มหาวิทยาลัยซอมบี้
Zombies in College
喪病大學
顏涼雨 เหยียนเหลียงอวี่ เขียน
Jpolly Wu แปล
นิยาย 4 เล่มจบ (วางขายเเยกเล่ม)
TRIGGER WARNING : นิยายเรื่องนี้ NOT FOR EVERYONE *
มีเนื้อหาเกี่ยวกับ angst (มีความรุนแรงในอารมณ์ บีบคั้นกดดัน), death (การตาย),
depression (ภาวะซึมเศร้า), gore (เนื้อหามีความโหดร้าย และรุนแรง) และ suicide (การฆ่าตัวตาย)
———————————————————–
ตอนที่ 65
สิ้นเสียงของซ่งเฝ่ย ซอมบี้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ก็ขยับตัว จากนั้นก็ยกศีรษะขึ้นเล็กน้อย ดวงตาที่ซ่อนอยู่หลังเลนส์แว่นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ยังคงชัดเจนและค่อยๆ จับจ้องเหอจือเวิ่น
เป้าหมายไม่ใช่ซ่งเฝ่ยที่พูดเป็นคนสุดท้าย
แต่เป็นเหอจือเวิ่นที่เอ่ยปากเป็นคนแรก
นักศึกษาเหอจากคณะฟิสิกส์ถูกจ้องจนขนอ่อนลุกตั้งชูชัน เขาถอยหลังครึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว ฝ่าเท้ายังไม่ทันแตะพื้น ซอมบี้ที่อยู่บนเก้าอี้ก็กระโดดออกมาและกระโจนเข้าใส่อย่างบ้าคลั่ง!
ซอมบี้เคลื่อนไหวได้อย่างว่องไวราวกับถูกเก้าอี้ดีดออกมา กว่าเหอจือเวิ่นจะตั้งตัวได้ อีกฝ่ายก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าเสียแล้ว ระยะห่างค่อนข้างใกล้จนเขาคล้ายได้กลิ่นเหม็นเน่าโชยจากร่างกายของอีกฝ่าย
“โฮก-ก-ก…” ซอมบี้คำรามโหยหวน อ้าปากกว้างหมายจะกัดลำคอเปลือยเปล่าของเหอจือเวิ่น
“ว้าก-ก-ก…” เหอจือเวิ่นเองก็ส่งเสียงร้องโหยหวนกลับไป ขณะเดียวกันก็หมอบลงด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ!
ซอมบี้กลับตัวไม่ทัน มันจึงงับได้เพียงความว่างเปล่า
เหอจือเวิ่นรีบคลานหนีไปด้านหลังโต๊ะทำงานตัวหนึ่ง ทั้งหวาดกลัวและน้อยใจ “ผมมาดีนะ ผมแค่อยากขอยืมวิทยุของอาจารย์เท่านั้นเอง!!!”
“โฮก-ก-ก” ซอมบี้กำลังคลั่ง มันอุ้มวิทยุพลางเดินเข้าไปหาเหอจือเวิ่นที่กำลังวิ่งหนีอยู่ภายในห้องทำงาน
แม้แต่คนโง่ก็ยังเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ดี ซ่งเฝ่ยเอ่ยเตือนอย่างรวดเร็ว “ปัญหาอยู่ที่วิทยุ หยุดพูดเรื่องวิทยุสักที แม้แต่คำว่า ‘วิด ทะ ยุ’ ก็ห้ามพูด ไม่เห็นหรือไงว่านั่นเป็นของรักของหวง ใครขอยืมมันจะพุ่งใส่คนนั้นอะ!”
ทันใดนั้นซอมบี้ที่กำลังวิ่งไล่ตามเหอจือเวิ่นก็หยุดกึก ค่อยๆ หันกลับมาจับจ้องที่ซ่งเฝ่ย
ซ่งเฝ่ยตกใจ เริ่มก้าวถอยหลังอย่างเงียบเชียบ “คือ…ผมแค่อธิบายให้เขาฟัง ผมไม่ได้พูด ผม ผมไม่ได้จะขอยืม จริงๆ นะ!”
เมื่อเห็นว่าซ่งเฝ่ยถูกไล่ต้อนไปจนถึงมุมกำแพง ชีเหยียนที่ตั้งท่ารออยู่นานก็พุ่งมาจากด้านข้างโดยใช้หอกแทงเข้าที่ขมับซอมบี้!
ดูเหมือนซอมบี้จะสังเกตเห็นเขาตั้งแต่แรก ฝีเท้าที่ก้าวไปข้างหน้าด้วยความเร็วคงที่อย่างรวดเร็วพลันหยุดชะงัก คมหอกของชีเหยียนจึงเฉียดเพียงปลายจมูกของมันเท่านั้น เมื่อชีเหยียนดึงหอกกลับมาอย่างอารมณ์เสียและเตรียมจะโจมตีเป็นครั้งที่สอง ลูกตุ้มโลหะมันวาวก็แหวกอากาศพุ่งมาจากด้านข้าง ก่อนจะกระแทกเข้ากลางท้ายทอยของซอมบี้พอดิบพอดี
น้ำหนักของลูกตุ้มโลหะบวกกับความแข็งแรงของผู้ขว้าง ทำให้ซอมบี้เซถลา หลังจากกลับมายืนได้มั่นคงอีกครั้ง ซอมบี้ก็ไม่ลังเลอีกต่อไป มันหมุนตัวกลับและพุ่งเข้าใส่เหอจือเวิ่นทันที ราวกับไม่ต้องการให้อีกฝ่ายขว้างลูกตุ้มเป็นหนที่สอง!
เหอจือเวิ่นรีบวิ่งหนี แต่ไปได้ไม่เกินสองก้าวก็ถูกซอมบี้กระโจนเข้าใส่จากทางด้านหลังจนล้มลง!
เหอจือเวิ่นคิดจะยกร่างซอมบี้ที่ทับบนตัวออก แต่ทั้งรูปร่างและน้ำหนักตัว เขาล้วนสู้ “อดีตอาจารย์” ที่ขี่หลังอยู่ไม่ได้ นักศึกษาเหอร้อนรนทำได้เพียงใส่ความผู้อื่น “ชีเหยียนเป็นคนให้ลูกตุ้มน้ำหนักผมมา ผมเป็นแค่พนักงานยกของ…”
ซอมบี้ย่อมไม่ฟังคำอธิบายของเขา มือข้างหนึ่งโอบอุ้มวิทยุ มืออีกข้างกดหลังคอของเหอจือเวิ่น ก่อนจะพุ่งเข้ากัดลำคอขาวราวหิมะของเขา!
เหอจือเวิ่นที่ถูกกดแน่นไม่อาจขยับเคลื่อนไหว ขณะที่เงาดำด้านหลังขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนเขารับรู้ได้ถึงสัมผัสแปลกประหลาดจากริมฝีปากของซอมบี้ที่แตะลงบนหลังคอ!
ทว่าความเจ็บปวดที่คาดไว้กลับมาไม่ถึงสักที มีเพียงแรงถูไถเท่านั้น ราวกับว่าริมฝีปากกำลังเต้นตามจังหวะของปีศาจอยู่บนหลังคอของเขา
เหอจือเวิ่นนึกสงสัย พยายามหันกลับไปมองทั้งที่ซอมบี้ยังทับตัวอยู่ด้วยความยากลำบาก จึงเห็นชีเหยียนรวบเส้นผมซอมบี้ไว้ในกำมือจนแน่น และด้วยพละกำลังของสหายผู้นี้ จึงหยุดฟันของซอมบี้ไม่ให้พุ่งไปข้างหน้าได้ แต่ก็หยุดไว้ได้ในระยะกระชั้นชิดมาก
ชีเหยียนขบกรามแน่น รวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมด ในที่สุดก็สามารถดึงหัวซอมบี้ให้ออกห่างจากคอเหอจือเวิ่นได้
เนื่องด้วยแรงกระชากของชีเหยียน น้ำหนักที่ทับอยู่บนร่างเหอจือเวิ่นจึงเบาลง เขาอาศัยจังหวะนี้คลานออกมา จนเมื่อน้ำหนักที่ทาบทับหายไปทั้งหมด เหอจือเวิ่นก็หันกลับไป จึงเห็นว่าซอมบี้ที่ไม่รู้ว่าหันศีรษะไปตั้งแต่ตอนไหน กำลังอ้าปากกัดง่ามมือชีเหยียน!
เหอจือเวิ่นตกใจกลัว เส้นประสาทแทบระเบิดเป็นจุณ ขณะที่เขากำลังจะพุ่งเข้าไปโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด ก็เพิ่งสังเกตว่ามีบางอย่างผิดปกติ
สถานการณ์ของสองคนนั้นค่อนข้างแปลก ถึงจะบอกว่าซอมบี้กำลังกัดง่ามมือของชีเหยียน แต่ดูเหมือนชีเหยียนกำลังใช้มือง้างปากซอมบี้มากกว่า เพื่อป้องกันไม่ให้ศีรษะของมันโจมตีข้างหน้าได้ และเนื่องจากชีเหยียนสวมถุงมือหนัง ตอนนี้ซอมบี้จึงทำอะไรเขาไม่ได้
ความคิดหนึ่งแล่นปราดขึ้นมา เหอจือเวิ่นเห็นแสงเย็นที่สะท้อนลงบนพื้น นั่นเพราะซ่งเฝ่ยหยิบหอกของชีเหยียนขึ้นมาแล้ว!
ปลายมีดแหลมตั้งท่าจะแทงทะลุใบหน้าของซอมบี้ภายในชั่วพริบตา…เอ่อ หรือแทงมือของชีเหยียนกันแน่นะ
ภายในเวลาสั้นๆ ชีเหยียนรีบออกแรงกดหัวของซอมบี้และมือของตนเองลง เพื่อหลบหอกสังหารที่กำลังพุ่งมา!
“นายอย่าขยับสิ!” ซ่งเฝ่ยแทงพลาด จึงตำหนิสหายร่วมรบที่ไม่ให้ความร่วมมือแต่โดยดี
ทว่าสหายร่วมรบที่กำลังโรมรันพันตูกับซอมบี้จะไม่ขอตกที่นั่งลำบากไปมากกว่านี้แล้ว “ถ้าฉันไม่หลบ มีหวังมือของฉันคงถูกนายแทงทะลุไปแล้ว!”
ซ่งเฝ่ยนึกน้อยใจ “ฉันไม่เคยใช้อาวุธยาวสักหน่อย ก็ต้องทดลองในสนามจริงนี่แหละ!”
ตึง!
ลูกตุ้มลอยข้ามห้องกระแทกเข้ากลางขมับซอมบี้ แรงกระแทกหนักหน่วงทำให้ผิวหนังของมันปริแตก จากนั้นของเหลวเป็นเมือกสีแดงเข้มก็ค่อยๆ หลั่งออกมา
“โดน โดนแล้ว?” นักศึกษาเหอที่โจมตีจากระยะไกลหลายเมตรแทบไม่อยากจะเชื่อสายตา
“ต่อเลย!” ชีเหยียนรีบตอบรับสหายร่วมรบอย่างไม่ลังเล ขณะเดียวกันก็ยั่วยุสหายอีกคนต่อ “นายสู้เหอจือเวิ่นไม่ได้เลย!”
“…” อันที่จริงนักศึกษาเหอไม่ค่อยชอบคำพูดแบบนี้สักเท่าไร
ซ่งเฝ่ยเองก็ไม่ชอบเหมือนกัน ไหนบอกว่าจากนี้จะไม่ต่อว่าเขาแล้วไง! คนโกหก!
“ฉันสู้เหอจือเวิ่นไม่ได้เหรอ ถ้านายแน่จริงป่านนี้ก็ล้มเขาได้ตั้งนานแล้ว! แถมเขายังต่อให้นาย ใช้แค่มือเดียวด้วย!”
“ใครจะไปรู้ว่าอาจารย์คณะวิทยาการคอมพิวเตอร์จะแข็งแรงกันขนาดนี้!!!”
เหอจือเวิ่นเอ่ยอย่างอ่อนแรง “ปกติแล้วเขาน่าจะชอบตีปิงปองด้วย…”
“บ้าเอ๊ย!” ซ่งเฝ่ยสบถแล้วโยนหอกลงพื้นทันที จากนั้นหยิบตะเกียบเหล็กที่คุ้นเคยของตนเองวิ่งเข้าไปช่วยชีเหยียนแทน
คนทั้งสามต่อสู้ยื้อยุดกันพักใหญ่ ไม่รู้ว่าซอมบี้สัมผัสได้ถึงเจตนามุ่งร้ายของซ่งเฝ่ยหรือไม่ ทางหนึ่งจึงปกป้องวิทยุ อีกทางหนึ่งก็บิดหัวไปมาเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีทั้งจากมีดสั้นของชีเหยียนและตะเกียบของซ่งเฝ่ยอย่างสุดฤทธิ์
เหอจือเวิ่นไม่กล้าร่วมวงด้วย ยังคงโยนลูกตุ้มเหล็กอย่างเชื่อฟัง เนื่องจากสถานการณ์การต่อสู้ค่อนข้างวุ่นวาย จึงทำให้การโจมตีจากระยะไกลขาดความแม่นยำ โดยเฉพาะตอนที่ลูกตุ้มเหล็กลูกสุดท้ายถูกโยนออกไป พวกเขาสามคนชุลมุนกันอยู่ข้างหน้าต่าง ลูกตุ้มลอยสูงไปหน่อย กระทั่งข้ามหัวของพวกเขาสามคนและกระแทกบานกระจกอย่างแรง!
เสียงดังตึงหนึ่งครั้ง ลูกตุ้มเหล็กกระแทกเข้ากลางกระจกจนแตกร้าวในชั่วพริบตา แต่กระจกยังไม่หลุดร่วงออกจากกัน ยังคงสภาพเป็นบานกระจกครบถ้วนอยู่อย่างนั้น เมื่อดูๆ ไปก็เหมือนบานกระจกใสที่แปลงร่างเป็นกระจกฝ้าไปเสียแล้ว
อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกะทันหันทำให้ซ่งเฝ่ยและชีเหยียนเผลอชะงักไปชั่วขณะ
ทว่าซอมบี้ไม่เป็นเช่นนั้น มันอาศัยจังหวะนี้ผลักพวกเขาสองคนออก แล้วกระโจนเข้าหาเหอจือเวิ่นแทน!
“ระวัง!”
“รีบหนี!”
ชีเหยียนและซ่งเฝ่ยพูดขึ้นเกือบจะพร้อมกัน แต่สายเกินไปสำหรับเหอจือเวิ่น เดิมทีร่างกายของเขาก็ตอบสนองช้ากว่าสมองอยู่แล้ว ทั้งยังมีท่อนขาอวบสั้น จึงทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่ลง ยิ่งไปกว่านั้นลูกตุ้มน้ำหนักในกระเป๋าก็ถูกโยนไปหมดแล้ว และสายเกินกว่าที่จะดึงมีดสั้นออกมา!
ช่วงเวลาคับขัน เหอจือเวิ่นรวบรวมสติคิดหาหนทางได้ในฉับพลัน เขาหยุดยืนนิ่งไม่ติงไหว กระทั่งซอมบี้เคลื่อนมาหยุดตรงหน้า เขายกมือคว้าแว่นตาของอีกฝ่ายทันที!
การต่อสู้ที่ดุเดือดเมื่อครู่ไม่ได้ทำให้แว่นตาของมันเอียงหรือหล่นลงพื้น ดังนั้นนักศึกษาเหอที่สวมแว่นตาเช่นเดียวกันย่อมเข้าใจดี เนื่องจากขาแว่นค่อนข้างแน่น ดังนั้นเขาจึงไม่ต่อย แค่ยื่นมือออกไปคว้าแว่นตาของอีกฝ่ายเฉยๆ ซะอย่างงั้น!
ซ่งเฝ่ยกับชีเหยียนมองดูด้วยความมึนงง ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ซอมบี้เองก็ตกตะลึงเช่นเดียวกัน ดูเหมือนการสูญเสียแว่นตาจะเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้มันต้องใช้เวลาในการปรับตัว
เหอจือเวิ่นเหยียบแว่นตาที่หล่นลงพื้นแล้วกระทืบจนแตกละเอียด ขณะเดียวกันก็อธิบายให้สหายฟังว่า “เขาสายตาสั้นเก้าร้อยแน่ะ!”
ซ่งเฝ่ยและชีเหยียนหันมองหน้ากัน รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ดังนั้นจึงควรตั้งใจเรียนวิชาเลือกให้ดีเช่นกัน!
จากนั้นเหอจือเวิ่นที่เหยียบแว่นแตกแล้วก็ดึงมีดสั้นที่เหน็บเอวออกมา แต่ไม่รู้ว่าแสงสะท้อนของมีดช่วยคืนสติให้ซอมบี้หรือไม่ แค่ดึงมีดออกแต่ยังไม่ทันกำแน่น ซอมบี้ก็ใช้มือข้างที่ไม่ได้ถือวิทยุคว้าหมับที่ไหล่ของเหอจือเวิ่น!
ถ้าบอกว่าไม่กลัวก็เหมือนโกหก เหอจือเวิ่นกระโดดหนีตามสัญชาตญาณ แล้วหลบซ่อนตัวอยู่ใต้โต๊ะในวินาทีต่อมา
ซ่งเฝ่ยรู้ดีว่าเหอจือเวิ่นต่อสู้ไม่เก่ง แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะขี้ขลาดขนาดนี้ หากเขาหวาดกลัวมากก็ควรไปซ่อนตัวตั้งแต่แรกสิ ทำไมถึงเพิ่งมาซ่อนหลังจากที่ดึงแว่นตาของซอมบี้ออกแล้วล่ะ
ขณะที่กำลังสงสัย ทันใดนั้นมือของเขาก็ถูกชีเหยียนคว้าหมับ วินาทีต่อมาก็ถูกจับยัดไว้ใต้โต๊ะอีกตัวหนึ่ง และหลังจากที่ชีเหยียนจับเขายัดเรียบร้อยแล้ว ก็รีบซ่อนตัวในมุมมืดของกำแพงที่แสงจันทร์สาดส่องไม่ถึงอย่างรวดเร็ว
การกระทำทั้งหมดเกิดขึ้นเร็วมาก แต่การเคลื่อนไหวและฝีเท้ากลับแผ่วเบา ดังนั้นซ่งเฝ่ยที่ในใจยังคงเต็มไปด้วยความสงสัยจึงอดกลั้นเอาไว้ไม่พูดอะไรออกมา หลังจากซ่อนอยู่ใต้โต๊ะก็ถึงกับเผลอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว
บริเวณที่ชีเหยียนซ่อนตัวค่อนข้างมืดมาก จากมุมของซ่งเฝ่ยจึงมองเห็นเขาเพียงซีกเดียว ในวินาทีต่อมา จู่ๆ แขนข้างที่ต้องแสงจันทร์ก็ยกขึ้น จากสายตาคาดเดาได้ว่านิ้วกำลังแนบริมฝีปากทำท่า ‘ชู่ว์’
ทันใดนั้นซ่งเฝ่ยก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นได้
การที่เหอจือเวิ่นดึงแว่นตาออกก็เพื่อทำให้พละกำลังของซอมบี้ถดถอย เมื่อคนสายตาสั้นเก้าร้อยไม่มีแว่นตา รวมถึงแสงสลัวที่แม้แต่คนสายตาดีก็ยังมองเห็นไม่ชัดเจน ย่อมทำให้ทัศนวิสัยถูกทำลาย การที่เขาเข้าไปซ่อนใต้โต๊ะ ก็เพื่อหลบลี้จากกรอบสายตาของซอมบี้ ขณะเดียวกัน ชีเหยียนเองก็ยัดซ่งเฝ่ยเข้าไปใต้โต๊ะและซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด ทั้งหมดนี้ก็เพื่อจุดประสงค์เดียวกัน
ซอมบี้ตกอยู่ในอาการงงงวย พวกเขา หรือก็คือชีเหยียน กำลังเฝ้ารอโอกาสลงมือปลิดชีพในนัดเดียว
ค่ำคืนอันเงียบสงบ ซอมบี้หันมองไปรอบๆ ห้องพักอาจารย์ที่ว่างเปล่าด้วยท่าทางงุ่มง่าม
ชีเหยียนค่อยๆ ดึงมีดสั้นออกมาอย่างเงียบเชียบ ปราศจากสุ้มเสียงใดๆ
ซอมบี้ยังคงอุ้มวิทยุ สายตาพร่ามัว ก่อนจะเริ่มพยายามใช้จมูกดมกลิ่น
ชีเหยียนสืบเท้าก้าวแรก เชื่องช้า แผ่วเบา
ซอมบี้ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง
ก้าวที่สอง
ซอมบี้ยังคงยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว มันเพียงสั่นหัวเล็กน้อย พยายามสูดกลิ่นของมนุษย์ในอากาศให้ได้มากที่สุด
ก้าวที่สาม
ชีเหยียนเริ่มก้าวยาวขึ้น ตอนนี้เขามาหยุดอยู่ด้านหลังซอมบี้แล้ว ชีเหยียนแทงไปที่ท้ายทอยของซอมบี้โดยไม่ลังเลในทันที!
ตึง ตึง ตึง
การโจมที่แต่เดิมควรจะไร้ที่ติ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะซอมบี้รู้แจ้งไปถึงจิตวิญญาณหรือมีตาหลังกันแน่ สุดท้ายมันดันวิ่งไปข้างหน้า ก้าวย่างอย่างสำราญใจ แม้แต่ผู้ชมก็ยังรับรู้ได้ถึงอารมณ์อันเบิกบาน
ชีเหยียนมองดูเป็ดต้มที่กำลังบินจากไป [1] อย่างตกตะลึง มันกำลังบินไปหา…เหอจือเวิ่น
“มาหาฉันทำไม-ม-ม” เหอจือเวิ่นลุกจากใต้โต๊ะทำงานและออกวิ่งอีกครั้ง!
ล้มเหลวไม่เป็นท่า ซ่งเฝ่ยไม่สบอารมณ์กับความไม่เอาถ่านของอีกฝ่าย “ใครใช้ให้นายไม่ฉีดน้ำหอม!”
เหอจือเวิ่น “ฉันฉีดแล้วนะ…”
“ฉีดไม่มากพอน่ะสิ!”
“ฉันฉีดจนหลัวเกิงเขม่นเลยนะ!”
“งั้นกลิ่นเนื้อของนายคงหอมมาก!”
“…”
หากร่างกายมีกลิ่นหอมถือเป็นความผิด เช่นนั้นนักศึกษาเหอก็ควรถูกสับเป็นพันเป็นหมื่นชิ้น
ซ่งเฝ่ยลุกออกจากโต๊ะระหว่างที่กำลังคุยกันอยู่ ตอนนี้ซ่อนตัวไปก็ไร้ประโยชน์ ถึงแม้ซอมบี้จะมองไม่เห็น แต่กลิ่นของเหอจือเวิ่นก็ทำให้มันจับทิศทางได้แม่นยำ และไล่ล่าเหยื่ออย่างเอาเป็นเอาตาย
ซ่งเฝ่ยเองก็ไล่แทงท้ายทอยของซอมบี้!
ซอมบี้สังเกตเห็น รีบหันหลังกลับมาอย่างรวดเร็ว ปลายมีดแหลมแฉลบผ่านปลายคางซอมบี้ ก่อนจะจิ้มเข้าที่ลำคอ!
ซ่งเฝ่ยรีบดึงมีดออกมา โลหิตสีแดงเริ่มไหลริน บางส่วนกระเด็นใส่แว่นตานิรภัย จนทำให้คราบเลือดสีแดงขนาดใหญ่บดบังสายตาไปไม่น้อย
ซ่งเฝ่ยยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดโดยสัญชาตญาณ ทว่าทันใดนั้นซอมบี้กลับพุ่งเข้ามาทางเขา!
ซ่งเฝ่ยรีบถอยหลบทันที ซอมบี้ยังตามล่าไม่ลดละ กระทั่งเขาถอยไปจนถึงขอบหน้าต่าง ช่วงบั้นเอวสัมผัสขอบหน้าต่างแล้ว!
เมื่อไม่อาจถอยได้อีกต่อไป ซอมบี้จึงกระโจนเข้ากดทับร่างซ่งเฝ่ย ร่างกายท่อนบนของเขาจึงกระแทกกับกระจกที่แตกร้าว ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดังเพล้ง กระจกแตกละเอียดโดยสมบูรณ์ เหลือเพียงกรอบหน้าต่างที่ว่างเปล่ากับเศษซากกระจกบริเวณขอบ
ลดหนาวพัดคลอเคลียหลังคอซ่งเฝ่ย ทำให้เขาต้องต่อสู้ในสงครามเย็นเสียแล้ว
แต่ซอมบี้ยังคงโจมตีอย่างไม่รู้สึกรู้สาต่อไป เป้าหมายของมันชัดเจน นั่นคือลำคอของซ่งเฝ่ย!
ซ่งเฝ่ยไม่สามารถเบี่ยงหลบได้ในทันที เขาเห็นเพียงปากใหญ่ที่เกรอะกรังไปด้วยคราบเลือดหมายจะจูบต้นคอ จึงเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วใช้แว่นตานิรภัยกระแทกหน้าของอีกฝ่ายอย่างแรง!
แต่ซ่งเฝ่ยประเมินพละกำลังในการต่อสู้ของซอมบี้ต่ำเกินไป การกระทำดังกล่าวไม่ทำให้ซอมบี้ถอยหนี ตรงกันข้าม แว่นตานิรภัยที่กระแทกมันกลับร่นลงไปอยู่ที่ลูกกระเดือกของเขาแทน!
เป็นตายเพียงเสี้ยววินาที
ซ่งเฝ่ยกำลังจนมุม
ถือเป็นโชคดีที่ยังเห็นภาพอีกครึ่งหนึ่งในกรอบสายตาชัดเจน ชีเหยียนมาถึงด้านหลังซอมบี้แล้ว คราวนี้เขาไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายเป็นครั้งที่สอง ใช้มีดแทงเข้าที่คอของซอมบี้ที่เชื่อมต่อกับท้ายทอย แล้วลากจากล่างขึ้นบน กระทั่งทะลุเข้าสู่สมองส่วนหลัง
ซอมบี้ชะงัก ยืนนิ่งไม่ไหวติง
ซ่งเฝ่ยจ้องตาซอมบี้ หลังจากแน่ใจว่ามันไม่ขยับเคลื่อนไหวอีกต่อไปแล้ว จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ยังคงระแวดระวังตัว ไม่กล้าวางใจทั้งหมด เพียงเหลือบมองวิทยุที่ซอมบี้อุ้มไว้ตรงอก จากนั้นยื่นมือออกไปดึงมาอย่างระมัดระวัง
จังหวะที่ปลายนิ้วของซ่งเฝ่ยสัมผัสกับวิทยุ ทันใดนั้นร่างของซอมบี้พลันสั่นเทิ้ม
ภาพตรงหน้าชัดเจนแจ่มแจ้งเสียจนร่างกายของซ่งเฝ่ยชะงักแข็งทื่อ
ทันใดนั้นดวงตาที่เหมือนปลาตายก็กลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง ปฏิกิริยาแรกของซ่งเฝ่ยคือคิดจะผลักอีกฝ่ายออก แต่คิดไม่ถึงว่าซอมบี้จะเคลื่อนไหวได้รวดเร็วยิ่งกว่า วิทยุถูกดึงออกจากมือซ่งเฝ่ยในทันใด!
ซ่งเฝ่ยไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ มองเห็นเพียงท่อนแขนของซอมบี้ที่สั่นไหวอย่างรุนแรงและยกขึ้นสูงอย่างไม่อาจควบคุม ทว่าวิทยุกลับไม่ได้ลอยขึ้นไปสู่จุดสูงสุดตามการเคลื่อนไหวของมัน ระหว่างที่ท่อนแขนกำลังยกขึ้นสูง ความเฉื่อยกลับลดลง และแล้ววิทยุก็หลุดออกจากมือและลอยออกไปนอกหน้าต่าง!
ซ่งเฝ่ยยื่นมือออกไปคว้าสุดแรงเกิด แต่สายเกินไป เขาทำได้เพียงมองดูวิทยุที่ลอยอยู่เหนือขอบหน้าต่างว่างเปล่า ก่อนกระโจนออกสู่ท้องฟ้ายามค่ำคืน หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้ยินเสียงที่ไม่ถือว่าดังก้อง หากแต่เป็นเสียงแห่งความสิ้นหวังอย่างสิ้นเชิง
ชั้นสิบสอง ไม่ต้องมองดูก็รู้ว่าวิทยุคงมีสภาพพังยับเยินเป็นแน่
คนทั้งสามยืนอึ้งไปชั่วขณะ ราวกับช่วงเวลาหลายปีที่ต้องดิ้นรนด้วยความยากลำบาก ท้ายที่สุดแล้วหลงเหลือเพียงความว่างเปล่า
“กรร-ร-ร” ซอมบี้ผลักซ่งเฝ่ยออก ก่อนจะปีนหน้าต่างออกไป
ด้านนอกไม่มีระเบียง มีเพียงอาคารสูงตระหง่าน และความว่างเปล่าแห่งราตรีกาล
ปึก!
เสียงกระดูกและเนื้อหนังตกกระทบผืนพสุธายังคงชัดเจนและโหดร้ายอยู่เสมอ
ไม่ว่าจะได้ยินสักกี่ครั้ง เมื่อได้ยินอีก หนังศีรษะก็ยังคงรู้สึกชาวาบ
นี่คือปฏิกิริยาต่อต้านของร่างกาย ซึ่งถือเป็นสัญชาตญาณโดยกำเนิดของมนุษย์ แม้คนที่กระโดดตึกลงไปจะกลายพันธุ์เป็นซอมบี้แล้วก็ตาม
ซ่งเฝ่ยเลื่อนตัวลงจากหน้าต่าง ทรุดนั่งบนพื้น
ความยึดมั่นถือมั่นเป็นอย่างไร สามารถทำให้มนุษย์กลายพันธุ์ยังคงมีจิตสำนึกปกป้องหวงแหนได้ชัดเจนแจ่มแจ้งเช่นนี้เชียวหรือ กล่องสีดำขนาดเล็กกล่องนั้น อาจเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตอาจารย์ก็เป็นได้
ตึง!
เสียงทุบประตูดังก้องกะทันหันทำให้ซ่งเฝ่ยสะดุ้งตกใจ แต่เสียงดังกล่าวก็ช่วยชะล้างความมึนงงของเขาให้หายไปโดยสิ้นเชิง
ชีเหยียนกับเหอจือเวิ่นเองก็ได้สติจากเสียงทุบประตูเช่นเดียวกัน จึงต่างรีบระวังตัว
เสียงทุบประตูดังต่อเนื่องราวห้านาที แต่ไม่รู้เพราะคิดได้ว่าทุบไปก็ไม่มีประโยชน์ หรือเห็นว่าเสียงภายในห้องเงียบลงแล้ว หลังจากผ่านไปห้านาทีเสียงทุบประตูจึงหยุดลง ท้ายที่สุดก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ ค่อยๆ เดินจากไป
พวกเขาทั้งสามคนหันสบตากัน เห็นได้ชัดว่าน่าจะเป็นซอมบี้ที่ได้ยินเสียงการต่อสู้ก่อนหน้านี้จึงถูกดึงดูดมา
เมื่อเสียงฝีเท้าหายไปจนหมด เหอจือเวิ่นก็ผุดลุกขึ้นยืน เขากดเสียงต่ำเอ่ยว่า “ชีเหยียน ฉันขอยืมไฟฉายหน่อย”
ชีเหยียนไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไร แต่สัญชาตญาณบอกว่าเป็นเรื่องสำคัญ จึงหยิบไฟฉายออกจากกระเป๋าเป้อย่างไม่ลังเล แล้วยื่นให้เหอจือเวิ่นกับมือโดยไม่ถามให้มากความ
“ขอบคุณ” เหอจือเวิ่นรับไฟฉายมา
ชีเหยียนนิ่งคิด ก่อนจะเสริมต่อว่า “เหลือแบตเตอรี่ไม่มากแล้ว”
เหอจือเวิ่นพยักหน้า “ไม่ต้องห่วง”
สามนาทีต่อมา ชีเหยียนและซ่งเฝ่ยจึงเห็นเหอจือเวิ่นพยายามค้นหาบางสิ่งในห้องอย่างละเอียด
เหอจือเวิ่นอาศัยแสงสว่างจากไฟฉายจัดการค้นที่นั่งของอาจารย์ ขุดคุ้ยทุกซอกทุกมุมไม่มีเหลือ ไม่ว่าจะลิ้นชัก โต๊ะหรือตู้ก็ไม่ปล่อยไว้ หลังจากค้นเสร็จก็ยังไม่หนำใจ เหอจือเวิ่นไปด้านข้างเพื่อค้นตู้เก็บเอกสารส่วนกลางกับตู้เก็บของต่อ
ชีเหยียนมองซ่งเฝ่ยด้วยความสงสัย คิดว่าแฟนหนุ่มจอมเจ้าเล่ห์ของเขาน่าจะเข้าใจ “นี่เขา…”
แฟนหนุ่มย่อมไม่ทำให้เขาผิดหวัง ซ่งเฝ่ยตอบอย่างมั่นใจว่า “โจรไม่กลับไปมือเปล่า”
ในเมื่อมาแล้ว ก็ต้องมีของที่ระลึกติดไม้ติดมือกลับไปสักหน่อย
ในที่สุดเหอจือเวิ่นก็ค้นเจออะไรบางอย่างจากส่วนลึกของตู้เก็บของ แต่มันน่าตื่นเต้นจนห่างไกลจากคำว่าของที่ระลึกไปมากโข…ขนาดยาวประมาณหกสิบห้าเซนติเมตร สูงสามสิบเซนติเมตร หนาสิบห้าเซนติเมตร สีเทาเงิน มีลำโพงคู่วางขนาบซ้ายขวาแยกกัน คลุมทับด้วยตาข่ายสีดำเหมือนดวงตาคมกริบคู่หนึ่ง มันคือเครื่องบันทึกเทปแบบพกพาขนาดใหญ่จากยุคแปดศูนย์ที่แสนจะน่าทึ่ง!
ซ่งเฝ่ยเคยเห็นสิ่งนี้ในละครโทรทัศน์แนวย้อนยุค ที่บ้านคุณปู่ของชีเหยียนก็มีอยู่หนึ่งเครื่อง แต่ดูเหมือนจะกลายเป็นของตกแต่งบ้านไปเสียแล้ว อย่างไรก็ตาม จากความทรงจำของชีเหยียน ของสิ่งนั้นวางอยู่บนตู้ในบ้านคุณปู่มานานหลายปี ไม่เคยถูกเคลื่อนย้ายไปไหน และไม่เคยส่งเสียงออกมา มันวางอยู่ตรงนั้นเงียบๆ จนมีฝุ่นเกาะเหมือนกับเครื่องประดับตกแต่งบ้านชิ้นอื่นๆ ที่วางอยู่ข้างกัน
แต่เครื่องที่เหอจือเวิ่นค้นเจอแตกต่างกับของเก่าที่บ้านคุณปู่ของชีเหยียน มันถูกเช็ดทำความสะอาดเสมอ แม้ว่าแสงสว่างจะไม่เพียงพอ แต่ก็เห็นชัดเจนว่าได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี
ซ่งเฝ่ยพยายามบังคับตนเองให้สงบสติอารมณ์ไว้ อย่ารีบดีใจจนเกินเหตุ เพราะเกรงว่าความสุขจะหลุดลอยไปอีกครั้ง เขาไม่อาจทานทนต่อความทุกข์ทรมานเช่นนั้นได้อีกแล้ว “ยังใช้ได้อยู่ไหม”
ตอนนี้เหอจือเวิ่นทำได้เพียงตรวจสอบด้วยสายตาเท่านั้น “น่าจะได้”
“นี่มันเก่ามากเลยนะ…” ซ่งเฝ่ยรู้สึกสะท้านจากก้นบึ้งของหัวใจ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “ทำไมนายถึงรู้ว่ายังมีวิทยุอยู่อีกเครื่องหนึ่ง”
“อันที่จริงฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก” เหอจือเวิ่นวางวิทยุลงบนพื้นอย่างระมัดระวัง เกาศีรษะอย่างขัดเขิน “แต่ว่านะ คนที่ชอบอะไรเป็นพิเศษ โดยปกติย่อมไม่เก็บสะสมเพียงแค่ชิ้นเดียวหรอก เหมือนอย่างพ่อของฉันที่ชอบแผนที่ บนฝาหนังบ้านก็จะมีแผนที่ติดทั่วไปหมด มีทั้งของในประเทศ ต่างประเทศ แบบโบราณ แบบสมัยใหม่ มีทุกแบบทุกชนิด อย่างฉันที่ชอบวิทยุ ในบ้านของฉันก็มีเครื่องรับส่งวิทยุตั้งหลายเครื่อง!”
ในยามเอ่ยถึงสิ่งที่ตนเองโปรดปราน เหอจือเวิ่นระบายยิ้มจริงใจ ดวงตาเป็นประกาย ซ่งเฝ่ยย่อมเข้าใจความรู้สึกนี้ดี!
“ฉันก็เหมือนกับนาย! นายเห็นว่าฉันชอบเล่นวิดีโอเกมใช่ไหม ที่บ้านฉันมีทั้ง PS2 PS3 PS4 PSP XBOX Wii [2] นอกจากนี้ฉันยังมีเครื่องเล่นเกมยุคแรกๆ ที่ต้องเสียบการ์ด แล้วก็มีเครื่องสีแดงกับสีขาวที่เก่ามากด้วย! ตอนเล่นรู้สึกคลาสสิกสุดๆ ให้ความรู้สึก…”
ชีเหยียนปรายตามองเงียบๆ
ซ่งเฝ่ยจึงเหมือนตื่นจากความฝันขณะที่กำลังฝอยน้ำลายแตกฟอง “ให้ความรู้สึก…รู้สึกหมกมุ่นจนเสียการเรียน กลับไปฉันจะจัดการพวกมันให้หมด!”
เหอจือเวิ่น “…”
วิทยุอันล้ำค่าในบ้านทำให้เหอจือเวิ่นเริ่มว้าวุ่นว่าอนาคตควรมีแฟนดีหรือไม่ หากผู้หญิงที่ชอบคิดว่าเขาหมกหมุ่นจนเสียการเรียนล่ะ หรือเขาต้องขายของรักของหวงทั้งหมดให้คนเก็บของเก่า
‘โอ้ ความรักเอ๋ย’ นักศึกษาเหอจือเวิ่นจากคณะฟิสิกส์ที่ไม่เคยจับมือหญิงสาวอีกเลยตั้งแต่เรียนจบชั้นอนุบาลทอดถอนใจยาวเหยียด ‘นายช่างเป็นปีศาจน้อยที่ทั้งน่ารักและน่าชังเสียจริง’
[1] เปรียบเทียบการสูญเสียอะไรบางอย่างไปโดยไม่ทันตั้งตัว
[2] ชื่อรุ่นต่างๆ ของเกมกดที่ต่อเข้ากับจอโทรทัศน์