตัวเขาทั้งหมดมีเพียงเงิน 5,022 ซีอันน่าเวทนาเท่านั้น
ดังนั้นการทำงานนอกสถานที่อย่างกะทันหันนี้มาจากสาเหตุใดก็เดาได้ไม่ยาก
ดูท่าอาการบูดบึ้งของลูกศิษย์คนนี้ก็เป็นแค่การแสดงออกทางอารมณ์เท่านั้น ทว่าจริง ๆ แล้วใจอ่อนมาก
ศาสตราจารย์เยียนเกิดมโนธรรมในใจอันหาได้ยาก หลังจากที่ยืนทบทวนตัวเองที่ริมหน้าต่างกระจกบานใหญ่ครู่หนึ่ง ก็ส่งข้อความไปยังเบอร์ที่เพิ่งเซฟเอาไว้เมื่อไม่กี่นาทีก่อน [ห้องไม่เลวเลย ขอบคุณครับ]
แล้วก็เป็นดังคาด อีกฝ่ายไม่ตอบกลับแม้แต่คำเดียว
เยียนสุยจือแค่นหัวเราะแล้วส่ายหน้าหน่าย คิดในใจว่า เห็นแก่เรื่องที่หลับที่นอน จะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเด็กแบบนายแล้วกัน
ทว่ามีเตียงนอนแล้ว แต่ไม่มีเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนซัก เพราะเขาดันมาที่นี่มือเปล่า
นี่ไม่ได้เกิดจากการแจ้งเรื่องทำงานนอกสถานที่อย่างกะทันหัน แต่เยียนสุยจือมีนิสัยนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คือไม่ชอบถือข้าวของพะรุงพะรังในมือ มีแค่อุปกรณ์อัจฉริยะ คอมพิวเตอร์โฟตอน และครุยทนาย หากต้องการอะไรนอกเหนือจากนี้ก็ค่อยซื้อใหม่เอาที่ปลายทาง
เยียนสุยจือเก็บข้าวของนิดหน่อย ก่อนจะหยิบคีย์การ์ดออกมาข้างนอก
ไวน์ซิตี้ไม่ใช่สถานที่แปลกใหม่สำหรับเขา ควรไปที่ไหนก็คุ้นเคยเส้นทางดี จึงโบกรถหน้าโรงแรมและบอกจุดหมายปลายทาง จากนั้นก็พิงเบาะพักสายตาเงียบ ๆ
เพิ่งพักได้ไม่กี่วินาที แหวนบนนิ้วก็สั่นครืด
เยียนสุยจือย่นคิ้วแล้วลืมตามอง บนหน้าจอฮอโลแกรมปรากฏข้อความใหม่
ชื่อ : ลูกศิษย์อารมณ์บูด
ข้อความ [นายออกไปข้างนอก]
ตลอดหลายปีมานี้ศาสตราจารย์เยียนมักตัดสินใจทำอะไรหรือไปไหนมาไหนด้วยตัวเองเสมอ มีอิสระไม่ผูกมัด ไม่เคยมีนิสัยต้องบอกใครสักคนมาก่อน จู่ ๆ ได้รับข้อความแบบนี้ก็รู้สึกแปลก ๆ อยู่บ้าง
ชะงักไปสองวินาทีเขาถึงส่งเสียง “จิ๊” แล้วอดทนตอบกลับ [ใช่ ผมไปซื้อ…]
ยังพิมพ์ข้อความไม่เสร็จ หน้าต่างก็ถูกแทรกด้วยสายเรียกเข้าแล้ว
เยียนสุยจือ “???”
เมื่อกดรับสาย อีกฝ่ายก็เอ่ย “ฉันเอง กู้เยี่ยน”
เยียนสุยจือแขวะในใจว่าไร้สาระ “ผมรู้ ผมเซฟเบอร์คุณไว้แล้ว”
“อยู่ไหน”
“บนแท็กซี่เถื่อน”
คนขับรถที่อยู่ข้างหน้า “…”
กู้เยี่ยนเงียบไปสองวินาทีแล้วเอ่ยถาม “…จะไปที่ไหน”
เยียนสุยจือตอบ “ถนนทูมูน ผมจะไปซื้อเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนซัก เพิ่งขึ้นรถคุณก็ส่งข้อความมาแล้ว”
“ออกไปข้างนอกไม่บอกสักคำ?”
เยียนสุยจืออยากจะหัวเราะ “บอกแล้วคุณตอบไหมล่ะ”
“…”
กู้เยี่ยนคล้ายถูกตอกหน้าหงายไปชั่วครู่ จากนั้นก็กล่าวอีก “เดี๋ยวฉันตามไป”
“ไม่ต้องหรอก ผมซื้อของเร็วมาก ไม่ถึงสิบนาที” เยียนสุยจือบอก
“พาเด็กฝึกงานมาทำงานนอกสถานที่ ถ้านายเป็นอะไรขึ้นมาฉันต้องรับผิดชอบทั้งหมด” กู้เยี่ยนกล่าว “นายลืมไปแล้วใช่ไหมว่าไวน์ซิตี้เป็นสถานที่แบบไหน”
เยียนสุยจือคิดในใจ แน่นอนว่าไม่ลืม แต่จำนวนครั้งที่ฉันมาไวน์ซิตี้เกรงว่าจะเป็นสองเท่าของนาย เทียบกับความปลอดภัยของฉันแล้ว ฉันค่อนข้างเป็นห่วงนายมากกว่า
แต่ครั้งนี้ปากเขาติดหูรูดแล้วจึงไม่ได้หลุดเอ่ยประโยคนี้ออกไป
ดังนั้นศาสตราจารย์เยียนจึงอึกอักสองวินาที แต่ก็คิดถ้อยคำที่จะโน้มน้าวได้มากพอโดยไม่เปิดเผยตัวตนไม่ออก ทำได้เพียงพยักหน้าตอบ “ก็ได้ งั้นผมไปรอคุณที่นั่น”
“ส่งป้ายทะเบียนรถมาก่อน”
เยียนสุยจือ “?? เอาไปทำอะไร”
“เกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะได้มีเบาะแสตามไปเก็บศพ”
เยียนสุยจือ “…”
กู้เยี่ยนพูดเรื่องสยองขวัญจบแล้วก็วางสายไป
เยียนสุยจือถลึงตามองหน้าจอฮอโลแกรมนานพักใหญ่ สุดท้ายก็พิมพ์ป้ายทะเบียนรถชุดหนึ่งส่งไปอย่างยอมรับชะตากรรม [EM1033]
ถนนทูมูนเป็นสถานที่แปลกประหลาดมาก มันคือ ‘ย่านธุรกิจคนรวย’ เพียงแห่งเดียวในละแวกใกล้เคียง ทว่าดันตั้งอยู่กลาง ‘สลัม’ ที่มีบ้านเรือนต่ำเตี้ยไม่สม่ำเสมอเป็นวงกว้าง ราวกับติดหมากฝรั่งผิดที่โดยไม่ได้ตั้งใจ เป็นตึกสูงเด่นส่องประกายท่ามกลางอิฐบล็อกโสโครกมืดมน
คนขับรถแท็กซี่เถื่อนเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนเตี้ย เขาจอดรถที่หัวถนนทูมูนแล้วหันมากล่าวกับเยียนสุยจือ “ขอโทษด้วยนะครับคุณผู้ชาย ส่งคุณได้แค่ตรงนี้ ผมต้องรีบกลับบ้านก่อน ข้างหน้าก็คือถนนทูมูนแล้ว เที่ยวให้สนุกนะครับ”
“ขอบคุณครับ” หายากที่เยียนสุยจือจะเจอคนขับรถปกติที่ไวน์ซิตี้ จึงจ่ายค่าโดยสารแล้วลงจากรถ
ใครจะรู้ว่าคนขับรถเองก็ลงมาจากที่นั่งคนขับเช่นกัน แล้วใช้อุปกรณ์สื่อสารแบบเก่าคุยกับปลายสายไปพลาง เท้าประตูรถพยักหน้าส่งยิ้มให้เยียนสุยจือไปพลาง
“นายถึงหรือยัง” สภาพแวดล้อมโดยรอบจอแจ คนขับรถจำต้องตะโกนใส่ปลายสาย “ฉัน? ฉันอยู่ที่ปากทางแล้ว ยังไม่เห็นนายเลย นายรีบมารับช่วงต่อได้แล้ว ครึ่งชั่วโมงก่อนฉันก็บอกนายแล้วนี่ มัวแต่อืดอาดจนถึงตอนนี้ นายไปอีกแล้วใช่ไหม…โอเค ๆ ๆ ฉันไม่พูดแล้ว แต่นายแม่งมาเร็ว ๆ หน่อย!”
ถึงแม้ว่าเยียนสุยจือไม่อยากฟัง แต่เสียงที่ตวาดดังนี้ก็ยังเข้าหูอยู่ดี
เขาเลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วส่งยิ้มให้คนขับรถ ก่อนจะก้าวเท้าเดินไปยังแสงไฟสว่างของถนนทูมูน
เยียนสุยจือไม่ได้สนใจการเดินช็อปปิ้งเท่าไรนัก เวลามาซื้อของมักจะมีเป้าหมายชัดเจนและรีบจัดการให้เสร็จโดยเร็ว จึงตรงไปยังร้านหนึ่งโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย เมื่อก่อนเวลามาไวน์ซิตี้เขาก็จะมาซื้อเสื้อผ้าเปลี่ยนที่นั่น
เพิ่งเข้ามาในร้าน แหวนบนนิ้วมือก็สั่นครืดติดต่อกันจนเกือบจะทำนิ้วเขาขาดแล้ว
คราวนี้มีอะไรอีกล่ะ
เดิมทีเยียนสุยจือคิดว่าเป็นลูกศิษย์อารมณ์บูดบางคนมาตามจับคนอีกแล้ว เมื่อเปิดดูก็คิดไม่ถึงว่าจะไม่ใช่
คนที่ก่อกวนเป็นเด็กฝึกงานชื่อล็อค ไม่รู้ว่าเด็กโง่ผู้กระตือรือร้นเกินเหตุคนนี้คิดอะไร ถึงได้ลากเด็กฝึกงานทั้งหมดเข้ามาในกลุ่มแชต
เมื่อสองนาทีก่อน แอนนาส่งภาพสกรีนช็อตหน้าหนังสือประกาศเข้ามาในกลุ่ม ในภาพระบุว่า อีกหนึ่งสัปดาห์เด็กฝึกงานทุกคนต้องเข้าร่วมการประเมินผล ผลการประเมินจะถูกบันทึกเป็นคะแนนรอบแรก แล้วนำไปบวกกับคะแนนตอนท้ายก่อนช่วงฝึกงานจะสิ้นสุดลงเพื่อคำนวณเป็นคะแนนรวมและใช้ตัดสินว่าใครจะได้ไปต่อ
ล็อค [หนึ่งคนเลือกหนึ่งคดีมาว่าความกันในศาลจำลอง]
แอนนา [นายก็เห็นประกาศแล้วเหรอ]
ล็อค [เมื่อสองชั่วโมงก่อนอาจารย์บอกฉันแล้ว กำชับให้ฉันเตรียมตัวดี ๆ อย่าทำให้เขาขายหน้า]
ฟิลลิดา [ทำไมฉันไม่ได้รับหนังสือประกาศล่ะ]
เยียนสุยจือคิดในใจ บังเอิญจัง ฉันก็ไม่ได้รับเหมือนกัน
ล็อค [อาจแจ้งไม่ทันหรือเปล่า ถึงยังไงช้าสุดพรุ่งนี้ก็น่าจะรู้แล้ว ปรึกษากันก่อนดีกว่าไหมว่าใครเลือกคดีอะไรบ้าง]
ฟิลลิดา [ฉันขอดูก่อน]
เยียนสุยจืออ่านคดีที่ยกตัวอย่างมาในภาพสกรีนช็อต มีทั้งหมดห้าคดี ประเภทอาชญากรรมล้วนแตกต่างกันไป เขาไม่มีความเห็นกับเรื่องนี้ คิดว่าให้นักศึกษาเหล่านี้เลือกกันไปก่อน เหลือคดีไหนก็จะรับคดีนั้น
หลายวินาทีให้หลังกลุ่มแชตก็สั่นเตือนขึ้นมาอีกหน
ล็อค [เลือกได้แล้ว ฉันเอาชิงทรัพย์แล้วกัน]
ฟิลลิดา [ฉันลักพาตัว]
แอนนา […งั้นฉันฆาตกรรมโดยเจตนา]
เฮนรี่ [กักขังหน่วงเหนี่ยว]
เยียนสุยจือขยับปลายนิ้ว ส่งข้อความออกไป
หร่วนเหยี่ย [งั้นฉันคงต้องจับพวกนายทุกคนแล้วละ]
ทุกคน [???]
เนื้อหาการประเมินผลถูกแบ่งกันเป็นการภายในทั้งแบบนี้ เยียนสุยจือคลี่ยิ้มและกำลังจะปิดหน้าต่างลง กลับเห็นว่ามีคนส่งข้อความมาอีกหน
เฮนรี่ [ยินดีกับแอนนาและล็อคล่วงหน้า]
ล็อค [?]
แอนนา [?]
เฮนรี่ [พวกนายไม่เคยได้ยินเหรอ การประเมินผลรอบแรกดูจากสถานะของอาจารย์ เพราะคนที่รับผิดชอบโครงการนี้คือทนายฮอบส์กับทนายเฉิน ดังนั้นนักศึกษาของสองท่านนี้เลยไม่ต้องกังวลเรื่องคะแนน ไม่ใช่อันดับหนึ่งก็อันดับสอง]
ฟิลลิดา […ไปได้ยินมาจากไหน ถ้าไม่มีหลักฐานก็อย่าพูดแบบนี้ดีกว่า]
เฮนรี่ [ถึงวันนั้นก็คอยดูแล้วกัน แต่ความจริงแล้วฉันยังไงก็ได้ คนที่ต้องกังวลคือหร่วนเหยี่ย]
เยียนสุยจือทบทวนครู่หนึ่งถึงรู้ว่ากำลังพูดถึงตนเอง เขาขบคิดแล้วตอบกลับ [อ้อ]
เฮนรี่ […นายไม่ถามหน่อยเหรอว่าทำไม??? ]
ทำไมต้องถามด้วย
เยียนสุยจือมองหน้าจอฮอโลแกรมและคิดในใจ วัยรุ่นคนนี้ นายไม่รู้อะไรเลยสักนิด ถ้าแม้แต่การว่าความในศาลจำลองของเด็กฝึกงานฉันยังต้องกังวล งั้นฉันก็ควรเก็บข้าวเก็บของเตรียมตัวลาออกไปใช้ชีวิตวัยเกษียณแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ไม่ได้มาที่สำนักงานกฎหมายเฮงซวยนี่เพื่อทำงานแบบเด็กหนุ่มไฟแรงจริง ๆ สักหน่อย หากสำนวนคดีวางระเบิดถึงมือเมื่อไร เขาจะเอาหนังสือคำร้องขอลาออกฟาดใส่โต๊ะนักศึกษากู้แล้วจากไปซะ มีอะไรให้ต้องกังวลกัน
เห็นเขาไม่ตอบกลับนานพักใหญ่ เฮนรี่ก็เป็นฝ่ายทนไม่ไหวเสียเอง
เฮนรี่ [นายไม่กล้าถามเยอะใช่ไหม ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้มีเจตนาอื่นเลย แค่กลัวนายทำใจไม่ได้]
หร่วนเหยี่ย [ขอบใจ]
เฮนรี่ [ฉันไปสืบมาจากรุ่นพี่หลายคน พวกเขาบอกว่าทนายกู้ให้คะแนนโหดมาก ไม่ไว้หน้ากันเลยแม้แต่น้อย อีกอย่าง ยิ่งสนิทกับเขาเท่าไร เงื่อนไขก็ยิ่งสูงเท่านั้น สูงจนทำให้นายสงสัยความเป็นไปของชีวิตได้เลยละ ได้ยินว่าเคยมีนักศึกษาคนหนึ่งเป็นญาติของเขา เดิมคิดว่ามาที่นี่แล้วจะมีคนปกป้อง ใครจะรู้ว่าทนายกู้ไม่รับเด็กฝึกงาน นี่เป็นความสะเทือนใจรอบแรก ต่อมาคนคนนั้นไม่ได้เตรียมตัวประเมินผลรอบแรกอย่างรอบคอบ ขณะว่าความในศาลจำลองก็ถูกอบรมอย่างเข้มงวดไปรอบหนึ่ง พอเงยหน้าขึ้นก็ร้องไห้ออกมา ลองจินตนาการดูสิว่าถ้าหากเป็นนักศึกษาของเขาเอง… ]
ทุกคน [น่ากลัว]
ล็อค [ท่าทางแบบนี้ทำให้ฉันนึกถึงคนคนหนึ่ง]
แอนนา [ฉันด้วย…]
เฮนรี่ [คณบดี…]
เฮนรี่ [อดีตคณบดี]
แอนนา [ทนายกู้เป็นลูกศิษย์ของคณบดีไม่ใช่เหรอ]
เยียนสุยจือที่ไม่ส่งเสียงแม้แต่น้อยกลับถูกบีบให้แสดงตัวจึงรู้สึกว่าถูกใส่ร้ายอย่างจัง ทนายกู้ของพวกนายมีนิสัยแบบนี้มาตั้งแต่เกิดแน่นอน อย่ามาใส่ร้ายกัน กับฉันเขาก็กล้าทำนิสัยแบบนี้ ฉันจะสอนสิ่งนี้ให้เขาได้ยังไง
แอนนา [แต่ก็มีจุดต่างนะ อย่างน้อยตอนที่ไม่ได้ประเมินผลคณบดีก็ยังยิ้ม และมักจะมีรอยยิ้มอยู่เสมอด้วย ดูแล้วเป็นคนที่สง่างามเป็นกันเองมาก แต่ทนายกู้เขาเคยยิ้มไหม]
แอนนา [ไม่เคย]
เฮนรี่ [เธอไปดูคะแนนประเมินของสองปีก่อนสิ ทำใจให้เย็นสักพักแล้วค่อยบอกว่าคณบดีเป็นกันเองหรือเปล่า ที่จริงแล้วฉันสงสัยมากมาตลอดว่าทำไมคะแนนประเมินแต่ละครั้งของคณบดีถึงสูงขนาดนั้น]
แอนนา [ทำไมเหรอ เมื่อก่อนนายให้เขากี่คะแนน]
เฮนรี่ […100]
แอนนา [เหอะ ๆ]
ฟิลลิดา [สรุปว่าเป็นมาโซคิสม์กันทั้งคณะ]
ล็อค [หร่วนเหยี่ย ทำไมนายถึงไม่พูดอะไรเลย]
เฮนรี่ [ตกใจจนร้องไห้ไปแล้วเหรอ]
เยียนสุยจือ “…” เด็กโง่สองคนเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย แถมยังรู้ใจกันอีก
แต่การคุยกันในกลุ่มแชตแบบนี้นับเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเยียนสุยจือ การพูดคุยแบบพวกนักศึกษานี้เขาไม่ได้เห็นมาหลายปีแล้ว ครั้งล่าสุดที่ร่วมผสมโรงด้วยเป็นตอนที่เพิ่งเรียนจบ
เขาไม่ได้ตอบกลับ เพียงยิ้มมุมปากดูละครในมุมของผู้ชมครู่หนึ่ง แล้วปิดหน้าจอฮอโลแกรมลง
“คุณผู้ชาย มีอะไรให้ช่วยไหมคะ” พนักงานขายที่แต่งหน้าอย่างพิถีพิถันคำนวณเวลาเดินมาหาเขาอย่างเหมาะเจาะ
เยียนสุยจือเลือกเสื้อเชิ้ตสองตัวอย่างคล่องแคล่ว ขณะที่จะหันหลังก็ได้ยินเสียงที่เรียบเฉยทุ้มต่ำดังขึ้นข้างหลัง “ทำไมนายมาอยู่ที่นี่”
เขาหันขวับก็เห็นใบหน้าของกู้เยี่ยน จึงกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “คุณมาทำอะไรลับ ๆ ล่อ ๆ ข้างหลัง ตกใจหมด!”
ทนายกู้ผู้เดินเข้ามาในร้านอย่างผ่าเผย “…นายจะขโมยของที่นี่หรือไง”
พูดบ้าอะไรของนาย
“ไม่ได้ขโมยแล้วจะกลัวขนาดนี้ทำไม” กู้เยี่ยนกล่าวเสียงเรียบ
เยียนสุยจือเกือบจะกลอกตาแล้ว เขาเชิดคางใส่ “ผมไม่ได้ส่งโลเกชั่นให้คุณสักหน่อย คุณหาผมเจอได้ยังไง”
“ลงรถฝั่งตรงข้ามแล้วเห็นพอดี” กู้เยี่ยนชำเลืองมองเสื้อเชิ้ตสองตัวในมือเขาแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ “นายแน่ใจเหรอว่าไม่ได้เข้าผิดร้าน”
“แน่นอนว่าไม่” เยียนสุยจือคิดในใจว่า เสื้อเชิ้ตของฉันส่วนมากก็เป็นแบรนด์นี้ จะเข้าผิดร้านได้ยังไง
“นายไม่รู้ราคาเสื้อเชิ้ตของร้านนี้ใช่ไหม” กู้เยี่ยนเยาะ “ฉันขอแนะนำให้นายดูบัตรสินทรัพย์ของตัวเองก่อน”
เยียนสุยจือตัวแข็ง
กู้เยี่ยนแทงมีดซ้ำโดยไม่เกรงใจแม้แต่น้อย “5,022 ซี จำได้ไหม”
เยียนสุยจือ “…”
ลืมไปเลย
“แล้วก็ขอเตือนอีกอย่าง การเบิกเงินทำงานนอกสถานที่ไม่รวมถึงเรื่องพวกนี้” กู้เยี่ยนกล่าวอีก “นายคงไม่ได้คิดเพ้อฝันแบบนี้อยู่หรอกนะ”
เยียนสุยจือแตะปลายจมูกแก้เขิน ตั้งใจว่าจะวางเสื้อเชิ้ตสองตัวนั้นคืน ทว่ายังไม่ทันยื่นมือก็ถูกกู้เยี่ยนแย่งไปแล้ว
เขาพลิกเสื้อเชิ้ตในมือดูคร่าว ๆ ก่อนจะเหลือบตามองไปยังเยียนสุยจือ “ตอนที่บอกว่าไปทำงานนอกสถานที่ก็เผื่อเวลาให้นายเก็บกระเป๋าแล้ว แต่นายก็มามือเปล่า ไหนบอกฉันซิว่านายคิดอะไรอยู่กันแน่”
เยียนสุยจือหัวเราะเสียงแห้ง “คิดยังไงน่ะเหรอ ขัดสนจนไม่มีเสื้อผ้าชุดอื่นน่ะสิ ผมจะเอาอะไรไปเก็บกระเป๋า”
กู้เยี่ยน “…”
“ก่อนหน้านี้โชคร้ายสุด ๆ บ้านที่อยู่อาศัยถูกปล้น” เยียนสุยจือเริ่มพูดเหลวไหล “โจรชั่วช้านั่นเข้ามาในบ้าน เกือบจะลักพาตัวผมไปขายแลกเงินแล้วด้วยซ้ำ ไม่งั้นผมจะจนถึงขั้นนี้เหรอ เหลือแค่ 5,022 ซี เหอะ!”
เขาพูดพลางแค่นหัวเราะเยาะตัวเองด้วย อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง แต่ด้านการแสดงอารมณ์นั้นน่าพอใจอย่างยิ่ง ถึงอย่างไรพอเขาตื่นมาก็กลายเป็นคนยากจนไปแล้ว ไม่ต่างอะไรจากการถูกปล้นเลย
กู้เยี่ยนขมวดคิ้วมองอีกฝ่ายขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่หลายรอบราวกับหาพิรุธไม่เจอ สุดท้ายก็ละสายตากลับไป ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
เยียนสุยจือเป็นฝ่ายเสนอขึ้น “ไปกันเถอะ เปลี่ยนร้านก็ได้ ร้านเสื้อเชิ้ตราคาถูกในไวน์ซิตี้ไม่ได้หายาก เมื่อกี้ผมเห็นร้านหนึ่งบนถนนข้างหน้า”
“ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิด นายน่าจะหมายถึงร้านตรงหัวมุมที่ป้ายหน้าร้านใกล้จะร่วงลงมา” กู้เยี่ยนกล่าว “นายแน่ใจเหรอว่าจะใส่เสื้อเชิ้ตร้านนั้น นายกล้าเข้าไปยืนในชั้นศาลไหม”
กล้าสิ เยียนสุยจือคิดในใจว่า อยู่ในวงการมาตั้งหลายปีแล้ว ยังต้องอาศัยเสื้อผ้าเสริมความมั่นใจอะไรอีก
แต่คำตอบแบบนี้คงไม่เหมาะกับเด็กฝึกงานธรรมดาคนหนึ่ง
เขาจนปัญญาอยู่บ้าง “นี่ก็ไม่ได้นั่นก็ไม่ได้ แล้วจะให้ทำยังไง”
กู้เยี่ยนเหลือบตามองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะถือเสื้อเชิ้ตสองตัวนั้นผละไปเงียบ ๆ
เยียนสุยจือถลึงตามองแผ่นหลังของอีกฝ่าย คิดในใจว่า นายถือเสื้อเชิ้ตไปทำไม คงไม่ใช่ว่ากินยาผิดแล้วจะจ่ายเงินแทนฉันหรอกนะ
สองวินาทีถัดมา สีหน้าของเขาก็ราวกับเห็นผี…
เพราะว่ากู้เยี่ยนกินยาผิดไปจ่ายเงินจริง ๆ …
หนึ่งชั่วโมงต่อมา เยียนสุยจือที่กลับถึงโรงแรมแล้วกำลังยืนอยู่ในห้องของกู้เยี่ยน พลางมองดูกระเป๋าเดินทางที่เปิดออกข้างเตียง กล่าวเสียงสูงเล็กน้อย “คุณว่าอะไรนะ”
“ไม่ต้องมองเสื้อเชิ้ตใหม่สองตัวนั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับนาย” กู้เยี่ยนว่า
เยียนสุยจือ “…”
กู้เยี่ยนชี้ครุยยาวสีดำตัวหนึ่งในกระเป๋าเดินทาง “พรุ่งนี้นายใส่ชุดนี้”
ครุยยาวสีดำแบบนั้นเยียนสุยจือคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง นั่นคือครุยทนายที่ตัดเย็บด้วยมือจากร้านสั่งตัดคุณภาพสูง บริเวณชายเสื้อและแขนเสื้อล้วนปักด้วยลวดลายที่สุภาพเรียบง่ายมาตรฐานเดียวกันทั่วทั้งสหพันธ์ เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงอำนาจสูงสุดของกฎหมาย
ครุยทนายไม่ใช่สิ่งที่ใครมีเงินก็ซื้อได้ ต้องมีใบสั่งตัดที่ประทับตราสหพันธ์ถึงจะมีคุณสมบัติในการนัดวัดตัว
และแน่นอนว่าต้องมีเงินด้วย…
ทั้งยังแพงมาก
เยียนสุยจือมีครุยทนายแบบนี้สามตัว ทุกการเลื่อนหนึ่งขั้นก็จะมีเพิ่มมาอีกหนึ่งตัว ตัวสุดท้ายต่างจากของกู้เยี่ยนอยู่บ้างเพราะเพิ่มตราอิสริยาภรณ์ดิ้นทอง…ซึ่งมีเฉพาะสำหรับทนายขั้นหนึ่งเท่านั้น
ทว่านี่ไม่ใช่ประเด็น สิ่งสำคัญคือ…
“พรุ่งนี้? คุณหมายถึงฟังคำตัดสินการประกันตัว? แล้วทำไมผมต้องใส่ชุดนี้” เยียนสุยจือเผยสีหน้าแปลกใจ “ผมไม่ได้ขึ้นไปนั่งที่นั่งฝ่ายจำเลยสักหน่อย”
เขาเป็นแค่ทนายฝึกหัด ไม่ใช่แค่นั่งฟังอย่างสงบเสงี่ยมอยู่ข้างหลังหรอกหรือ
ใครจะรู้ว่ากู้เยี่ยนจ้องตามองเขาครู่หนึ่งแล้วละสายตาออก จากนั้นก็เก็บเสื้อเชิ้ตที่ซื้อมาใหม่ไปพลาง กล่าวอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนไปพลาง “ผิดแล้ว นายขึ้น ส่วนฉันนั่งข้างหลัง”
[1] คือ สามหน่วยงานสำคัญที่มีบทบาททางการเมืองและกฎหมายของจีน ประกอบด้วยสำนักงานตำรวจ สำนักงานอัยการ และศาลประชาชน
[2] หมายถึง การไว้หน้าหรือไม่คิดเล็กคิดน้อยกับการกระทำนอกกรอบของอีกฝ่าย แต่เจ้าตัวกลับไม่สำนึก อีกทั้งยังทำตัวหยิ่งยโสและวางมาดลำพองใส่ด้วย