ข้าอยากเป็นภรรยาจอมยุทธ์
鸢鸢相报
จ้าวเฉียนเฉียน 赵乾乾 เขียน
ลีลรักษ์ แปล
— โปรย —
หวังชิงเฉี่ยน บุตรีเศรษฐีอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ผู้มีความคลั่งไคล้ที่จะเป็นจอมยุทธ์หญิง
และมีความใฝ่ฝันว่าอยากแต่งงานกับจอมยุทธ์หนุ่ม
ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าวันหนึ่งบุตรชายอัครเสนาบดี ฟั่นเทียนหาน
ผู้มีคุณสมบัติเป็นเลิศระดับจ้วงหยวนบู๊คนใหม่จะมาสู่ขอนาง
ที่ไม่มีคุณสมบัติกุลสตรีตามแบบฉบับอะไรเลย นอกจาก “ความรวย”
นางแคลงใจนักว่าเขาคงแต่งเพราะหมายตาสินเดิมเจ้าสาวอันมหาศาลของนางล่ะสิ!
แต่ในเมื่อสตรีอย่างไรก็ต้องออกเรือน แต่งกับจ้วงหยวนบู๊
ก็ใกล้เคียงความฝันของนางกึ่งหนึ่ง เช่นนั้น “แต่งก็แต่ง”
แต่หลังจากแต่งงานกันแล้ว กลับพบว่าเรื่องราวมันแสนจะพิลึกพิลั่นกว่านั้นมาก
มีอย่างที่ใด ในจวนจ้วงหยวนที่นางกับสามีอยู่ด้วยกัน
ยังมีญาติผู้น้องของเขาตามมาอยู่ด้วย!
ทั้งนางยังถูกดึงเข้าไปพัวพันกับเรื่องราวความรักความแค้นของคนอื่นโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่อีก
ตกลงว่าที่สามีจ้วงหยวนบู๊รูปงามยืนกรานจะแต่งงานกับนางเป็นเพราะอะไรกันแน่
แล้วความฝันที่จะได้ผาดโผนผจญภัยไปกับยอดฝีมือผู้รู้ใจของนางจะเป็นอย่างไรต่อ
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
2.1
ชมจันทร์
นึกไม่ถึงว่าข้าล้มป่วยคราวนี้ นักเล่านิทานของเรือนแรมไหลฝูจะเปลี่ยนคนเสียแล้ว จากตาเฒ่าเคราขาวอ้วนตุ๊ต๊ะกลายเป็นชายปากแหลมแก้มลิง[1]มีเคราแพะ ไม่ว่าข้าจะมองอย่างไร เขาก็ดูไม่เจริญตาจริงๆ พานให้สำเนียงท้องถิ่นของเขายามเล่านิทานฟังแล้วไม่เจริญหูไปด้วย ทั้งนิทานที่เขาเล่าก็ยังสนุกน่าตื่นเต้นสู้นิทานยุทธภพของตาเฒ่าเคราขาวไม่ได้เลยสักนิด เอาแต่เล่าเรื่องรักประโลมโลกประเภทชายหล่อหญิงงาม ข้าฟังจนง่วงเหงาหาวนอน โชคดีที่เสี่ยวหลงเปาของเรือนแรมไหลฝูยังอร่อยเหมือนเดิม หลังจากป่วยหนักข้าก็ไม่ค่อยเจริญอาหารมาตลอด เสี่ยวหลงเปาวันนี้ทำให้ข้าน้ำลายสอขึ้นมาได้อย่างหาได้ยาก
แน่นอนว่าต้องกินไปหลายลูก จนกระทั่งชายหน้าลิงเล่าถึงตอนที่คุณหนูมอบเอี๊ยมบังทรงของตนให้บัณฑิตหนุ่ม ข้าก็กินเสี่ยวหลงเปาไปสองเข่งแล้ว หันไปมองเป่าเอ๋อร์ ตรงหน้านางมีเข่งเปล่าซ้อนกันอยู่ห้าเข่ง เหนือภูเขายังมีภูเขา ข้ากินอิ่มแล้ว จึงนั่งฟังนิทานฆ่าเวลา ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่านิทานเรื่องนี้ชี้นำให้ผู้เยาว์หลงผิด จึงถือโอกาสสั่งสอนเป่าเอ๋อร์ว่า “เอี๊ยมบังทรงเป็นของศักดิ์สิทธิ์ จะมอบให้บุรุษตามอำเภอใจไม่ได้เด็ดขาด”
เป่าเอ๋อร์ถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ยิ่งกว่าเดิม “เช่นนั้นข้าควรมอบสิ่งใดให้ดี”
คำถามนี้ทำเอาข้าไปต่อไม่ถูก นึกทบทวนตำราทุกเล่มที่ข้าเคยอ่านตลอดหลายปีที่ผ่านมาแล้วตอบว่า “พัดกระมัง อย่างเช่นพัดดอกท้อ พัดไม้กฤษณา ล้วนเป็นของล้ำค่า เหมาะแก่การมอบให้เป็นของขวัญ”
เป่าเอ๋อร์เอ่ยอย่างน้อยใจ “ข้าไม่มีพัด”
ข้าเอ่ยต่อ “เช่นนั้นก็ให้ถุงหอม หรืออย่างแย่สุดก็ให้ผ้าเช็ดหน้า”
เป่าเอ๋อร์น้ำตาคลอเบ้าจะร้องไห้อยู่รอมร่อ “คุณหนู ข้าไม่มีสักอย่าง”
เรื่องนี้ช่างเป็นปัญหาจริงๆ ของใช้ประจำตัวของหญิงสาวทั่วไปอย่างเช่นปิ่นปักผม ผ้าเช็ดหน้า พัด และถุงหอม เหล่านี้เป๋าเอ๋อร์ไม่มีทั้งสิ้น ข้าเค้นสมองครุ่นคิดสักพัก ของขวัญนี้ต้องเป็นของใช้ส่วนตัว ต้องเป็นของที่เป่าเอ๋อร์มี ทั้งยังต้องไม่ดูฉาบฉวยด้วย คิดไปคิดมาก็เหลือเพียงสิ่งนั้นแล้ว
ข้ากระแอมให้คอโล่ง “ให้ถุงเท้าแล้วกัน ทั้งดูเป็นกันเอง เหมาะสม แล้วยังเป็นของใช้ติดกายอีก แม้แต่ในกลอนโบราณยังมีกล่าวไว้เลยว่า บาทาท่องคลื่น ถุงเท้าเปื้อนธุลี ช่างงดงามราวกับบทกวี”
เป่าเอ๋อร์ครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ใช่ เช่นนั้นก็ให้ถุงเท้านี่แหละ แต่ว่าคุณหนู เปื้อนธุลีก็เท่ากับสกปรกแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ”
ข้าตีหน้าขรึมตอบว่า “มิใช่ หมายถึงวันเกิด[2]ต่างหาก มอบถุงเท้าให้คนรักในวันเกิดเขา ช่างเป็นการแสดงความรักที่ลึกซึ้งงดงามยิ่งนัก”
เป่าเอ๋อร์ยิ้มกว้าง “คุณหนู ท่านเก่งจริงๆ”
อมิตาภพุทธ สาธุ สาธุ
ตอนที่ข้ากับเป่าเอ๋อร์เดินพุงกลมกลับถึงจวน ท่านพ่อกำลังเจรจาเรื่องการค้ากับพ่อลูกสกุลหลิ่วในห้องโถง ข้าคิดว่าหากโผล่หน้าเข้าไป มีหวังหลิ่วจี้ตงได้ตามวอแวไม่เลิกอีกแน่ ดังนั้นจึงแอบย่องกลับไปที่ห้อง
ทันทีที่เปิดประตูข้าก็อึ้งไป ฟั่นเทียนหานนั่งพลิกอ่านหนังสือในห้องข้าอย่างสบายอารมณ์ บนโต๊ะตรงหน้าเขายังมีชามกระเบื้องเคลือบใบหนึ่งวางอยู่
เห็นข้าเข้ามา เขาก็เงยหน้าขึ้นยิ้มให้
หัวใจข้ากระตุกวูบ อาจเพราะระยะนี้ถูกเขาจับกรอกยาอย่างโหดเหี้ยม ใบหน้าสุขุมหล่อเหลาของเขาในสายตาข้ายามนี้จึงน่าพรั่นพรึงยิ่งกว่ายาต้มสีดำขุ่นขลั่กนั่นเสียอีก
“ได้ยินว่าวันนี้เจ้าไปไหว้พระขอพรมา ขอพรมาทั้งวัน ขออะไรบ้างหรือ” ไม่รู้เพราะเหตุใด แต่ละถ้อยแต่ละคำของเขาฟังแล้วเหมือนกับกำลังเหน็บแนมข้า
ข้าลากเก้าอี้มานั่งลง ตอบเสียงกระด้าง “ขอให้น้ำท่าบริบูรณ์ บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุข”
เขายิ้มอย่างไม่ใส่ใจ ยกชามตรงหน้าขึ้นมา
ข้าตกใจลุกพรวดจากเก้าอี้ ร้องโวยวาย “ข้า…ข้าหายดีแล้ว ขืนท่านยังบังคับให้ข้าดื่มยาอีก ข้าจะสู้ตายกับท่าน!”
ที่ข้ามีท่าทีตอบโต้รุนแรงเช่นนี้ก็มีสาเหตุอยู่ สองวันก่อนชายผู้นี้กล่อมให้ข้าดื่มยาไม่สำเร็จ จึงจัดการจี้สกัดจุดพร้อมกับบีบจมูกข้า แล้วกรอกยาให้ข้าดื่มเหมือนเทจิ้งหรีดก็มิปาน
มือของฟั่นเทียนหานที่ถือชามอยู่พลันชะงัก เอ่ยยิ้มหัว “ข้ารู้ว่าเจ้าหายดีแล้ว นี่คือลูกบัวต้มไป่เหอ[3]ที่อี๋เหนียงสามตุ๋นให้ข้า”
ข้านั่งลงตามเดิมอย่างประดักประเดิด พึมพำว่า “อี๋เหนียงสามเรื่องมากจริงๆ”
เขาค่อยๆ ละเลียดกินเม็ดบัวต้มไป่เหอ พลางมองข้าเป็นครั้งคราว สายตานั้นทำเอาข้ารู้สึกร้อนตัวโดยไม่มีสาเหตุ
ข้ารู้สึกเบื่อจึงเอื้อมมือไปหยิบหนังสือที่เขาพลิกอ่านก่อนหน้านี้ พอหยิบมาอยู่ในมือแล้วก็ทำเอาข้าแทบอยากกลืนหน้ากระดาษนี่ลงท้องไปให้รู้แล้วรู้รอด เขา…เขากำลังอ่านนิยายเรื่องจอมยุทธ์เทพอินทรีที่ข้าตั้งใจซื้อมาเป็นของแทนใจให้ศิษย์พี่ใหญ่เมื่อหลายปีก่อน ข้าพลิกหน้ากระดาษด้วยมือสั่นเทา ในนั้นมีอักษรเสียวข่าย[4]ที่ข้าเขียนเองเด่นหรา
‘ต้วนหลาง ยุทธภพน่ากลัวอันตราย พาข้าไปด้วยคน! จากเฉี่ยนเอ๋อร์’
อวัยวะภายในของข้าปั่นป่วนไปหมด หากว่านี่ไม่ใช่ลายมือข้าเอง ข้าต้องลากคนที่เขียนข้อความน่าขนลุกพรรค์นี้มาโบยให้หนักสักยกแน่นอน
อารมณ์รักของเด็กสาวคือโรคร้ายชนิดหนึ่ง กัดกินลึกถึงไขกระดูก ไร้หนทางเยียวยา
ข้าเสียใจจนไส้ดำ[5]ไปหมดแล้ว ถ้อยคำน่าขนลุกขนพองพวกนี้ถูกฟั่นเทียนหานมาเห็นเข้าจนได้
ฟั่นเทียนหานวางชามลงตามคาด มือข้างหนึ่งเท้าคาง อีกมืองอนิ้วเคาะโต๊ะเบาๆ “ชิงเฉี่ยน ต้วนหลางผู้นี้เป็นเทพมาจากที่ใดกัน”
นิ้วมือของเขาเรียวยาว เห็นข้อนิ้วขัดเจน เหมาะที่จะจับกระบี่โดยแท้
ข้าตอบเออออไปว่า “ต้วนหลางก็คือ…ก็คือต้วนอวี้ในเรื่องแปดเทพอสูรมังกรฟ้า ที่นักเล่านิทานเรือนแรมไหลฝูเล่า คนที่ใช้วิชาบาทาท่องคลื่นได้ผู้นั้นอย่างไรเล่า ท่านไม่เคยได้ยินหรือ”
เขาส่ายหน้า “ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน”
ข้าพลันรู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมา เล่าให้ฟั่นเทียนหานฟังเป็นคุ้งเป็นแควเรื่องต้วนอวี้และพี่สาวเทพธิดาหวังอวี่เยียนของเขา พี่น้องร่วมสาบานของเขาอย่างเฉียวเฟิงและภิกษุซวีจู๋ เฉียวเฟิงพลั้งมือฆ่าอาจูหญิงคนรัก…ขณะที่ข้ากำลังสาธยายเรื่องราวจนติดลมบน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเป่าเอ๋อร์ทะเลาะกับใครสักคนตรงหน้าประตู ข้าจึงหยุดเล่าแล้วเงี่ยหูฟัง เป็นหลิ่วจี้ตง
หลิ่วจี้ตง “ข้าจะหาเฉี่ยนเอ๋อร์ เจ้ามาขวางทำไม”
เป่าเอ๋อร์ “คุณหนูร่างกายอ่อนเพลีย ไม่พบแขก”
หลิ่วจี้ตง “ข้าได้ยินมาจากท่านลุงชัดๆ ว่าวันนี้เฉี่ยนเอ๋อร์ออกไปข้างนอกมา ร่างกายอ่อนเพลียตรงไหนกัน”
“คุณหนูกินเสี่ยวหลงเปาที่เรือนแรมไหลฝูมากเกินไปจนแน่นท้อง ทั้งนักเล่านิทานที่นั่นยังเปลี่ยนคนอีก คุณหนูไม่ถูกใจ ตอนนี้จึงอารมณ์ไม่ดี หากท่านอยากพบนาง ข้าเข้าไปรายงานให้ท่านก็ได้ แต่ท่านต้องรู้ไว้ด้วย เวลาคุณหนูโมโหขึ้นมาจะอาละวาดเสียงดังเหมือนสิงโตเหอตง[6]…”
มีสมบัติ[7]เช่นนี้ ก็ไม่วอนขออะไรอีกแล้วๆๆๆๆๆๆๆๆ
ฟั่นเทียนหานหยุดเคาะนิ้วบนโต๊ะ “มิใช่ว่าไปไหว้พระที่วัดหลงซาน ขอพรให้น้ำท่าบริบูรณ์ บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุขหรอกหรือ ยังแวะไปเรือนแรมไหลฝูอีกด้วย?”
ข้ากำลังจะพยักหน้า เขาก็ทำสีหน้าสงสัยขึ้นมา “แต่ว่าวัดหลงซานกับเรือนแรมไหลฝู ที่หนึ่งอยู่ทางตะวันออกของเมือง อีกที่หนึ่งอยู่ทางตะวันตก แวะระหว่างทางก็ดูจะไม่สมเหตุสมผลเท่าใดกระมัง หรือว่าชิงเฉี่ยนรู้ทางลัดที่ทะลุไปได้ทั้งวัดหลงซานกับเรือนแรมไหลฝู คราวหน้าก็พาข้าไปด้วยคนสิ ถนนในเมืองหลวงนี่คดเคี้ยววกวนนัก ทำให้คนคาดไม่ถึงอยู่เรื่อย”
เลือดลมตีขึ้นมาจุกอกข้า อยากจับเขาฆ่ายกครัวนัก
เป่าเอ๋อร์ที่อยู่หน้าประตูไล่หลิ่วจี้ตงไปแล้ว ผลักประตูเดินยิ้มเผล่เข้ามา “คุณหนู ข้าไปสืบมาแล้ว ที่แท้นักเล่านิทานคนก่อนของเรือนแรมไหลฝูถูกเรือนแรมหลงเหมินที่เพิ่งเปิดใหม่ซื้อตัวไป เอ๋ เหตุใดท่านเขยก็อยู่นี่ด้วย”
ข้าตอบเสียงอ่อย “เป่าเอ๋อร์ ใต้เท้าฟั่นจะกลับจวนแล้ว ข้าเหนื่อยมาก เจ้าไปส่งเขาแล้วกัน”
ฟั่นเทียนหานไม่มีท่าทีไม่พอใจกับคำพูดไล่แขกของข้า ตรงกันข้ามกลับให้ความร่วมมือ ลุกขึ้นเอ่ยลา ก่อนออกไปเขาลูบปลายผมข้าให้เรียบแล้วบอกว่า “ชิงเฉี่ยน นิสัยชอบพูดโกหกนี้แก้ไขเสียเถิด”
ปลายผมข้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันใด แผ่ซ่านไปถึงโคนผม จนชาวาบไปทั้งหนังศีรษะ
ข้าคนนี้นิสัยไม่ดีนัก ข้อดีเพียงอย่างเดียวคือรู้จักปรับตัวและพอใจกับสภาพที่เป็นอยู่ ให้ข้าอยู่ในป่า ข้าก็เป็นนก ให้ข้าอยู่ในน้ำ ข้าก็เป็นปลา ให้ข้าอยู่จวนจ้วงหยวน ข้าก็เป็นภรรยาจ้วงหยวน
สองวันก่อน ข้าก็แต่งงานกับฟั่นเทียนหาน ขบวนรับเจ้าสาวของข้ามิได้ยิ่งใหญ่อลังการนัก อย่างน้อยก็ค่อนข้างต่ำต้อยเมื่อเทียบกับฐานะและตำแหน่งของเขา แต่เมื่อกราบไหว้ฟ้าดิน คำนับบิดามารดาแล้ว ข้าก็คือภรรยาร่วมผูกผมกับเขา สถานะนี้ทำให้ข้าทอดถอนใจไม่มีสิ้นสุด
ขั้นตอนการกราบไหว้ฟ้าดินช่างยืดยาวนัก เบื้องหน้าข้าคือผ้าคลุมสีแดงสด บรรดาแขกเหรื่อตลอดจนญาติสนิทมิตรสหายทั้งหมดที่มาร่วมงาน สำหรับข้าแล้วไม่มีอะไรมากไปกว่าหัวรองเท้าคู่แล้วคู่เล่า โชคดีที่มีแม่สื่อคอยแนะนำเจ้าของหัวรองเท้าแต่ละคู่อยู่ข้างๆ ข้าจึงได้รู้ว่าหัวรองเท้าก็บอกเรื่องราวลึกซึ้งควรค่าแก่การพินิจพิเคราะห์ได้มากมายเพียงใด อย่างเช่น หัวรองเท้าของป้าสะใภ้รองของฟั่นเทียนหานสะกิดข้อเท้าท่านลุงสามตลอดเวลา เท้าลุงเขยใหญ่ของเขายืดออกไปเขี่ยเท้าลุงเขยรอง แต่แล้วก็มีรองเท้าสีแดงปักลายคู่หนึ่งกระทืบพื้นอย่างแรงขณะที่เรากำลังกราบไหว้ฟ้าดินและบิดามารดา จากคำบอกของแม่สื่อ นั่นคือญาติผู้น้องหญิงของเขา นับแต่โบราณมา พี่ชายกับน้องสาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกันมักมีความสัมพันธ์คลุมเครือยุ่งเหยิงอยู่เสมอ จะบ้าตายจริงๆ
คืนเข้าหอก็ช่างแปลกประหลาดสิ้นดี
พ่อข้ามีอี๋เหนียงเก้าคน สี่คนมาจากหอนางโลม เรื่องระหว่างชายหญิงนั้นข้าจึงพอได้ยินมาบ้าง โดยคร่าวๆ คือ ต่างฝ่ายต่างปฏิบัติต่อกันอย่างจริงใจ มีความเจ็บปวดสักหนึ่งรอบก็เสร็จแล้ว แต่ไหนแต่ไรเนื้อหนังข้าก็มิได้เลอค่าสูงส่ง ตอนอายุสิบขวบข้าปีนต้นไม้ไปเก็บลูกหม่อนให้เป่าเอ๋อร์แล้วตกลงมามือหัก ทนเจ็บอยู่สองวันถึงให้พ่อข้าเชิญหมอมาดู…ข้าคิดมาตลอดว่านี่คือสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้ข้าฝึกวิชาตัวเบาได้ไม่ดีนัก เป็นเงามืดในใจสมัยวัยเยาว์ของข้า
โดยสรุปก็คือ ข้าคิดมาตลอดว่าเป็นลูกหลานชาวยุทธ์ จะเจ็บตัวบ้างนิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่นับเป็นอันใด ด้วยเหตุนี้ข้าจึงมองว่าการร่วมหอออกจะเป็นเรื่องที่ไม่หนักหนาสำหรับตัวข้า ไม่มีความกระวนกระวายอย่างที่สตรีทั่วไปเป็นกัน คาดไม่ถึงว่าฟั่นเทียนหานจะเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อยยิ่งกว่าข้าเสียอีก เขาเลิกผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว หลังจากคล้องแขนดื่มสุรามงคลแล้วก็เอ่ยกับข้าว่า “ข้ายังมีธุระ เจ้าพักผ่อนตามสบายเถิด” แล้วก็จากไป ข้าง่วงจนไม่มีทางเลือก จึงต้องพักผ่อนแต่โดยดี
เช้าวันต่อมา ตอนที่ฟั่นเทียนหานมาปลุกข้า ข้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตกลงเมื่อคืนเขากลับมานอนที่ห้องหรือไม่
เขาให้ข้าตามไปคารวะท่านพ่อท่านแม่ที่โถงใหญ่หลังจากล้างหน้าแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย
ระหว่างที่เป่าเอ๋อร์ช่วยล้างหน้าหวีผมให้ข้าก็เล่าเสียงเจื้อยแจ้วให้ข้าฟัง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเรื่องญาติผู้น้องที่ชอบกระทืบเท้าคนนั้น นางยังบอกข้าว่า ศิษย์พี่โผล่มาระหว่างที่ข้ากราบไหว้ฟ้าดินเพื่อเตรียมชิงตัวเจ้าสาว ต่อมาถูกอาจารย์ตีหัวจนสลบแล้วลากตัวกลับไป ข้าไม่พอใจที่อาจารย์ลงไม้ลงมือเช่นนี้ เดิมนี่ควรจะเป็นเรื่องราวความรักอันงดงามทำนอง “ข้าคือผีเสื้อโบยบินไปบนท้องฟ้า เจ้าคือมนุษย์ที่วิ่งไล่ตามอยู่บนพื้นดิน” อย่างเรื่องของเหลียงซานปั๋วกับจู้อิงไถ[8]อะไรเทือกนั้น แต่กลับถูกเขาเข้ามาก่อกวนจนไม่มีเหลือ
ตอนที่มาถึงห้องโถง ข้าเห็นชายท่าทางร่ำรวยเคร่งขรึมผู้หนึ่งนั่งอยู่ในโถงใหญ่ จึงรีบเข้าไปคารวะแล้วเรียกท่านพ่อ เขาถึงกับสะดุ้งไปครู่หนึ่ง จึงชี้แจงว่าเขาคือพ่อบ้านใหญ่ของจวนจ้วงหยวน ใต้เท้าฟั่นกำลังรอพาข้าไปคารวะพ่อแม่สามีที่จวนอัครเสนาบดี ข้าจึงได้สังเกตเห็นว่าใต้เท้าฟั่นเทียนหานแอบหัวเราะอยู่ที่มุมหนึ่ง…มารดามันเถอะ
จวนอัครเสนาบดีทั้งใหญ่โตทั้งหรูหรา เทียบกันแล้วจวนจ้วงหยวนของใต้เท้าฟั่นดูซอมซ่อลงไปถนัดตา อัครเสนาบดีหน้าตาเปี่ยมเมตตา ฟูเหรินอัครเสนาบดีเองก็ดูใจดี ปฏิบัติต่อข้าอย่างมีมารยาทยิ่งนัก แต่กลับทำให้ข้ารู้สึกเหมือนมีบางสิ่งไม่ถูกต้อง บางทีอาจเพราะข้าเป็นชนชั้นต่ำโดยกำเนิดกระมัง
หลังจากกินมื้อเที่ยงที่จวนอัครเสนาบดีเสร็จเราก็กลับจวน ใต้เท้าฟั่นบอกว่าเขามีเอกสารราชการกองพะเนินเท่าภูเขารอให้อนุมัติ ดังนั้นจึงปลีกตัวไปที่ห้องหนังสือ ปลีกตัวไปคราวนี้ไม่แม้แต่จะออกจากห้องมากินมื้อเย็นด้วยซ้ำ ใต้เท้าฟั่นผู้นี้ประหลาดนัก ก่อนแต่งงานก็ว่างจัด วันๆ ฆ่าเวลาไปกับการเฝ้าดูข้าดื่มยา พอหลังแต่งงานจู่ๆ ก็กลายเป็นคนงานยุ่งขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ผู้ชายส่วนใหญ่ล้วนเป็นเช่นนี้ ก่อนแต่งกับหลังแต่งมักจะเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน
จนกระทั่งถึงเวลาเข้านอน ฟั่นเทียนหานก็ยังไม่โผล่หน้ามา ข้ารู้ว่าคนเป็นภรรยาจะนอนหลับสบายคนเดียวโดยไม่ดูดำดูดีความเป็นความตายของสามีไม่ได้ จึงฝืนถ่างตารอเขาอยู่สองชั่วยาม โชคดีที่ปกติข้ามักถูกอาจารย์กับศิษย์พี่ใหญ่ลากไปเคี่ยวกรำชมดาวชมเดือนกลางดึกอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้แม้จะรอแล้วรอเล่าจนถึงยามสองเกิง ข้าก็ยังไม่คออ่อนคอพับไป ข้าคิดดูแล้วเห็นว่าขืนต้องรออีกสองชั่วยาม ข้าคงรอไม่ไหว จึงขึ้นไปนอนบนเตียง พลิกไปพลิกมารอบหนึ่ง ก่อนจะลุกไปจุดเทียน ใจคิดว่าทำเช่นนี้ หากฟั่นเทียนหานกลับมา จะได้มีข้อแก้ตัวว่าข้ารอจนเพลียจึงเผลอหลับไป
ข้าก็นับว่าเป็นคนละเอียดรอบคอบเหมือนกันนะนี่
เช้านี้ข้าตื่นขึ้นมา เห็นเตียงยังอยู่ในสภาพเหมือนข้านอนคนเดียว ปกติข้าเป็นคนที่ไม่เคยเศร้าเพราะความรัก แต่ยามเช้าตรู่ คนเรามักมีอารมณ์เปราะบางอยู่บ้าง เทียนที่ข้าจุดไว้ให้ฟั่นเทียนหานเมื่อคืนไหม้จนมอดหมดเล่ม เชิงเทียนเต็มไปด้วยน้ำตาเทียนพอกหนาเป็นชั้น ข้าซึ่งเพิ่งแต่งเข้ามาไม่ทันไรก็ถูกอัปเปหิให้ไปอยู่ตำหนักเย็นเช่นนี้ ในโลกของชีวิตคู่นับว่าเป็นบุปผาพิสดารหายากแล้ว ครั้นมองไปรอบๆ ห้องที่นอนมาสองคืนแต่ก็ยังรู้สึกไม่คุ้นเคยนี้ ข้าก็คิดถึงบ้านขึ้นมา คิดถึงเวลาต่อปากต่อคำกับท่านพ่อ คิดถึงน้ำแกงบำรุงของอี๋เหนียงทั้งหลาย คิดถึงกับข้าวฝีมืออาเตา…
ข้าเพิ่งพูดไปหยกๆ ว่าข้าเป็นคนรู้จักปรับตัวและพอใจกับสภาพที่เป็นอยู่ ผ่านไปยังไม่ทันถึงครึ่งถ้วยชา ข้าก็ทิ้งความรู้สึกคิดถึงบ้านอันยิ่งใหญ่ไว้เบื้องหลัง เรียกเป่าเอ๋อร์มาหารือว่าจะแอบหนีออกจากจวนจ้วงหยวน ไปฟังตาเฒ่าเคราขาวเล่านิทานที่เรือนแรมหลงเหมินที่เพิ่งเปิดใหม่อย่างไรดี แต่เป่าเอ๋อร์เห็นว่าในฐานะสะใภ้ใหม่ ข้าไม่ควรออกนอกบ้านสุ่มสี่สุ่มห้า หาไม่แล้วจะตกเป็นขี้ปากชาวบ้านได้ ด้วยเหตุนี้เราสองคนจึงได้แต่ล้มเลิกความคิดที่จะออกไปเที่ยวข้างนอก จวนจ้วงหยวนนี้เล็กมาก ข้างหน้าข้างหลังมีเรือนข้างเพียงห้าหรือหกห้องเห็นจะได้ นับห้องที่มีคนอยู่มีเพียงสิบกว่าห้องเท่านั้น ข้ากับเป่าเอ๋อร์เดินไม่นานก็วนครบรอบ สุดท้ายมาหยุดอยู่ที่สวนดอกไม้ในลานด้านหลัง ที่จริงแล้วสวนดอกไม้นี้มิอาจนับว่าเป็นสวนดอกไม้ ดอกไม้สักดอกก็ไม่มี มีแต่ต้นไผ่หร็อมแหร็ม และหินประดับอีกสองสามลูก
ข้าเดินวนรอบสวนดอกไม้หลังเรือนแล้วรู้สึกเบื่อ จึงสั่งเป่าเอ๋อร์ว่า “เป่าเอ๋อร์ ไปขอเมล็ดพันธุ์ดอกไม้จากพ่อบ้านหลี่มาสักหน่อย เรามาแต่งสวนดอกไม้หลังเรือนกัน”
เป่าเอ๋อร์รับคำสั่งแล้ววิ่งออกไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ ส่วนข้ามองหาโขดหินนั่งรอ เด็ดใบไผ่มาเป่าเล่น เมื่อก่อนศิษย์พี่ใหญ่เคยสอนข้าเป่าเพลงใบไม้
“ชิงเฉี่ยน เป่าเพลงอะไรหรือ” จู่ๆ เสียงของฟั่นเทียนหานก็ดังขึ้นด้านหลัง ขัดจังหวะการหาความบันเทิงของข้า
ข้าโยนใบไผ่ในมือทิ้ง “ไม่รู้”
เขาก้มหน้าลงมาถามข้า “สองคืนนี้หลับสบายดีหรือไม่ อยู่ในจวนจนคุ้นเคยแล้วหรือยัง”
ชาวยุทธภพเรียนรู้วิธีพูดจาอ้อมค้อมเช่นนี้ไม่เป็น สองวันนี้เรื่องที่ข้าอยากถามเขามีมากมายเหลือเกิน ในเมื่อเขาอุตส่าห์มาให้ข้าสอบปากคำถึงที่ แน่นอนว่าลูกพี่อย่างข้าย่อมไม่เกรงใจ ไหนเลยจะเสียเวลามาพูดจาอ้อมค้อมกับเขา จึงถามไปตามตรง “ท่านไม่อยากร่วมหอกับข้าใช่หรือไม่ หรือว่าท่านมีโรคลับ[9]อะไร ท่านแต่งงานกับข้าเพราะเหตุใดกันแน่”
ฟั่นเทียนหานแหงนหน้ามองฟ้า สูดหายใจลึกแล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้มีโรคลับ เรื่องร่วมหอสมควรรอให้เจ้ามีใจให้ข้าแล้วค่อยว่ากัน ส่วนเรื่องสาเหตุที่ข้าแต่งงานกับเจ้านั้น เจ้าไม่รู้สึกบ้างหรือว่า แต่งแล้วค่อยมาถาม ออกจะเหมือนเอาเกวียนไปไว้หน้าม้า[10]ไปสักหน่อย”
หึ สมแล้วที่เป็นพวกเจ้าความรู้ เขาตอบเฉพาะคำถามเรื่องที่เป็นโรคลับหรือไม่เท่านั้น ผู้ชายมักจะเลี่ยงไม่ให้ผู้อื่นเคลือบแคลงในความสามารถบางอย่างของตน ส่วนคำถามอื่นๆ เขาปัดพ้นตัวอย่างมีลีลาเหมือนรำมวยไท่จี๋
ข้ากำลังจะซักต่อ เป่าเอ๋อร์ก็กลับมาพร้อมกับพ่อบ้านหลี่
เป่าเอ๋อร์ดูท่าทางหัวเสีย “คุณหนู พ่อบ้านหลี่บอกว่าสวนด้านหลังนี้คุณหนูญาติผู้น้องของท่านเขยเป็นคนดูแล ผู้ใดก็ห้ามแตะต้องเจ้าค่ะ”
เดิมข้าอยากปลอบเป่าเอ๋อร์ แต่พอเหลือบไปเห็นฟั่นเทียนหานยืนเงียบอยู่ข้างๆ พลันรู้สึกไม่อยากเกลี้ยกล่อมคนให้จบเรื่องขึ้นมา จึงเอ่ยว่า “น่าขัน ข้าเป็นฟูเหรินจ้วงหยวนที่แต่งเข้ามาอย่างถูกต้องเปิดเผย แม้แต่จะปลูกไม้ดอกสักต้นก็ยังไม่มีสิทธิ์หรือ หากข้าพอใจจะปลูกต้นไม้ไว้ในห้องเจ้า พ่อบ้านหลี่ เจ้ายังต้องมาช่วยข้าขุดหลุมด้วยซ้ำ!”
พ่อบ้านหลี่มิกล้าพูดอะไรตั้งแต่ต้นจนจบ
ฟั่นเทียนหานเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนเอ่ยว่า “ชิงเฉี่ยน ในจวนมีกฎระเบียบของจวน เจ้าเองก็อย่าทำให้พ่อบ้านหลี่ลำบากใจเลย เขาเพียงแค่ทำตามกฎเท่านั้น หากเจ้าอยากปลูกดอกไม้ ข้าให้คนถางพรวนที่ดินอีกแปลงให้เจ้าดีหรือไม่”
ข้าคิดว่าตัวเองฟังเข้าใจแล้ว ในจวนจ้วงหยวนนี้ สถานะของข้ายังด้อยกว่าญาติผู้น้องที่ชอบกระทืบเท้าคนนั้นชนิดห่างกันลิบลับ นิสัยข้าเป็นคนเฉยชามาตั้งแต่เกิด ชิงดีชิงเด่นกับผู้อื่นไม่เป็นก็จริง แต่ครั้งนี้ฟั่นเทียนหานทำเกินไปแล้ว ถึงอย่างไรข้าก็เป็นภรรยาที่ถูกต้องของเขา จะไว้หน้านายหญิงของบ้านอย่างข้าต่อหน้าบ่าวไพร่สักนิดก็คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงกระมัง หากอยู่กันตามลำพังแล้วเขาหาเหตุผลสักข้อว่าในสวนปลูกดอกไม้ไม่ได้ ข้าจะไม่รบเร้าเซ้าซี้เลย แต่เขาต้องการฉีกหน้าข้าต่อหน้าบ่าวไพร่ให้ได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่
ข้ายิ้มเอ่ยว่า “เรื่องถางที่เตรียมดินไว้เราค่อยหารือกันต่อ แต่พอได้ยินว่าจวนจ้วงหยวนมีกฎเช่นนี้ ก็ยิ่งรู้สึกปลื้มใจ ไม่ทราบว่าน้องสาวผู้นี้อาศัยอยู่ในจวนด้วยหรือไม่”
พ่อบ้านหลี่รีบพยักหน้า “คุณหนูพักที่เรือนปีกตะวันตกขอรับ”
ปีกตะวันตก ชุยอิงอิงกับจางเซิง[11]บอกชาวโลกจากประสบการณ์ของพวกเขาว่า ที่นี่เป็นสถานที่ซึ่งเหมาะแก่การลักลอบคบหากัน
ข้าคลี่ยิ้มอย่างมีเมตตายิ่งกว่าเดิม “ข้าไม่ค่อยรู้กฎเกณฑ์ในจวนนัก แต่ข้าได้ยินว่าโดยทั่วไปตระกูลที่มีกฎระเบียบจะมีธรรมเนียมปฏิบัติไม่ต่างกันนัก เช่นนั้นน้องสาวผู้นี้อย่างน้อยก็ต้องมาคารวะพี่สะใภ้ยามเช้ามิใช่หรือ แต่จนถึงตอนนี้ข้ายังไม่เคยเห็นหน้านางเลยสักครั้ง ไม่รู้ว่าจวนจ้วงหยวนนี้ใหญ่โตเกินไปจนนางหาเรือนของข้าไม่พบ หรือว่าน้องสาวกำลังรอให้ข้าไปคารวะนาง”
ข้าคิดว่าตนเองพูดได้เจ็บแสบมาก ทั้งเหน็บแนมเรื่องกฎบ้าบอคอแตกของจวนจ้วงหยวน ทั้งประชดญาติผู้น้องที่วางท่าใหญ่โตผู้นั้น แล้วยังถือโอกาสเยาะเย้ยจวนจ้วงหยวนที่เล็กกระจ้อยร่อยเท่าเมล็ดถั่วเมล็ดงานี้ไปด้วยเลย
ใบหน้าของฟั่นเทียนหานพลันขรึมลงเมื่อได้ยินคำพูดนี้ ข้ามองแล้วสุขสมใจยิ่งนัก ในเมื่อเขาพูดจาเช่นนี้ออกมาได้ ข้าก็จะร่วมปะทะคารมกับเขาสักตั้ง
ใครจะรู้ว่าหลังจากชายผู้นี้ตีหน้าขรึมมองข้าอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ เมฆครึ้มพลันแจ่มใส เขายิ้มเอ่ยว่า “อวิ๋นเอ๋อร์ไปพักที่บ้านญาติชั่วคราว ไว้นางกลับมาแล้ว ข้าจะให้นางไปคารวะเจ้ายามเช้าแน่นอน”
รอยยิ้มของเขาที่ราวกับยอมตามใจข้าทำเอาข้าหน้าม้าน “หึๆ ข้าก็ว่าน้องสาวดูไม่เหมือนคนไร้มารยาท ที่แท้ไม่อยู่ในจวนนี่เอง”
สีหน้าเขาพลันขรึมลงอีกครั้ง “เจ้าเคยเห็นอวิ๋นเอ๋อร์ที่ไหนเมื่อไร”
น้ำเสียงเขาขึงขังจริงจังขึ้นมาทันที ข้าตกใจที่เขาเปลี่ยนสีหน้าเร็วยิ่งกว่าการแสดงเปลี่ยนหน้ากากของงิ้วซื่อชวนเสียอีก ตอบเสียงเนิบว่า “ตอนกราบไหว้ฟ้าดิน ข้าเคยเห็นหัวรองเท้านาง”
เขาชะงักไป จากนั้นก็ระเบิดหัวเราะ “เจ้านี่เห็นเพียงส่วนเดียวก็รู้ทั้งหมดได้จริงๆ”
ข้าไม่ได้อารมณ์ดีกับเขาด้วย นี่ไม่ได้กำลังเล่นงิ้วโรงใหญ่ ใบหน้าเขาที่ประเดี๋ยวก็เปลี่ยนสีไปมานั้นทำให้ข้าทนรับไม่ได้ ข้าดึงเป่าเอ๋อร์มาบอกว่า “เป่าเอ๋อร์ ข้าเหนื่อยแล้ว เรากลับห้องกันเถอะ”
ข้ารีบเดินจากไปทันที ไม่ได้เห็นว่าใต้เท้าฟั่นที่ถูกข้าเมินปุบปับจะมีสีหน้าเป็นเช่นไร
กลับถึงห้อง ข้าก็รู้สึกเพลียจริงๆ เพราะเมื่อคืนนอนดึก ร่างกายอ่อนล้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอหัวถึงหมอนก็หลับสนิท ตอนที่ตื่นขึ้นมา ในห้องก็จุดเทียนไว้แล้ว ฟั่นเทียนหานกำลังนั่งอ่านเอกสารราชการใต้แสงเทียน แสงสีเหลืองนวลส่องจับใบหน้าด้านข้างอันหล่อเหลาและอ่อนโยนของเขา ทันใดนั้นท้องข้าพลันบีบตัว สงสัยจะหิวเสียแล้ว
ฟั่นเทียนหานเหลือบตาขึ้นมาทันที “ชิงเฉี่ยน หิวแล้วหรือ”
ข้าพลิกตัวนอนหันหลังให้เขา หลับต่ออีกตื่นแล้วกัน
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาจากด้านหลัง ที่นอนยวบตัวลงไปเล็กน้อย ข้าหลับตาปี๋ มารดามันเถอะ อยู่ห่างๆ ข้าหน่อย
มือของเขาวางลงบนหัวไหล่ข้าอย่างแผ่วเบา
“ชิงเฉี่ยน เลิกงอนได้แล้ว เมื่อครู่ห้องครัวเพิ่งนำน้ำแกงเม็ดบัวมาส่ง ดื่มสักหน่อยหรือไม่”
ข้าหูเบาเชื่อคนง่าย ขอเพียงผู้อื่นยอมลดราวาศอก ข้าก็ไม่วางมาดต่อ ดังนั้นจึงลุกขึ้นมาดื่มแกงข้นเม็ดบัวกับฟั่นเทียนหานไปสองชาม
ฟั่นเทียนหานดื่มเสร็จแล้วก็ยังคงกลับไปนอนที่ห้องหนังสือ ส่วนข้าเนื่องจากตอนกลางวันนอนมากเกินไปจึงนอนไม่หลับ นอนแผ่บนเตียงพลางคิดอย่างใจลอย ตกลงเขาแต่งข้าเข้ามาด้วยเหตุใดกันแน่ และเพราะอะไรญาติผู้น้องคนนั้นถึงอาศัยอยู่ที่จวนจ้วงหยวน มิใช่จวนอัครเสนาบดี
[1] เป็นวลี หมายถึงคนขี้เหร่มาก
[2] คำว่า“เปื้อนธุลี” ภาษาจีนอ่านว่า “เซิงเฉิน” (生尘) พ้องเสียงกับคำว่า “เซิงเฉิน” (生辰) ที่แปลว่าวันเกิด
[3] เหง้าลิลี่ มีรสหวาน ฤทธิ์เย็น มีสรรพคุณบำรุงปอด และทำให้จิตใจสงบ
[4] รูปแบบอักษรตัวบรรจง ขนาดเล็ก
[5] เป็นการอุปมาถึงความรู้สึกเสียดายสุดๆ เสียใจมากๆ ทั้งนี้เพราะคนเราเวลาตาย ไส้จะเปลี่ยนเป็นสีคล้ำเพราะมีเลือดไปคั่งอยู่ จึงถูกนำมาใช้บรรยายความรู้สึกว่าเสียดายหรือเสียใจมากจนตาย
[6] เป็นคำที่มักใช้อุปมาถึงอุปนิสัยของภรรยาขี้หึงที่ชอบโวยวายใส่สามี
[7] ชื่อ “เป่าเอ๋อร์” มาจากคำว่า “เป่า” ที่แปลว่า สมบัติ สิ่งล้ำค่า
[8] ตัวละครเอกในตำนานพื้นบ้านเรื่องตำนานรักผีเสื้อ หรือม่านประเพณี เป็นโศกนาฏกรรมความรักที่เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์จิ้น
[9] หมายถึง โรคที่ไม่กล้าบอกใคร เช่น กามโรค โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เป็นต้น
[10] หมายถึง เรียงลำดับความสำคัญสลับกัน
[11] นางเอกและพระเอกจากเรื่องห้องรักหอตะวันตก (ซีเซียงจี้) บทกวีในสมัยราชวงศ์ถัง ซึ่งมีวรรคทองอันโด่งดังจากจดหมายที่ชุยอิงอิงลอบส่งหาจางเซิงชายคนรัก ใจความว่า “เฝ้ารอใต้แสงจันทร์ ใกล้ห้องตะวันตกแง้มประตูรับลม เงาบุปผาบนกำแพงสั่นไหว ชวนสงสัยว่าบุรุษรูปงามผู้นั้นกำลังมาเยี่ยมชม”